ดาราอรุณ บทที่ 12 : ตีตราจอง

ดาราอรุณ บทที่ 12 : ตีตราจอง

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

นางพริ้งก็ได้แต่มองดวงหน้าหญิงสาวผู้ที่นางเคยผูกพัน ดังนั้นจึงเพ่งแล้วพิศอีกอย่างชื่นชม พลางชวนคุยถึงนายชัดบิดาหล่อน ลมเย็นก็เล่าคร่าวๆถึงกิจวัตรประจำวันที่พ่อต้องทำ ผู้ฟังจึงเอ่ยชมอย่างจริงใจ

“ดีนะเย็น งานของคุณชัดเป็นงานดีทั้งนั้นเลย…คือทำแล้วได้ช่วยคนให้หายป่วย หมอดูก็ช่วยเขาทางใจ ช่วยแนะนำให้เขาได้เห็นทางออก” หญิงกลางคนท่าทาง ‘บ้านๆ’ แต่ความคิดอ่านเลยไกลไปจนเท่าทันความผันแปรของหลายเส้นทางบอกกล่าว “ทั้งหมอยาหมอนวดหมอดูล้วนแต่ดี ขอให้มีฝีมือจริงแค่นั้น…แต่งานเพชรพลอยนี่มันเสี่ยงมากเลยหนู…เสี่ยงหลายอย่าง…ที่แย่มากก็ตอนที่มีของปลอมหลงเข้ามาแล้วตาไม่ถึง เพราะของปลอมสมัยนี้ก็ปลอมกันชนิดได้ที่หนึ่งกันเยอะขึ้นนะเย็น”

“หรือคะป้า…เย็นไม่ค่อยทราบเรื่องนี้สักเท่าไหร่เลยค่ะ แต่ก็โชคดีที่ไม่ค่อยได้นึกอยากใส่ของมีค่า…คือ ก็กลัวทำหายไงคะ…เพราะหนูก็ต้องทำหลายอย่างในบ้านน่ะค่ะ” หญิงสาวบรรยาย อย่างน้อยป้าพริ้งผู้ไม่เคยพบเจอกันนานปีก็อาจจะรำลึกได้ถึงกาลครั้งหนึ่ง ทั้งสองครอบครัวเคยไปมาหาสู่กลมเกลียวกันเป็นอันดี ราวพี่น้องคลานตามกันมา แต่นายหันสามีนางนั่นเองที่ทำตนเป็นผู้กว้างขวางยัดเยียดน้องตัวเองให้เพื่อนโดยเพื่อนไม่เล่นด้วย จนถึงแก่พาลกล่าวหานายชัดว่าเห็นน้องหทัยไม่มีราคา  แม้นางเองก็ยังนึกขำขันอยู่ในใจ…ความรักใคร่เป็นของส่วนตน โอนให้ใครไม่ได้ หรือจะแบ่งแบบไหนก็หามีหญิงชายคนใดรับได้ไม่ ฉะนั้นจึงเข้าข้างหัวใจนายชัดตลอดมา แต่ก็เงียบไว้ตามประสาหญิงผู้ยกสามีให้เป็นช้างเท้าหน้า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่เน้นการขัดแย้ง “บางทีก็ต้องช่วยน้าเคี่ยวยาเหมือนกันค่ะ”

“ดีจังนะ…หนูน่ารักมาก เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้พ่อแม่ได้”  นางพริ้งยังคงมองลมเย็นอย่างปลื้มแทนครอบครัวหล่อน เพราะเหินเองก็เคยมาเล่าบ้างเหมือนกันว่า เสาหลักอีกเสาของบ้านอาชัดคือลูกสาวคนโต

นายหันกับหิ้งเดินตามกันออกมาพอดี ชายหนุ่มมีหีบเล็กๆในมือ มาวางลงตรงหน้าหญิงสาว

“เอ้า…หนู…ลุงให้หนูเลือกเอาอย่าง…อยากให้แหวนหนูสักวง…หิ้งก็อยากให้…ไหงใจมาตรงกันได้ก็ไม่รู้” พลางอีกฝ่ายก็ยิ้มแย้มอารมณ์ดี ภาพที่เคยร้ายหายสิ้นราวถูกเก็บกวาดขณะเปิดกล่องสีแดงเล็กๆที่มีแหวนเสียบเป็นแถว ทั้งเพชร ทับทิม มรกต และอื่นๆ พร้อมกับบอก “นี่ของแท้ทั้งนั้นเลยนะหนูเย็น ลุงเก็บไว้นานแล้ว ไม่คิดจะขายเพราะเดี๋ยวนี้หาไม่ได้แล้ว…ก็คิดดู เพชรนี่ก็จากแอฟริกาใต้นะหนู…”

