บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 75 : ลงเอย (จบบริบูรณ์)

บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 75 : ลงเอย (จบบริบูรณ์)

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

บ่ายวันหนึ่ง เจ้าเฉกน้อย มีโอกาสได้ไปนั่งก้มหมอบ ชมสมุดไทยหลายเล่ม เป็นงานต้นฉบับที่ฮุน  บิดาเป็นผู้วาดภาพลายเส้นประกอบ ลายมือตัวหนังสือไทยที่งดงามเป็นระเบียบ คือลายมือของลำจวน มารดา

เด็กชายตื่นเต้น ชอบใจเป็นที่สุด

ท่านภู่ ในวัยหกสิบหกปี ภูมิฐานและยังแข็งแรงดี หน้าตาแจ่มใส ผิวพรรณผ่องกระจ่าง พำนักที่บ้านพักริมแม่น้ำใกล้วังหน้า ซึ่งอยู่ตรงข้ามปากคลองบางกอกน้อย กำลังคุยกับสองสามีภรรยา พลางจิบชา แกล้มผลพลับแห้งที่ครอบครัวนี้นำมาให้ชิม อยู่ในศาลาริมน้ำ ใต้ร่มเงาต้นลำพูใหญ่

“ เรื่องอภัยนุราช ข้าแต่งจบครบแล้ว ข้าเขียนบทละครเรื่องนี้ถวายพระองค์เจ้าดวงประภาท่าน ให้พวกฝ่ายในวังหน้าแสดงกันสนุกๆ แต่ก็เห็นใครๆเขาก็คัดเอาไปเล่นละครกันทั่วไป ท่านก็ไม่เห็นทรงว่ากล่าวอันใด เจ้าอยากจะคัดลอกไปให้พ่อแลพี่ๆก็เอา ไม่ต้องจ่ายอัฐดอก ”

“ จะให้เจ้าเฉกคนนี้ช่วยคัดเจ้าค่ะ ”

“เจ้าเฉก..”

ท่านนักกลอนเอกหัวเราะ

“ นึกถึงสมัยข้ากับคุณพุ่มแย่งเจ้าเฉกมาเป็นศิษย์กัน ฮะๆๆ ที่แท้ มันเป็นนางบุษยาในคราบอุณากรรณ ”

ฮุนพนมมือ

“ เพลานี้ ฝากเจ้าเฉกตัวจริง เป็นลูกศิษย์คุณพระแทน ได้ไหมขอรับ? ”

ลำจวนหันไปสะกิดลูกชาย

“ เอาไหมเล่า เจ้าเฉก เป็นศิษย์เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวรเจียวหนา ”

เฉกหันมายิ้ม พนมมือ

“ เอาขอรับ เดี๋ยวกระผมคัดลอกเล่มนั้น แล้วจักเขียนภาพลงไปเช่นนี้บ้าง ”

ท่านอาลักษณ์หัวเราะชอบใจ มองเจ้าเด็กหูตาแววไว ที่รวมเอาคุณสมบัติของพ่อและแม่มาไว้ในตนครบครัน ด้วยความอิ่มเอมปลาบปลื้ม

 

ปีนั้น คุณพุ่มยังคงพำนักที่เรือนแพหลังเดิม ซึ่งชำรุดทรุดโทรมไปมาก ทว่าวันนี้ มีฮุน นายช่างหน้าเก่า  กับนายหมาย ช่วยกันเปลี่ยนตับหญ้าคา

“ นึกว่าทำบุญหนา เจ้าเมฆทอง พอไม่มีเจ้าคุณพ่อไม่มีบ่าวไพร่บริวารคอยดูแล แพนี้มันก็คร่ำคร่าผุพังไปตามกาลเช่นนี้แล อนิจจังไม่เที่ยงหนา จำไว้ ”

เธอกล่าวยิ้มๆ ขำๆไม่ได้ทุกข์เศร้าอันใด

“ แต่เจ้าเมฆทองก็เป็นเรี่ยวแรงซ่อมหลังคาแพนี้มาแต่ครั้งแพยังรุ่งเรือง แขกไปใครมากันคึ่กๆนะขอรับ ดังนั้น เราไม่ต้องเกรงใจขอรับ ”

นายหมายว่า

ลำจวนย่องเข้าไปในห้องด้านใน วางถุงผ้าใบหนึ่ง ไว้บนที่นอนที่พับวางแอบเข้ามุมอยู่ เอาหมอนวางทับข้างบน แล้วเอาผ้าห่มแพรเพลาะคลุม เมื่อเธอลุกขึ้น หันจะกลับออกไป ก็ต้องสะดุ้ง เพราะคุณพุ่มยืนดูอยู่หน้าประตู

“ นั่นอะไร?”

ผู้เป็นศิษย์อึกอัก

สตรีอาวุโสเดินเข้ามา เปิดผ้าแพรเพลาะ ยกหมอนออก หยิบถุงใบนั้นขึ้นมา น้ำหนักของถุง แม้ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ ว่าข้างในคืออะไร

“ เอาของเจ้าคืนไป แล้วอย่าทำเช่นนี้อีก ”

คุณพุ่มยื่นถุงใบนั้นมาตรงหน้า ยังคงยิ้มละไม

ลำจวนหน้าถอดสี

“ ขอประทานโทษค่ะ คุณอา ”

หญิงสาวพนมมือไหว้

‘คุณอา’ ส่ายหน้า

“ เจ้านี่..ชอบทำให้ลำบากใจ เอาคืนไป ข้าไม่รับเงินทองของให้เปล่าจากใคร ข้ารับจ้างเขียนกลอน นายจ้างข้าแต่ละพระองค์ก็มิใช่คนเล็กคนน้อย  ยกตัวอย่างเช่นกรมหมื่นอมเรนทร์ ..ที่เคยเรียกหม่อมเจ้าคเนจร พระราชโอรสในหลวงองค์ก่อน ตอนนี้ทรงกำกับกรมช่างมุก เพลาทรงกลอนติดขัด ก็ทรงเรียกไปปรึกษา ให้ค่าจ้างทีละหลายบาทอยู่ ก็พระนมเกษยายข้าเคยเป็นพระนมของท่านอย่างไร ”

เธอหัวเราะ

“ แต่..”

