ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 17 : สาวเสิร์ฟคนงาม

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 17 : สาวเสิร์ฟคนงาม

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

เจ๊จวงเจ้าของสวนอาหารและคาราโอเกะที่ตั้งอยู่บนถนนหน้าสลัมแห่งนั้น เป็นหญิงสาวร่างอ้วน ใบหน้างอง้ำ ดวงตาหวาดระแวงตลอดเวลา ท่าทางดูไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร ยิ่งพอเห็นว่าผู้หญิงที่เก่ง…วินมอเตอร์ไซค์ประจำสลัมพามาสมัครเป็นหญิงสาวสวย ใบหน้าอ่อนหวาน ท่าทางดูบอบบาง หล่อนยิ่งไม่ค่อยพอใจนัก

“ไม่รับ คนเต็มแล้ว” เจ๊จวงตอบไปด้วยน้ำเสียงมะนาวไม่มีน้ำ

“อ้าว เจ๊” เก่งทำตาโต พร้อมกับยกมือสองข้างขึ้นเท้าเอวด้วยท่าทางหงุดหงิด “พูดงั้นได้ไงฮะ ก็ป้ายยังติดอยู่นี่เลยว่ารับสมัครสาวเสิร์ฟจำนวนไม่อั้น”

“ก็ฉันเปลี่ยนใจ ไม่รับแล้วนี่” เจ๊จวงตอบง่ายๆ “ยิ่งนังคนนี้ ท่าทางบอบบาง หน้าตาก็ดูอ่อนๆ จะทำไหวหรือ”

“ไหวจ้ะ” กรผกามารศรีรีบตอบ ดวงตากระหายอยากทำงาน

“ไม่รับ” เจ๊จวงยืนกรานเสียงหนักแน่น

“อะไรกันอีกเล่าน้องจวงจ๋า” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เก่งและกรผกามารศรีหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มร่างสูง หน้าตาท่าทางดูหื่นกระหายอย่างไรพิกล

“เฮีย” เจ๊จวงสะดุ้ง ไม่กล้าตอบออกไปตรงๆ ว่าที่ไม่รับเพราะกลัวว่าสามีของเธอจะจัดการกับสาวเสิร์ฟแบบที่เคยทำมาก่อนหน้านี้แล้วนั่นละ “ฉัน…”

“มีสาวสวยแบบนี้มาสมัครเป็นสาวเสิร์ฟ เราก็ควรจะรับไว้สิจ๊ะ มีสาวเสิร์ฟสวยๆ ลูกค้าติดใจ จะได้มากินอาหารร้านเราบ่อยๆ ไงล่ะ ไม่ดีเหรอ”

“ดีจ้ะ” เจอคารมของสามีเข้าไปเมื่อใด เจ๊จวงก็ต้องใจอ่อนทุกที

“แหม นึกว่าใคร เฮียแท้น่ะเอง” เก่งอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของเจ๊จวงที่ดูขึงขังแต่แรก หงอลงไปในทันใด “ผมพาน้องผกามาสมัครงานฮะ”

“รับเลย” เฮียแท้รีบตอบ พร้อมกับเอื้อมมือมาจับมือของกรผกามารศรีไว้แน่น “เย็นนี้มาทำเลยนะ กำลังขาดคนพอดี”

“ว้าย ไอ้บ้า ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้นะ” หญิงสาวร้องเสียงดังลั่น พร้อมกับสะบัดมือของชายหนุ่มเจ้าของร้านออกอย่างรวดเร็ว

“โอ้โห น้องสาว” เฮียแท้ยอมปล่อยมือแต่โดยดี หากส่งยิ้มท่าทางกะลิ้มกะเหลี่ยให้ “ดุอย่างนี้พี่ชอบจริงๆ สวยเสียด้วย ตกลงเย็นนี้มาทำงานเลยนะคะ”

“อ้ะ รับก็รับ ทีนี้เฮียจะไปไหนก็ไปได้แล้ว” เจ๊จวงชักหงุดหงิดกว่าเก่าเพราะไม่ชอบที่สามีตัวเองมาทำเจ้าชู้ประตูดินต่อหน้าต่อตา “ปล่อยนังคนนี้เอาไว้นี่ละ เดี๋ยวจวงสอนมันเองว่าทำงานที่นี่ ต้องปฏิบัติตัวยังไงมั่ง”

