บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 74 : สิ้นกรรม

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 74 : สิ้นกรรม

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ปีมะแม เดือนสี่

คุณพุ่มอายุย่างเข้าสี่สิบปี ยังคงแต่งกายงามประณีตเสมอ เดินหลังตรงงามสง่า พร้อมขบวนบริวารข้าเก่าเต่าเลี้ยงคือนางเต็มและนายหมาย ที่ถือถาดและพานกลับจากการถวายมาลัยพู่กลิ่นในวังตามกิจวัตรที่ไม่เคยละเลย เดินเลียบกำแพงออกมาจากทางประตูช่องกุด ในมือข้างหนึ่งของนายหมายถือตะพด ท่าทางเป็นผู้คุ้มกันเต็มที่

ใกล้ถึงท่าเรือ พอดีคณะนครบาลของเจ้าคุณอินทรา และบริวารหัวหมื่นสามนาย เดินออกมาจากประตูขุนนางพอดี แต่งกายนุ่งห่มทะมัดทะแมงจะเดินทางไกลไปหัวเมือง ต่างหยุด มองกัน

“ เจ้าคุณอินทรา..”

นายหมายกระซิบ กระชับไม้ตะพดมั่น

นางเต็มรีบก้าวออกมาข้างหน้า เพื่อปกป้องนายหญิง

ทว่าคุณพุ่มกลับเดินนำขึ้นไปอย่างไม่ระย่อ

เจ้าคุณกลับเป็นฝ่ายหยุดรอ และก้มศีรษะให้ด้วยกิริยาเป็นมิตร สีหน้าอ่อนโยน

“ คุณพุ่ม..ไม่ได้พบเสียนาน หลังจากงานปลงศพท่านเจ้าคุณพ่อคุณ..ก็ไม่ได้พบกันอีก ”

คุณพุ่มยกมือไหว้

นางเต็ม นายหมาย เลยต้องไหว้ตามนาย

ท่านเจ้าคุณรับไหว้ มองสบตาทีละคน

“ ท่านเจ้าคุณไม่เจ็บไม่ไข้นะคะ ”

“ บังเอิญจริงๆ ที่พบคุณ ผมมากราบบังคมทูลลาไปปราบไอ้พวกโจรตั้วเหี่ยที่สาครบุรี ไอ้พวกจีนขายฝิ่นมันกำเริบเสิบสานนัก มันตั้งตนเป็นใหญ่ ส่งใครไปปราบก็ไม่สำเร็จ แต่ไอ้จีนนี่มันเคยถูกกระผมจับปิดโรงฝิ่น ริบทรัพย์ ปรับหมดตัวเมื่อนานนมมาแล้ว มันกลัวผมจนหัวหดจนต้องหนีไปส่องสุมผู้คนอยู่หัวเมือง ผมจึงต้องไปด้วยตัวเอง ”

คุณพุ่มรู้สึกเย็นวาบ ขนพองสยองเกล้าขึ้นมาอย่างประหลาด

“ น่ากลัวจริง ”

เจ้าคุณมองมา สายตาปรานี

“ ไม่ต้องกลัว พวกมันไม่รอดมือผมไปได้ดอก ”

“ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองนะคะ ”

น้ำเสียงนั้นหนักแน่นจากใจจริง จนนครบาลผู้ยิ่งใหญ่แปลกใจ

“ คุณขอให้พระคุ้มครองผมรือ? ”

“ ค่ะ..บุญรักษาเถิด ”

ชายผู้เปรียบดุจคู่ปรับเก่าถึงแก่อ้ำอึ้ง

“ ขอบคุณ ”

คุณพุ่มก้มศีรษะรับ และพนมมือลา ความโกรธเกลียดชิงชังใดๆปราศนาการไปหมดสิ้น

เจ้าคุณหลีกทางให้เธออย่างสุภาพ ท่านมองตามสตรีงามไป ด้วยอาการใจลอยตกอยู่ในภวังค์จนหัวหมื่นทั้งสามมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ

 

ปีเดียวกันนั้น  เจ้าเฉกน้อยอายุหกขวบแล้ว ลำจวนกับฮุนย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังใหม่ในย่านการค้ากลางเมือง

เฉก ที่แต่งตัวเครื่องแบบนักเรียนแบบฝรั่ง ยังไม่ได้เป็นนักเรียนตามเกณฑ์ เพียงตามแม่ไปทำงานครูผู้ช่วย แต่ก็อ่านเขียนภาษาอังกฤษได้คล่องแล้ว กลับมาถึงบ้าน ต้องมานั่งเขียนไทย โดยมีลำจวนเป็นครู

๏ ภุมราการุญสุนทรไว้หวังสั่งสอน
เด็กอ่อนอันเยาว์เล่าเรียน
๏ ก ข ก กา ว่าเวียนหนูน้อยค่อยเพียร
อ่านเขียนผสมกมเกย
๏ ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ยไม้เรียวเจียวเหวย
กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว
๏ หันหวดปวดแสบแปลบเสียวหยิกซ้ำช้ำเขียว
อย่าเที่ยวเล่นหลงจงจำ
๏ บอกไว้ให้ทราบบาปกรรมเรียงเรียบเทียบทำ
แนะนำให้เจ้าเอาบุญ
๏ เดชะพระมหาการุญใครเห็นเป็นคุณ
แบ่งบุญให้เราเจ้าเอย ฯ.

คุณแม่ยังสาวที่แต่งกายกระโปรงบานอย่างฝรั่ง ปิดสมุดไทย ที่ส่งมาจากสยามกับเที่ยวเรือเมื่อนานมา เมื่อลูกชายคัดจบ

ลายมือหัวโตๆนั้น เป็นระเบียบ ควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็กของมือและนิ้วได้ดีอย่างน่าชม

“ กาพย์พระไชยสุริยา ที่ครูของแม่แต่งไว้สำหรับสอนกุลบุตรชาวสยาม   แลท่านแอบบอกใบ้ไว้ด้วยว่า..ภุมราการุญสุนทร  คำว่าภุมรา แปลว่าแมลงภู่ คือชื่อท่าน..คือภู่..นั่นเอง ”

“ ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ย ไม้เรียวเจียวเหวย กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว ”

เจ้าเฉกท่องซ้ำคล่องแคล่ว ไม่ตะกุกตะกัก แสดงความสามารถอันล้ำวัยไปมาก อย่างติดใจนัก

“ ครูที่โรงเรียนในสยาม กับมิสที่โรงเรียนปีนัง  ก็ใช้ไม้เรียวตีก้นเด็กร้ายกาจเช่นกันรือ? ”

ลำจวนหัวเราะ หากเจ้าเฉกได้เห็นว่าคณะละครนายสุ่นใช้ก้านมะยมตีมือ ตีน่องเด็กหัดละครที่ไม่ตั้งใจรำอย่างไร ..

