ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 40 : ดอกฟ้ายาใจ (จบบริบูรณ์)

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 40 : ดอกฟ้ายาใจ (จบบริบูรณ์)

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

เก่งหันกลับมาด้วยความงุนงง เธอกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่พรวดพราดเข้ามาในบ้านก็คือทินพันธ์นั่นเอง

“อ้าว คุณทินพันธ์ กลับมาแล้วหรือคะ ดวงตาของคุณหายดีแล้วนี่ ดีใจด้วยนะคะ”

“ผมผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย จนหายดีและกลับเมืองไทยมาได้หลายเดือนแล้วครับ” เขาตอบและถามอดีตทอมด้วยความร้อนรนว่า “พี่เก่ง บอกผมหน่อยสิครับว่ากรผกามารศรีอยู่ที่ไหน”

“ไม่รู้ ไม่มี ไม่เห็น ไม่ได้อยู่ที่นี่ฮ่ะ” เก่งรีบปฏิเสธปากคอสั่น ท่าทางมีพิรุธเต็มที่

“พี่เก่ง” ชายหนุ่มแกล้งทำหน้าเคร่งขรึม

“ว้าย ว้าย” เก่งร้องกรี๊ดราวกับสาวน้อย “ไม่เอาละ…พี่เก่งไปดีกว่า ง่วงนอนแล้วละ”

“ง่วงนอนอะไร เพิ่งจะหกโมงเย็นเอง” ทินพันธ์รีบดักคอ “บอกผมมาซะดีๆ ว่ากรผกามารศรีอยู่ที่ไหน ผมไม่เชื่อหรอกว่าพี่เก่งจะไม่รู้”

“ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่บอก บอกไม่ได้ น้องผกาไม่ให้บอก อุ๊ย…” เก่งหลุดประโยคสุดท้ายออกมาโดยบังเอิญ

“พี่เก่งครับ” ทินพันธ์เปลี่ยนวิธีการใหม่ หันมาใช้น้ำเสียงออดอ้อนแทน

“กรุณาบอกผมเถอะครับ พี่เก่งก็รู้ว่าผมรักกรผกามารศรีมากแค่ไหน”

“บอกไม่ได้ เดี๋ยวน้องผกาโกรธ” เก่งเม้มริมฝีปากแน่น เหมือนกลัวจะหลุดความลับออกมา

“บอกผมตรงๆ ไม่ได้ ก็บอกใบ้สิครับ” ทินพันธ์แนะ “นะพี่เก่งนะ…พี่เก่งคนสวย”

“เหรอ” พอมีคนชมว่าสวย เก่งก็ชักจะใจอ่อน “พี่เก่งสวยจริงๆ เหรอ”

“จริงสิฮะ” ทินพันธ์กลั้นหัวเราะเต็มที่ “ถ้าไม่นับกรผกามารศรีละก็ พี่เก่งสวยที่สุดในโลกเลย…นะ…นะ…ใบ้ให้ผมหน่อยสิว่ากรผกามารศรีอยู่ที่ไหน”

“แก๊งค้ามนุษย์” เก่งหลุดคำใบ้ออกมา ก่อนจะปิดหน้าด้วยความเขินอาย จากนั้นก็รีบวิ่งลงจากกระท่อมเก่าๆ ของกรผกามารศรีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ชายหนุ่มงุนงงกับคำใบ้นั้น

แก๊งค้ามนุษย์…ทินพันธ์ทบทวนกลับไปกลับมาด้วยความรู้สึกงุนงง ตีปริศนาไม่ออกว่ากรผกามารศรีอยู่ที่ไหนกันแน่

 

อาคารเล็กๆ แห่งนั้นตั้งอยู่บนถนนใหญ่ แทรกตัวอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้า ถึงจะไม่หรูหราเหมือนกับตึกที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน หากสีเขียวอ่อนและแมกไม้ที่ปลูกให้ร่มเงาครึ้มนั้น สร้างความสบายใจและสงบเย็นให้กับทุกคนที่ย่างเท้าก้าวเข้าไปข้างในยิ่งนัก

ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวลงมาจากรถคันโต จ้องมองดูป้ายโลหะที่ติดอยู่ด้านหน้าอาคาร ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความสนใจ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ทั้งที่เป็นความจริงซึ่งเกิดขึ้นในสังคม

บ้านพักฉุกเฉิน

เขาเปิดประตูกระจกก้าวผ่านเข้าไปข้างใน มีเสียงดนตรีเบาๆ บรรเลง อากาศเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศที่เปิดเอาไว้แผ่วเบา มีกลิ่นหอมสะอาดของน้ำหอมปรับอากาศ