“แล้วให้เงินเดือนฉันเท่าไหร่จ๊ะ” กรผกามารศรีอดถามไม่ได้ ทั้งที่เก่งห้ามเอาไว้แล้ว

“อะไรยะนังนี่” เจ๊จวงถลึงตามองหญิงสาว “ยังไม่ทันทำงานเลย ถามถึงเงินเดือนแล้ว ทำๆ ไปเหอะ เดี๋ยวก็รู้เองละ…จะทำหรือเปล่า เรื่องมากแบบนี้”

“ทำจ้ะ ทำจ้ะ” กรผกามารศรีรีบตอบด้วยท่าทางลนลาน

“งั้นก็อย่าถามอะไรมาก” เจ๊จวงได้ทีรีบสำทับ “อยู่ที่นี่ต้องหัวอ่อนนะยะ อย่าสงสัยอะไรมาก ฉันบอกให้ทำอะไรก็ทำไป พูดง่ายๆ จะได้ทำงานอยู่ด้วยกันนานๆ”

 

เมื่อเวลาเริ่มงานมาถึง กรผกามารศรีแต่งตัวเสร็จก็ต้องมองดูเครื่องแบบสาวเสิร์ฟที่สวมใส่ แล้วอดสมเพชตัวเองมิได้ คุณหญิงสายหยุดและแม่นิ่มต่างพากันมารุมล้อมมองดูหญิงสาวด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน

คุณหญิงแม่เห็นลูกสาวนุ่งกระโปรงสั้นแค่คืบ สวมเสื้อสายเดี่ยวสีแดงสดรัดหน้าอกอวบก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นึกทึ่งในความเซ็กซี่ที่ซ่อนเร้นของบุตรสาวตัวเอง เพราะที่ผ่านมากรผกามารศรีสวมแต่เสื้อผ้าที่เรียบร้อยมาโดยตลอด พอมาสวมเสื้ออวดเนื้อหนังมังสาเช่นนี้ คุณหญิงสายหยุดถึงเพิ่งเห็นว่าที่จริงลูกสาวของตัวเองก็มีความเซ็กซี่ไม่แพ้ใคร

ขณะที่แม่นิ่มได้แต่เป็นกังวล นึกห่วงว่ากรผกามารศรีจะเอาตัวรอดจากเสือสิงห์กระทิงแรดได้หรือไม่ แต่พอเก่งรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะคอยดูแล รับ-ส่งหญิงสาว พากลับบ้านให้ตรงตามเวลา แม่นมผู้จงรักภักดีก็ค่อยคลายใจลงไปได้บ้าง

เจ๊จวงนั้น เมื่อเห็นกรผกามารศรีเดินเข้ามาในร้านก็ต้องทำตาโต นึกทึ่งในความสวยงามแกมด้วยอิจฉาริษยา หล่อนแนะนำหญิงสาวว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างคร่าวๆ แล้ว ก็เริ่มให้หญิงสาวทำงานเลย

โต๊ะแรกที่กรผกามารศรีถืออาหารไปเสิร์ฟนั้นเป็นโต๊ะของผู้ชายตัวใหญ่สี่ห้าคน แต่ละคนสวมเสื้อแขนกุดรัดรูปโชว์กล้ามต้นแขน กล้ามหน้าอก และลอนหน้าท้อง ดวงหน้าของแต่ละคนนั้นดูเถื่อนทะมึน ดวงตาโลมเลียสาวเสิร์ฟที่เดินเข้ามาด้วยความหื่นกระหาย พอกรผกามารศรีวางจานในมือลง หนึ่งในนั้นก็จับข้อมือแบบบางของหญิงสาวเอาไว้จนแน่น ก่อนจะกระชากโดยแรงจนเธอล้มลงไปในอ้อมแขนล่ำสัน

“ว้าย แกจะทำอะไรฉันน่ะ” กรผกามารศรีร้องเสียงดังลั่น จนคนทั้งร้านต้องหันมามอง

“อย่าเอะอะไปสิคนสวย” ชายหนุ่มคนนั้นกอดหญิงสาวเอาไว้แน่น มือข้างหนึ่งพยายามล้วงและลูบไล้เข้าไปในอกเสื้อของกรผกามารศรี “อยู่เฉยๆ นั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนพวกพี่ เดี๋ยวพี่จะได้ให้ทิปเยอะๆ ไงล่ะ”

