บุษราอาฆาต บทที่ 1 : ของขวัญ
โดย : เก้าแต้ม
บุษราอาฆาต เรื่องราวของบุษราคัมเม็ดงามที่แฝงไปด้วยความลึกลับกับวิญญาณของหญิงสาว เหตุใดวิญญาณของเธอจึงติดตามมาทำร้ายทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบุษราคัมน้ำงาม ร่วมกันหาคำตอบได้ใน ‘บุษราอาฆาต’ นวนิยายแนวลึกลับโรแมนติก โดย เก้าแต้ม … นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คูณได้ อ่านออนไลน์
…………………………………………
คนเรามักจะเคยทำเรื่องผิดพลาดในอดีตด้วยกันทั้งนั้น ไม่ต่างจากอคิณ…
แม้เขาจะเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตา ฐานะ ชีวิตมีทุกอย่างครบครัน แต่ก็มีบางอย่างที่รบกวนจิตใจมาตลอด คงเป็นความรู้สึกผิด…
เขาก้าวเข้ามารับช่วงต่อในการดูแลกิจการบริษัท พีพีอินชัวร์รันส์ บริษัทประกันที่มียอดขายอันดับหนึ่งต่อจากบิดาคือ คุณพิรัชต์ กรัญย์สกุล ท่านเป็นคนดัง เพราะเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจประกันในประเทศไทยจนรุ่งเรือง กำไรที่ได้ถูกนำมาต่อยอดเป็นกิจการธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ คุณพิรัชต์กว้านซื้อที่ดินเป็นจำนวนมากในกรุงเทพฯ และมีฐานะร่ำรวยจนติดอันดับมหาเศรษฐีของเมืองไทย
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา คุณพิรัชต์ประกาศวางมือ มอบให้ลูกชายดูแล ไม่มีใครเชื่อว่าเขาจะทำได้ แต่ตลอดเวลาหลายเดือนในการเตรียมพร้อมเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ได้แสดงความสามารถให้ประจักษ์
อคิณอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว เขานอนเอนกายอยู่บนเตียงแต่ยังนอนไม่หลับ เมื่อก่อนเขาคิดว่าตนชอบมองท้องฟ้าอันมืดมิดเพราะมันทำให้คิดอะไรดีๆ ได้ ยามที่จิตใจฟุ้งซ่านขอเพียงแค่นั่งนิ่งๆ สักพัก แต่วันนี้ดาวดวงเล็กที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้ากลับเตือนเขาให้คิดถึงใครคนหนึ่ง ความทรงจำคงถูกกระตุ้นเตือนเพราะบัตรเชิญที่วางอยู่ตรงหัวเตียง
การ์ดเชิญไปงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียนที่อคิณเป็นศิษย์เก่า เขาไม่เคยอยากย้อนเวลาเหมือนกับที่คนอื่นๆ มักจะพูดว่า อยากจะกลับไปดูสภาพของโรงเรียน รำลึกถึงความหลัง ความทรงจำอันแสนหวาน วัยเด็กอคิณเอาแต่เรียน เล่นกีฬาอย่างเดียวคือเทนนิส และแทบไม่เคยสังสรรค์กับเพื่อนๆ ชีวิตของเขากับพลอยพยัพเปรียบเสมือนเจ้าชายกับเจ้าหญิงอยู่ในกรงทอง
เช้าไปโรงเรียนมีราชรถมาส่ง ตกเย็นมีคนมารับ เขาไม่เคยเตะบอลกับเพื่อน ดังนั้น ช่วงเวลาที่อยู่โรงเรียนจึงค่อนข้างน่าเบื่อ เขาคือ หนุ่มหล่อสุดฮ็อตของโรงเรียน และแน่นอนว่า ต้องมีรุ่นน้องรวมถึงเพื่อนร่วมชั้นมาตามกรี๊ด การ์ดและของขวัญที่ได้รับในแต่ละวันกองสูงแต่ชายหนุ่มไม่เคยเปิดดูเลยสักครั้ง
อคิณไม่มองใคร… เขาไม่เคยมีความรัก… ไม่เคยรู้สึกว่าใครสำคัญ… หลายคนบอกว่าเขาไร้หัวใจ…
“มาพบฉันหน่อยได้ไหมคะ”
เขาได้อ่านจดหมายฉบับนั้นแต่ก็เลือกที่จะปล่อยผ่านไป เวลาล่วงเลยมาหลายปีแล้วแต่อคิณก็ยังติดกับดักวังวนแห่งความรู้สึกผิด หากตอนนั้นเขาทำบางอย่างคงไม่ต้องมากลุ้มใจเช่นนี้ ชายหนุ่มปรับม่านไฟฟ้าให้เลื่อนลงมาบดบังวิวนอกหน้าต่าง กดปุ่มตรงหัวเตียงเพื่อหรี่ไฟเพราะไม่ต้องการฟุ้งซ่านอีก
ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงสิ่งที่เป็นแค่อดีตและแก้ไขไม่ได้… บิดาบอกเสมอว่า อนาคตของบริษัทเท่านั้นที่สำคัญ และเขาก็จำประโยคนั้นจนขึ้นใจ กลิ่นหอมของดอกไม้ในแจกันตรงหัวเตียงรวยรินมาเข้าจมูก น่าจะเป็นแม่อิ่มที่เอาดอกไม้มาวางไว้ให้เพราะรู้ว่า เขาชอบดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมในตอนกลางคืนแทบทุกชนิด
เกือบสัปดาห์มาแล้วที่แจกันตรงหัวเตียงมีดอกไม้ชนิดนี้ปักอยู่ กลีบดอกเป็นสีเหลืองเนื้อหนาคล้ายจำปา แต่ดอกใหญ่กว่าเกือบเท่าตัว น่าจะเป็นพันธุ์ผสม เขาไม่รู้ว่าชื่ออะไร แต่กลิ่นหอมเย็นๆ ทำให้หลับสบาย พักนี้ในห้องนอนมักจะมีแต่ของที่มีสีเหลือง ผ้าปูที่นอนสีเหลืองครีม ผ้าม่านสีเหลืองอ่อน เสื้อเชิ้ตทำงานสีครีมตัวใหม่ เขาไม่ได้รังเกียจสีเหลือง ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าสีเหลืองทำให้รู้สึกสงบและเป็นสุขมากขึ้นกว่าเดิม
