ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 8 : ความตึงเครียดในครอบครัว

ดอกฟ้ายาใจ บทที่ 8 : ความตึงเครียดในครอบครัว

โดย : พงศกร

Loading

ดอกฟ้ายาใจ นวนิยายแนวยั่วล้อที่ พงศกร เขียนเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ได้รับความนิยมทั้งแบบรูปเล่มและนำไปเป็นละครโทรทัศน์ แต่หนังสือขาดหายไปนานและมีเสียงเรียกร้องให้นำกลับมาพิมพ์ใหม่เป็นจำนวนมาก สำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่งจึงได้จัดพิมพ์ ‘ดอกฟ้ายาใจ’ อีกครั้ง เพื่อแทนคำขอบคุณแฟนๆ ที่ติดตามเว็บไซต์อ่านเอาและสำนักพิมพ์มาโดยตลอด

แม้วันเวลาจะผ่านไปนานหลายเดือนแล้ว หากกรผกามารศรียังไม่ลืมคำพูดของทินพันธ์ที่คอยทิ่มแทงความรู้สึกของหล่อนอยู่ตลอดเวลา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หญิงสาวไม่สามารถจะบอกใครได้แม้แต่แม่นิ่มผู้เป็นแม่นมที่หญิงสาวรักและไว้วางใจมากที่สุด

ยิ่งอนึกยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลังจากงานหมั้นผ่านไปเรียบร้อย อนึกกับหล่อนมีโอกาสได้พบกันแทบจะนับครั้งได้ ผิดจากวิสัยของคนเป็นคู่หมั้นกันที่ควรจะคิดถึงกันและอยากพบหน้ากันบ่อยๆ

ทุกครั้งที่อนึกมาหาหล่อน ก็เพราะแม่สั่งให้เขามาหา และพากรผกามารศรีไปกินข้าว ก่อนจะจบลงด้วยการพาหล่อนมาส่งบ้าน แล้วเข้ามาขอยืมเงินพ่อไปใช้

อนึกจะยิ้มแย้มแจ่มใส มีสีหน้าท่าทางยินดีทุกครั้งที่ได้พบกับหล่อน แต่กรผกามารศรีกลับรู้สึกว่าทุกอย่างเรียบหรู ดูเนียนเกินไปเหมือนกับถูกเขียนบทมาก่อนหน้านี้แล้ว

แต่กรผกามารศรีก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ดีเสียอีก ยิ่งไม่ค่อยได้พบกันก็ยิ่งดี เพราะหล่อนรู้สึกอึดอัดทุกครั้งเมื่อจะต้องออกงานสังคมคู่กับอนึกและคุณอนงค์นาถ มารดาของเขา เวลาอยู่คนเดียวหล่อนได้เป็นตัวของตัวเอง บางครั้งก็พยายามลืมๆ ไปบ้างว่ามีคู่หมั้นอยู่กับเขา

คุณหญิงแม่ก็ดูจะสบายอกสบายใจที่ไม่ต้องพบปะกับคุณอนงค์นาถบ่อยนัก คุณหญิงสายหยุดเคยเปรยให้ลูกสาวฟังด้วยว่าคุณอนงค์นาถเคยขอยืมเครื่องเพชรไปหลายชิ้น แล้วทำเป็นลืมไม่ยอมคืน ต้องให้มารดาของหล่อนเป็นฝ่ายทวงถาม

มีครั้งหนึ่งคุณหญิงสายหยุดเล่าด้วยความโมโหว่า มารดาของอนึกถึงกับบากหน้ามาขอยืมสร้อยมรกตประจำตระกูลที่เจ้าสัวทินกรมอบให้กับกรผกามารศรีไปแล้ว คุณหญิงสายหยุดจึงบอกปัดไปโดยให้ขอยืมมรกตชุดเล็กของเธอไปแทน และจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้คืน

‘เอาไปจะหมดแล้วนะเนี่ย’ คุณหญิงสายหยุดบ่น ‘เคราะห์ดีที่สร้อยมรกตชุดใหญ่อยู่ที่ลูก ไม่อย่างนั้นยายอนงค์นาถนั่นคงมายืมไปอีก คนอะไรไม่รู้หน้าด้านหน้าทน’

และเท่าที่กรผกามารศรีทราบจากเจ้าสัวทินกร เหมือนกับว่าพ่อของเธอเซ็นเช็คให้อธิบดีอนันต์ไปหลายสิบล้านบาทแล้ว

‘คุณให้ไปทำไมเยอะขนาดนั้นคะ’ คุณหญิงสายหยุดเคยติงสามีครั้งหนึ่งกลางโต๊ะอาหารที่พ่อแม่ลูกนั่งรับประทานด้วยกัน ‘ถึงจะเป็นเพื่อน เป็นพ่อของตาอนึกก็เถอะ…ครั้งละสิบล้าน ไม่ใช่เงินน้อยๆ นะคะ คุณให้เพื่อนไปสามหนก็เท่ากับให้ไปสามสิบล้านแล้ว ประเดี๋ยวเงินบริษัทเราหมุนไม่ทันจะทำยังไง’