“ไม่เอานะคะ กรผกาไม่ชอบแบบนี้ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” หญิงสาวพยายามดิ้นรนปัดป้อง พอเห็นว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่ยอมปล่อยจริงๆ เธอก็เลยกระทืบเท้าเขาโดยแรง

รองเท้าที่กรผกามารศรีสวมนั้นเป็นท็อปบูตแบบที่สาวโคโยตีชอบใส่กัน พอกระทืบลงบนเท้าของชายผู้นั้นจนสุดแรง ส้นแหลมๆ จึงกระแทกจนเขาร้องลั่น และรีบปล่อยมือจากหญิงสาวโดยเร็ว

“โอ๊ย…อะไรวะ เล่นตัวจริงนังนี่” เขาร้องโวยวาย “เล่นตัวแบบนี้จะมาเป็นสาวเสิร์ฟทำไมกัน น่าเบื่อจริงๆ เฮ้ย ไปโว้ย กูหมดอารมณ์แล้ว…กลับๆ ไปร้านอื่นดีกว่า เจ๊ เช็กบิลด้วย”

“ขา อะไรกันคะ” เจ๊จวงรีบถลาเข้ามาดูเหตุการณ์โดยเร็ว “ว้ายๆ อะไรกันคะเฮียขา ยังกินไม่อิ่มเลย ทำไมรีบกลับแล้วล่ะคะ”

“ไม่มีอารมณ์” ผู้ชายคนที่กอดกรผกามารศรีหันมาตะคอกใส่เจ้าของร้านสาวใหญ่ “อีนังลูกน้องของเจ๊มันเล่นตัวนัก แถมยังกระทืบเท้าแขกอีกต่างหาก”

“ตายจริง” เจ๊จวงทำตาโตแล้วหันไปทางกรผกามารศรีที่ยืนหน้าซีดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พร้อมกับตวาดว่า “นังผกา ก้าวร้าวมากๆ หล่อนกล้าทำแบบนี้ได้ยังไงกัน รีบขอโทษเฮียเขาเดี๋ยวนี้นะ”

“ไม่ค่ะ” กรผกามารศรีเชิดหน้า เม้มริมฝีปากแน่น “กรผกาไม่ขอโทษ”

“อีผกา” เจ๊จวงฟังเช่นนั้นก็ของขึ้น “เจ๊บอกให้หล่อนขอโทษเฮียเขาเดี๋ยวนี้”

“ไม่ค่ะ” กรผกามารศรียังคงเชิดหน้านิ่ง “ถึงแม้ว่าสายเลือดตระกูลมรกตจะตกยาก แต่คุณพ่อของดิฉันก็สอนไม่ให้เราก้มหัวให้กับใคร”

“หน็อยแน่ะ…อีนี่ กำเริบใหญ่แล้วนะ” เจ๊จวงฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้านวลงามนั้นอย่างแรง จนหญิงสาวเซถลาล้มลง

“เดี๋ยวก่อนน้องจวง อะไรกันอีกคะเนี่ย” เฮียแท้เจ้าของร้านได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเลยรีบวิ่งออกมาดู ทันเห็นเจ๊จวงตบกรผกามารศรีพอดี “โถ โถ…เจ็บมากไหมคะน้องผกา” เฮียแท้สวมบทใจดี ตรงรี่เข้าไปประคองหญิงสาวที่กำลังร้องไห้กระซิกๆ อยู่บนพื้นกลางร้าน

“ไม่ต้องเลยเฮีย” เจ๊จวงกระชากแขนสามีให้ออกห่างจากหญิงสาวร่างผอมบางอย่างรวดเร็ว หล่อนยืนเท้าเอวหน้าตาถมึงทึงแล้วตวาดว่า “แค่นี้มันยังน้อยไป รู้ไหมว่านังผกามันไปทำร้ายลูกค้า จนลูกค้าไม่พอใจ แบบนี้ใช้ได้เหรอยะ มาวันแรกก็ทำเรื่องเสียแล้ว”

“ก็เขาลวนลามผกานี่คะ” กรผกามารศรีเถียง

“หน็อย นังผกา” เจ๊จวงเบรกแตก “แกนึกว่าตัวเองเป็นนางฟ้านางสวรรค์มาจากไหนยะ สาวเสิร์ฟที่ไหนๆ ก็ต้องแบบนี้ทั้งนั้นละ ลูกค้าเขาจับนิดจับหน่อยไม่เห็นจะเป็นไรเลย ทำสำออยไปได้ ที่ลูกค้าเขาจับน่ะ ก็เพราะว่าเขาเอ็นดูต่างหากล่ะ ถ้าไม่เอ็นดู ใครเขาจะสนใจเธอยะ”