หัวใจของชายหนุ่มเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น เมื่อมองเห็นร่างสูงระหงในเสื้อยืดสีขาวสะอาดกับกางเกงยีนส์สีเข้มแลดูแปลกตาไปจากทุกครั้ง หล่อนกำลังนั่งก้มหน้าง่วนอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะ ผมสีดำยาวสลวย ใช้ยางสีแดงสดรวบเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ

“มีอะไรให้บ้านพักฉุกเฉินของเราช่วยเหลือคะ” หล่อนถามโดยไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นมามองแขกผู้มาเยือน

“ผมถูกทำร้ายหัวใจอย่างรุนแรงครับ” ทินพันธ์ตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่นเทา

“คุณ…” กรผกามารศรีเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารตรงหน้าด้วยความตกใจ ริมฝีปากของหล่อนสั่นระริก ดวงตาเบิกกว้างเหนือความคาดหมาย “คุณทินพันธ์”

“ครับ ผมเอง” ชายหนุ่มยิ้มด้วยความยินดี เขายื่นมือไปจับมือกรผกามารศรีเอาไว้แน่น

“ตาของคุณหายดีแล้วหรือคะ” หญิงสาวถามด้วยความห่วงใย

“ครับ หายดีแล้ว” ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อนโยน

“ฉันดีใจด้วยนะคะ” กรผกามารศรีถอนใจยาว “มาที่นี่มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

“ผมมาแจ้งบ้านพักฉุกเฉินว่าผมถูกทำร้ายหัวใจอย่างรุนแรง คนที่ทำร้ายผม ใจร้ายมากที่หนีผมมาโดยไม่บอกกล่าว ไม่มีเยื่อใยกับผมเลย” ทินพันธ์จ้องหน้าสวยหวานของหญิงสาวแน่วนิ่ง “มีที่ให้หัวใจของผมพักพิงไหมครับ”

“จะบ้าหรือไงคุณทินพันธ์ พูดเป็นเรื่องเล่นๆ ไปได้” กรผกามารศรีแกล้งเอ็ดชายหนุ่ม ทั้งที่หัวใจของเธอเองกำลังเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความดีใจที่ได้พบหน้าของเขาอีกครั้งหนึ่ง “บ้านพักฉุกเฉินเป็นสถานที่สำหรับสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง เช่น ถูกข่มขืน ถูกสามีทำร้าย หรือถูกส่งไปขายอย่างที่ฉันเคยโดนมาแล้วไงคะ กรณีของคุณนี่…บ้านพักฉุกเฉินไม่รับปรึกษาค่ะ ส่วนคนที่คุณหาว่าเขาทำร้ายคุณ ที่จริงเขาอาจจะทำลงไปเพราะรักและปรารถนาดีกับคุณก็ได้นะคะ โปรดกลับไปคิดทบทวนให้ดีเสียก่อนที่จะกล่าวโทษผู้อื่น”

“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงฮะ” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย เพราะกว่าเขาจะตีปริศนาที่พี่เก่งบอกได้ ก็ต้องใช้เวลาขบคิดอยู่หลายวัน

“แล้วคุณตามมาจนเจอฉันได้อย่างไรกันคะ” กรผกามารศรีเลิกคิ้วสงสัย “ต้องพี่เก่งแน่ๆ เลยใช่ไหมคะ มีแต่พี่เก่งคนเดียวที่รู้ว่าฉันมาทำงานที่บ้านพักฉุกเฉิน คอยดูนะพี่เก่ง เจอกันหนหน้าจะต้องเล่นงานให้เข็ด”

“อย่าไปโกรธพี่เก่งเลยครับ แกไม่ได้บอกผมตรงๆ หรอก” ทินพันธ์หัวเราะ ดวงหน้าคมสันของเขาดูใสกระจ่างเมื่อชายหนุ่มยิ้มกว้าง “แกแค่บอกใบ้ให้ผมเท่านั้น แถมยังบอกใบ้ยากเสียจนผมกลับไปนั่งคิด นอนคิดจนหัวแทบแตก”

“พี่เก่งใบ้ว่ายังไงคะ” กรผกามารศรีสงสัย

“ใบ้แค่สามคำเท่านั้นเอง คือคำว่า แก๊ง-ค้า-มนุษย์” ทินพันธ์ยังคงยิ้มแจ่มใส “รู้ไหมครับ กว่าผมกับคุณนายแม่จะตีปริศนานี้ออกว่าคุณอยู่ที่ไหน เราช่วยกันคิดจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ตกลงคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ แล้วคุณหญิงแม่กับแม่นิ่มล่ะ”