ลำจวนจะไม่ยอมรับ

“ อันใด? ห่วงว่าข้าไม่ค่อยจะมีคนจ้างกระนั้นรือ..อย่าลืมซี ท่านเจ้าคุณพ่อข้า เคยว่าราชการในพระคลังมหาสมบัติ แต่กลับเป็นข้าราชบริพารที่มิได้มั่งคั่งอันใด เพราะเป็นคนซื่อมือสะอาด เป็นบ่อแก้วแท้ๆ ดังนั้น เจ้านายสองพระองค์ คือพระองค์เจ้านพวงศ์แลพระองค์เจ้าสุประดิษฐ์ สองพระราชโอรสของในหลวงพระองค์ใหม่นี้  จึงทรงเมตตา ช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนข้า ด้วยทรงว่าราชการอยู่ที่พระคลังมหาสมบัติ ทรงเล็งเห็นความดีที่เจ้าคุณพ่อข้าสร้างทำไว้ พวกเจ้ามิต้องห่วงใยไป ข้าอยู่ได้อย่างพอสมควรแก่อัตภาพ

นั่นแล ”

คุณพุ่มยิ้มหยิ่ง

สุดท้าย ลำจวนจำต้องยอมรับของๆตนคืนไปโดยดุษณีย์

 

ชายร่างสูงใหญ่ ผิวขาว ดวงตารี คิ้วเฉียง ตัดผมสั้นทรงฝรั่ง ในชุดเสื้อกางเกงอย่างสากล ตัดด้วยผ้าฝ้ายอินเดียเนื้อหนาอย่างดีสำหรับเมืองร้อน สะพายกระเป๋าย่ามของลาวทางเหนือ ขึ้นจากเรือที่ท่าน้ำหน้าสวนกว้าง ที่มองเห็นเรือนหมู่ใหญ่ลึกเข้าไปในทิวมะพร้าวด้านหลัง

ที่ลานด้านหน้า และใต้เรือนหมู่ใต้ถุนสูงนั้น เด็กหนุ่มๆหลายคนกำลังทำตู้พระธรรม ลงรักปิดทองกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ราวกับโรงงานย่อมๆ

บางคนกำลังเอารักสมุก คือกะลาเผาเป็นถ่านบดดำ ผสมยางรัก ทาลงรองพื้นไม้ให้ดำสนิทเป็นการแต่งผิวไม้ขั้นแรก จากนั้นจึงทาน้ำรักดำแล้วปล่อยให้แห้งสามรอบ ก่อนนำไปลงลาย

บ้างกำลังผสมหรดาล จากก้อนหินแร่หรดาลสีทองบด ผสมน้ำส้มป่อยและกาวเม็ดมะขาม

หนุ่มใหญ่ผู้นั้น มาหยุดดูที่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังตั้งใจเขียนหรดาลทับลงบนลายเส้นประแบบร่างอย่างสุดฝีมือ ด้วยความตื่นตา จนต้องล้วงหยิบแว่นสายตาชนิดมีก้านถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก้มส่องดูลายกนกเปลว ที่ยังเป็นเพียงเส้นประสีขาวของดินสอพอง ที่ถูกฝนผ่านแบบกระดาษที่เจาะรูถี่ๆปรุๆตามลายเส้นต้นแบบ  ที่ตู้ใบหนึ่ง

“ผู้เขียนภาพร่างต้นแบบนี้คือผู้ใด? ”

เด็กหนุ่มที่กำลังทำงาน หันมาเงยมอง แปลกใจ

“ กระผมเขียนเองขอรับ  แบบอยู่นี่”

เขาหยิบม้วนกระดาษที่เขียนลายงาม และปรุไว้ ขึ้นมาคลี่ออกให้ดู

“ ฝีมือมิใช่ธรรมดา ต่อไปคงเป็นช่างใหญ่ มีแต่คนต้องการเก็บสะสมผลงานเป็นแน่  หากฝรั่งชาติยุโรปเห็นงานเช่นนี้ คงพร้อมที่จะจ่ายในราคาสูง เพื่อนำไปตั้งในปราสาทราชวังทีเดียว ”

เขาพับแว่นเก็บ ยิ้มให้

“ น่าเสียดายมากจริงๆ บัดนี้ มือฉัน..ที่ร้างรางานเขียนไป  จะให้ทำเส้นละเอียดยิบๆอย่างเธอทำนี้ ฉันหมดปัญญาจริงๆ

“ พวกคนแก่ ตาแชแหมหมดสิ้นแล้ว ก็ต้องสร้างคนหนุ่มๆขึ้นมาแทนเช่นนี้แหล เจ้าฮุน ”

น้ำเสียงห้าวหาญที่ทรงพลังไม่เปลี่ยน ดังมา ผู้มาเยือนหันไป ตื่นเต้นดีใจ เมื่อเห็นผู้เป็นครู สวมแว่นกลมกระจกดำกันแสงแดดแรงยามบ่ายอย่างทันสมัย เดินเข้ามาอย่างสง่า หลังยังตรง ใบหน้ายิ้มกว้าง ร่างกายดูหนาพ่วงพีขึ้น

ชายจีนแต่งฝรั่ง คือฮุน รีบคุกเข่าลงกราบลงที่เท้า แล้วเงยขึ้นจับมือครูคงแป๊ะของเขามาแปะบนหัว น้ำตาคลอ

ภรรยาคุณหลวงเสนีย์บริรักษ์ หรือครูคงแป๊ะ คุมลูกๆหลานๆทำน้ำตาลมะพร้าวอยู่ที่โรงด้านหลังสวน นำเอาน้ำตาลใส่มาให้ฮุนเป็นหม้ออวย

“ ฝากน้ำตาลมะพร้าวสวนนี้ให้พ่อเอาไปกินเถิด ”