“ก็ผกาไม่รู้นี่คะ” กรผกามารศรียังคงร้องไห้จนดวงตาบวมช้ำ

“เอาละ เอาละ” เฮียแท้รีบโบกมือหันไปบอกกับลูกค้าว่า “ถือว่าแล้วๆ กันไปก็แล้วกันนะครับ มื้อนี้พวกคุณกินกันตามสบายเลย ผมไม่เก็บตังค์ ถือว่าเป็นการขอโทษจากทางร้านเรา ส่วนน้องผกา มานี่เลย…พี่แท้จะพาหนูไปสอนงานให้ว่าการเป็นสาวเสิร์ฟที่ดีจะต้องทำยังไงบ้าง”

“เฮีย…” เจ๊จวงทำตาเขียว รู้สึกแปร่งๆ หูกับที่สามีพูดว่าจะพากรผกามารศรีไปสอนงานอย่างไรชอบกล

“อะไรอีกเล่า” เฮียแท้ชักหงุดหงิด “เฮียเคลียร์ให้แล้วไง ส่วนน้องผกาเนี่ย เดี๋ยวเฮียสอนงานเองว่าจะต้องยังไงบ้าง…สอนจริงๆ ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่น”

“แน่นะ” เจ๊จวงย้ำ “อย่าให้ฉันรู้นะว่าเฮียนอกใจ ไม่งั้นตายแน่”

ยังไม่ทันจะได้คาดคั้นอะไรกันต่อ ลูกค้าโต๊ะอื่นก็กวักมือเรียก เจ๊จวงเลยต้องรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เฮียแท้ผู้สามีประคองกรผกามารศรีให้ลุกขึ้น

“ไปกันเถอะ…เดี๋ยวเฮียจะพาไปดูงานว่าสาวเสิร์ฟร้านอื่นเขาทำงานกันอย่างไรบ้าง” เฮียแท้จูงมือกรผกามารศรีให้ลุกขึ้น แล้วเดินไปรินน้ำที่เคาน์เตอร์ให้หญิงสาวดื่ม “เอ้า ดื่มน้ำเสียหน่อย แล้วเราจะได้ไปกัน”

หญิงสาวพยักหน้าให้กับชายหนุ่ม ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง หากรับเอาแก้วน้ำที่เฮียแท้ส่งมาให้อย่างมีน้ำใจมาดื่มแต่โดยดี

“น้ำอะไรคะเนี่ย” หญิงสาวดื่มเข้าไปแล้วก็รู้สึกว่ารสชาติแปลกๆ ไม่เหมือนน้ำเปล่าทั่วไป “รสขื่นๆ ยังไงพิกล”

“โอ๊ย น้ำเปล่าน่ะ” เฮียแท้รีบหัวเราะกลบเกลื่อน คะยั้นคะยอหญิงสาวว่า “ดื่มเข้าไปให้หมดแก้วเลยสิ เดี๋ยวไม่หลับ…เอ๊ย…เดี๋ยวคอแห้ง”

“ค่ะๆ” กรผกามารศรีฟังแล้วก็รู้สึกงงๆ หากยอมดื่มจนหมดแก้วแต่โดยดี และเมื่อดื่มน้ำหมดแก้ว หญิงสาวก็เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติของตนเอง รู้สึกเดินตัวลอยๆ อย่างไรชอบกล เหมือนเท้าไม่ติดพื้น “เดี๋ยวค่ะ” หญิงสาวร้องขึ้น เมื่อเฮียแท้ตรงเข้ามาประคองหล่อน “จะพากรผกาไปไหนคะ”

“เอาเถอะน่า” น้ำเสียงของชายหนุ่มเจ้าของสวนอาหารมีเลศนัยชอบกล “ไม่ต้องสงสัยไปหรอกน้องผกา เฮียก็จะพาน้องผกาไปฝึกงานไงคะ จะได้เสิร์ฟอาหารเก่งๆ มามะ”

“ไม่ค่ะ…ไม่…”