ชายหนุ่มตัดใจปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้จิตดำดิ่งสู่ภวังค์ เพียงไม่นานลมหายใจก็เริ่มสม่ำเสมอ ดอกไม้สีเหลืองกลีบใหญ่หนาไม่เพียงส่งกลิ่นหอมแต่มีบางอย่างแผ่ออกมาคู่กันด้วย ในห้องที่มีเพียงแสงจากโคมบัดนี้มีหมอกจางๆ โรยตัวอยู่โดยรอบ เมื่อเพ่งมองให้ชัดจะพบว่า ห้องนี้ไม่ได้เงียบอย่างที่คิด แต่กลับมีเสียงบางอย่างแทรกอยู่ด้วยคล้ายเสียงสวดมนต์ด้วยความถี่เกินกว่าที่หูของมนุษย์ทั่วไปจะได้ยิน
อคิณไม่ได้อยู่ตามลำพัง ตรงมุมห้องที่เคยว่างเปล่าบัดนี้ปรากฏดวงตาสีแดงก่ำขึ้นคู่หนึ่ง เมื่อมองไปที่ผนังอีกฝั่งก็พบว่ามีดวงตาอีกคู่หนึ่งซึ่งมีสีเดียวกัน ผนังทุกด้านซึ่งเคยว่างเปล่ากลับปรากฏดวงตาสีแดงก่ำซุ่มอยู่โดยรอบนับรวมแล้วไม่ต่ำกว่าสิบคู่ พวกมันไม่ได้ต้องการทำอันตรายเจ้าของห้อง เพียงแต่ต้องการเฝ้าเอาไว้อย่างไม่คลาดสายตา นอกกำแพงบ้าน มีร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาจ้องไปยังหน้าต่างห้องพร้อมแสยะยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นแสงสีเหลืองวาววาบออกมาจากหน้าต่างห้องนอน…
“ดวงของคุณป้าช่วงนี้ดีมากๆ เลยนะคะ จะมีโชคลาภ”
ลูกค้าสูงวัยไม่ยิ้มตอบ แต่ชักหน้าบึ้งใส่
“เมื่ออาทิตย์ก่อนหนูณิก็พูดอย่างนี้ แต่ไม่เห็นมีโชคจริงอย่างที่บอกเลย ป้ารึอุตส่าห์ซื้อทั้งหวยใต้ดินและบนดิน แต่ที่ไหนได้ถูกกินเรียบ เงินทุนมีเท่าไรๆ ก็หายหมด”
คนตรงหน้าบ่น ณิรินจึงได้แต่ยิ้มแหยๆ คติประจำใจของผู้ให้บริการอย่างหล่อนคือ ห้ามขัดใจลูกค้า กิจการของณิรินกำลังเข้าขั้นวิกฤตอาจจะปิดตัวลงเมื่อไรก็ได้ หล่อนเปิดร้านในห้างสรรพสินค้า เป็นห้องเช่าขนาดเล็กเพื่อขายเครื่องประดับหินมงคล เมื่อสองปีก่อนกิจการไปได้สวยเพราะผู้คนกำลังนิยมจึงทำกำไรอย่างงาม
แต่หลังจากนั้นความนิยมก็ลดลงเรื่อยๆ รายได้จากการขายหินไม่พอจ่ายค่าเช่าร้าน หล่อนจึงหันมาดูดวงควบคู่ไปด้วย แม้รายได้จะไม่มากแต่ก็พอประคองตัวไปได้ อาศัยความสามารถพิเศษส่วนตัวกับความช่างสังเกตทำให้ลูกค้าติดใจ แต่มีบางอย่างที่ณิริน ‘เห็นชัด’ แต่เลือกที่จะไม่พูด
“ไม่ถูกรางวัลใหญ่แต่ก็พอมีโชคเล็กๆ น้อยๆ บ้างใช่ไหมคะ” หล่อนเปรย แต่ลูกค้าไม่ยิ้ม หน้าบึ้งตึงกว่าเดิม
“ไม่เลย ทุกอย่างแย่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”
ป้าศรีจันทร์มาเป็นลูกค้าหล่อนเพราะได้ยินกิตติศัพท์ว่า หล่อน ‘เห็น’ ในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ป้ามักจะบ่นว่า ดวงตก ดวงไม่ดี พักนี้ทำอะไรชีวิตมีแต่อุปสรรค ณิรินจึงเสนอดูลายมือกับดูไพ่ให้แทน แม้จะเห็นอยู่ว่า สิ่งที่เป็นปัญหากับป้าตอนนี้คืออะไร แต่ก็เลือกที่จะไม่บอก
“อีกไม่นานป้าก็จะมีโชค เชื่อณิเถอะ”
“ป้าไม่เชื่อหรอก พักนี้มีแต่คนทักว่า ป้าหน้าดำคล้ำ เหมือนคนดวงตก หลายคนพูดตรงกันว่า ที่ป้าดูโทรมขนาดนี้เพราะว่า มีผีมาเกาะหลัง”
ณิรินเหลือบมองป้าศรีจันทร์อีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ จรรยาบรรณของหมอดูจำเป็นอย่างหล่อนทำให้พูดอะไรมากไม่ได้
“ไม่จริงหรอกค่ะคุณป้า คนเราอยู่ๆ จะมีผีมาเกาะหลังได้อย่างไร” หล่อนกลั้นใจโต้ออกไป
“มีสิ ทำไมจะไม่มี” ป้าคนเดิมโต้ ณิรินยิ้มแหยๆ ตอบกลับเสียงอ่อย
“ผีที่ไหนกันคะป้า”
“ก็ผัวป้าไง… ป้ารู้นะว่าเขาไม่ยอมไปผุดไปเกิด ป้าสัมผัสได้ว่า เขายังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ หรืออาจจะกำลังหายใจรดต้นคอกันอยู่เลยด้วยซ้ำ”
ณิรินสะอึก จรรยาบรรณทำให้เลือกที่จะปฏิเสธ
“อย่าคิดมากนะคะป้าศรี ลุงธมไปเกิดแล้วแน่นอน ลุงเป็นคนดี ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็หมั่นทำบุญเข้าวัด แล้วจะมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ได้ยังไง”