“ แต่กระผมไม่เคยถูกตี คนที่ถูกตีคือคนตัวโตที่ชอบรังแกเพื่อนที่ตัวเล็กกว่า กระผมตัวโต แต่ไม่เคยรังแกคนไม่มีทางสู้ กระผมไม่ใช่เด็กร้ายกาจ ”

เฉกยืดอกภาคภูมิ

“ แต่กระผมชอบนิทานที่มีสินสมุทรสุดสาครมากกว่า ”

ลำจวนยิ้มชอบใจ

“ หากอาป๋าเจ้าว่าง จะเขียนภาพสินสมุทร สุดสาครให้เจ้าดูเล่นหนา ”

ที่ภายนอกประตูห้อง ฮุนหยุดยืนอ่านจดหมายในมือที่เพิ่งมาถึงกับเรือเที่ยวล่าสุดจากบางกอกจบลงอีกรอบ หลังจากอ่านซ้ำๆมาแล้วหลายเที่ยว หยุดยืนนิ่งเงียบ ใจเต้นแรง เปี่ยมด้วยความรู้สึกนับร้อยพันสุดบรรยาย

 

เจ้าเฉกหลับสบายอยู่บนเตียงห้องนอนเล็กในห้องเด็ก แม้ฝนตกหนักดังครืนครั่นผสมโรงด้วยเสียงฟ้าร้อง และแสงฟ้าแล่บ

ทว่าบิดามารดาของเขาหาได้หลับลงไม่

ฮุนเพิ่งสบโอกาสเอาจดหมายให้เมียอ่าน ด้วยรอให้ลูกชายหลับเสียก่อน

“ เจ้าคุณอินทราเสียชีวิตแล้ว.. ”

ลำจวนครางเบา ใจหาย หดหู่ มิได้ยินดี แต่โศกสลดเหลือเกิน

“ ตั้งแต่กลางเดือนห้า..นี่เดือนสิบสอง ก็คือเจ็ดเดือนล่วงมาแล้ว ”

จดหมายในมือลำจวน เป็นลายมือคุณพุ่ม

ลำจวนอ่านซ้ำอีกรอบ ออกเสียงดัง

“ หลังจากพบกันโดยบังเอิญที่หน้าประตูขุนนาง ท่านบอกลาฉัน ว่าจะไปปราบตั้วเหี่ย..ไม่นึกเลย ว่าครั้งนั้น จะเป็นครั้งสุดท้าย ฉันได้อวยชัยให้พรท่านเสียด้วย อนิจจังอนิจจา คืนนั้นเอง เขาว่าเรือท่านเพิ่งพ้นมาจากคลองโคกขามเท่านั้น ”

ลำจวนเงยขึ้นสบตาผัว ฟ้าเปรี้ยง แสงฟ้าแลบสว่างวาบ เห็นสีหน้าอันพะวักพะวนสับสนใจของทั้งคู่

 

เหตุการณ์คืนนั้น ใต้พระจันทร์เต็มดวง สะท้อนแสงจ้าในท้องน้ำ

จีนผมเปียร่างเล็กผู้หนึ่ง ในชุดสีเข้ม พรางตัวกับพงอ้อกอแขมริมตลิ่ง หมอบตัวคลานย่องมาเงียบเชียบแต่ปราดเปรียวราวจระเข้

ริมคลอง เรือใหญ่มีประทุนของเจ้าคุณ แสงตะเกียงสว่างสาดแข่งแสงจันทร์ แขวนอยู่ที่เสาหัวเรือจอดอยู่กลางวงล้อมเป็นไข่แดง

รอบๆ มีเรือเจ้าหน้าที่นครบาลจอดพักแรมเป็นขบวนใหญ่รายล้อมหน้าหลัง จุดไต้กันสว่างไสว

เจ้าคุณนั่งกินข้าวอยู่หัวเรือ ท่ามกลางสามหัวหมื่น เดช โชค รวย กับคุณพระนครบาลใหญ่โตอีกสองสามคน

ปืนกระบอกนึงอยู่ในมือจีนอายุน้อยที่ยังไม่โตเต็มวัย หน้านิ่งสนิท ไร้ความรู้สึกใด

ในหน้าเจ้าคุณอินทราเหม่อเศร้า เด่นชัดกลางแสงจันทร์และแสงไฟ

เจ้าเด็กจีนหลับตาซ้าย เล็งด้วยสายตาขวา กระดิกนิ้วยิงเปรี้ยง เปลวไฟวาบจากปากกระบอก เกือบพร้อมกับลูกปืน ที่พุ่งตรงเข้าที่อกท่านเจ้าคุณ           จุดตรงหัวใจ

ท่านคว่ำหน้าลงกลางวงข้าว

เหล่ามือปราบนครบาลแตกตื่น ลุกคว้าดาบ คว้าปืนใกล้มือ

ในแสงจันทร์ขาวโพลน เด็กจีนนั้นคืบคลานถอยเผ่น แล้วสลายตัวไปในป่าแสม

 

ในจดหมาย คุณพุ่มเขียนมาว่า

“เป็นเวลาค่ำ ระหว่างท่านหยุดพักแรม ก็ถูกลอบยิง ไม่ทราบแน่ว่าเป็นจีนกลุ่มใด รู้แต่ว่าน่าจักเป็นพวกแม่นปืนอย่างยิ่งยวด เพราะเล่ากันมาว่า ในท่ามกลางเหล่าบ่าวไพร่ที่ติดตาม ที่ออกมาพักผ่อน  กินข้าวปลากัน มันกลับยิงโดนท่านเจ้าคุณแต่ผู้เดียว คิดแล้วก็อนาถนัก ท่านยังไม่ทันได้ร่วมปราบจีนตั้วเหี่ยที่สาครบุรีตามเจตนาด้วยซ้ำไป ”

สี่ปีหลังจากวันได้รับจดหมายฉบับนั้น

ปีกุน ปลายเดือนสี่ หน้าร้อน ต้นรัชกาลที่สี่

เรือแจวขนาดใหญ่ มีประทุน แจวมาในลำน้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางเรือที่สัญจรในแม่น้ำหนาแน่น

เป็นเรือที่รับผู้โดยสารจากเรือกลไฟใหญ่ นำผู้คนเข้ามาในแม่น้ำช่วงที่เรือใหญ่กินน้ำลึกแล่นเข้ามาไม่ได้ ในเรือเต็มไปด้วยข้าวของ หีบ กระเป๋า อย่างคนเดินทางกลับมาจากเมืองไกล

ผู้โดยสารในเรือ คือสตรีสยามวัยเข้าสามสิบ นุ่งโจงกระเบนกับเสื้อขาวลูกไม้ฝรั่งแบบเรียบเข้ารูปทรง และทำผมเกล้าโป่งด้านหน้าแบบทรงสตรีญี่ปุ่นที่เริ่มเป็นที่นิยม ชายจีนวัยหนุ่มใหญ่ ที่ตัดผมสั้น สวมหมวก แต่งตัวครบชุดอย่างตะวันตกเต็มตัว แต่เป็นผ้าฝ้ายลินินสีอ่อนสำหรับหน้าร้อน และเด็กชายวัยสิบขวบ ใส่กางเกงขาสั้นเสมอเข่า กับเสื้อฝรั่ง ตัดผมสั้นรองทรง

เรือแล่นผ่านวัดยานนาวา เห็นเจดีย์รูปเรือโดดเด่นเป็นสง่า

“ นั่นๆๆๆ เรือสำเภาขอรับ ”

เด็กชายเอะอะ

เมื่อหันมาเห็นบิดา มารดา ที่ต่างมองดูเรือสร้างด้วยปูนลำนั้น พลางยื่นมือมาบีบกันแน่น เขาก็แปลกใจมาก

“ เจดีย์ขอรับ คุณหนู  เหมือนเจดีย์ทั่วๆไปนี่แหล ”

คนเรือคะเนว่าครอบครัวนี้มาจากต่างบ้านต่างเมือง จึงอธิบายอย่างอารี

“ พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ..”

