ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 3 : ทุกวันมีแต่งานสังคม

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 3 : ทุกวันมีแต่งานสังคม

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

กรผกามารศรีนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนที่นั่งตอนหลังของลีมูซีนคันงาม เพราะสายฝนที่ตกกระหน่ำมาตั้งแต่ช่วงเย็นทำให้รถติดกันเป็นแพ ท้องถนนของกรุงเทพมหานครกลายเป็นลานจอดรถขนาดใหญ่

“เร็วกว่านี้ได้ไหมจ๊ะ นายหน่อง” หญิงสาวชะโงกหน้าไปเร่งคนขับรถสูงวัย “เดี๋ยวฉันไปตัดริบบิ้นไม่ทัน”

“ครับ” คนขับรถผู้จงรักภักดีรับคำสั่งด้วยความหนักใจ “ถ้ารถเคลื่อนได้ผมจะรีบให้เร็วเลยครับคุณหนู เราติดอยู่ตรงนี้มาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว คุณหนูใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ยังไงก็ทันแน่ๆ แต่ตอนนี้จนปัญญา ไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ รถคันหน้าไม่ยอมขยับเลย”

“นายหน่องก็ลงไปบอกรถคันหน้าให้ขยับสิจ๊ะ” กรผกามารศรีขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมกับเรื่องง่ายๆ แค่นี้นายหน่องก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ รถติดก็ไม่เห็นยาก ลงไปบอกให้รถวิ่งก็หมดเรื่อง

“เอ้อ” นายหน่องทำสีหน้าอึดอัด ไม่รู้จะตอบคุณหนูกรผกามารศรีผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ของเขาว่าอย่างไรดี

“เอาเถอะ เอาเถอะ ขับไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันจ้ะ ฉันรอได้…รอมาตั้งนานแล้วนี่นะ”

หญิงสาวโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งหนึ่งชั่วโมง ยังไงก็ไปทันอยู่แล้ว โรงแรมใหญ่ที่หล่อนจะไปตัดริบบิ้นเปิดงานแสดงเครื่องเพชรวันนี้ อยู่ถัดไปอีกแค่ ๕๐๐ เมตรเท่านั้นเอง

ระหว่างรอรถขยับ กรผกามารศรีไม่รู้จะทำอะไร คิดว่าจะอ่านหนังสือดูสักหน่อยเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ครั้นพอขยับกายจะเอื้อมมือไปหยิบนิตยสารที่มีอยู่ในรถ สาวใช้ที่คุณหญิงสายหยุดให้อยู่ประจำรถก็รีบถามอย่างรู้ใจว่า

“คุณหนูกรผกาจะอ่านเล่มไหนคะ เดี๋ยวหนูหยิบให้”

“อะไรก็ได้ หยิบๆ มาเถอะ”

หญิงสาวพยักหน้าส่งๆ สาวใช้พวกนี้น่าเบื่อเสียจริงเชียว ชอบถามให้หล่อนต้องใช้ความคิดอยู่ได้ พวกเธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าหล่อนไม่ชอบอ่านหนังสือ อ่านทีไรต้องปวดหัวทุกที นิตยสารพวกนั้นก็ใช้อาศัยแค่ดูรูปแก้เบื่อเวลารถติดเท่านั้นเอง

สาวใช้คนนั้นเหมือนจะรู้ใจ หล่อนเลือกนิตยสารที่เป็นภาพข่าวสังคมมาให้เจ้านายสาว หลังจากกรผกามารศรีพลิกดูได้สักพักใหญ่ก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า แล้วอุทานออกมาด้วยความขัดเคือง

“ตายจริง”

“อะไรคะคุณหนู” สาวใช้ประจำรถลีมูซีนถามด้วยความตกอกตกใจ ไม่รู้ว่ามีอะไรที่ทำให้เจ้านายของเธอต้องเคืองขุ่น

“ก็นี่น่ะสิ” กรผกามารศรียื่นนิตยสารในมือให้สาวใช้คนนั้นดู “รูปของฉันที่ไปเปิดงานแสดงภาพเขียนเมื่อสัปดาห์ก่อน”

สาวใช้คนนั้นมองดูภาพข่าวในหน้านิตยสารด้วยความแปลกใจ ภาพของเจ้านายสาวแสนสวยยืนเด่นเป็นสง่าในชุดผ้าไหมซาตินสีงาช้าง ดวงหน้าสวยหวานของเธอแย้มยิ้มงดงาม ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกติสักนิด

“มีอะไรหรือคะคุณหนู” สาวใช้นิ่วหน้า

“ก็รูปฉันน่ะสิ” กรผกามารศรีขัดเคืองใจ คิดว่าเสร็จจากงานเครื่องเพชรเย็นวันนี้ จะต้องโทรศัพท์ไปต่อว่าบรรณาธิการสักหน่อย “เอามาลงใต้รูปคุณหญิงแม้นมณีได้ยังไง ฉันน่ะสวยเด่นกว่าตั้งเยอะ เครื่องเพชรของฉันก็ใหญ่กว่า ดูสิ ลงเข้าไปได้ยังไง รูปก็เล้กเล็ก เล็กกว่าคุณหญิงนั่นอีกด้วย ถ้าขืนไม่แก้ไขปล่อยให้เป็นแบบนี้ ต่อไปฉันจะไม่อนุญาตให้หนังสือเล่มนี้ลงรูปของฉันแล้วละ”