ป้าศรีจันทร์ยิ้ม ก่อนชะงักไป ตาเบิกกว้างจ้องณิริน
“เอ๊ะ… หนูณิรู้ได้ยังไงว่าผัวป้าชื่อธม เพราะป้าไม่เคยบอก”
ณิรินตาเหลือก ด้วยความที่เป็นคนมีไหวพริบจึงรีบแตะหลังมือป้า ส่งยิ้มหวาน
“บอกสิคะ ป้าศรีเคยบอกตั้งแต่คราวที่แล้วแต่จำไม่ได้เอง ไม่อย่างนั้นหนูจะรู้ได้ยังไงล่ะ จริงไหมคะ”
ศรีจันทร์หันขวับไปมองด้านหลังอย่างระแวง ณิรินประคองตรงบ่าเพื่อให้ป้าหันมา
“อย่าคิดมากนะคะป้าศรี เชื่อณิ วันนี้ก่อนนอนสวดมนต์สักสามจบ พรุ่งนี้ตื่นมาใส่บาตรติดกันสามวัน รับรองต่อไปโชคดีแน่นอน”
“ให้มันแน่นะหนูณิ… ถ้างวดหน้าป้าไม่ถูกหวยอย่างที่ทำนาย ป้าจะบอกเพื่อนว่าห้ามมาอุดหนุนหนูณิเด็ดขาด โทษฐานที่หลอกลวงคนแก่”
ณิรินยิ้มหวาน ยกมือไหว้
“แน่ค่ะ ณิมั่นใจ พันเปอร์เซ็นต์เลย เลขท้ายคราวนี้ เอ่อ…”
หล่อนหันไปมองด้านหลังป้าศรีจันทร์อีกครั้ง เงี่ยหูฟัง ก่อนตอบ
“สามเก้า… ใช่แล้วค่ะ ออกแน่นอน ณิฟันธง”
ป้าศรีจันทร์ลุกขึ้นสะพายกระเป๋า เดินหน้าตูมออกจากร้านไม่ต่างจากขามาคงเพราะยังค้างคาใจกับเรื่องต่างๆ ณิรินมองตามแผ่นหลังของลูกค้าไปถอนหายใจเฮือก หล่อนยกมือกุมขมับ ตาเหลือบไปยังสิ่งที่ยังยืนตรงหน้า…
หล่อนเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น แต่จะให้บอกได้อย่างไรว่า มีบางอย่างอยู่ติดกับป้าศรีจันทร์จริงๆ มีหวังอีกฝ่ายคงต้องเครียดหนักยิ่งกว่าเดิม ปู่เคยสอนเสมอว่า ไม่ให้บอกใคร เพราะจะยิ่งทำให้เรื่องวุ่นวาย โดยเฉพาะถ้าสิ่งนั้นคือ วิญญาณ…
ลุงธมซึ่งเป็นสามีของป้าศรีจันทร์เสียชีวิตกะทันหันไปเมื่อสองเดือนก่อนด้วยโรคหัวใจขณะกำลังรดน้ำอยู่ในสวน ท่านยังไม่ได้เตรียมใจจึงทำให้วิญญาณยังผูกพันกับภรรยาและไม่ยอมไปผุดไปเกิด เขาไม่ได้ตั้งใจรบกวน อีกทั้งการที่ป้าศรีจันทร์บ่นว่า ดวงไม่ดีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิญญาณลุงธมเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างในชีวิตมนุษย์ขึ้นกับบุญกรรมที่ทำมาในอดีตชาติ มันเป็นสัจธรรม ชีวิตมนุษย์ต้องมีขึ้นลง การไม่มีโชค ไม่ถูกหวย ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะย่ำแย่ เพราะอย่างน้อยป้าศรีจันทร์ก็ไม่ลำบาก มีเงินชดเชยจากกรมธรรม์ของลุงธมที่ทำเอาไว้พอมีพอใช้ได้ไปได้ตลอดชีวิต
ในด้านชีวิตส่วนตัว ท่านมีบ้านเป็นของตัวเอง มีเพื่อนบ้านที่ดี สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงเพราะหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ปัญหาอย่างเดียวนั่นคือความเหงา สองสามีภรรยาแต่งงานกันมาเกือบสี่สิบปีแล้ว ต่างเคยเป็นเงาของกันและกัน ณิรินกลั้นใจเอ่ยออกมา
“ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะคะลุงธม ต่อไปหนูจะไม่ช่วยลุงอีก ”
ลุงธมซึ่งเป็นแค่ร่างโปร่งบางตรงหน้า ทำสายตาอ้อนวอน จนป่านนี้ลุงธมก็ยังตัดใจไม่ได้ เขายังไม่ยอมไปเกิด แต่อยากคอยดูแลภรรยาอยู่อย่างนี้มากกว่า
“ไม่ต้องมาทำสายตาแบบนี้ใส่เลย หนูบอกกี่ครั้งว่า ให้ไปเกิดได้แล้ว เกาะติดกับป้าไปอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ถึงยังไงก็สื่อสารกับป้าไม่ได้อยู่ดี”
ร่างโปร่งตรงหน้า สั่นศีรษะอย่างดื้อดึง ณิรินรู้ดีว่า สาเหตุที่ลุงธมยังไม่ยอมไปตามทางของตนเพราะยังทำใจไม่ได้ แม้หล่อนจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้เปลี่ยนใจมาหลายครั้งแล้ว
“ลุงกลับได้แล้วค่ะ หนูจะปิดร้าน คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ หนูไม่อยากกลับบ้านดึก”
กลุ่มพลังงานพยักหน้ารับคำและหายวับไป ณิรินหันมาเก็บสัมภาระทั้งหมดลงกล่องเหล็ก ของเหล่านี้ไม่มีค่าชวนขโมยเลยแม้แต่น้อย ถ้าเทียบกับบรรดาร้านค้าที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ไหนจะร้านขายเครื่องประดับพวกเพชรพลอยที่มีชื่อว่า มิลเลเนียมจิวเวลรี่ หรือร้านทองโบราณที่มีลูกค้าเดินเข้าออกกันให้ควั่ก ร้านเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงนำเข้าจากต่างประเทศ โชว์รูมรถสปอร์ตที่ตั้งอยู่กึ่งกลางที่มีลูกค้าแวะเวียนไปจับจองไม่ได้ขาด ถ้าเทียบกับร้านอื่นแล้วหล่อนเหมือนมาอยู่ผิดที่ผิดทางเสียมากกว่า ณิรินไม่แน่ใจว่า ผู้จัดการห้างฯ จะตัดใจไม่ต่อสัญญาเมื่อใด จึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการตกงานอยู่เสมอ