นายหันพูดพลางดึงแหวนเพชรเกลี้ยงๆหากงดงามด้วยแสงแสนคมดูเจิดจ้า ส่งให้หิ้งพลางบอก

“ลองสวมนิ้วนางหนูเย็น ดูซิจะชอบไหม”

ผิวหน้าลมเย็นจึงแดงระรื่นขึ้นมาอย่างมิวายเก้อเขิน พร้อมนึกในใจ

‘ดาวศุกร์เดินมาถึงไหนแล้ว ถึงได้เกิดอะไรแบบนี้ได้’

หากก็ถามเจ้าของบ้าน

“ลุงให้หนูสวมทำไมล่ะคะ ของมีราคาขนาดนี้…หนูไม่เคยใส่เลยค่ะ เมื่อกี้ยังบอกป้าเลยว่า หนูทำเรื่องยาตลอดวัน ก็ไม่อยากใส่เครื่องประดับที่บางทีก็ต้องถอดไงคะ…” ว่าพลางแบมือแล้วพลิกไปมา “มือหนูเป็นมือคนทำงานค่ะลุง ไม่ใช่มือคนแต่งตัวสวยไปงาน”

แต่หิ้งไม่เห็นด้วย เมื่อเพ่งพิศนิ้วยาวเรียวตรงหน้า

“ถึงไง พี่ก็อยากให้เย็นลอง…เอ้า…ขอนิ้วขอรับ”

หญิงสาวได้แต่หัวเราะเขินนิดหนึ่งจึงยื่นนิ้วขวาออกไป

เขาก็เลยสวมให้ที่นิ้วนางขวา พลางพึมพำ

“ตีตราจองไว้ก่อน”

“พี่หิ้งก็…”

เขาเองก็ยังสุดแสนประหลาดใจที่วันนี้บิดาคิดอย่างไรจึงจะให้แหวนแก่ลูกสาวเพื่อนเก่าผู้ถูกตัดเป็นตัดตายมาสิบปีกว่า…ครั้นนึกขึ้นได้ว่า…ก็คงมิใช่อะไรอันใดอื่นนอกจากบัดนี้นายหันกำลังใคร่จะรู้เรื่องโชคชะตาราศีของตนเองที่เคยได้ยินเพื่อนเปล่งเสียงเมื่อนานมา

‘ห้ามค้ำประกันใครเป็นอันขาดนะ อันตรายมากๆเลยสำหรับดวงมึง ไม่มีวันได้คืนเลยละ’

แต่บัดนี้ เขาอาจจะไม่มีทางเลือก เนื่องจากคุณหญิงระวีฉายก็เป็นลูกค้ารายสำคัญ อุดหนุนกันมาสามสิบปี เมื่อถึงคราวคุณหญิงมีปัญหา เขาก็มิสามารถหลีกเลี่ยงได้ แม้หิ้งจะซักไซ้ตอนขึ้นไปไขตู้เซฟว่า เหตุไฉนคุณหญิงจึงไม่นำโฉนดที่ดินที่คงมีหลายแปลงไปค้ำประกัน นายหันก็บอกว่า โฉนดติดจำนองเพราะต้องนำเงินไปลงทุน อยากขายเพชรแต่ก็อยู่ที่ลูกสาวอีกคน ขอแล้วแต่ไม่ยอมให้ อีกอย่างลูกเขยใหญ่กับลูกเขยกลางไม่ถูกกัน ฝักไฝ่คนละพรรคการเมือง

จึงเป็นอันว่าจบสิ้นคำที่ต้องตอบ

นายหันจะต้องรอบคอบด้วยตนเองว่าจะตัดสินใจอย่างไร จึงจะไม่เสียดายลูกค้าคนสำคัญ

“หนูใส่ไปเถอะ อย่าเกี่ยงงอนอะไรเลย ลุงเองผิดเองที่เอะอะเอากับชัดมากไป…พอมาถึงเดี๋ยวนี้ ก็แก่ๆกันแล้ว แล้วก็มาเจอหนู…โอ้โฮ…ทำไมพอลุงเห็นนาทีแรกก็รักเลยล่ะ…รักเอ็นดูเลย นี่พูดจริงๆใช่ไหมแม่” เขาว่าพลางหันไปทางภรรยา “หนูเย็นทำให้ผิดคาดจริงไหม เมื่อก่อนเคยวิ่งเล่นกับหิ้ง เหิน.. แต่เดี๋ยวนี้…เห็นแล้วยังตื่นเต้นแปลกใจเลยนี่นา”