“ตายจริง” สาวใช้เพิ่งสังเกตเห็นอย่างที่เจ้านายสาวว่า “จริงด้วยนะคะ ทำได้ยังไง ช่างไม่ให้เกียรติคุณหนูเสียเลย ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณหนูไม่ต้องลำบากใจ เดี๋ยวดิฉันจะรีบโทรไปต่อว่าบรรณาธิการ จัดการให้คุณหนูเอง”

“ขอบใจนะจ๊ะ” กรผกามารศรีได้ยินดังนั้นก็ค่อยยิ้มออกมาได้ในที่สุด “เธอช่างรู้ใจฉันจริงๆ”

หญิงสาวนั่งหลับตาพริ้มอยู่พักใหญ่ ลีมูซีนคันยาวก็ค่อยเคลื่อนไปได้ช้าๆ จนกระทั่งมาจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าโรงแรมอันเป็นสถานที่จัดงานในที่สุด

บริกรหนุ่มในชุดเครื่องแบบสีขาวสะอาดรีบตรงเข้ามาเปิดประตูให้กับกรผกามารศรี ซึ่งค่อยๆ ยุรยาตรลงจากรถด้วยมาดงามสง่าราวกับนางหงส์

ดวงหน้าสวยหวานของหญิงสาวบรรจงแต่งแต้มด้วยสีชมพูเรื่อ ผมเกล้าสูงมีคัทลียาดอกโตเสียบแซมเอาไว้ รับกันดีกับชุดราตรียาวของจีวองชี่เปิดไหล่สีชมพูอ่อนหวาน

ชุดแบบนี้ ทรงผมแบบนี้ ถ้าเป็นหญิงสาวทั่วไปสวมใส่ คงจะกลายเป็นตัวตลกไปในทันที หากเมื่ออยู่บนเรือนร่างบุตรสาวของเจ้าสัวทินกรแล้ว ทุกอย่างกลับดูดีรับกันลงตัวไปเสียทุกอย่าง

บนคอระหงของหญิงสาวมีสร้อยเพชรสีชมพูเข้ากันกับชุดราตรี ขนาดของเพชรเม็ดกลางนั้นใหญ่ราวกับไข่นก ล้อมรอบมีเพชรลูกอีกนับสิบ ส่องประกายสว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ

กรผกามารศรีค่อยๆ เยื้องย่างตรงไปสู่ห้องบอลรูมที่จัดงาน ท่ามกลางสายตาชื่นชมของทุกคนที่พบเห็น

หญิงสาวเดินระเหิดระหงไปช้าๆ โดยไม่ทันสังเกตเลยว่ามีชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า ใบหน้าคมสันคนหนึ่งกำลังจ้องมองหล่อนด้วยความตื่นตะลึง

ในชั่วชีวิตของทินพันธ์ เกียรติมหึมามหาเศรษฐี ผ่านสาวน้อยสาวใหญ่มามากต่อมากแล้ว หากชายหนุ่มไม่เคยเห็นสตรีคนใดจะสวยงาม ราวกับนางฟ้ายุรยาตรลงมาจากสวรรค์เหมือนอย่างสาวน้อยคนนี้มาก่อนเลย

“เฮ้ย โชติ” ชายหนุ่มร้องเรียกลูกน้องคนสนิท “ผู้หญิงคนนั้นใครวะ สวยฉิบ”

“อ๋อ” ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ยม่อต้อ สวมสูทหรูสีดำสนิทมองหญิงสาวที่กำลังตัดริบบิ้นเปิดงานแสดงเครื่องเพชรอยู่กลางห้อง ก่อนจะพยักหน้าแล้วบอกกับนายของตนเองว่า “คุณกรผกามารศรีครับ”

“ผกากรองชูศรีเหรอ” ทินพันธ์อ้าปากค้าง จ้องมองหญิงสาวผิวขาวลอออรอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ว่าจะมีใครในโลกมนุษย์สวยงามได้ถึงเพียงนี้

“กรผกามารศรี” โชติรีบแก้ให้เจ้านาย “ไม่ใช่ผกากรองชูศรีครับ”

“เออ นั่นละ” ทินพันธ์ยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความงวยงงในความงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า “ชื่อยาวชะมัด จำไม่ได้โว้ย แล้วกรผกาอะไรนั่นเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันล่ะ”

“ลูกสาวคนเดียวของเจ้าสัวทินกรกับคุณหญิงสายหยุดไงครับท่าน” โชติรีบรายงาน

“เจ้าสัวทินกร คุณหญิงสายหยุด…อืม…” ทินพันธ์ยกมือขึ้นลูบคาง ท่าทางครุ่นคิด “ชื่อคุ้นมากๆ ใครกันนะ ฉันต้องเคยได้ยินชื่อนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง”