ฮุนลองเอาช้อนตักชิม

“ รสชาติดีงามเหลือเกินขอรับ หวานหอมไม่มีใดปาน ทำอาหารทั้งคาวแลหวานได้ดีมาก เช่นนี้ เอาไปขายบ้านเมืองใด ผู้คนต้องติดใจแน่ เช่นนี้จักตั้งราคาได้เหนือจากน้ำตาลทั่วไป เป็นน้ำตาลชนิดพิเศษทีเดียว ”

“ ฮุนเอ๋ย ฮุน เจ้ากลายเป็นพ่อค้าเต็มตัวไปแล้วหนา  เมื่อครู่ ก็เห็นหว่านล้อมศิษย์ข้า ให้ทำตู้พระธรรมไปขายฝรั่ง ฝรั่งที่ใด จะเก็บพระธรรมพระคัมภีร์เล่า ”

“ ฝรั่งไม่ใช้เก็บคัมภีร์ขอรับ แต่จะนำไปใช้ประดับในบ้านเรือนตน เฉกเช่นเครื่องเรือนล้ำค่าชิ้นหนึ่ง ประกวดประชันแข่งขันกันสะสมสิ่งแปลกหรูในหมู่คนมั่งมีขอรับ ”

คงแป๊ะมองอดีตศิษย์โปรดเจ้าปัญหาของท่าน แล้วส่ายหน้า ขำปนเอ็นดู

“ เจ้าจักกลับไปเมืองปีนังอีกเมื่อใด? ”

“ กระผมตั้งใจว่าจะกลับมาอยู่บางกอกเป็นการถาวรขอรับ ”

ฮุนตอบหนักแน่น

“ ดี..บ้านเมืองกำลังก้าวไปแลก้าวเร็วยิ่งนัก ต้องการคนที่แจ้งใจแลรู้เท่าทันฝรั่งเช่นเจ้านี่แหล ไม่ว่าจักเป็นราชการ รือพ่อค้า ก็ต้องไม่น้อยหน้า แลไม่เสียเปรียบพวกมัน ดีแล้ว”

ช่างเขียนเอกแห่งยุคสมัยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากตามเคย

 

ฮุนเคยใฝ่ฝันจะเป็นช่างเขียน อยากรับราชการเป็นช่างเขียนหลวง จะได้เป็นเจ้าคนนายคน เพื่อยกฐานะให้เท่าเทียมกุลบุตรผู้ดีสยาม

วันนี้ เขาไม่ได้เป็นช่างเขียนหลวง แต่กลับค้าขาย ทำมาหาได้กับบรรดาช่างเขียน ตั้งแต่ต้นทาง ถึงปลายทาง

เสมียนของเขา ยืนรับคำสั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานใหญ่แบบยุโรป ในห้องทำงานกว้างขวาง ใหม่เอี่ยม ตกแต่งอย่างหรูหราทันสมัยแบบจีนผสมฝรั่ง

“ จองเที่ยวเรือให้เขาส่งของมาสยามเดือนอ้าย เรือจักใช้เวลาเดินทางมาถึงสยามน้อยวันที่สุด ถึงแม้นจะเป็นเรือกลไฟแล้ว แต่มีลมช่วย ก็ย่อมเดินทางได้เร็วกว่าฤดูอื่น ประหยัดค่าเรือแลประหยัดเชื้อเพลิงด้วย ”

ฮุนมักบอกเหตุผลทุกอย่างกระจ่างแก่พวกลูกน้อง ให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของหน้าที่รับผิดชอบ แม้คนใหม่ไร้ประสบการณ์ ก็ควรจะรู้ทุกอย่างให้มากกว่าเพียงรับคำสั่งและก้มหน้าก้มตาทำตามไป

“ ขอรับ ”

“ เพลานี้ให้รีบจัดหาซื้อสีจากเมืองเก็งเต๊กติ้น มณฑลกวางไส ด้วยที่นั่นขายข้าวของอุปกรณ์สำหรับทำงานช่างต่างๆมีให้เลือกไม่นับ สีน้ำเงินคราม เขาก็เป็นตัวแทนสั่งให้เราจากเสฉวน จักได้ครามที่สีน้ำเงินแท้งามที่สุด ส่วนสีแดง จากก้อนชาดจอแส หรือจูซาซิ่งซา ให้พ่อค้าที่เก็งเต๊กติ้นหาที่แดงสดใสเท่าที่จะหาได้ ”

เสมียนก้มลงจดรวดเร็ว

“ ขอรับ ”

ฮุนลุกขึ้น บิดตัวแก้เมื่อย ยืนมองผ่านหน้าต่างออกไป เห็นเรือกลไฟสองสามลำจอดทอดสมออยู่ในแม่น้ำ  มีเรือกลไฟอีกลำที่กำลังเคลื่อนผ่าน เปิดหวูดประกาศการออกเดินทาง  ปล่อยควันโขมงขึ้นฟ้า

ฮุนมองตามควันนั้น ที่กระจายฟุ้งไปในสายลม

“ ค่าถ่านหินสำหรับใส่ไฟทำเชื้อเพลิงขับเคลื่อนเรือกลไฟแพงนัก ”

 

จากสำเภา มาสู่กำปั่น บัดนี้เป็นเรือกลไฟ การคมนาคมขนส่งยิ่งก้าวหน้าเท่าใด ทรัพยากรก็ยิ่งถูกใช้บริโภคมากขึ้นเท่านั้น สมัยที่ใช้แรงลมขับเคลื่อนเรือสำเภา อากาศก็ไม่มัวหมอง ไม่เหมือนบัดนี้ ที่มีควันไฟจากปล่องเรือ มาเจือระคนในสายลม

ฮุนหันกลับมาจากภาพการสัญจรในแม่น้ำ กลับมานั่งลง กวาดตาดูเอกสารที่ตนจดสิ่งต่างๆไว้ ที่บัดนี้ ไม่ได้เป็นกระดาษสาพับไปมาอีกต่อไป แต่เป็นสมุดกระดาษฝรั่งขาวสะอาด เย็บเป็นเล่มโตๆ เหมือนที่ใช้กันที่ปีนัง สิงคโปร์และที่อื่นๆ