“ลุงชมหนูมากไปแล้วละค่ะ ไม่ไปดูหนูตอนเคี่ยวยานี่คะ คนละคนเลย” อีกฝ่ายยังคงเขินไม่หาย ยิ่งหันไปเห็นสายตาหิ้งกำลังจับจ้องด้วยแววแห่งความซาบซึ้งดึงดูด ก็ยิ่งสะเทิ้นเขินอาย

 

หากในที่สุด ลมเย็นก็จำต้องยอมรับแหวนเพชรสองกะรัตน้ำงามมาสวมใส่

หล่อนจึงได้แต่เหยียดนิ้วทั้งห้าออกไปให้ทั้งสามพิจารณา

หิ้งก็เลยบอกเบาๆ

“ไหน…พี่ขอดูชัดๆอีกทีซิ” พลางก็ขอโทษขณะจับปลายนิ้วทั้งห้าของอีกฝ่ายยกขึ้น

แหวนเพชรสองกะรัตน้ำงามทอแสงวามจรัส สัมผัสแสงสว่างจากโคมระย้าที่ส่องสาดลงมาราวฟ้ากำลังเปิด ชายหนุ่มลอบมองดวงหน้าเฉิดฉายแกมเรียบเย็น สมเป็นลูกผู้นำธุรกิจเล็กๆ ไปสู่ธุรกิจใหญ่ที่ไม่ต้องแข่งขันกับผู้ใด นั่นหมายถึงว่านายชัดมุ่งหวังแต่จะบุกเบิกงานโบราณอันได้แก่หมอยา หมอนวดและหมอดูสู่โลกกว้างที่แม้จะมีสถาบันขึ้นหิ้งที่ใหญ่กว่าดังเช่นโรงพยาบาลอภัยภูเบศรหรือบริษัทผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยอื่นๆ หากก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจผลิตยาขนาดเล็กแต่อย่างใด ตรงกันข้าม…กลับช่วยเป็นแรงกายแรงปัญญาส่งต่อ  ‘พืชทางเลือก’ อันเป็นโชคลาภประจำแผ่นดินนี้ ให้มีที่ทางหลั่งไหลไปประกาศความโอ่อ่าผึ่งผายได้ทั่วหล้า ยังความก้าวหน้ารุ่งเรืองมาสู่นาครแห่งแหลมทองโดยมิต้องเป็นรองผู้ใด

“สวยมากค่ะ” ลมเย็นพนมมือขอบคุณผู้อาวุโสอีกครั้ง “แต่เย็นคงไม่กล้าเอาไปอวดพ่อแม่…แม้แต่กับโชย”

นายหันจึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าลูกชายคนเล็กรู้ ก็ไม่น่าจะยอม คงอยากได้แหวนอีกสักวงพร้อมกันเพื่อมิให้ลมโชยน้อยหน้า

“เออ…นั่นซีนะ” แต่อีกฝ่ายไม่วิตกเนื่องด้วยในถาดนี้ยังมีอีก…เพียงแต่มีอย่างที่สู้วงในนิ้วนางขวาของลมเย็นมิได้

แต่ก็คงไม่เป็นไร เพราะยากนักที่คนไม่รู้เรื่องเพชรพลอยจะดูออก

“เอาเถอะ…แล้วพ่อจะหาให้” ในที่สุด เจ้าของถาดแร่ธาตุมีราคาก็พยักหน้าเชิงตัดบท เนื่องจากในใจบัดนี้มีแต่กระวนกระวายใคร่รู้โชคชะตาตนเองมากกว่า

จึงมองหน้าสบตาลูกชาย หิ้งก็เลยกดโทรศัพท์ไปถึงนายชัดผู้กำลังช่วยสองนางจัดสมุนไพรลงโถ

ครั้นได้ยินเสียงหิ้ง

“อาครับ ผมขออภัยด้วยนะฮะที่พาเย็นออกไปทานกาแฟข้างนอกแต่เช้า”