สายตากวาดมองไปรอบๆ ห้าง พนักงานร้านอื่นทยอยกันเก็บของและเริ่มปิดไฟในร้าน ณิรินล็อกร้านเรียบร้อย หล่อนหยิบแว่นตาที่ปู่ให้ขึ้นมาสวม สะพายเป้ขึ้นหลังเดินออกไปยังที่จอดมอเตอร์ไซค์ สตาร์ทเครื่อง เงาบางอย่างผ่านแวบข้ามรถไป แต่ณิรินก็เลือกที่จะไม่สนใจ หล่อนบริกรรมคาถาที่เคยท่องมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ ผลของคาถาทำให้ยันต์ที่สลักอยู่ตรงขาแว่นเปล่งประกายเรื่อเรืองจนเห็นตัวอักษรบาลีที่เรียงกันเป็นแถวสีแดงสด
ยันต์นี้ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ แต่เพื่อปิดกั้นไม่ให้ณิรินต้องเห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็นต่างหาก ความสามารถที่มากเกินไปจนบางครั้งก็เป็นภาระทำให้หล่อนต้องหาทางออก หญิงสาวบิดคันเร่งส่งผลให้มอเตอร์ไซค์กระชากตัวออกไปด้วยความเร็ว ปู่เคยกำชับว่า อย่าขับรถเร็วเกินไปนัก ณิรินได้แต่หวังว่าปู่จะไม่รู้…
ณิรินยังไม่ได้ผลักประตูเข้าไปในบ้าน เสียงทักก็ดังขึ้นก่อน หล่อนไม่ประหลาดใจเพราะทุกครั้งปู่มักจะรู้ก่อนการมาของหล่อนแทบทุกครั้ง ร่างของชายสูงวัยนุ่งขาวห่มขาวทั้งชุด นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟากลางบ้าน
“วันนี้ขี่รถเร็วอีกใช่ไหม ปู่บอกแล้วไงว่าอย่าซิ่ง”
ปู่เตือนเสมอเรื่องการขี่รถเร็วเพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุ ถ้าเป็นวันอื่นหล่อนคงเชื่อฟัง แต่วันนี้เป็นเพราะหล่อนรีบ อาจเป็นเพราะ ‘สายสืบ’ ที่ปู่ส่งมาติดตามแอบมาฟ้องก็เป็นได้ เพราะเหตุนี้เองบรรดาเพื่อนบ้านถึงไม่ค่อยอยากย่างกรายมาใกล้บ้านหล่อนสักเท่าไร บ้างก็ว่ากลัวของ บ้างก็ว่ากลัวเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธ์หรือแม้แต่วิญญาณ
ปู่ของหล่อนเป็นผู้ร่ำเรียนไสยเวทย์ เลยทำให้ชาวบ้านพาพูดกันว่า เล่นของ แต่แท้จริงแล้วเพราะปู่ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมมาจากปู่ทวดนั่นเอง สมัยก่อนท่านเคยเป็นร่างทรงช่วยปัดเป่าทุกข์ให้กับชาวบ้านโดยแลกค่ายกครูเพียงเล็กน้อยแค่พอประทังชีวิต แม้ฐานะจะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนร่างทรงคนอื่นแต่ปู่ก็มีความสุข
หลังจากปู่วางมือจากการเป็นร่างทรง ท่านก็ใช้ชีวิตอย่างสมถะ บ้านหลังนี้ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงากับไม้ดอก ปู่เริ่มปลูกตั้งแต่ต้นไม้ยังเป็นต้นเล็กๆ ผ่านมาสิบปี ต้นไม้แผ่กิ่งก้านสวยงามให้ความร่มรื่น ไม้ประดับแต่ละกระถางที่ห้อยอยู่โดยรอบเป็นฝีมือปู่ทั้งหมด ท่านใช้ต้นไม้เป็นเครื่องคลายความเหงา ด้านหลังบ้านมีแปลงพืชผักสวนครัว ทั้งกะเพรา พริก ผักบุ้ง คะน้า บวบ โหระพา ผลัดเปลี่ยนกันไปไว้สำหรับใช้ทำกับข้าว
สองปู่หลานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม้ละแวกบ้านหล่อนจะมีขโมยบ้าง แต่เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปกปักคุ้มครองจึงไม่เคยประสบปัญหานั้น ณิรินไม่ได้กลัวสิ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านเลยแม้แต่น้อย มันคงเป็นความคุ้นเคย เคยชิน หรือจะเรียกอะไรก็ว่าได้
“โอ๊ย ไม่ไหวหรอก ปู่ก็รู้นี่คะว่า วิวถนนกลับบ้านเรามันน่ากลัวขนาดไหน ยิ่งเป็นคืนเดือนเพ็ญแบบนี้ด้วย”
เส้นทางเข้าบ้านค่อนข้างเปลี่ยวเพราะอยู่สุดซอย ต้องผ่านบ้านหลายหลัง เริ่มจากหลังแรกตรงต้นซอยที่เจ้าของเพิ่งจะหัวใจวายตายไปเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง ลุงศักดิ์คงไม่ได้เตรียมตัวที่จะจากไปเร็วขนาดนี้ ท่านถึงยังนึกว่า ตัวเองต้องวิ่งออกกำลังกายอยู่หน้าบ้านเหมือนกับที่เคยทำประจำทุกเช้าแต่พอเปลี่ยนมาวิ่งตอนดึกก็ทำให้น่ากลัวมากขึ้นไปอีก