แผ่นดินใหม่ วิถีชีวิตใหม่ สะดวกสบาย เป็นสากลเพิ่มขึ้นๆ และไม่มีวันถอยย้อนกลับ

“ เออ  แลเจ้าไปกราบเรียนเสมียนของท่านเจ้าสัวชื่นด้วย ว่าข้าจักไปกราบเยี่ยมพรุ่งนี้เช้า เรื่องจะขอเช่าโกดังที่ฮวยจุ่งล้งนี้เพิ่มอีกห้อง ”

“ ขอรับ ”

ฮุนพูดหมายถึงพระยาพิศาลศุภผล ชื่น ซึ่งเป็นชาวจีนที่เกิดในสยาม ต้นตระกูลพิศลยบุตร

ฮวยจุ่งล้งคือท่าเรือกลไฟและโกดังสินค้าที่ท่านเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น เรือกลไฟของเจ้าสัวชื่น เป็นเรือสินค้าระหว่างสยามกับฮ่องกงลำแรก ที่เริ่มมาเมื่อหนึ่งปีก่อนเริ่มรัชกาลแผ่นดินที่สี่นี้

ฮุนเป็นพ่อค้าส่งออกและนำเข้าสินค้าคนหนึ่งที่เช่าห้องทำงานห้องหนึ่งบนอาคาร และโกดังใกล้ๆ รวมทั้งใช้บริการขนส่งสินค้าเรือกลไฟของฮวยจุ่งล้ง  ส่วนตระกูลหวั่งหลี ได้เข้ามาดำเนินกิจการฮวยจุ่งล้ง ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง หลังจากนั้นอีกนาน

เมื่อเสมียนเดินออกไป คนประจำหน้าห้องก็เดินสวนเข้ามา หน้าตาตื่นเต้น

“ นายฮุนครับ มีคนมาหา เขาว่า..เขาเป็นพี่เมียนายฮุน ”

“ พี่เมีย? ”

ฮุนแปลกใจ

“ ให้เข้ามาเลย ”

เนตรนั่นเองที่ก้าวเข้ามา ยืนมองฮุน ยิ้มแย้มกว้างขวางอย่างไม่น่าเป็นไปได้

เนตรไว้หนวด หน้าตาดูคล้ายนายโรงสุ่นมากขึ้นเมื่อวัยอาวุโสขึ้น วางท่าสง่า ภูมิฐาน แต่งกายอย่างขุนนางสยามเต็มตัว

ฮุนไหว้เขาอย่างอ่อนน้อม

“ พี่เนตร สบายดีหรือขอรับ? ”

เมื่ออีกฝ่ายถึงกับใช้คำว่า  ‘ พี่เมีย ’ เขาก็ถือวิสาสะเรียกพี่ทันที ให้สมน้ำสมเนื้อกัน

“ สบายดี ทราบว่าลำจวนและหลานชาย..สบายดีทุกคน ”

เนตรท่าทีสนิทสนม

“ ขอรับ ขอบพระเดชพระคุณ  เชิญนั่งขอรับ ”

ฮุนใช้รูปแบบสนทนาตามมารยาทสากลไว้ก่อน

“ ฉันทำงานรับใช้สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่างเขียนอยู่ในกรมพระราชวังบวรฯ ”

เนตรเริ่ม ท่าทางภาคภูมิ

“ ขอรับ ”

ฮุนรู้สึกเป็นข่าวใหม่ที่น่าตื้นเต้นไม่น้อย

“ ด้วยพระที่นั่งต่างๆในวังหน้าชำรุดทรุดโทรมมาก โปรดให้ซ่อมแซมเป็นโกลาหล บัดนี้ ถึงเวลาของงานช่างเขียน ที่ต้องเขียนงานขึ้นใหม่มาก  ต้องซื้อหาข้าวของเครื่องใช้ในการเขียนจากเมืองต่างๆ ไม่ว่าเมืองจีน เมืองแขก ไปถึงเมืองฝรั่ง ”

“ ขอรับ ”

“ มีคนเขาแนะนำมา..ว่า..ฮุนเป็นผู้ชำนาญในเรื่องจัดหา เลือกซื้อ แลนำเข้ามาขาย..พวกสิ่งของเหล่านี้  จึงอยากจะมาปรึกษา เพื่อให้ได้ของที่ดีจริงๆมาใช้กัน ”

“ ยินดีขอรับ ”

เนตรมองฮุนด้วยด้วยดวงตาแจ่มใส ยื่นมือข้ามโต๊ะมาอย่างฝรั่ง

ฮุนจึงยื่นไปจับ และบีบมือเขาตอบอย่างมีไมตรี ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องราวบาดหมางใดๆมาก่อนทั้งสิ้นเช่นกัน

 

ท่านหญิงนิดค่อยๆดำเนินย่องตามคุณน้าสาวของเธอไปรอบๆกลุ่มองค์พระภิกษุณีหล่อด้วยโลหะดีบุกปิดทอง จำนวนห้าสิบสองรูป ที่เหมือนกำลังเข้าเฝ้าอยู่เบื้องหน้าพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระประธานในพระวิหาร

น้าลำจวนชี้ชวนให้ทรงสังเกตดูอิริยาบถต่างๆไม่ซ้ำกันเลยของพระภิกษุณีแต่ละองค์ มีพระนางปชาบดีโคตมี พระน้านาง ซึ่งเป็นพระภิกษุณีที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้เป็นรูปแรก ประทับเป็นประธานอยู่ตรงกลางข้างหน้า

“ วัดเทพธิดารามนี้ ในหลวงองค์ก่อนทรงสร้างให้พระธิดาท่าน ที่ทรงรักมากที่สุด คือกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ทรงให้มีรูปพระภิกษุณีมากมายเพียงนี้ เหมือนจะทรงแนะแนวทางให้ ว่าในสมัยพุทธกาล ผู้หญิงก็บวชได้ และบรรลุธรรมได้ น้าไม่เคยเห็นวัดใดในเมืองไทยจะบอกเล่าถึงพระภิกษุณีในพุทธศาสนาเช่นนี้มาก่อนเลย ”