‘เอาเถอะน่าคุณหญิง’ บิดาของหล่อนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ‘ยังไงเราก็ต้องพึ่งพาเส้นสายของฝ่ายนั้น ให้เงินไปนิดๆ หน่อยๆ แลกกับความสะดวกทางธุรกิจถือว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเศรษฐกิจยังพอไปได้แบบนี้รับรองยังไงผมหมุนเงินทัน แถมมีเงินให้คุณไปเล่นไพ่ได้สนุกๆ ทุกวัน’

พอยกเอาเรื่องการพนันขึ้นมาเอ่ยอ้าง คุณหญิงสายหยุดก็เลยหมดเรื่องบ่นไปในที่สุด

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเช้าวันหนึ่ง

ช่วงสัปดาห์นั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันออกกลาง ส่งผลให้น้ำมันขึ้นราคาสูงเป็นประวัติการณ์ และค่าเงินบาทก็ตกลงจนน่าตกใจ นั่นส่งผลให้ธุรกิจของมรกตพรอพเพอร์ตี้ถึงกับหมุนเงินไม่ทันเป็นครั้งแรก

“เฮ้ย…อนันต์”

กรผกามารศรีซึ่งนั่งถักนิตติ้งอยู่ในห้องนั่งเล่นกับแม่นิ่ม ได้ยินเสียงของเจ้าสัวทินกรดังออกมาจากห้องทำงาน เขาคุยกับอธิบดีอนันต์ บิดาของอนึกผู้เป็นคู่หมั้นของบุตรสาวด้วยท่าทางกลัดกลุ้มกังวล

“ช่วยโอนเงินมาให้ผมหมุนสักสองร้อยล้านก่อนไม่ได้หรือ ขอให้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์นี้ไปก่อน พอผมได้เงินคืนมาจะรีบโอนคืนให้ทันที”

กรผกามารศรีวางผ้าพันคอในมือลงบนเก้าอี้ แล้วเดินไปแอบฟังบทสนทนาของพ่อกับอธิบดีอนันต์ด้วยความสงสัย

“ไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงของพ่อสั่นพร่า “เงินแค่ร้อยล้านเนี่ยนะ ช่วยผมไม่ได้หรืออนันต์ เราเป็นเพื่อนกันนะ ผมเคยโอนให้ไปตั้งสามสี่ร้อยล้าน นี่ก็ไม่ได้ขอคืน แค่ขอยืมมาหมุนจ่ายหนี้ให้ธนาคารก่อนเท่านั้นเอง”

หญิงสาวเห็นพ่อวางโทรศัพท์ลงด้วยท่าทางท้อแท้ ดวงหน้าของเจ้าสัวทินกรดูเหนื่อยหน่าย ดูเหมือนว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กรผกามารศรีเห็นพ่อกลุ้มใจและคิดไม่ตก

ที่จริงหล่อนก็นึกเป็นห่วงพ่อไม่น้อย แต่ด้วยความที่ไม่เคยจับงานอะไรมาก่อนเลย จึงไม่รู้จะช่วยพ่อได้อย่างไรดี อีกอย่างพ่อของหล่อนเป็นคนเก่งมาก กรผกามารศรีมั่นใจว่าอีกไม่กี่วันพ่อจะต้องแก้ปัญหาพวกนี้ไปได้อย่างแน่นอน

“อ้าว ลูกกรผกา” เจ้าสัวทินกรหันมาเห็นบุตรสาวเข้าพอดี จึงกวักมือเรียกให้เข้ามาหาด้วยท่าทางอ่อนล้า “พ่อปวดหัวจังเลย ปวดจนตาพร่า หนูช่วยไปหยิบยาแก้ปวดให้พ่อหน่อยสิ”

“ยาแก้ปวด” หญิงสาวทำหน้างง “เม็ดเป็นยังไงคะ แล้วเก็บอยู่ที่ไหนคะ กรผกาไม่เคยหยิบยาเองเลยสักครั้ง ประเดี๋ยวหยิบมาผิดละก็แย่เลย”

“จริงสินะ”

เจ้าสัวทินกรยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน ไม่นึกโกรธที่ลูกสาวไม่ได้ไปหยิบยาแก้ปวดให้อย่างที่ร้องขอ เพราะเขานึกได้ว่าลูกสาวคนสวยไม่เคยต้องทำอะไรเองมาก่อน แม้แต่จะกินยาก็มีคนหยิบให้ เพราะฉะนั้นกรผกามารศรีไม่มีวันรู้หรอกว่ายาแก้ปวดในบ้านนั้นเก็บเอาไว้ที่ไหน