เช่นเดียวกับบ้านอีกหลังที่เจ้าของคือ คุณยายที่มักจะตื่นมาใส่บาตรตอนตีห้าทุกวัน หลังจากเสียชีวิตกะทันหันยายจึงยังสับสนกับเวลา ดังนั้น พอขี่รถผ่านจึงเห็นอดีตเจ้าของบ้านตั้งโต๊ะรอใส่บาตรตอนสี่ทุ่ม และบ้านสุดท้ายเจ้าของเป็นหญิงสาววัยรุ่นที่เพิ่งผูกคอตายเมื่อสามวันที่แล้วเนื่องจากถูกแฟนหนุ่มสลัดรัก หล่อนเป็นคนรักสวยรักงามมาก ภาพที่เห็นจนชินตาคือ เจ้าของมักจะออกมานั่งแต่งหน้าแต่งตัวอยู่หน้าบ้านเป็นประจำแม้กระทั่งยามไม่มีชีวิต
“ก็แค่เห็น… ถึงยังไงพวกเขาก็ทำอะไรเอ็งไม่ได้ไม่ใช่หรือ”
“โธ่ปู่… ก็หนูยังไม่ใจแข็งแบบปู่นี่นา บางคนก็มายืนทำตาปริบๆ บางคนมาก็อ้อนวอนขอให้ช่วย หนูไม่เผลอตะโกนแหกปากลั่นซอยตอนขี่รถก็บุญโขแล้ว”
“พวกเขาแค่มาขอส่วนบุญ เอ็งก็ต้องรู้จักทำใจ หมั่นแผ่ส่วนกุศลให้พวกเขาเยอะๆ วิญญาณจะได้ไปผุดไปเกิด”
“แค่ส่งกระแสจิตมาก็พอมั้ง ไม่เห็นต้องมาให้เห็นเนื้อๆ เน้นๆ แบบนี้เลย มันหลอนออก แค่คิดก็ขนหัวลุกแล้ว”
สิ่งที่ณิรินกลัวที่สุดคือการเห็นภาพบาดตา ความสามารถพิเศษนี้จะเด่นชัดมากในคืนวันเพ็ญ และเหมือนชะตากลั่นแกล้งที่หล่อนมักจะต้องกลับบ้านค่ำในช่วงเวลาแบบนี้อยู่เสมอ
“เอ็งควรจะทำตัวให้ชิน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย”
ณิรินส่ายหน้า หล่อนไม่มีวันชินอย่างแน่นอน เด็กสาวรู้จักกับความพิเศษนี้ตั้งแต่ห้าขวบ หล่อนกระโดดลงไปเล่นน้ำในคลองพร้อมกับเพื่อน แต่โชคร้ายที่ถูกเถาวัลย์เกี่ยวขาจึงจมน้ำ พ่อกับชาวบ้านกระโดดลงไปช่วยหล่อนและใช้เวลาหาอยู่นาน เมื่อช่วยขึ้นมาได้เด็กสาวอยู่ในสภาพโคม่าอยู่ในห้องไอซียูเป็นเวลาถึงสองวันเต็มๆ แต่พอฟื้นขึ้นมาก็พบว่า ญาติติโกโหติกาทุกรุ่นล้วนแต่มายืนให้กำลังใจกันติดขอบเตียง โชคร้ายที่หล่อนจำได้ว่า พวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว
เด็กหญิงสาวร้องไห้จ้าตลอดเวลาและไม่ยอมเปิดตา ร้อนถึงหมอที่ต้องมาตรวจอาการเพราะคิดว่าสมองกระทบกระเทือน จนกระทั่งปู่มาเยี่ยมที่โรงพยาบาลและเอายันต์กับสร้อยคอปลุกเสกมาคล้องรอบคอ ภาพเหล่านั้นถึงได้หายไป ณิรินในวัยเด็กไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรตนถึงเห็นวิญญาณ ปู่ต้องนั่งอธิบายให้ฟังอยู่นานกว่าจะเข้าใจ ครั้นพอออกจากโรงพยาบาล ความสามารถพิเศษนั้นก็ยังคงอยู่ หญิงสาวต้องปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงนับจากวันนั้นเป็นต้นมา…
“เนตรทิพย์ของเอ็งถูกเปิดแล้ว และจะอยู่กับเอ็งไปตลอดชีวิต”
เด็กหญิงวัยห้าขวบไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี แต่สิ่งที่หล่อนเห็นและพูดออกไปโดยไม่คิด ทำให้ณิรินแทบไม่มีเพื่อน อีกทั้งหล่อนยังต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ปู่จึงเริ่มถ่ายทอดวิชาพื้นฐานให้ ณิรินจึงเป็นเด็กหญิงคนแรกที่ร่ำเรียนวิชาอาคมตั้งแต่ห้าขวบ แต่เพราะหล่อนไม่หมั่นฝึกปรือจึงไม่เก่งเท่าปู่ และอาคมพื้นๆ เหล่านั้นก็ยังปิดกั้นสิ่งที่เห็นจากญาณวิเศษไม่ได้ทั้งหมด หล่อนยังต้องหวาดกลัวกับคืนวันเพ็ญอยู่ดี
“ถึงยังไงหนูก็ยังไม่ชินหรอกปู่”
“เถียงคำไม่ตกฟาก เอ็งรีบไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมากินข้าวได้แล้ว ปู่ทำน้ำพริกกะปิ ปลาทูของโปรดเอาไว้ให้ แล้วยังมีมะม่วงน้ำปลาหวานที่เอ็งบ่นอยากกินเมื่อวันก่อน มีมะม่วงเขียวเสวยเพิ่งสอยลงมาจากต้น”
“ปู่ใจดีที่สุดเลย ทำของโปรดเอาไว้ให้… แค่พูดหนูก็หิวแล้ว”
ท่านลูบหัวณิริน เอื้อมมือไปหยิบจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้
“อ้อ… นี่จดหมายของเอ็งเพิ่งส่งมาถึงวันนี้”
ณิรินชี้นิ้วเข้าหาตัว ร้อยวันพันปีหล่อนไม่เคยมีจดหมาย ยกเว้นบิลค่าน้ำค่าไฟ เพื่อนที่มีอยู่ส่วนใหญ่ก็ใช้การส่งข้อความผ่านทางโปรแกรมมือถือด้วยกันทั้งนั้น
“ใช่… จากโรงเรียน”
ณิรินรับซองจดหมายมา พอเห็นตราตรงมุมซองก็จำได้ หล่อนเปิดออกอ่าน ข้างในคือ การ์ดเชิญพร้อมวันเวลา หล่อนเหลือบมองชื่อโรงเรียนแล้วถอนหายใจ