“อ้อ…ไม่เป็นไร เขาบอกไว้แล้วเมื่อกี้” เสียงพ่อของหล่อนดีดังเดิม ไม่สูงบ้างต่ำบ้างดังบ้างเบาบ้างดังเช่นพ่อของเขาผู้มีอารมณ์แปรปรวนมากกว่า “แล้วนี่อยู่ไหน”

“อยู่บ้านผมฮะ…เย็นเขาอยากมาเจอพ่อกับแม่ผมน่ะฮะอา คือก็ไม่เจอกันนานมาก ผมก็เลยพามา อาคงไม่ว่านะฮะ”

นายชัดนิ่งไป เขาก็เลยบอกกล่าว

“คือเราก็ไม่อยากให้อากับพ่อเคืองกันน่ะครับ”

อีกฝ่ายฟังแล้วนิ่งอีก สักอึดใจจึงถาม

“มีอะไรไหม ถ้ามีอะไรอย่างอื่นก็บอกมา”

นั่นก็เนื่องด้วยผู้พูดรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า

ปี 2566 เริ่มได้เวลา ดาวมฤตยู 0 ราหู 8 ดาวเสาร์ 7 ดาวพฤหัส 5 ต้องยาตราจากที่สถิตเดิมไปสู่ภูมิสถานบ้านใหม่

โดยมฤตยูจะเข้าไปครองราศีพฤษภเป็นเวลา 7 ปี ราหูจะครองราศีเมษ 1 ปี 6 เดือน ดาวเสาร์จะครองราศีภุมภ์ 2 ปี 6 เดือน ดาวพฤหัสจะเดินไปถึงราศีเมษเป็นราชาโชคอีก 12 เดือน

จึงย่อมจะแล้วแต่ดวงใครจะสะเทือนอย่างไรเพียงไหน ซึ่งก็ต้องอาศัยพื้นดวงเดิมว่าอ่อนแอหรือกล้าแข็งปานใด

ดาวดวงเล็กลงมาได้แก่ดาวพุธ 4 ดาวศุกร์ 6 จร ตกภูมิดีหรือร้าย อาทิตย์ 1 และจันทร์ 2 มีตำแหน่งใดใน ‘ทักษา’

รวมทั้ง ‘ตนุเศษ’ เขาก็นำมาคิดไว้ด้วย

คำถามนั้นฟังดูราวกับไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย แต่แท้จริงเขาล่วงรู้ดวงชะตาของสหายเก่าอยู่เสมอ จึงถามนำ ด้วยว่าเห็นแก่ชายหนุ่ม

ลูกกับพ่อผิดกันไกล

ลูกเป็นสุภาพบุรุษ รู้การควรมิควร แต่พ่อเอาแต่ใจตน ไม่เคยคิดค้นนำใจคนอื่นมาไตร่ตรอง ยิ่งล่วงรู้ตัวเลขในคัลลองดวงดาว ก็ยิ่งแลเห็นว่า หากจะคบหากับลูกสาวเขาสืบไปก็หาเป็นไรไม่ เห็นใจลมเย็นแต่เพียงว่า จะรับมือกับเสน่หาเขาไหวไหมเพียงเท่านั้น

“มีครับอา” ดังนั้น หิ้งจึงเล่าเรื่องของพ่อต่อหน้าทั้งสามคนเพียงย่อๆ

นายชัดจึงลุกขึ้นจากเตียงจัดยา เดินเข้าไปในห้องส่วนตัวที่ติดกัน ค้นได้สมุดเก่าที่สันเกือบจะหลุด มีเพียงเทปกาวขนาดกว้างขึงหุ้มไว้ออกจากชั้นที่วางสมุดจดดวงซ้อนๆกัน ไล่จากใหม่ไปหาเก่า  ครั้นแล้วจึงเปิดหน้าที่จำได้แม่นว่าเป็นครอบครัวของเพื่อน ที่เขาเพิ่งดูให้ลูกชายคนโตของนายหัน

“จะมีเหตุเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงในวันหนึ่งวันใดปีหน้า” ในใจเขามีประโยคเช่นนี้ผุดขึ้นมา “แต่จะเปลี่ยนดีเปลี่ยนร้าย เปลี่ยนดีกึ่งร้ายหรือยังไง แค่ไหน ต้องดูทักษาอีกที”

 



Don`t copy text!