“ คุณยายจำปาเล่าเสมอ ว่าคุณน้าอิจฉาหลวงน้าบุญลือ ที่ได้บวชเรียน แลถามเสมอ ว่าทำไมผู้หญิงบวชพระไม่ได้  อยากเกิดเป็นผู้ชายนัก ”

“ ท่านโชคดีเพียงไรท่านทรงทราบไหมที่คุณตาสุ่นสอนให้เขียนอ่าน ได้เป็นนายโรงละครหญิง น้าอยากเป็นเพียงไร เขาก็ไม่ให้เป็น ”

ลำจวนกระซิบทูล

ลำจวนยังพาท่านหลานชมภาพเขียนดอกบัว หงส์คู่และเครื่องมงคลแบบจีน ที่บานประตูด้านหลังพระวิหาร ภาพหงส์บนผนัง

เมื่อออกมาภายนอก เธอก็ชี้หน้าบัน ที่ทั้งของโบสถ์และวิหาร เป็นภาพปูนปั้นหงส์คู่แบบจีน เป็นหลังคาแบบเรียบ ปราศจากช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ อีกทั้งตุ๊กตาหินรอบๆบริเวณ ที่ส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตาผู้หญิง แตกต่างจากวัดอื่นๆ ให้ท่านหลานทรงชม

“ ทรงพิถีพิถันสร้างรายละเอียดให้เป็นวัดของเจ้านายผู้หญิงอย่างยิ่ง ที่นี่มีแต่รูปหงส์ อันเป็นตัวแทนสตรี ในคติจีน ”

เมื่อมานั่งพักด้วยกันที่ศาลา บ่าวของท่านหญิง ที่หม่อมน้อยส่งมาให้คอยติดตามอำนวยความสะดวก ก็รินน้ำชามาให้ทั้งสอง

“ คุณพระสุนทรโวหาร ท่านอาลักษณ์ได้มาจำพรรษาที่นี่ ก่อนจะสึกไปรับราชการอยู่กับพระปิ่นเกล้าฯ ”

ลำจวนมองดูพักตร์งามน่ารัก ดวงตาฉลาดเฉลียว

“ ยุคสมัยรุดเร็วไปข้างหน้า หาได้รอคอยคนที่ล้าหลังไม่ ท่านหญิงต้องทรงอ่านเขียนให้เก่ง บอกบทได้ หากถึงขนาดทรงแต่งบทละครได้ จะยิ่งประเสริฐ ”

“  คุณน้าลำจวนสอนนิดสิคะ คุณตา คุณยายบอก ว่าคุณน้าแต่งกลอนเก่ง ว่าสักวาได้ สอนนิดด้วย นิดอยากเป็นนักกลอนผู้หญิงบ้าง ”

ลำจวนยิ้ม หยิบสมุดจดของเธอออกมา กับดินสอดำอย่างฝรั่ง ที่เธอพกอยู่ในกระเป๋าถือประจำกายเสมอ

“ ท่านหลานจดจำกลอนบทใดได้แม่นยำในใจ ลองเขียนบทกลอนนั้นออกมาให้ดูถี แล้วเราจักแต่งกลอนบทใหม่ของเราเอง เลียนตามแบบสัมผัสของกลอนนั้น ”

ท่านหญิงนิดมองข้าวของเครื่องใช้ของน้าสาวด้วยความชื่นชม น้าลำจวนแตกต่างจากสตรีสยามที่เธอเคยเห็น ไม่ว่าชาวบ้านร้านตลาด หรือแม้แต่เจ้านายในวัง จริตกิริยาคมขำเปิดเผยไม่อำพรางวางท่า

เธอถือกระเป๋าหญ้ายายเภาสานละเอียด ใช้สมุด ดินสอแบบสมัยใหม่ มีผ้าเช็ดหน้าป่านปักตัวย่อภาษาอังกฤษที่ปักคัตเวิร์คหยักที่ริมรอบๆ มีกลิ่นน้ำอบฝรั่งหอมกรุ่น

ทรงรับสมุดดินสอไป ทรงคิดสักครู่ แล้วทรงเขียนบทละครอภัยนุราช ที่ทรงแสดงอยู่ออกมาช้าๆ ด้วยลายมือตัวเล็กๆ เบาๆ งดงาม สะกดตามต้นฉบับที่มีอยู่

มาจะกล่าวบทไปถึงท้าวไทอภัยนุราชเรืองศรี
กับโฉมยงองค์ทิพมาลีครองบูรีรมเยศเขตคัน
มีโอรสธิดาน่ารักประไพพักตร์ลักษณ์เลิศเฉิดฉัน
เชษฐาชื่อว่าพระอนันต์น้องชื่อวรรณาสุดาถาวร..

ลำจวนจิบน้ำชา มองดูหลานสาว รอคอยอย่างใจเย็น เตรียมสอนให้ท่านหญิงนิดแต่งกลอนอย่างกระตือรือร้น

“ แล้วท่านหลานทรงลองมองหาซี ว่ามีคำใด ใช้สระแลตัวสะกดเหมือนกัน ทำให้เสียงเหมือนกันบ้าง แล้วเอาดินสอ-วงไว้ ”

ลำจวนสอนท่านหญิงนิดให้หัดเขียนกลอนโดยใช้สมุด ดินสอ แบบที่ฮุนใช้ร่างลายเส้นเสมอ ขณะที่ในสยามเราเวลานั้น เด็กชายที่เรียนหนังสือตามวัด ยังใช้กระดานชนวนกับแท่งดินสอพองสีขาวกันทั่วไป

 