“เอ็งคิดจะไปหรือเปล่า ไหนๆ ก็ลาออกมาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ”
“หนูขอคิดดูก่อนนะปู่ บอกตรงๆ ว่า โรงเรียนนั้นมีแต่เรื่องที่อยากจะลืม หนูไม่รู้ว่าไปแล้วจะเจอใครด้วย”
“ถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่ต้องไป บางเรื่องถ้าอยากลืม ก็แค่เดินออกมาจากมันเสีย มันก็หมดเรื่อง”
ณิรินเก็บคำพูดของปู่กลับมาคิด แต่สุดท้ายความทรงจำก็ทำให้ต้องหยิบหนังสือรุ่นขึ้นมาดู หล่อนได้รับมานานมากแล้ว เพราะเพื่อนส่งมาให้แต่ไม่เคยเปิดออกดู ได้แต่เสียบไว้บนชั้นจนฝุ่นเกาะ หลายคนประหลาดใจว่า เพราะอะไรเด็กสาวที่มาจากครอบครัวคนชั้นกลางอย่างหล่อนถึงได้มีโอกาสได้เรียนในโรงเรียนอินเตอร์อันดับหนึ่งของเมืองไทยทั้งที่ค่าเทอมแพงหูฉี่ เหตุผลก็เพราะบิดาต้องการให้หล่อนได้มีพื้นฐานภาษาที่ดีเหนือคนอื่น ท่านถึงได้กัดฟันส่งเสียหล่อน เงินเก็บในครอบครัวถูกปันไปจ่ายค่าเทอม แต่ใครจะนึกว่า หลังจากเข้าเรียนได้เพียงปีเดียว ก็เกิดเรื่องร้ายกับครอบครัวขึ้นและทำให้ณิรินไม่ได้เรียนต่อที่โรงเรียนเดิม
พ่อกับแม่ของหล่อนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุพร้อมกัน ณิรินกำพร้า ปู่รับหล่อนมาเลี้ยงดูและให้ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้แทน เนื่องจากค่าเทอมแพงมาก ปู่ไม่มีปัญญาส่ง หญิงสาวจึงลาออกจากโรงเรียนทันทีที่สอบเสร็จ
จะว่าไปแล้วหล่อนเองก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์กับโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย ณิรินมีเพื่อนน้อยนับคนได้ ความแตกต่างทำให้หล่อนแปลกแยก เพื่อนที่โรงเรียนล้วนแต่เป็นคนมีฐานะ บ้านร่ำรวย เพราะเป็นเจ้าของกิจการ เป็นนายธนาคาร หรือไม่ก็มีพ่อเป็นเศรษฐีอยู่ต่างประเทศ หญิงสาวพลิกหนังสือรุ่นเปิดทีละหน้าอย่างเบามือ รูปของนักเรียนในห้องทำให้ความทรงจำย้อนกลับมาอีกครั้ง เด็กหญิงหน้าตาเด๋อด๋าที่ซุกตัวอยู่ริมสุดของรูป โชคดีหน่อยที่หล่อนสูงถึงได้อยู่แถวหลัง ปู่เคยถามหล่อนตอนที่ลาออกจากโรงเรียน
“เอ็งเสียใจไหมที่ต้องลาออกจากโรงเรียนกลางคัน”
ไม่… หล่อนไม่เคยเสียใจที่ต้องลาออก ตลอดเวลาณิรินรู้สึกเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง นักเรียนในห้องล้วนแต่ร่ำรวย ทุกคนมีมือถือราคาแพงใช้ ต่างใช้ของแบรนด์เนมทั้งรองเท้า กระเป๋า แม้แต่อุปกรณ์เครื่องเขียน ณิรินไม่ได้อยากได้ อยากมีของหรูหราฟุ่มเฟือยแบบนั้น แต่ก็อดที่จะรู้สึกแปลกแยกไม่ได้
หญิงสาวมองภาพถ่ายนักเรียนในห้องที่อยู่ติดกัน ยังมีอีกคนที่แตกต่างเหมือนๆ กับหล่อน เด็กสาวนั่งอยู่มุมสุด ใบหน้าเรียวรูปไข่ ซีดเซียว ผอมเกร็งจนเห็นกระดูก ยิ่งเมื่อนึกถึงท่าเดินประจำตัวที่ชอบก้มหน้ามองพื้นตลอดเวลาผนวกกับความหวาดกลัวที่ปรากฏในแววตาก็อดสงสารไม่ได้
ถ้าจะมีคนที่ทำณิรินให้รู้สึกผิด ก็คือเพื่อนคนนี้ หล่อนจำได้แค่ชื่อเล่นว่า ‘บุษ’ เพื่อนคนนี้เป็นคนเงียบ เก็บตัว ไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าไปคุยด้วย แต่ก่อนหน้าที่จะถึงการสอบเพียงไม่กี่วัน เพื่อนสาวคนนั้นก็ชิงลาออกจากโรงเรียนโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ มีคนบอกว่า หล่อนโดนแกล้งจากกลุ่มหัวโจกประจำโรงเรียน
ณิรินอยากติดต่อเพื่อหาเหตุผลแต่ไม่มีใครในโรงเรียนรู้เบอร์โทรศัพท์ หรือที่อยู่ หล่อนจึงไม่รู้จะช่วยยังไง เมื่อเทศกาลสอบมาถึง ทุกคนจึงพากันลืมเพราะต้องเร่งอ่านหนังสือสอบ หญิงสาวรู้สึกผิด ไม่ได้ หล่อนควรจะช่วยเพื่อน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หล่อนมองภาพถ่ายที่สีซีดจางไปตามเวลา อดสงสัยไมได้ว่า ป่านนี้เพื่อนคนนี้จะไปอยู่ที่ไหนแล้ว อดีตที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วจะส่งผลอะไรต่อชีวิตหรือเปล่า ณิรินได้แต่สงสัย…
อคิณเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์เมื่อเห็นน้องสาวเดินลงบันได ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับครอบครัวอื่นที่จะกินอาหารเช้าพร้อมกัน แต่คงไม่ใช่สำหรับพลอยพยัพแน่