กรผกามารศรีพยายามจะปฏิเสธ หล่อนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเอง หากเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ไม่รู้ว่าหายไปไหน ดังนั้น เมื่อเฮียแท้ประคองเธอไปขึ้นรถคันใหญ่ที่จอดแอบอยู่ทางด้านหลังร้าน หญิงสาวจึงไม่สามารถขัดขืนได้ แม้แต่จะส่งเสียงร้องให้คนช่วยก็ยังไม่มีแรงจะทำไหว

 

วิกกี้ไม่ให้เฮียไปนะคะ…ไม่เด็ดขาด

หญิงสาวผิวขาว ผมซอยสั้น หน้าหมวย ตาชั้นเดียวกระทืบเท้าเร่าๆ พร้อมกับแผดเสียงดังลั่นคฤหาสน์ของตระกูลมรกต

“มีเหตุผลหน่อยวิกกี้” ทินพันธ์มีท่าทางเบื่อหน่าย นี่ถ้าไม่ติดว่าธงชาติพี่ชายของวิกกี้เป็นเพื่อนกับเขาแล้วละก็ ชายหนุ่มคงไม่ทนให้หญิงสาวส่งเสียงเอ็ดตะโรเอาเช่นนี้หรอก “เฮียไปธุระเรื่องงาน พาลูกค้าไปเลี้ยงอาหารเย็น”

“แล้วทำไมต้องไปร้านสวนป่าด้วยคะ มีร้านหรูๆ ในเมืองตั้งเยอะตั้งแยะทำไมต้องไปร้านนั่นด้วย อ๋อ…เพราะมันอยู่ใกล้กับสลัมที่นังกรผกามารศรีอยู่ใช่ไหม เฮียเลยอยากไปอยู่ใกล้ๆ มัน เอ๊ะ หรือว่าเฮียแอบนัดพบกับมันคะ” วิกกี้ส่งเสียงแหลมแสบแก้วหู

“คุณกรผกามารศรีน่ะเขาไม่ได้สนใจเฮียหรอก” น้ำเสียงของทินพันธ์มีแววน้อยใจ “เขามันพวกผู้ดีเก่า ถ้าเขาสนใจเฮียละก็ เขายอมแต่งงานไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องไปตกระกำลำบากถึงขนาดนี้…ที่เฮียไปร้านสวนป่าก็เพราะว่าลูกค้าเขาเจาะจงมาแบบนั้น เขาอยากไปกินอาหารป่าร้านนั้น เพราะอาหารเขาอร่อยเข้าใจไหม”

“งั้นวิกกี้ไปด้วย” หญิงสาวยื่นคำขาด

“ไม่ได้” ทินพันธ์เสียงเฉียบขาด “วิกกี้จะไปกับเฮียในฐานะอะไร หุ้นส่วนบริษัทก็ไม่ใช่ เรายังไม่ได้หมั้น ไม่ได้แต่งงานอะไรกันด้วย แล้ววิกกี้จะไปในฐานะอะไร”

“วิกกี้ก็…เอ้อ…ก็…” เจอไม้นี้เข้า วิกกี้ถึงกับพูดไม่ออก “ไม่รู้ละ วิกกี้จะไปด้วย”

“ไม่ได้” ชายหนุ่มเสียงกร้าว ดวงตาที่จ้องมองวิกกี้นั้นดุดันเหมือนกับเสียง “ถ้าวิกกี้ยังทำตัวไม่มีเหตุผลแบบนี้ ต่อไปเฮียจะสั่งคนของเฮีย ห้ามไม่ให้วิกกี้เข้ามาที่บ้านหลังนี้อีก”

“เฮียทินพันธ์” วิกกี้ตาลุกวาว หากไม่กล้าเถียง “เฮียทำกับวิกกี้แบบนี้ได้ยังไง”

“แล้ววิกกี้ตกลงตามที่เฮียบอกหรือเปล่า” ทินพันธ์ไม่ยอมตามใจหญิงสาวที่ทำหน้าหงิกงอ “กลับบ้านไปได้แล้ว เอาไว้ค่อยมาหาเฮียวันหลัง วันนี้เฮียต้องรีบไป”

“ก็ได้” วิกกี้เดินกระแทกเท้าโครมๆ ออกไป หล่อนส่งเสียงดังลอยมาตามลมว่า “คอยดูนะ แล้วเฮียจะต้องเสียใจที่ทำกับวิกกี้แบบนี้”