อีกยี่สิบกว่าปีต่อมา เมื่อลำจวนอายุห้าสิบสอง โรงเรียนสตรีแรกก็เกิดขึ้น ด้วยเงินทุนก้อนแรก ที่นาง แฮเรียต เอ็ม เฮ้าส์ ภรรยาหมอเฮ้าส์ ได้รับจากคริสตจักรสามพันดอลล่าร์ ตั้งอยู่บริเวณวังหลัง จึงเรียกว่าโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง และเมื่อลำจวนอายุแปดสิบสอง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ห้า  จึงให้พระราชทานกำเนิดโรงเรียนหญิงล้วน ณ.มุมถนนอัษฎางค์และถนนจักรเพชร ชื่อว่าโรงเรียนราชินี

 

ต้นปีมะเส็ง เริ่มรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเพียงสามเดือน หลังจากที่พระราชบิดาสวรรคตหลังจากเดินทางไปทอดพระเนตรสุริยคราสที่หว้ากอ เมื่อเดือนสิบเอ็ด ปีมะโรง นับแบบสากล คือย่างเข้าพุทธศักราช2412 ซึ่งกำหนดงานถวายพระเพลิงจะเป็นวันศุกร์ แรมสองค่ำ เดือนสี่ ปีมะเส็งคืออีกสองเดือนหลังจากนี้

ลำจวนอายุสี่สิบหก ฮุนอายุห้าสิบสาม บ้านคลองสานหลังเดิมที่เคยเช่าจากเหมย ยังเป็นบ้านหลังเดียวหลังเดิมของครอบครัว แต่ทั้งสองได้ซื้อมาเป็นทรัพย์สินของครอบครัวนานแล้ว และปรับปรุงจนเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็ยังคงเป็นบ้านไม้ผสมปูนหลังใหญ่  มีหน้าต่างรอบบ้าน อยู่ริมคลอง และมีต้นกระท้อนใหญ่อยู่หน้าบ้าน แม้บางความเชื่อกล่าวว่า นามกระท้อนไม่เป็นมงคลนัก เพราะจะทำให้ชื่อเสียงเกียรติยศไม่ก้าวหน้าโด่งดังขจรขจายออกไป แต่สะท้อนกลับที่เก่าอยู่เช่นนั้น จึงไม่นิยมปลูกกันหน้าบ้าน มีแต่ในสวน แต่สองผัวเมียกลับเห็นตรงกัน ว่ากระท้อนเป็นต้นไม้รูปทรงสวย มีใบสีแดงแซมงามตา และผลก็อร่อย กินได้ทั้งอย่างหวานคาว และเจ้าเฉกชอบเก็บผลใต้ต้นยามร่วงหล่นอย่างสนุกสนาน ทั้งสองจึงไม่ให้ความสำคัญกับความเชื่อนั้น

ฮุนตัดผมสั้น มีผมขาวแซม ใส่แว่นกลมกรอบทอง เข้ากับใบหน้าค่อนข้างยาว หน้าผากกว้าง คิ้วเฉียง รูปร่างหน้าตาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปกี่มากน้อย

เขาแต่งตัวอยู่บ้านด้วยเสื้อกางเกงผ้าฝ้ายอย่างจีน นั่งทำงานอยู่ที่เฉลียงกว้างข้างเรือน กำลังตกแต่งลงสีน้ำรูปโบสถ์วัดบวรนิเวศด้วยพู่กันหลายขนาด ในกระดาษเขียนรูปแผ่นใหญ่อย่างดี ซึ่งเป็นของสั่งจากประเทศทางยุโรป มีสีเป็นหลอดๆ จานสีขนาดใหญ่ กระบอกน้ำวางรายเรียงรอบบนโต๊ะ

ภาพโบสถ์โดยรวมคร่าวๆนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ฮุนกำลังตกแต่งรายละเอียด ลงน้ำหนักแสงเงาที่ใบอะแคนทัสที่อยู่ที่หัวเสาแบบตะวันตกอย่างตั้งใจ

ที่ท่าน้ำ เรือแจวลำหรูเคลื่อนเข้ามาเทียบ  ลำจวน ที่นุ่งโจงและใส่เสื้อลูกไม้ สะพายแพร แต่งเครื่อประดับมุก สวมถุงน่องรองเท้า แต่งสีขาวทั้งชุดตามธรรมเนียมไว้ทุกข์  ถือกระเป๋าเงินดุนลายใบเล็ก  ลงจากเรือมากับชายหนุ่มรูปงาม ผึ่งผายสง่า ซึ่งแต่งตัวแบบฝรั่ง ชุดเสื้อนอกสีขาว กางเกงขาวอย่างไว้ทุกข์เช่นกัน ตัดผมสั้นรองทรง สวมหมวก

ชายหนุ่มนั้นคือเฉก เขาโอบประคองมารดา ทั้งๆที่เธอก็ยังกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว เดินเหินรวดเร็วตามเคย

มีบ่าวชาย สวมเสื้อราชปะแตน โจงกระเบนขาว ถือห่อของหนักอึ้ง ตามมา

ลำจวนรีบตรงมาหาฮุน

“ กลับเสียเย็นเทียว ”

ฮุนบ่นๆ

“ ได้ถวายบังคมพระบรมศพอยู่ข้างนอกไกลๆ และแวะเข้าไปเยี่ยมคุณอาพุ่มมาค่ะ  ได้เฝ้าพระองค์เจ้านารีรัตนาด้วย องค์เล็กๆนิดเดียว สงซ้าน สงสาร..ยังไม่ถึงสิบขวบ ก็ต้องทรงเป็นกำพร้า..”