งานของน้องสาวคือเป็นนางแบบ รับเดินแบบและถ่ายโฆษณา แต่ก็เป็นงานไม่ประจำ เพราะทุกอย่างขึ้นกับอารมณ์ของน้องสาวเป็นหลัก อารมณ์ดีก็รับ อารมณ์ไม่ดีก็อาละวาดจนเจ้าของผลิตภัณฑ์พากันส่ายหัว น้องสาวแทบไม่เคยตื่นก่อนเก้าโมงยกเว้นมีงานสำคัญจริงๆ
“นึกยังไงวันนี้ถึงตื่นแต่เช้า”
อคิณถามออกไป ผลก็คือ น้องสาวเบ้หน้าใส่
“แหมพี่เพชรคะ พูดแบบนี้พลอยเสียหายหมด เดี๋ยวคนก็คิดว่า พลอยขี้เกียจกันพอดี”
“ใครจะกล้าว่าพลอย ไหนเราจะตอบได้หรือยังว่า ทำไมถึงได้ลงมาตอนนี้”
พลอยพยัพแสร้งเบ้หน้า ทรุดตัวลงนั่งข้างอคิณ
“พลอยนัดกับร้านเสื้อไว้ค่ะ ช่วงบ่ายทางร้านเขาติดลูกค้า พลอยขี้เกียจไปนั่งรอ เสียเวลา”
“แค่ชุดที่มีอยู่เต็มตู้ ยังไม่พออีกหรือ ทำไมถึงต้องตัดชุดใหม่”
“พี่เพชร ก็… งานคืนสู่เหย้าโรงเรียนทั้งที พลอยก็ต้องแต่งตัวสวยหน่อย ขืนใส่ชุดเก่าไปมีหวังเพื่อนหัวเราะตาย”
“พี่ยังคิดว่าเราไม่อยากไปเสียอีก”
“ตอนแรกก็ไม่อยากไปเท่าไร แต่อาจารย์ใหญ่อุตส่าห์โทร.มาด้วยตัวเอง บอกว่าปีนี้เป็นปีที่พิเศษ ครบรอบก่อตั้งโรงเรียน พลอยเลยปฏิเสธไม่ออก อีกอย่างเพื่อนในห้องพลอยไปกันทุกคน ทั้งนาวา ทั้งวีวี่ ป่านนี้คงเตรียมชุดกันเรียบร้อยแล้ว พลอยไม่อยากแพ้เพื่อน นี่พี่เพชร ตั้งใจจะไม่ไปหรือคะ ไม่ได้นะคะ อาจารย์ยังฝากบอกพี่ว่าต้องไปให้ได้”
พลอยพยัพเป็นดาวเด่นของโรงเรียน ส่วนเพื่อนซี้อีกสองคนอยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่เกรดหนึ่งจึงสนิทกันมาก หลายครั้งที่อคิณไม่ค่อยชอบนิสัยของเพื่อนน้องสาวสักเท่าไรนัก ทั้งนาวาและวิกานดาล้วนแต่เป็นสาวสังคม และชอบชวนพลอยพยัพไปช้อปปิ้ง ทำเรื่องไร้สาระ แต่ด้วยความเกรงใจน้อง จึงพูดอะไรมากไม่ได้
“แต่พี่ไม่อยากไป ตอนนี้ก็แทบไม่รู้จักใคร”
“ไม่รู้จักได้ยังไงกันคะ คนอื่นเขารู้จักพี่เพชรด้วยกันทั้งนั้น ดาวเด่นของโรงเรียน ทั้งหล่อ ทั้งเก่ง”
สมัยเรียนอคิณเป็นคนที่ทุกคนสนใจ ทั้งนี้เพราะหน้าตาที่โดดเด่น ใบหน้าคมสัน คิ้วเข้ม ดวงตาคมกริบ จมูกโด่ง แต่เป็นเพราะเขาไม่เคยสนิทกับผู้หญิงคนไหน คนในโรงเรียนจึงตั้งฉายาว่าเป็นเจ้าชายน้ำแข็ง
“วันนั้นพี่มีประชุมกรรมการบริษัทด้วย คงยุ่งมาก” ชายหนุ่มกำลังปฏิเสธกลายๆ แต่พลอยพยัพไม่ยอมแพ้ เอื้อมมาเกาะแขน
“ทันสิคะ จากบริษัทเราไปโรงเรียนแค่แป๊บเดียวเอง ถ้ารถติด พี่ก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปก็ได้ พลอยจะรอนะคะ พลอยเชื่อว่าพี่เพชร ต้องทำได้”
พลอยพยัพเอียงหน้ามาซบ อคิณรู้ดีว่านี่คือ การออดอ้อนแกมบังคับ น้องสาวเป็นคนน่ารักแม้จะเอาแต่ใจตัวเองไปนิด เพราะอย่างนี้เองจนป่านนี้แล้วยังไม่มีแฟน ผู้ชายที่เข้ามาจีบล้วนแต่ต้องถูกใช้งานเยี่ยงทาส บ้างก็ให้พาไปช้อปปิ้ง ซึ่งพลอยพยัพก็แกล้งโดยการรูดบัตรอย่างเมามันจนอีกฝ่ายทนไม่ไหว หรือบางทีเจ้าหล่อนก็เอาแต่ใจ อยากได้นู่นอยากได้นี่จนฝ่ายชายเอือมระอา
“เอาเป็นว่า พี่จะพยายามแล้วกัน แต่ไม่รับปาก”
“เย้ เย้ พี่เพชร น่ารักที่สุดเลย”
พลอยพยัพยื่นหน้าไปหอมแก้มพี่ชายฟอดใหญ่
“คุยอะไรกันอยู่หรือสองพี่น้อง ท่าทางสนุก” นิรัชชาประคองคุณพิรัชต์ลงมาจากบันได พอเห็นอคิณจึงลุกขึ้นไปประคองบิดามานั่งที่โต๊ะ
“วันนี้คุณพ่อสีหน้าสดชื่นขึ้นนะครับ”
“แน่นอน ได้พักผ่อนเต็มๆ แบบนี้ค่อยดีหน่อย แล้วแกล่ะ งานที่บริษัทมีอะไรหนักใจหรือเปล่า” พิรัชต์ซึ่งเป็นห่วงงานเสมอ ถามขึ้น
“พ่อดีใจที่ได้ยินแกพูดอย่างนี้ เดือนหน้าแกต้องเข้ารับงานเต็มตัวแล้ว จังหวะนี้ล่ะที่จะพิสูจน์ให้กรรมการทุกคนเห็นว่าแกมีดีจริงๆ”
“โธ่ คุณพี่คะ ทำไมต้องพูดเรื่องงานตั้งแต่เช้าด้วย น่าเบื่อออก” นิรัชชาเดินกระแทกส้นไปนั่งเก้าอี้ หล่อนรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินทุกครั้งยามพ่อลูกคุยกันเรื่องงาน
“ก็ผมเป็นห่วงคิณ ทำไมจะถามไม่ได้ ทีคุณผมยังไม่เคยพูดเรื่องยอดบัตรเครดิตเลย” พิรัชต์โพล่งขึ้น นิรัชชาหน้าบึ้งกว่าเดิม หล่อนเป็นภรรยาของเขา แต่กลับไม่เคยได้ช่วยสามีทำงาน ดีแต่หาเรื่องใช้เงินไปวันๆ