“ออกมาจากบ้านของคุณ กรผกาก็มาสมัครงานที่บ้านพักแห่งนี้ คุณแม่กับแม่นิ่มก็พักอยู่ด้วยกันที่นี่ละค่ะ วันนี้สองคนนั้นไม่อยู่ ไปประชุมร่วมกับบ้านพักฉุกเฉินสาขาอื่นๆ” กรผกามารศรีอธิบายให้ชายหนุ่มฟังด้วยสีหน้ามีความสุข

“คุณแม่ช่วยงานสังคมสงเคราะห์ตามแบบที่ถนัด ส่วนแม่นิ่มก็เป็นแม่ครัวทำอาหารและช่วยดูแลบรรดาผู้หญิงที่ถูกทำร้าย กรผกาก็ช่วยดูแลงานธุรการทั่วๆ ไปค่ะ พวกเราไม่ได้รับเงินเดือนแต่ทำงานแลกกับที่พัก เสื้อผ้า และอาหาร…เท่านี้พวกเราก็มีความสุขแล้วละค่ะ”

ชายหนุ่มมองดูกรผกามารศรีด้วยสายตาทึ่งแกมชื่นชม เขาไม่คิดเลยว่าเคราะห์กรรมที่โหมกระหน่ำเข้าใส่หญิงสาวสวยคนนี้ จะหล่อหลอมให้หล่อนเกิดความคิดช่วยเหลือสังคม และเติบโตขึ้นเป็นไม้แกร่งในวันนี้

“กรผกาเพิ่งได้รู้ว่ายังมีผู้คนที่เป็นทุกข์มากกว่าตัวเองอีกมากมายนัก ถ้ากรผกาไม่ได้ถูกนายธงชาติจับตัวไปวันนั้น กรผกาก็คงไม่รู้จักบ้านพักฉุกเฉิน ไม่ทันได้เกิดความคิดดีๆ หรอกค่ะ” แววตาของหญิงสาวมีความมุ่งมั่น ผิดไปจากกรผกามารศรีคนเดิม “กรผกามีโอกาสดีกว่าผู้หญิงอีกหลายๆ คน กรผกาก็เลยอยากจะช่วยเหลือผู้อื่นบ้างเท่าที่จะทำได้”

“กรผกามารศรี” ทินพันธ์จับมือหล่อนขึ้นมาจูบ “ผมภูมิใจในตัวคุณเหลือเกิน”

“ฉันก็ภูมิใจในตัวเองเช่นกันค่ะ ที่มีโอกาสได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมอย่างทุกวันนี้” ดวงหน้าของหญิงสาวอ่อนละมุน “น่าเสียดายที่กรผกาเริ่มต้นช้าไปหน่อย”

หญิงสาวไม่ได้บอกกับเขาว่า นอกจากการทำประโยชน์ให้กับสังคมแล้ว การที่ได้มาทำงานในบ้านพักฉุกเฉินแห่งนี้ ทำให้หล่อนได้มีโอกาสเรียนรู้ว่ามนุษย์นั้นเลือกเกิดไม่ได้ หากมนุษย์เลือกที่จะทำดีได้

ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของทุกคนนั้นเท่าเทียมกันเสมอ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนหรือเกิดมาในฐานะใด

หล่อนได้รับบทเรียนอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีสอนในโรงเรียน หากแต่จะต้องเรียนรู้และสัมผัสด้วยตนเองในมหาวิทยาลัยชีวิต

“แต่วันนี้คุณได้เริ่มต้นแล้วนะครับ ไม่มีอะไรจะสายเกินไปหรอกครับคุณกรผกามารศรี” ชายหนุ่มยิ้มให้หญิงสาว ก่อนจะแกล้งทำเสียงตัดพ้อว่า “แล้วเรื่องที่หัวใจของผมถูกทำร้ายล่ะครับ บ้านพักฉุกเฉินจะช่วยผมได้อย่างไรบ้าง”

“เสียใจค่ะ ที่นี่ช่วยเหลือแต่ผู้หญิงเท่านั้น” กรผกามารศรีหัวเราะเบาๆ

“ถ้างั้นคุณก็ต้องรับผิดชอบที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มตัดพ้อ

“อ้าว เกี่ยวอะไรกับฉันด้วยคะ” กรผกามารศรีแกล้งว่า พร้อมกับจ้องมองดวงหน้าชายหนุ่มแน่วนิ่ง “ฉันช่วยคุณไม่ได้หรอกค่ะ คุณทินพันธ์ คุณต้องหัดทำใจให้ได้”