เขาพนมมือจรดหน้าผาก เมื่อเอ่ยถึง

“ โปรดให้สร้างเป็นรูปเรือสำเภาจีน  ด้วยทรงเล็งว่าต่อไปจะมีแต่เรือกำปั่น แลเรือกลไฟฝาหรั่ง เรือสำเภาเช่นนี้จะมีใช้ให้เห็นได้น้อยลงเรื่อยๆ ”

เฉกรู้ว่าเป็นเจดีย์ของวัดริมน้ำ ก็รีบยกมือไหว้ตามที่ได้รับการปลูกฝังสั่งสอนมาเสมอ

เมื่อเรือแจวข้ามฝั่งมาถึงอีกคุ้งน้ำ พระปรางค์วัดอรุณเผยโฉม เด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล

เฉกก็ตื่นเต้นอีก

“ เจดีย์นั่นสวยมากขอรับ คุณแม่ คือวัดใดขอรับ ”

‘ คุณแม่ ’ หันไปตื่นเต้นกับ ‘ คุณพ่อ ’

“ นั่นคือพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม..ใช่หรือไม่? ”

“ ใช่แล้ว! ตอนพ่อแม่เดินทางออกไปจากบางกอกยังไม่มีเลยนะลูก ยังเพิ่งเริ่มตั้งฐานเท่านั้น พระปรางค์เสร็จแล้วงามสง่าที่สุด ”

ฮุนเล่า

เรือตรงไปยังท่าน้ำชุมชนกุฎีจีน

“ เราจะไปรับกง ที่ศาลเจ้าที่นี่ ”

ฮุนบอกลูก

เฉกเห็นท่าเรือของโบสถ์ฝรั่งที่เรือเคลื่อนผ่าน

“ โอว..มีแคทอลิกเชิร์ช อยู่ใกล้ๆกันด้วย ”

“ นั่นคือโบสถ์ซางตาครูซจ้ะ ”

ลำจวนว่า

“ ดูนั่น วิหาร..พระโต! ”

ฮุนเอะอะ เมื่อเห็นวัดที่อยู่ถัดศาลเจ้าออกไป น้ำตาเขาเอ่อคลอ จนพูดต่อไม่ได้

“ วัดกัลยาณมิตรขอรับ ท่านเจ้าพระยานิกรบดินทร์ หรือเจ้าสัวโต ยกที่บ้านเดิมของท่าน และซื้อที่ดินรอบๆเพิ่ม สร้างเป็นวัดใหญ่ สร้างพระโต แลพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศก็ทรงช่วยสร้างวิหารใหญ่ที่ประดิษฐานองค์พระขอรับ  ที่ชื่อวัดกัลยาณมิตร เพราะท่านเจ้าสัวโต เป็นพระสหายที่สนิทสนมยิ่งอย่างไรเล่าขอรับ ”

คนเรือบรรยายราวกับเป็นมัคคุเทศก์อย่างภูมิใจ ชอบใจมากที่คนสยามจากต่างแดนครอบครัวนี้ดูจะตื่นเต้นสนใจไปกับทุกสิ่งทุกอย่างของแผ่นดินแม่

 

ที่พักของกงเป็นเรือนไม้ สร้างใหม่แยกออกไป เหมือนจะให้เป็นเรือนพักของคนเก่าแก่ที่ปลดระวางให้พักผ่อน ไม่ต้องทำงานอีกแล้ว เป็นความอนุเคราะห์ของลูกหลานท่านเจ้าสัว ขยับถอยเลื่อนลึกเข้าไปจากห้องเดิมหลังศาลเจ้าที่ได้รับการบูรณะใหม่จนใหญ่โตวิจิตรสวยงาม มีผู้คนมาไหว้คึกคักหนาตา

คุณนายเหมย ที่บัดนี้เป็นภรรยาน้อยออกหน้าออกตาของพ่อค้าข้าวใหญ่ แต่งตัวงดงามภูมิฐานกว่าเดิม ประคองกง ที่ผมตัดสั้นขาวโพลน แต่งตัวเรียบรอยอย่างจะออกไปข้างนอก ดูสดใสแข็งแรง เดินออกมา มีบริวารหญิงสาวรุ่นๆติดตามสองคน

“  กง..ดูสิ ใครมารับกงไปอยู่ด้วยที่บ้านหลังใหญ่ๆแล้วหนา..”

กง ยืนนิ่ง ดวงตาแจ่มใส กวาดตาดูทุกคน แต่ไม่มีวี่แววตื่นเต้นยินดีใดๆ

ฮุนเข้าไปจับตัวกง

“ กง..กง  นี่อั๊วะเอง อาฮุน ”

ชายชรามองหน้าฮุน ปราศจากความสนใจ เดินหลีกทางตรงไปหาเฉก บ่นเสียงระอา

“ อาฮุนๆ..กงตามหาตั้งนาน..ทีหลังอย่าหนีไปซนที่ไหนอีก นึกว่าตกน้ำตายไปแล้ว ”

ทุกคนมองหน้ากัน ไร้คำพูด

ฮุนเอง แต่แรกนึกว่ากงล้อเล่นด้วยซ้ำ

กงลูบหัว เช็ดหน้าตาให้เฉก แล้วโอบกอดไหล่เด็กชายไว้ โยกตัวไปมาเบาๆราวกล่อม

“ อาฮุน ลื้อต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี อั๊วะเจอพ่อแม่ลื้อ..ในเรือสำเภาจากเซี้ยะเหมิน ตอนนั้น แม่ลื้อท้องแก่ แล้วก็มาคลอดลื้อในเรือ..แลตายตอนที่คลอด พ่อลื้อก็เป็นโรคยุงกัดตายเมื่อถึงบางกอก อั๊วะก็เลยอุ้มลื้อมาเลี้ยง..จนโตถึงบัดนี้  แม้ลื้อจะไม่ใช่เชื้อสายของอั๊วะ อั๊วะก็รัก อั๊วะก็หวง เลี้ยงลื้อมาดี หวังให้ลื้อเป็นคนดี ”