ลำจวนกล่าวถึงพระธิดาของในหลวงในพระบรมโกศกับเจ้าจอมมารดาดวงคำ พระหลานตาของเจ้าอุปราชเมืองเวียงจันทน์ ที่ทรงยกครอบครัวมาพำนักที่วังบางยี่ขันคราวมีเรื่องเจ้าอนุวงศ์ ด้วยมิได้ทรงร่วมก่อการด้วย

พระองค์เจ้านารีรัตนาอยู่ในพระอภิบาลของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร พระราชธิดาองค์หนึ่งของแผ่นดินที่สาม

เวลานั้นคุณพุ่มได้เข้ารับราชการในพระองค์ท่านแล้ว และพำนักอยู่ในพระบรมมหาราชวังฝ่ายใน ในช่วงท้ายของชีวิต

บ่าวชายเข้ามาวางห่อกระดาษนั้น ที่ม้านั่งริมเฉลียง

เฉกเข้าไปแกะออก หยิบหนังสือแบบฝรั่ง หุ้มปกหนังทั้งหมดครบชุด ยี่สิบเล่ม ออกมาเรียง

ฮุนรีบลุกมาดูด้วยความตื่นเต้น หนังสือปกหนัง มีภาพเขียนด้วยลายเส้นทอง รูปตัวละครในเรื่องพระอภัยมณี

เขาหยิบขึ้นมาอ่าน

“ หนังสือไทย เรื่องพระอไภยมะณี ของครูสมิท!!”

ฮุนมองหน้าลำจวน

“ พิมพ์ที่โรงพิมพ์บางคอแหลมรือ? ”

“ ครูสมิทพิมพ์จากเนื้อหาแปดสิบเล่มสมุดไทย เป็นจำนวนร้อยยี่สิบชุดขอรับ  ในแต่ละเล่มหนังสือนี้ บรรจุเนื้อหาสี่เล่มสมุดไทย ”

เฉกบอก

“ คุณอาพุ่มได้ประทานมาจากกรมพระสุดารัตนราชประยูร เลยมอบให้ฉันทั้งหมดหนึ่งชุด ยี่สิบเล่ม คุณอาบอกว่า..ยกให้เป็นมรดก ”

ลำจวนอวด

เฉกพลิกเปิดหนังสือ แสดงแก่บิดา

“ ในนี้มีคำนำ บอกว่าครูสมิทพิมพ์แจกในงานพระเมรุฯนี้ครับ ในหลวงในพระโกศท่านทรงเคยรับสั่งให้แกพิมพ์หนังสืออ่านเล่นไทย คนไทยจะได้มีหนังสือไทยเป็นเล่มๆแบบฝรั่งไว้อ่านเอาสนุกกันบ้าง ”

ฮุนลูบคลำ เปิด  ชม พลิกดูคร่าวๆ ยกหนังสือขึ้นสูดดมกระดาษ ดมหมึก ลูบคลำอย่างถนอม

“ เออ ดี ครูสมิทแกสนิทกับหมอบรัดเลย์ ”

ฮุนออกเสียงแบบไทย

“ ต่างคนต่างมีโรงพิมพ์ พิมพ์หนังสือมาแข่งกัน ”

ลำจวนยิ้ม น้ำตาคลอ

“ คิดถึงท่านอาลักษณ์  หากยังอยู่..คงดีใจมาก ที่เห็นนิทานของท่านกลายเป็นหนังสือเล่มๆเช่นนี้ ”

ฮุนรำพึง

“ ตัวตายไปถึงสิบสามปี งานจึงได้ตีพิมพ์จากโรงพิมพ์ฝรั่ง ”

สองสามีภรรยามองกัน ภาพราตรีแห่งการปะทะสังสรรค์ ระหว่างท่านครูคงแป๊ะ ท่านครูภู่ และท่านครูมีแขก  ที่บ้านริมคลองบางบำหรุ ลำจวนในคราบเฉก ร่ำสุราและฟ้อนรำ เอาชนะคะคานกับเจ้าหนุ่มช่างเขียนฮุนผมเปียยาว  ย้อนกลับมาในความรำลึก

แดดร่ม ลมตก ฮุนถอดแว่นเอาขึ้นไปคาดไว้เหนือหน้าผาก เอนหลังพักผ่อนที่เก้าอี้นอนใต้ร่มกระท้อนใบสีสวย ใบสีแดงที่แก่ ปลิวลอยมาร่วงลงบนพื้นกระดานเฉลียง

ลำจวนพิจารณาดูภาพโบสถ์วัดบวรนิเวศเขียนด้วยสีน้ำของสามีอย่างชอบใจ

“  โบสถ์นี้ก็เป็นแบบใหม่เข้าไปอีก รวมไว้ซึ่งแบบไทย จีน แลฝรั่ง ดูสิ จากเสาเหลี่ยมๆ ตันๆ กลายเป็นเสาฝรั่ง บนหัวเสา..มีใบ..อะไรนะ..”

“ ใบอะแคนทัส เสาแบบนี้ ชื่อว่าเสาคอรินเธี่ยน เป็นงานช่างแบบของชาติกรีก ต่อมาชาติโรมันก็นำมาปรับปรุงต่อ ”

ฮุนอธิบาย

“ เหมือนที่พี่ว่า แต่ละแผ่นดินที่ผ่านไป โบสถ์ก็เปลี่ยนหน้าตาใหม่ๆไปเรื่อยๆ ”

ลำจวนสรุป

“ ก็ดูภาพในโบสถ์ซี  ตาขรัวอินโข่งเขียนภาพแบบใหม่ ฉันยังดูไม่ค่อยอยากจะรู้เรื่อง ”

ฮุนเอ่ยขวางๆ ทำสุ้มเสียงเหมือนคนแก่

ลำจวนหัวเราะ

“ อะไร้ พี่ออกจะเป็นฝรั่ง ”

ฮุนโวยวาย ลุกขึ้นมายืนอย่างแข็งขัน

“ฉันเป็นจีน!!!  ตาขรัวแกฝรั่งกว่าฉัน อยู่วัดมาตลอดชีวิต แต่ไม่เขียนเรื่องชาดก ไม่เขียนพุทธประวัติ เขียนเป็นชีวิตฝรั่ง กับเรื่องธรรมะประเภทลึกลับซับซ้อน ”

“ เขาว่าเป็นข้อธรรมลึกๆแบบวิธีของธรรมยุติกนิกาย คนตื้นๆจะอ่านไม่ออก”

ลำจวนแกล้งยั่ว

“ ฉันคนตื้น ตีไม่ออกดอก แม่ลำจวนแน่ะ เป็นกวี คงตีออกกระมัง ”

ฮุนสะบัดเสียง

“ ฉันดูเห็นแต่ภาพงามๆ ทั้งวัดบวรนิเวศน์และวัดบรมนิวาสน์ ฉันเห็นเรือฮอลันดา เห็นดอกบัววิคตอเรียบานเต็มสระ  เห็นสภาอเมริกัน เห็นสถานีรถไฟเมืองอังกฤษ เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์​ และดาวนพเคราะห์ต่างๆ  แลมีขบวนเทวดาเหาะเหินจับระบำรำฟ้อน มาชมดวงดาวกัน ”

ลำจวนบรรยาย แกล้งทำสีหน้าแววตาคลั่งไคล้ใหลหลง

“ เพราะทรงโปรดเรื่องดวงดาวนี่อย่างไร ถึงเสด็จไปดูสุริยคราสจนได้ไข้ป่ามาเกือบทุกคนจนต้อง..”