“นี่คุณพี่ว่านิหรือคะ”
“ผมไม่ได้ว่า แต่อยากให้คุณเพลาๆ การใช้เงินหน่อย ยอดบัตรเครดิตเดือนนี้เท่าไหร่ รู้ไหม”
“แต่สำหรับคุณ เงินจำนวนนี้ไม่ได้มากเลยนะคะ อีกอย่างนิไม่มีเวลาออกไปทำอะไรเลยเพราะต้องอยู่ดูแลคุณ”
นิรัชชามักจะใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างว่า หล่อนต้องอยู่บ้านเพื่อดูแลพิรัชต์ซึ่งตอนนี้เป็นโรคหัวใจ ครั้นพอมีเวลาไปเดินห้างหญิงสาวจึงรูดบัตรไม่ยั้ง พิรัชต์เองก็รักและตามใจภรรยาสาวมาตลอดจึงไม่ได้เอ่ยปากห้าม
“อ้างแบบนี้ตลอด แต่ที่จริงช้อปเพลินเสียมากกว่า”
พลอยพยัพค่อนแคะ นิรัชชาถลึงตาดุ แต่ไม่กล้าเถียง พลอยพยัพกับแม่เลี้ยงไม่ถูกกันแต่ไหนแต่ไรแล้ว นับตั้งแต่นิรัชชาแต่งงานเข้ามาอยู่บ้านนี้ได้สองปี สองสาวก็ทะเลาะกันมาตลอด อคิณเลือกที่จะไม่ออกความเห็นเพราะรู้ว่าเป็นความสุขของบิดา ตั้งแต่มารดาซึ่งเป็นชาวเยอรมันเสียชีวิตไปจากโรคมะเร็ง บิดาก็ไม่เคยแต่งงานใหม่ มีบ้างที่ควงสาวเล่นแก้เซ็ง นิรัชชามีข้อดีเหนือคนอื่นคือเป็นคนช่างเอาใจ ชีวิตที่เคยเงียบเหงาของพิรัชต์จึงมีความสุขมากขึ้น แม้หล่อนจะใช้เงินมือเติบแต่ก็ช่วยดูแลบิดาจริงๆ
“เรามากินข้าวกันดีกว่าครับคุณพ่อ… แม่อิ่มตักข้าวต้มให้ทุกคนหน่อย” อคิณเห็นถึงความตึงเครียดจึงรีบไกล่เกลี่ย แม่บ้านอาวุโสรู้งานจึงรีบตักอาหารให้ทุกคน
“วันนี้ข้าวต้มกุ้งน่ากินจริงๆ” พิรัชต์พูดขึ้น
“ดิฉันออกไปตลาด เห็นกุ้งสดมากค่ะ เลยซื้อมาทำให้คุณท่าน ต้องกินเยอะๆ นะคะ” แม่อิ่มเป็นแม่ครัวของบ้านนี้มาตั้งแต่อคิณเกิด เขารู้สึกเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของบ้าน ทุกวันนี้ภายในบ้านมีแม่บ้านสี่คนอยู่ภายใต้การดูแลของแม่อิ่ม ระหว่างที่ทุกคนกำลังกินอาหารเช้า แม่บ้านอีกคนซึ่งอายุน้อยกว่าก็ถือกล่องพัสดุเข้ามาพอดี
“เอ๊ะ นั่นมะลิถืออะไรเข้ามา”
สายตาทุกคู่ต่างหันไปมอง โดยเฉพาะอคิณที่จ้องมองของสิ่งนั้นไม่วางตา เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง…
“พัสดุค่ะคุณท่าน จ่าหน้าถึงคุณพิรัชต์”
พิรัชต์วางช้อนลง รับพัสดุมาวางบนโต๊ะ นิรัชชาชะโงกหน้ามาดูอย่างสนใจ ลายมือที่เขียนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยบนกล่องดูไม่คุ้นเลยแม้แต่น้อย
“ของใครส่งมาหรือคะ”
“ไม่รู้สิ… ไม่มีชื่อคนส่งด้วย”
แม่อิ่มยื่นกรรไกรส่งให้อย่างรู้หน้าที่ เพื่อใช้ตัดเชือกที่ผูกอยู่ น่าแปลกที่บนกล่องพัสดุมีแค่ชื่อผู้รับพร้อมที่อยู่ แต่ไม่มีชื่อผู้ส่งเลยแม้แต่น้อย พิรัชต์เปิดกล่องดูแล้วก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ภายในมีถุงกำมะหยี่สีดำอยู่ข้างในอีกชั้นพร้อมกับกระดาษสองแผ่น พลอยพยัพซึ่งตอนแรกไม่สนใจก็หันมามองบ้าง ส่วนอคิณนั้นเงียบ
“ข้างในคืออะไรหรือคะคุณพ่อ”
พิรัชต์เปิดถุงกำมะหยี่ออก เมื่อเห็นของด้านในก็ยิ่งตกใจ บุษราคัมน้ำงามที่สุดเท่าที่เคยเห็น ที่สำคัญคือ ขนาดของมันใหญ่มากเกือบเท่านิ้วโป้ง ประกายที่สะท้อนกับแสงไฟบอกให้รู้ว่าราคาคงแพงมาก เนื้อพลอยใส เจียระไนเป็นรูปเหลี่ยม คะเนด้วยสายตาน้ำหนักคงไม่ต่ำกว่าสิบกะรัต เมื่อเปิดดูกระดาษแผ่นเล็กพบว่าเป็นใบรับรองอัญมณี
“นี่มัน….”
ความสงสัยในอัญมณีปริศนาทำให้พิรัชต์รีบเปิดจดหมายออกอ่าน เขาประหลาดใจว่าเพราะอะไรถึงได้มีคนส่งของราคาแพงมาให้ ที่สำคัญ คือส่งทางไปรษณีย์แทนการนำมาให้ด้วยตัวเอง
“เรียน คุณพิรัชต์ ดิฉันขอมอบของชิ้นนี้ให้กับครอบครัวกรัญย์สกุลเพื่อตอบแทน ดิฉันจะไม่มีวันลืมสิ่งที่ครอบครัวคุณมอบให้ และทำให้ดิฉันเป็นดิฉันจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความเคารพและระลึกถึง”
พิรัชต์พลิกดูกระดาษอีกด้านเพื่อหาชื่อผู้ส่งหรือคนเขียนจดหมาย แต่กลับไม่มีอะไรที่จะสื่อได้เลยว่าเป็นของใคร บุษราคัมน้ำงามเม็ดนี้มาถึงบ้านหลังนี้ได้อย่างไร และใครกันที่ส่งของชิ้นนี้มาให้ นั่นคือปริศนาที่ครอบครัวนี้ต้องขบคิดให้ตก…