เฉกหันมามองพ่อทีแม่ที งงงัน

ฮุนร้องไห้ออกมาเงียบๆ ลำจวนได้แต่มองหน้ากับเหมย

กงยิ้มแย้ม หัวเราะ ลูบหัวลูบหลังเฉก ไม่หันมาสนใจใครเลย

เหมยจับมือลำจวน กระซิบเบา

“ กงเพิ่งมีอาการดังนี้ เมื่อเดือนยี่ปีนี้เอง ”

“ ฉันได้ยินว่าท่านไม่เคยยอมย้ายไปจากที่นี่ เพราะกลัวฮุนกลับมาแล้วจะมาหาไม่พบ ”

เหมยพยักหน้า

“ แต่เวลานี้คงยอมไปกับคุณแล้ว ฮุนมาแล้วนี่หนา ”

เหมยพยักเพยิดไปที่เฉก

ลำจวนหันไปมองลูกชายที่ยิ้มแย้ม จูงอาเหล่ากง เดินคุยไป ฟังไป ทำตัวราวกับเป็นฮุนแท้ๆอย่างเต็มภาคภูมิ

เธอเข้าไปโอบเอวฮุน ดึงเข้ามาแนบชิด

“ ตอนพี่ยังเด็ก หน้าตาคงเหมือนเจ้าเฉกไม่น้อย ”

ฮุนปาดน้ำตา ก้มลงมาพยักหน้ากับเธอ ยิ้มเศร้า ยังไม่อาจกล่าวคำใด

“ ต่อไปนี้กงจักมีอาฮุนดูแลถึงสองคนเลยหนา ”

เหมยบอกชายที่เธอรักเสมออย่างปลอบโยน

“ ขอบคุณเจ้เหมย หลายปีมานี้ ถ้าไม่ได้เจ้ช่วย.. ”

“ อย่าเกรงใจเลยอาฮุน กงของอาฮุนก็คือกงของเจ้ เจ้ไม่มีญาติที่ไหน ”

 

เหมยพาทุกคนลงเรือของเธอ ซึ่งมีเรือบริวารขนของพายตามอีกลำ จากคลองบางกอกใหญ่ ไปคลองบางไส้ไก่ ผ่านวัดพิชยญาติการามวรวิหารไปสักพัก

บ้านหลังใหญ่ๆที่เหมยบอกกง เป็นเรือนครึ่งตึกครึ่งไม้ อยู่ริมคลองสานแถวย่านเศรษฐีจีน หันหน้าไปทางทิศใต้ โอ่โถงชวนสบาย ไม่ถึงขั้นหรูหรา แต่ก็โปร่งโล่งน่าอยู่ ท่ามกลางแมกไม้ใหญ่

“ น่าอยู่จริงๆขอบคุณเจ้มาก  ”

ฮุนพนมมือไหว้เหมย สำนึกบุญคุณจริงๆ ลำจวนและเฉกไหว้ตามกันเป็นฝักถั่ว ทำให้เธอรับไหว้แทบไม่ทัน

“ บ้านของเจ้าสัวท่านสร้างให้เมียนางเอกงิ้วคนโปรด..”

เหมยหมายถึงสามีของเธอเอง

“ แต่เมื่อเดือนก่อนเมียคนนั้นเขาเลิกราไป ขอไปมีผัวหนุ่ม เจ้าสัวเลยเจ็บใจ..ยกให้เจ้เอาไว้ให้ปล่อยเช่าหารายได้ ดังนั้น เจ้จึงเอามาให้พวกเธอเช่า ไม่ได้เป็นธุระอะไรเลย ”

เธอหัวเราะ เพื่อให้ทุกคนรู้สึกเบาใจลงไป

 

เมื่อขึ้นจากเรือตรงศาลาท่าน้ำมีสะพานเชื่อมไปยังลานกว้างด้านหน้า มีบันไดขึ้นไปยังชานเรือน แล้วจึงถึงประตูหน้าบ้าน ห้องใหญ่กว้างห้องแรกตกแต่งไว้สำหรับรับแขก พักผ่อน และกินข้าวได้ในห้องเดียวกัน จากนั้นเป็นห้องโปร่งสบายรับลม สำหรับกงอยู่ชั้นล่าง มีห้องให้บ่าวผู้ดูแลอยู่ใกล้ๆ ส่วนครัวและที่พักบริวาร เป็นเรือนแยกออกไปต่างหากด้านหลัง มีสะพานเชื่อมถึงกัน

ชั้นบนมีห้องนอนใหญ่ ห้องนอนเล็ก และห้องกว้างซึ่งมีเฉลียงรับลม รับแดดบ่ายเฉียงๆอยู่หน้าบ้าน แต่มีต้นกระท้อนใหญ่บังร่มเงาให้เป็นอย่างดี

ลำจวนมองรอบๆ กำลังจะเอ่ยว่าน่าจะทำเป็นห้องทำงานของฮุน แต่เขาชิงชี้ชวนให้ลำจวนตั้งตู้หนังสือตรงผนังด้านในห้องนั้นทันที

“ นี่ไลบรี่ของลำจวน! ”

ฮุนออกเสียงแบบบริติชชัดเจนตามคนปีนัง ต่างๆจากสมัยที่คลุกคลีช่วยคุณหมอแดน บีช แบรดลีย์ ที่เขาพูดฝรั่งเป็นอเมริกันไปหมด  ท่าทางกระตือรือร้น ทำให้ลำจวนหัวเราะชอบใจ

เหมยรู้สึกถึงข้อขำขันส่วนตัวระหว่างผัวเมีย เห็นสายตาแห่งรักอย่างเต็มเปี่ยมนั้น เห็นครอบครัวที่พร้อมหน้า ได้เห็นกงยิ้มอิ่มใจกับหลานและเหลน พลันรู้สึกว่าตนหมดหน้าที่แล้ว จึงปล่อยให้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน วุ่นวายกับบ้านใหม่ตามลำพัง

 

บ่ายวันต่อมา ลำจวนพาเฉกไปกราบพระหลวงพี่ที่วัดทองสุวรรณาราม

เธอแต่งโจงกระเบนให้เหมือนสตรีทั่วไป สวมเสื้อเรียบร้อย ห่มผ้าสไบปิดอกเช่นยามสตรีสยามไปทำบุญ จับเฉกให้นุ่งโจงกระเบนด้วย ทำให้เด็กชายน่าเอ็นดูไปอีกแบบ ช่วยแม่หิ้วตะกร้าของกินของใช้สำหรับพระและขนมของแห้งไปถวาย

พระบุญลือดูหนุ่มแน่นมากสำหรับอายุต้นสี่สิบ ใบหน้ากระจ่างเปี่ยมราศี ดวงตาเป็นประกายกล้าสดใส ท่านเป็นผู้ช่วยท่านสมภารเจ้าอาวาส เดินไปมาควบคุมกิจการต่างๆในวัดว่องไว พระลูกวัด สามเณร และศิษย์ของท่านต้องขยันขันแข็งคึกคักไปตามๆกัน