ทินพันธ์ส่ายหน้าไปมาด้วยความโมโหปนขบขัน เขารู้ว่าวิกกี้รักเขา อยากได้เขาเป็นแฟนตัวสั่น เตี่ยของเขาก็เชียร์ให้เขาแต่งงานกับวิกกี้ เพราะตัวเองนั้นเป็นเพื่อนกับเสี่ยช้วน…เตี่ยของวิกกี้ แต่เขาไม่ยอมตกลงด้วย เพราะเขารักกรผกามารศรีคนเดียวเท่านั้น

‘ลื้อมันโง่’ ยังจำได้ว่าเตี่ยด่าเขาเช่นนั้น ‘ผู้หญิงแบบนั้นเอามาทำไมวะ ดูถูกพวกเราสารพัด ปล่อยให้ไปตกยากในสลัมละดีแล้ว อยากดูน้ำหน้าเหมือนกันว่าจะเอาตัวรอดไปได้สักกี่น้ำ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำงานอะไรก็ไม่เป็น เป็นสะใภ้ละก็ เก๊กซิมตาย แถมตัวแม่ยังเล่นไพ่เก่งขนาดนั้น หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็หมด ไม่ไหว…ไม่ไหว’

‘เฮียก็’ คุณนายกิมเฮียงแม่ของเขารีบเข้าข้างลูกชาย ‘ก็อาทินพันธ์มันรักของมัน เฮียจะไปยุ่งอะไรด้วย เรื่องของเด็กๆ มัน’

‘รักเขาแล้วเขารักลื้อหรือเปล่าล่ะ’ เตี่ยของเขายังคงเดือดดาล ‘สู้อาวิกกี้ก็ไม่ได้ ทั้งสวย ทั้งน่ารัก เหมาะสมกับลื้อออกจะตายไป’

‘ผมไม่ได้รักวิกกี้’ ทินพันธ์ยังคงยืนกราน ‘ผมเห็นวิกกี้เป็นน้องสาวเท่านั้นเอง ถ้าจะแต่งงาน ผมจะแต่งกับกรผกามารศรีคนเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ได้แต่งกับกรผกามารศรี ผมจะไม่แต่งกับใครเลย’

‘เหล่าซิก’ เตี่ยด่าเขาเท่านั้น แล้วก็เดินปึงปังออกไปด้วยความโมโห

แต่เตี่ยของเขาไม่ได้อยู่เฉยๆ  พอหายโมโห เตี่ยก็วางแผนให้เขากับวิกกี้ได้ลงเอยกัน โดยเตี่ยไฟเขียวให้วิกกี้เข้าออกตลอดเวลาในบ้านตระกูลมรกตอย่างสะดวกตามสบาย และเมื่อใดที่วิกกี้อยากเข้าออกก็สามารถทำได้เสมอ

คุณนายกิมเฮียงแม่ของเขาไม่ชอบวิกกี้สักเท่าไรนัก เพราะเด็กสาวคนนั้นเป็นเด็กยุคใหม่ ไม่ค่อยมีมารยาทและความเกรงใจอย่างที่ควรจะเป็น บางครั้งคุณนายกิมเฮียงคุยกับลูกชายอยู่ดีๆ วิกกี้ก็ทะลุกลางปล้องขึ้นมาเสียเฉยๆ ทินพันธ์คิดว่าขนาดยังไม่ได้แต่งงานกัน วิกกี้ยังไม่มีความเกรงใจถึงเพียงนี้ ถ้าแต่งงานไปแล้วจะขนาดไหน

คิดโน่นนี่เรื่อยเปื่อยไป เขาขับรถมาถึงร้านอาหารสวนป่าและคาราโอเกะตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทันรู้ตัว ทินพันธ์มองดูนาฬิกาก็เห็นว่ามาถึงก่อนเวลา พอจอดรถได้เขาก็ก้าวลงไป แต่ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในร้านนั่นเอง ชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นรถคันหนึ่งกำลังวิ่งออกมาจากที่จอดรถด้านหลังร้าน เมื่อจ้องมองให้ดีก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหลับคอพับคออ่อนพิงชายหนุ่มร่างใหญ่ที่เป็นคนขับ

“กรผกา…” ทินพันธ์ร้องบอกตัวเองในทันใดนั้น



Don`t copy text!