“แต่ผมทำไม่ได้” เขาบีบมือหล่อนแน่นเข้า “ผมรักคุณนะกรผกามารศรี กลับบ้านเรากันเถอะ”

“บ้านของฉันอยู่ที่นี่ค่ะ” หญิงสาวหลบสายตาคมเข้มของเขา ใบหน้าร้อนวูบวาบด้วยความเขินอาย

“แต่งงานกับผมแล้วคุณจะมาทำงานที่นี่ทุกวันก็ได้ ผมไม่ว่าหรอก” ทินพันธ์โมเม ก่อนจะรั้งเอาร่างผอมบางนั้นมากอดไว้แนบอก

“ขี้ตู่ ใครเขาตกลงกับคุณด้วยยะ” กรผกามารศรีทำเสียงงอน หากซบหน้าลงกับอกกว้างของชายหนุ่มด้วยความรักและคิดถึง

“คุณบอกว่าจะคอยพยาบาลผมไม่ใช่หรือครับ” ทินพันธ์ทวงสัญญา

“ใช่ค่ะ แต่ดวงตาของคุณหาย สามารถมองเห็นได้เป็นปกติดีแล้วนี่คะ” กรผกามารศรีปรายสายตามองดวงหน้าคมสันของชายหนุ่ม “ฉันทำหน้าที่ของฉันสมบูรณ์แล้วนะคะ”

“ดวงตาของผมหาย แต่ดวงใจของผมยังไม่หายนี่ครับ” ทินพันธ์ทำเสียงเหมือนคนป่วย

“พูดยังกับละครน้ำเน่า” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ขณะที่ชายหนุ่มกระชับวงแขนแข็งแกร่งแน่นเข้า

“ละครน้ำเน่าก็มาจากชีวิตจริงทั้งนั้นละครับ” ทินพันธ์เถียง “หัวใจผมยังป่วย ขาดคนดูแลจริงๆ นะคุณ”

“ฉันขอคิดดูก่อน” หญิงสาวยังสงวนท่าที

“โอ๊ย…” จู่ๆ ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอก แล้วทรุดกายลงไปนั่งกองกับพื้น

“คุณทินพันธ์” กรผกามารศรีตกใจจนหน้าซีด “ตายแล้ว…คุณเป็นอะไรไปคะ”

“ไม่เป็นอะไรครับ ผมแข็งแรงดี” ทินพันธ์หรี่ตาข้างหนึ่งขึ้นมามอง “เห็นไหมว่าที่จริงแล้วคุณก็ยังเป็นห่วงผมอยู่”

“คนบ้า” กรผกามารศรีทุบหลังชายหนุ่มเสียงดังอั้ก “แกล้งจนฉันตกใจหมดเลย”

“ขอบคุณครับ” ทินพันธ์กอดกรผกามารศรีแน่น

“ขอบคุณฉันเรื่องอะไรคะ” หญิงสาวแกล้งทำเป็นไม่รู้

“ขอบคุณที่คุณเป็นห่วงผม” คราวนี้ทินพันธ์จ้องมองหญิงสาวแน่วนิ่ง น้ำเสียงที่พูดนั้นจริงจัง “ผมรักคุณนะกรผกามารศรี ผมอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับคุณ ดูแลคุณ เราแต่งงานกันเถอะครับ เราเสียเวลากันมานานแล้ว อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกเลย”

“ตกลงค่ะ” กรผกามารศรีซบหน้ากับทรวงอกแข็งแกร่งของชายหนุ่ม

หญิงสาวได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึ้กตั้กด้วยความยินดี ไม่แตกต่างจากหัวใจและความรู้สึกของหล่อน

เมฆหมอกร้ายได้พัดผ่านชีวิตของหล่อนและเขาไปแล้ว บัดนี้ดวงตะวันแห่งรักได้ฉายแสงอันอบอุ่น สาดส่องมาสู่หนทางในอนาคตข้างหน้า

รักย่อมเข้าใจในรักด้วยกัน ไม่มีชนชั้นวรรณะ ไม่มีอุปสรรคขัดขวางอีกแล้ว ในเมื่อมนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน

“ตกลงค่ะ ฉันจะแต่งงานกับคุณ ฉันรักคุณค่ะ ทินพันธ์”

กรผกามารศรีตอบเขาไปอย่างง่ายดาย จนแม้แต่ตนเองก็ยังแปลกใจ

แต่จะแปลกอะไร ในเมื่อความรักมีเหตุผลสมบูรณ์อยู่ในตัวเองแล้ว จนไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอื่นใดมาสนับสนุนอีกเลย

 

– จบบริบูรณ์ –

 



Don`t copy text!