เธอกับลูกขึ้นจากเรือก็ได้ปะหน้าท่านทันทีที่ท่าน้ำ  กำลังนำเหล่าบริวารทำความสะอาดจัดระเบียบบริเวณหน้าวัด ตระเตรียมพื้นที่รับงานสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง

หลวงพี่ไม่ตื่นเต้นอันใดที่ได้เห็นน้องสาว แต่ท่านดูหน้าเฉกไปก็ขำไป เอ็นดูที่เด็กชายช่วยแม่ยกข้าวของกระฉับกระเฉง นั่งลงคุกเข่าไหว้นิมนตร์ท่านเพื่อถวายของกับพื้นท่าน้ำกับแม่คล่องแคล่ว

“ เหมือนฮุนจริงๆหนา เสียแต่ไม่มีผมเปีย ถ้าอยากบวชเมื่อไร มาบวชวัดทองหนา ออเฉก ”

พระบุญลือเดินนำสองแม่ลูกเข้าไปในพระอุโบสถ

องค์พระพุทธรูปประธานสีทองงามอร่าม สว่างเรืองรองท่ามกลางความสลัวภายใน

เฉกเงยแหงนมองอย่างตื่นตา

ลำจวนพาเฉกไปกราบองค์พระศรีศาสดา พระพุทธรูปปางชนะมาร องค์พระประธานที่งามนัก

พระบุญลือพยักให้ศิษย์วัดที่ตามมา ช่วยกันเปิดหน้าต่างออกทุกบาน

เฉกนั่งคุกเข่าราบ พักขา วางก้นบนส้นเท้าแนบเนียน กราบสามทีข้างๆแม่

หลวงลุงที่มองอยู่ด้านหลัง อดชมไม่ได้

“ นึกว่าจักกราบเบญจางคประดิษฐ์ไม่เป็นแล้วเสียอีก ที่ไหนได้ กราบได้งามทีเดียว ”

“ ก็สอนกันมาพร้อมๆกับหัดพูด หัดเดิน หัดวิ่ง กระไรจักกราบไม่ได้ พนมมือได้ ก็กราบได้นั่นแหล ”

ลำจวนชี้แจงฉอดๆตามเคย ไม่มีเก็บปากเก็บคำอมพะนำ

“ ก็เห็นว่าเรียนโรงเรียนฝรั่ง เรียนภาษาฝรั่ง ”

หลวงลุงยิ้มๆ

“ อยู่โรงเรียนก็ทำอย่างครูบอก อยู่บ้านก็ทำอย่างพ่อแม่บอก ”

ลำจวนไม่ยอมแพ้

“ ขออนุญาตขอรับ ”

เฉกเอ่ยสุภาพ ก่อนแทรกผู้ใหญ่พูดขึ้น

“ ที่นั่นก็มีวัดไชยมังคลารามขอรับ หลวงลุง สร้างตอนผมเด็กๆ พอผมโต แม่ก็พาไปทำบุญ”

พระบุญลือขำ

“ อ้อ ตอนนี้เจ้าโตแล้ว ”

“ สิบปีแล้วขอรับ ”

เฉกคุยกับพระภิกษุอย่างนุ่มนวล คล่องแคล่ว ไม่มีประหม่าเก้อเขิน

พระบุญลือได้แต่มองเด็กชายที่มีมรรยาทแบบฝรั่ง กล้าพูดจาเข้าหาผู้ใหญ่ เข้าพระเข้าเจ้า

มองหน้า สู้สายตาไม่กระดากอาย ยิ้มแย้มแจ่มใส น้ำเสียงสุภาพชัดถ้อยชัดคำ

ไม่เกรงกลัวห่อตัวลีบหลังงอโค้งก้มมองแต่พื้น แต่ก็ไม่ใช่แข็งกระด้างกระดางลางกระโดกกระเดก

เมื่อเปิดหน้าต่างออกทุกบาน แสงจากภายนอกจึงสาดเข้ามาสว่าง มองเห็นภาพผนังรอบพระอุโบสถสีสดแจ่มใส

“ มาดูนี่ ภาพที่พ่อเจ้าเขียนต้นไม้ไว้กับครูของเขา  ”

ท่านพยักหน้าให้เฉกลุก แล้วพาไปดูภาพที่ผนัง

ลำจวนมองดูพระหลวงพี่ กับลูกชาย ยืนชี้ชวนชมดูภาพมโหสถชาดกที่สามีเคยเป็นลูกมือ

ครูบาอาจารย์ในกาลก่อน นานมาแล้ว

เธอเวลานั้น อายุพอๆกับเฉกเวลานี้ ส่วนฮุนอายุสิบห้าสิบหก เป็นเด็กจีนผมเปียที่โตกว่าเฉกขณะนี้ไม่มาก ยังเป็นเด็กวัยรุ่น เริ่มแขนยาวขายาว ยืดตัว แต่อกใหญ่ไหล่หนาไม่ผอมเก้งก้าง เพราะทำงานหนักสารพัดอย่าง  แบกหามรับใช้ผู้คนไปทั่ว จนร่างกายแข็งแรงสูงใหญ่

หลวงลุงอธิบายภาพ เล่าเกร็ดเรื่องราวชาดกให้เด็กชายฟัง แล้วชี้ชวนให้ดูโดยรอบกว้างๆคร่าวๆ ทั้งภาพมารผจญด้านหน้าพระประธาน ภาพภูมิจักรวาลด้านหลัง เทพชุมนุมข้างบน และภาพทศชาติรอบๆ ชี้ให้ดูบางภาพ ที่ท่านก็ได้วาดไว้

“ ภาพนี้กับภาพนั้น อันใดงามกว่า? ”

พระบุญลือหันกลับมาถามหลาน ระหว่างภาพมโหสถชาดก กับเนมิราชชาดก แล้วหันมาแอบยิ้มกับลำจวน ให้รอฟังคำตอบ

เฉกทำท่าจะชี้ที่ภาพเนมิราช แต่กลับลังเล หันไป พิจารณาภาพมโหสถ ยืนนิ่งไป แล้วเดินกลับมา หน้าภาพเนมิราชใหม่

“ งามมากทั้งสองภาพขอรับ ”

แล้วเด็กชายก็หันรอบตัว กวาดตาไปทั่ว

“ ที่จริงงามมากทุกภาพ กระผมต้องมาชมอีกหลายๆครั้ง ”

เด็กชายเดินไปดูแต่ละภาพ พิจารณารายละเอียดต่างๆ

“ แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะตอบได้ ”

เจ้าเฉกทำท่าครุ่นคิดจริงจัง

“ แล้วภาพข้างบน ถ้าอยากจะได้ชมใกล้ๆ ผมจะปีนบันไดขึ้นไปชมได้หรือไม่ขอรับ? อยากเอาตะเกียงขึ้นไปส่องดูชัดๆก่อนขอรับ ”