“เจ้าสัวทินกรก็เจ้าของมรกตพรอพเพอร์ตี้ไงครับ” โชติตอบ “ส่วนคุณหญิงสายหยุดนั่น ก็ที่ชอบมาเล่นดัมมี่ในบ่อนของเตี่ยคุณทินพันธ์ไงครับ”

“อ้อ มิน่าล่ะ ฉันถึงเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน” ทินพันธ์ถอนหายใจยาว “คุณหญิงสายหยุด ลูกค้าของเตี่ยนี่เอง”

เตี่ยของเขาเป็นคนจีน หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อหลายสิบปีก่อน ทิ้งลูกเมียทางเมืองจีนเอาไว้ มาตายเอาดาบหน้าที่ประเทศไทย

เตี่ยแต่งงานกับแม่แล้วช่วยกันค้าขายข้าวสารจนเริ่มมีฐานะขึ้นมา จากนั้นจึงเริ่มกิจการโรงสีข้าวจนร่ำรวยในที่สุด

เตี่ยเป็นคนจีนหัวสมัยใหม่ เตี่ยรู้ดีว่าเงินทองเป็นของนอกกาย มีได้ก็หมดได้ เตี่ยจึงเน้นให้ลูกทุกคนมีการศึกษาเล่าเรียนสูงที่สุด เท่าที่แต่ละคนจะมีความสามารถร่ำเรียนได้ เขาเรียนจบบริหารธุรกิจมาจากอเมริกา พี่ๆ น้องๆ ทุกคนล้วนจบอย่างน้อยก็ปริญญาโท

เมื่อกลับมาเมืองไทย พี่น้องทุกคนก็ลงความเห็นว่าเตี่ยกับคุณนายกิมเฮียงผู้เป็นมารดาทำงานมาหนักแล้ว ถึงเวลาจะได้พักผ่อนเสียที ทินพันธ์และพี่น้องของเขาจึงรับช่วงกิจการค้าข้าวของเตี่ยมาดูแลต่อ พร้อมกับปรับปรุงจนกิจการก้าวหน้า กลายเป็นบริษัทส่งออกข้าวไปขายต่างประเทศจนร่ำรวยยิ่งกว่าเก่าหลายสิบเท่า

แต่เตี่ยของทินพันธ์นั้นเป็นคนขยัน เมื่อต้องหยุดอยู่บ้านเฉยๆ ก็นึกเบื่อเลยเปิดบ่อนการพนันเล่นสนุก ไม่ได้ทำความเดือดร้อนหลอกเอาเงินชาวบ้านเหมือนอย่างบ่อนอื่นๆ ที่จริงทินพันธ์และพี่น้องไม่ชอบให้เตี่ยทำอย่างนั้นเลย เพราะถึงอย่างไรการพนันก็เป็นสิ่งไม่ดี ผิดศีลข้อที่สอง อทินนาทานา เวรมณีฯ

เตี่ยของทินพันธ์เอง เปิดบ่อนไปนานเข้าก็เห็นผู้คนที่หลงในการพนันจนหน้ามืดตามัว ขายบ้าน ขายที่ บางครั้งถึงกับขายลูกขายหลานกินก็มี จึงสัญญากับลูกๆ ว่าจะล้างมือในเร็วๆ นี้

ด้วยความที่บริษัทค้าข้าวของทินพันธ์กำลังก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ช่วงนี้ชายหนุ่มจึงจำเป็นจะต้องออกงานสังคมถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนวันนี้ได้มีโอกาสมางานเปิดตัวเครื่องเพชรและได้พบกับหญิงสาวที่สวยหยาดฟ้ามาดินในที่สุด

“โชติ ฉันอยากรู้จักกรผกามารศรีจังเลย” ทินพันธ์มีดวงตาเคลิ้มฝัน เขาไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนเท่ากับเธอผู้นี้มาก่อน หรือว่านี่จะเป็นรักแรกพบกันแน่นะ

“แล้วคุณวิกกี้ล่ะนาย” โชติเริ่มกังวลแทนทินพันธ์ เพราะวิกกี้ หญิงสาวสวยผู้มาดมั่น โทรศัพท์เข้ามาหาเขา บอกว่ารถติดมากจึงจะมาถึงงานสายกว่ากำหนดเล็กน้อย

ถ้าคำนวณแล้ว เขาคิดว่าวิกกี้น่าจะมาถึงในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนี้ และถ้าหากหญิงสาวจอมวีนคนนั้นเห็นเจ้านายของเขากำลังคุยกับผู้หญิงอื่นละก็ โอย…โชติไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“วิกกี้” ทินพันธ์เลิกคิ้วด้วยท่าทางหงุดหงิด “วิกกี้เกี่ยวอะไรด้วยงานนี้”

“อ้าว…ก็…ก็…” คราวนี้โชติพูดไม่ออก

ก็จริงของนายแฮะ วิกกี้จะมาเกี่ยวอะไรด้วย



Don`t copy text!