คราวนี้ฮุนถอนใจ กลายเป็นเรื่องเศร้า

“ พี่ก็เกือบจะต้องไปกับเขาเหมือนกันมิใช่รือ ท่านเจ้าคุณศรีสุริยวงศ์จะให้ไปช่วยสร้างค่ายหลวงแลพลับพลาที่ประทับ  ถ้าไปก็อาจป่วยกับเขาด้วย ”

ลำจวนหมายถึงคุณช่วง นายน้อยของฮุนมายาวนาน ทุกยุคสมัย

“ เรามันข้าเก่าท่านนี่นา ทนายพดเลยมาเรียกให้ไปช่วย พอดีมีแต่คนแย่งกันอาสาไปจนล้นหลาม เราเลยไม่มีบุญพอ ”

 

เย็นจวนค่ำ เมื่อเฉกเก็บหนังสือล้ำค่าชุดนั้นเข้าตู้ฝากระจกที่ห้องชั้นบน เสียงเล่นน้ำหัวเราะหัวใคร่ดังมาจากในคลอง  ชายหนุ่มเดินไปดูที่หน้าต่าง เห็นพ่อแม่ลงไปว่ายน้ำเล่นกันในคลองเสียแล้ว ทำให้อดขำไม่ได้

ภาพพ่อแม่เล่นกัน สนทนาพาทีกัน ราวกับเพื่อนผู้ชายด้วยกัน ที่เป็นมิตรสนิทกันอยู่สองคนเช่นนี้ เฉกเห็นมาตั้งแต่จำความได้จนเคยชิน  ลำจวน ไม่เหมือนแม่ๆของเพื่อนฝูง แต่เป็นคนสนใจจริงจังเข้าขั้นหมกมุ่นกับหนังสือ ตำรา และความรู้ ความคิดต่างๆ

นอกเหนือจากงานแม่บ้านการเรือน แม่ยังทำบัญชีของบ้าน ของกิจการพ่อ และไปช่วยดูแลเป็นที่ปรึกษาคณะละครท่านหญิงนิ่ม ช่วยปรับปรุง ตัดต่อบทละครให้กระชับรวดเร็วทันใจ แทรกเรื่องราวข่าวสารปัจจุบันในบทเจรจา ให้เป็นที่ถูกใจของคนดู

ส่วนพ่อของเขา ก็ต่างจากบรรดาเจ้าสัว เสี่ย คหบดี หรือขุนนางสยามอื่นๆ ตรงที่ไม่มีเมียน้อย ไม่ชอบไปไหน ถ้าไม่มีเมียไปด้วย

ลำจวนกับฮุน เป็นทั้งภรรยา-สามี แม่และพ่อของลูก และเป็นสหายร่วมใจกันอย่างลึกซึ้ง  จะใช้คำว่า ..เนื้อคู่ อย่างไทย ก็ใช่ แต่ใช้คำอังกฤษ อย่างsoulmate กลับให้นัยยะที่ตรงกว่า ทั้งสองอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่เคยห่าง  สนใจเรื่องเดียวกัน รักกัน และมองไปในทิศทางเดียวกัน

เฉกรู้สึกว่า พ่อแม่ของเขาเป็นคู่รักที่อยู่ด้วยกันแล้วสนุกเหมือนอยู่กับเพื่อนรักที่สนิทที่สุด และเฉกก็อยากจะเป็นเช่นนั้น กับคู่ชีวิตของเขาเช่นกัน

 

ในคลอง ลำจวนกับฮุนแหวกว่าย เคลียคลอ แม้อากาศเย็นลง แต่สายน้ำอุ่นละมุนนุ่มนวล

ไม่ว่าจะเป็นสายน้ำในคลองบางกอกน้อย ครั้งที่ต้องปกปิดความปรารถนาในใจ ด้วยรักต้องห้ามในยามวัยเยาว์ สายน้ำในลำประโดงณ.ทุ่งคอกควาย ยานนาวา เมื่อชีวิตยากแค้น ทว่ารักกลับชื่นหวาน เมื่อแรกอยู่ร่วมเรียงเยี่ยงข้าวใหม่ปลามัน จนถึงสายน้ำในคลองสาน หน้าบ้านสุขสบายหรูหรา ในเวลาชีวิตล่วงเลยถึงวัยกลางคน

เมื่อลำจวนและฮุนได้อยู่คู่เคียงกัน ทุกช่วงสุขทุกข์ สบายลำบาก ยากดีมีจน ก็จับมือกันฝ่าผ่านไปได้ อย่างชุ่มฉ่ำอิ่มเอมด้วยรักเสมอ

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร   ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน

แม้นเกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร         ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา

แม้นเนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ        พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา

แม่เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา         เชยผกาโกสุมปทุมทอง

เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่         เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่สอง

จะติดตามทรามสงวนนวลละออง   เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป

(พระอภัยมณี ตอนพระอภัยมณีทำผูกคอตายได้นางละเวง  สะกดตามสมุดไทยดำ กลอนอ่าน เรื่องพระอภัยมณี เล่มที่ ๑๖๓)

 

– จบบริบูรณ์ –



Don`t copy text!