สองพี่น้องต้องหัวเราะออกมา

เด็กรุ่นใหม่ๆต่อไป ย่อมมีความคิด ความสนใจ วิธีมอง วิธีตัดสิน แปลกใหม่ ก้าวหน้าล้ำออกไป รุ่นพ่อแม่ครั้งยังเด็ก ผู้ใหญ่ว่าแปลก ว่าแผลงเพียงไร รุ่นลูก รุ่นหลาน ย่อมผิดแผกแตกต่างออกไปอีกมาก

ลำจวนไม่อยากเชื่อว่าจะมีวันที่ลูกชายจะได้มายืนดูภาพแรกที่ฮุนวาด ที่วัดทอง บางกอกน้อย  เป็นความจริง มิใช่ความฝัน

“ แม่เป็นอย่างไรบ้างคะ หลวงพี่? ”

ลำจวนตัดสินใจถามคำถามที่อัดอั้นในใจมาแต่ต้น และกลัวคำตอบเป็นที่สุด

เธอติดต่อกลับมาหาคุณพุ่มเสมอ ขณะที่ฮุนติดต่อมิตรสหายที่อู่เรือฝากจดหมายและเงินทองมาให้เหมยช่วยดูแลกง แต่บ้านนายโรงสุ่น เป็นที่เดียว ที่ลำจวนกลัวที่จะติดตามถามข่าวตลอดมา

“ ไปเยี่ยมเองสิไป แม่คงดีใจหลาย ”

“ แล้ว..พ่อฉัน? ”

“ เขาก็เหมือนเดิม กลับมากินเหล้าอีก ”

ลำจวนได้ยินก็ร้อนใจ วิ่งลิ่วตัดร่องสวนกลับบ้านไปเสียทันที

สองแม่ลูกจูงมือกัน ใช้เส้นทางตัดสวนด้านหลังวัดทองสุวรรณาราม ข้ามสะพานคลองย่อย มายังสวนทุเรียนด้านหลังบ้าน

“ อย่าโยนลงพื้น ไอ้เฉย เอ้า พวกมึง กางผ้ารับสิโว้ย ทางนี้ๆ เร็ว ไอ้พวกนี้นี่มันเซอะจริง โอ๊ย เรื่องง่ายๆแค่นี้ ยังยืนงงกันอยู่ได้ โธ่เว้ย! ”

นพ กำลังตะโกนคอเป็นเอ็นเสียงลั่นๆ สั่งพวกบ่าวทาส

ที่บนต้นมีทาสชายที่ปีนตัดทุเรียนแก่ โยนลงมาให้คนใต้ต้นรับ

นพดูผ่ายผอมไปกว่าเดิม เห็นชัดเพราะไม่สวมเสื้อ ผิวพรรณดูซีดไม่มีน้ำนวล ที่แปลกเหลือจะคาดคะเนได้ คือที่สะเอวนพ กระเตงเด็กชายตัวเล็กไว้หนึ่งคน

นพหันมาพอดี พอเห็นลำจวนกับลูกชาย เขาก็เบิกตากว้างโต  มองลำจวนและมองเฉกไปๆมาๆ

ลำจวนรีบยกมือไหว้ เฉกไหว้ตามทันที

“ อีลำจวน!! ”

“ พี่นพ..สบายดีนะจ๊ะพี่ ”

ลำจวนยิ้มแหย สัญชาตญาณเบื้องลึกทำให้เธอรู้สึกกลัวพี่ชายคนนี้อยู่ไม่หาย

“ ทุ้ย! ”

นพถุยน้ำลายฟุ้งเฉียดไปทางเฉก

“ ไอ้ลูกเจ๊กผมเปีย พ่อมันทิ้งแล้วซี ถึงซานกลับมา กูไม่นับเป็นหลาน ตัวมึงกูก็ไม่รับเป็นน้อง ”

ว่าแล้วเขาก็เป็นฝ่ายกระเตงลูกเดินหนีไปซึ่งหน้า เข้ารกเข้าพงไป ท่ามกลางความตื่นตะลึงของพวกบ่าวและทาส

เฉกงุนงง

ลำจวนต้องเข้ามาโอบกอดลูกไว้อย่างปลอบโยน

สีหน้าแววตาของบ่าวทาสที่มองตามนพไปล้วนเอือมระอาชิงชัง ต่างกับเวลาหันมามองลำจวน ที่มองเห็นความยินดีปรีดานัก

 

ลำจวนพาลูกเดินย่อง ลอดใต้ถุนเรือน ตามเสียงดนตรีปี่พาทย์ครื้นครั่นเร้าอารมณ์ไป

ที่ลานดินทุบแน่นหน้าบ้าน  ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ชาวคณะกำลังซ้อมละครกันอยู่เหมือนครั้งลำจวนยังเยาว์ไม่มีผิด

นักร้องที่กำลังร้องบทละครอภัยนุราชคือนวลนั่นเอง เรื่องนี้คือกลอนบทละครที่ท่านภู่แต่งขึ้นใหม่ บัดนี้ท่านเป็นคุณพระสุนทรโวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร

เสียงของนวลหวานแหลมแข็งแรงยิ่งกว่าสมัยสาวๆเสียอีก รูปร่างอวบท้วมขึ้น แต่งามไม่สร่าง

๏ บัดนั้นพวกโขลนจ่าว้าวุ่นรุนหน้าหลัง
ฉุดคร่าพานางไปกลางวังพระลูกทั้งสองวิ่งเข้าชิงไว้
พวกท้าวนางต่างเหนี่ยวหน่อกษัตริย์กอดกระหวัดไว้สิ้นดิ้นไม่ไหว
ต่างผูกมัดรัดองค์อรไทยุดไว้ให้ตึงตรึงตรา
แล้วแขวะควักจักขุเลือดพุพลุ่งนางสะดุ้งร้องกรีดหวีดผวา
เอาพานทองรองแก้วแววตานางพญาเสือกซบสลบลง ฯ

ฯ โอด ฯ

๏ เมื่อนั้นพระหน่อไททั้งสองร้องเสียงหลง
เขาละวางต่างชิงกันวิ่งตรงเข้าสวมสอดกอดองค์ชนนี
เห็นเลือดนองสองตาซ้ายขวาบอดระทวยทอดทุ่มอกชกเกศี
สงสารแม่แน่นิ่งยิ่งโศกีครวญคร่ำร่ำพิรี้พิไรไป ฯ

กลอนบทละครของท่านอาลักษณ์ไม่เชื่องช้าอืดอาด แต่เต็มไปด้วยการกระทำ ที่ตัวละครต้องเคลื่อนไหวว่องไวรวดเร็วตื่นเต้นหวาดเสียวเร้าอารมณ์ แทบไม่ได้หยุดพักหายใจ

น้อย พี่สาวใหญ่ อดีตหม่อมห้ามนางละครในคณะของเจ้านายที่เธอถวายตัว รำเป็นนางศรีสาหงแม่มดร้าย ยังคงสวยงามอรชร ลวดลายพลิ้วพลิกแพลง ชายหูตาพราวแพรวไม่ผิดจากเมื่อสาวๆ

พระเอกละครชาย ที่เคยฝึกรำมากับครูแดง เป็นท้าวอภัยนุราช

หญิงสาวที่เคยเป็นนางรำตัวเอกบ้านเจ้าคุณอินทราคนนึง เล่นเป็นนางทิพมาลี มเหสีเอกท้าวอภัยนุราช

เด็กหญิงชายวัยเพิ่งโกนจุก หน้าตาดี ที่นวลไม่รู้จักสองคน ผมเพิ่งขึ้นเป็นไร รำเป็นลูกๆ

 

นายสุ่น..ผมขาวโพลน ตัดสั้น ร่างผอมบางลงไปเล็กน้อย นั่งคุมการแสดงอยู่บนแคร่ เคาะไม้เรียวให้จังหวะอยู่ที่ตำแหน่งเดิม

วงดนตรีที่บรรเลงอยู่ บัดนี้มีสตรีปะปนเข้ามาเล่นด้วย

บทบาทเรื่องราวที่อยู่ในช่วงดุเดือด เลือดสาด ร้องกรีดกราดระงม  ทำให้เฉกยืนตื่นเต้นตาโตตกตะลึงพรึงเพริด

ลำจวนเองก็ตื่นตาตื่นใจกับลีลารสชาติฉูดฉาด  หญิงชายรำผสมด้วยกัน กอดรัดฉุดกระชากลากถูถึงเนื้อถึงตัวกันอย่างถึงขนาด

พอดี ที่ท่าน้ำริมคลอง มีความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มใหญ่กลับมาจากภายนอก เดินขึ้นจากเรือมา

คุณนายนอบ จำปา ทิม นางปุก กำลังชักแถวช่วยกันขนเสื้อผ้า เครื่องละคร และหีบของเต็มไม้เต็มมือ เดินอ้อมวงซ้อมละคร จะมาขึ้นบันไดหน้าเรือน

สตรีเหล่านี้ ล้วนดูสาว สวย แข็งแรง ไม่เปลี่ยนแปลง

แม่จำปาเป็นคนแรก ที่มองเข้ามาเห็นลำจวนและเฉก ที่ยืนซุ่มดูกันอยู่เงียบๆอยู่ในร่มเงาเรือน พวกซ้อมละครไม่มีใครมองกลับเข้ามาเห็น เธอชงักกึก ไม่เชื่อสายตา

ลำจวนมองอยู่ ตาสบกันพอดี

หญิงสาวตัวสั่น เปล่งเสียงเรียก

“ แม่!..”

แม่จำปาเข่าอ่อน ทรุดลงนั่งกอง ปล่อยผ้าผ่อนท่อนสไบในมือหล่นเรี่ยรอบตัว

“ ลำจวน..”

ลำจวนรีบวิ่งเข้าไปหา นั่งลงกราบแทบตัก ซบกอดตัวแม่ไว้

นางทิมน้ำตาไหลพราก ยืนกอดหีบตัวแข็งเป็นรูปปั้น  พอลำจวนเงยมาเห็น ก็ลุกมารับหีบจากมือทิมไปวาง แล้วเข้ากอดทิมแน่น

เฉกตามมามองคนนั้นที คนนี้ที ตาปริบ

คุณนายนอบเข้ามาเพ่งพิจารณาสนใจเขา เพราะรูปโฉมอันแปลกตา ไม่เหมือนใคร เฉกจึงไหว้เธอเป็นคนแรก ทำเอา ‘คุณยายใหญ่’ เข้ามาจับเนื้อจับตัวลูบหัวลูบหลังด้วยความเอ็นดูผสมตื้นตัน

นายสุ่นยังคงหมกมุ่นกับการซ้อมละครอภัยนุราช ที่ยังไม่ได้ดังใจ

หม่อมน้อยกำลังฟังพ่อชี้แนะ มองลงมา เห็นสตรีแปลกหน้า จึงหันไปถามพวกคนดนตรี

“ ใครมารือ?  คนจะมาว่าละครหรือไร? ”

นายสุ่นได้ยินเสียงสะอื้นของนางทิม  ที่ไม่ใช่เสียงของนักแสดง จึงหันมา

ลำจวนรีบลุก เดินเข้าไป ทรุดลงกราบเท้าพ่อ

นางนอบรีบแตะหลังให้เฉกเข้าไปเป็นกำลังเสริม

เฉกเข้ามากราบ ‘ คุณตา ’  แล้วหมอบอยู่อย่างทำความเคารพนบนอบผู้ใหญ่ตามที่เคยถูกสอนมา

“ ลำจวน..”

นายสุ่นก้มลง มองดูลำจวน แล้วกลับเซถอย ลำจวนรีบลุกมาประคองไว้ทัน

“ นายสุ่น..เป็นอย่างไร? ”

นางนอบร้องถามอาการ เข้ามารับสามีให้อยู่ในอ้อมแขน

นายสุ่นพยายามทรงตัวตรง มองลำจวน มองเฉก

ขณะที่หญิงสาวกลั้นใจลุ้น  ผู้เป็นบิดาก็ยิ้มออกมา พร้อมน้ำตา

“ เจ้าลำจวน พ่อแพ้แล้ว พ่อยอมแพ้ ”

“ ไฮ้ นายสุ่น พูดอะไร หลงรือ?..”

นางนอบไม่เข้าใจ หันมาอธิบาย

“ เป็นอย่างนี้แหล กินเหล้ามาก บางทีก็มีหลงๆ พูดอะไรไม่เป็นแก่นสาร ”

“ ไม่ได้หลง แม่นอบ ..ลำจวน..”

เขาก้าวออกมา ปลดอ้อมกอดของภรรยาเอกออก ยื่นมือมาให้ลูกสาวคนเล็กที่สุด

ลำจวนยึดมือพ่อเป็นหลัก ทรงตัวลุกขึ้น

นายโรงสุ่นมองหน้าลำจวน ยึดมือลูกแน่น

“ ลูกแต่งกลอนได้ พ่อก็รู้ แต่แทนที่พ่อจะให้ลูกเรียนหนังสือ จะได้มาเป็นนายโรง พ่อกลับเมินเฉย เอาแต่จะส่งลูกๆไปเป็นเมียคนนั้นคนนี้..ที่จะช่วยสนับสนุนพ่อได้  แต่เวลานี้ พ่อรู้แล้ว ว่าเราจะหวังให้คนอื่นมาช่วยไม่ได้ เราต้องยืนเอง คนที่พ่อหวังให้ช่วยก็ตายกันไปหมด แล้วดูสิ คณะละครของบ้านนี้ ก็กลายเป็นละครท่านหญิงนิดไป..”

เขาหันไป มองเด็กหญิง ที่รำเป็นตัวละครตัวลูกคนหนึ่ง

“ พระนามหม่อมเจ้าหญิงองค์เท่านี้ กลายเป็นชื่อคณะละครแทนชื่อพ่อไปแล้ว แล้วแม่นวล หม่อมน้อย ลูกสาวทุกคน กลับเป็นคนที่กอบกู้คณะของพ่อไว้ได้..  ยุคสมัยมันกลายเป็นใหม่ไปหมดแล้ว พ่อมันตามไม่ทันแล้ว ”

นายโรงใหญ่หมดสิ้นตัวตนอันเคยอหังการ แววตาปลงตก ยอมรับทุกสภาพ ทอดตามาที่เฉก

เด็กชายยิ้มรับฉับพลัน

“ ลูกชาย ชื่ออะไร ดูเป็นเด็กฝรั่งแต่งไทย กระปุกกระปุย ”

“ ชื่อเฉกขอรับ ”

เฉกตอบเอง ไม่เก้อเขิน พนมมือไหว้คุณตาอีกครั้ง

ทำให้ ‘ คุณตาสุ่น ’ หัวเราะทั้งน้ำตา เป็นน้ำตาแห่งความเต็มตื้นยินดี

 

แดดร่มลมตก ลำจวน แม่จำปา คุณนายนอบ  ขึ้นไปจัดเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับบนเรือน ปล่อยให้คณะละครยังซ้อมกันต่อไปเพราะต้องไปแสดงในเร็วๆนี้ มีเฉกปักหลักเป็นผู้ชมผู้แน่วแน่

ลำจวนช่วยหยิบเสื้อผ้าละครของแต่ละตัวละคร มาวางให้เข้าชุดเป็นชุดๆ

“ เดี๋ยวนี้เขาเล่นละครผู้หญิงนอกวังกันได้แล้วรือ? ”

“ ท่านอนุญาตให้ผู้หญิงเล่นละครนอกแล้ว  บางคณะใช้ผู้หญิงเป็นนางเอกคู่พระเอกผู้ชายที่เป็นนายโรงก็มี หรือไม่ก็ผู้หญิงเป็นทั้งพระเอก นางเอก ผู้ชายก็เป็นผู้ร้าย เป็นตลก เป็นตัวตาม มักมีผู้หญิงในคณะมากกว่าผู้ชาย เพราะหัดกันในบ้านง่ายกว่า แลคนดูชอบดูละครผู้หญิงมาก ”

แม่จำปาบอก

“ หลวงท่านห้ามเพียงรัดเกล้ายอด  เครื่องแต่งตัวลงยา  พานทองหีบทองเป็นเครื่องยศ  บททำขวัญ ยกแต่แตรสังข์ ”

คุณนายนอบบอกข้อห้าม

“ แล้วก็ห้ามฉุดบุตรชายหญิงที่เขาไม่สมัครใจเข้ามาเป็นละครให้ชาวบ้านเดือดร้อน ”

แม่จำปาพูดเรื่องที่ลำจวนเคยประสบ

“ เวลานี้ คณะท่านหญิงนิดของเรา..คนมาหาไปเล่นกันไม่หยุด ”

แม่นอบอวด

“ คณะท่านหญิงนิด..”

นี่เอง ที่นายสุ่นพูดว่า ‘พระนามหม่อมเจ้าหญิงองค์เท่านี้ กลายเป็นชื่อคณะละคร ’

“ ลูกสาวหม่อมน้อยเขา..นั่นน่ะ เขาเป็นถึงธิดาของเสด็จพระองค์เจ้าฯ..ก็เป็นถึงหม่อมเจ้าหญิงอย่างไร ”

 

เมื่อซ้อมละครเสร็จ หนูแดงลูกนวลกับเจ้าคุณอินทรา และท่านหญิงนิด ชี้ชวนเฉกดูผลจิกน้ำที่ห้อยเป็นสายที่ต้นริมคลอง ที่เป็นของแปลกสำหรับเฉก เด็กๆเข้ากันได้ดีประสาเด็ก

พวกผู้ใหญ่ ได้แก่ลำจวนกับบิดา มารดา และนางนอบ น้อย นวล นั่งพัก ตาก-ลมเย็นยามใกล้ค่ำ

“ ตัวฉัน เมื่อเสด็จท่านสิ้นพระชนม์  ก็มาอยู่กับพ่อ คณะนายสุ่นไม่เฟื่องเหมือนเดิม ลุงแดง ลุงหนุ่น ก็ไม่ค่อยสบาย ลากลับไปอยู่กับลูกเมียหัวเมือง ดีที่มีทุเรียน มังคุดของแม่ขายกินแก้จนไปได้ ”

หม่อมน้อยเล่า

“ จนเขานิยมละครชายจริงหญิงแท้กัน ฉันก็เลยชวนคนละครแลคนดนตรีจากบ้านท่านเจ้าคุณอินทราที่ไปเที่ยวเคว้งคว้างอยู่  มาอยู่เสียด้วย  ก็คนมันทำอันใดไม่เป็น ทำเป็นแต่ละครนี่แหล เลยจับเอาทั้งเจ้าหนูแดงกับท่านนิด มารำคู่กัน คนดูรักมาก ”

แม่นวลยิ้มสบายใจ ไร้ความทุกข์ระทมขมขื่นใดๆ

“ พ่อต้องคอยหาบทละครที่มีเด็กรุ่นๆรำคู่กันมาแสดง นี่เล่นเรื่อง อภัยนุราช บทละครใหม่ของท่านอาลักษณ์ภู่ อาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร สมเด็จพระปิ่นเกล้า ท่านภู่แต่งถวายพระองค์หญิงตุ้ย พระธิดาสมเด็จฯท่าน ”

นายสุ่นเคี้ยวหมาก อารมณ์ดี

“ เจ้าเองก็ชิดชื้อท่านภู่อยู่บ้างรือมิใช่ ฝากกราบเรียนท่านให้แต่งให้จบเรื่องทีเถิด ผู้คนเรียกร้องอยากดู อยากรู้กันทั่ว แต่เพียงเล่นถึงนางศรีสาหงได้ดวงตานางทิพมาลี คนดูก็คลั่งรักจักตายแล้ว ”

นางนอบพยัดเพยิดเอาใจลำจวน

“ หนูแดง กับท่านหญิงนิด ทำคนดูน้ำตาไหลน้ำตาร่วง..สงสาร เอาขนม เอาเงินเอาทองมาส่งให้กับมือ บ้างถอดแหวนถอดสร้อยคอให้ก็มีหนา ”

ลำจวนมองพวกเด็กๆ ที่พากันวิ่งลงไปที่ท่าน้ำ ปลื้มใจ หัวเราะขำ

นางจำปา มองลูกสาวด้วยความชื่นชมสลับกับชะเง้อเป็นห่วงหลานชาย เป็นสุขใจเหลือจะกล่าว

 



Don`t copy text!