“ไม่เป็นไรลูก นิ่ม…นิ่ม ช่วยไปหยิบยาแก้ปวดให้ฉันหน่อย”

เจ้าสัวเห็นแม่นมของบุตรสาวนั่งอยู่ในห้องถัดไป ก็เลยเรียกให้หญิงรับใช้สูงวัยไปหยิบยามาให้

สักพักใหญ่แม่นิ่มก็กลับมาพร้อมกับยาและแก้วน้ำในมือ หล่อนส่งยาให้กับเจ้าสัวทินกร ประมุขคนปัจจุบันของตระกูลมรกต แล้วบอกกับกรผกามารศรีว่า

“เรากลับไปถักผ้าพันคอกันต่อเถอะค่ะคุณหนู ปล่อยให้คุณท่านรับประทานยาแล้วนอนพักผ่อนเสียหน่อย”

“ดีแล้ว” เจ้าสัวทินกรพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่รู้เป็นยังไง สองสามวันมานี้ปวดหัวเหลือเกิน ตาพร่ามองเห็นภาพซ้อนกันไปหมด สงสัยว่าจะเครียดจากเรื่องงาน แม่นิ่มช่วยรับโทรศัพท์แทนด้วยนะ ฉันขอไปนอนพักสักหน่อย ใครโทรมาก็จดชื่อเอาไว้ บอกว่าฉันกำลังพักผ่อน มีอะไรเดี๋ยวจะติดต่อกลับไปเอง”

“ค่ะ” แม่นิ่มจ้องมองดูเจ้าสัวทินกรที่กำลังเดินกลับไปยังห้องนอนด้วยความเป็นห่วง หล่อนเดินตามหลังไปพร้อมกับถามว่า “ดูท่านเพลียมากเลยนะเจ้าคะ จะให้ดิฉันตามหมอหรือพยาบาลมาวัดความดันสักหน่อยไหม หรือจะให้เอารถออกไปโรงพยาบาลไหมคะ”

“โอ๊ย ไม่เป็นไรมากหรอกน่า” เจ้าสัวทินกรยกมือโบกห้าม “ไม่ต้องทำท่าเหมือนฉันกำลังจะตายหรอก…กินยาแล้วนอนพักหน่อยก็หาย ห้ามใครรบกวนทั้งสิ้น เดี๋ยวฉันตื่นนอนแล้วจะลุกออกมาเอง เข้าใจไหม”

“เจ้าค่ะ” ฟังเจ้านายยืนยันเช่นนั้นหล่อนก็ค่อยสบายใจ แต่ลึกๆ แล้วก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ด้วยความที่ทำงานรับใช้ตระกูลมรกตมานาน แม่นิ่มจึงกล้าบอกเจ้าสัวทินกรว่า “แต่ถ้าหากท่านรู้สึกอาการไม่ค่อยดี ยังไงกดกริ่งเรียกนิ่มนะเจ้าคะ”

“เออ เอาเถอะ” เจ้าสัวทินกรส่ายหน้าไปมา “ไม่ต้องห่วงหรอก คอยดูแลลูกกรผกาของฉันให้ดีก็แล้วกัน”

 

กรผกามารศรีเดินกลับไปนั่งถักนิตติ้งกับแม่นิ่มต่อด้วยความเพลิดเพลิน สมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนสอนฟินิชชิ่งที่ต่างประเทศ หล่อนเป็นนักเรียนที่ถักนิตติ้งได้สวยงามจนทุกคนต้องอิจฉา

หล่อนชอบถักนิตติ้ง เพราะนอกจากจะสวยงาม ดูหรูหราสมกับความเป็นผู้ดีมีตระกูลแล้ว หญิงสาวยังค้นพบว่ามันช่วยให้เธอมีสมาธิดีอีกด้วย เพราะการจะสอดสลับลวดลายของเส้นไหมนั้น จำเป็นจะต้องเอาใจใส่เป็นอย่างมาก

หล่อนนั่งถักนิตติ้งเพลินจนเกือบจะถึงเที่ยง หลังจากแม่นิ่มขอตัวไปเตรียมอาหารกลางวันได้สักพักใหญ่ หล่อนก็ได้ยินเสียงโครมดังมาจากห้องนอนของพ่อ หากพอตั้งใจเงี่ยหูฟังอีกครั้งหนึ่งนั้น กลับไม่ได้ยินอะไรอีก กรผกามารศรีจึงนึกว่าตัวเองอาจจะหูฝาดไป จึงไม่ได้เอาใจใส่อะไรอีก

แม่นิ่มยกก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหูฉลามที่คุณหญิงสายหยุดสั่งให้คนของเธอขึ้นเครื่องบินไปซื้อมาจากสิงคโปร์ อุ่นมาให้รับประทาน หญิงสาวตักชิมแค่สองสามคำก็บ่นว่าอิ่ม

ที่จริงหล่อนไม่อิ่มหรอก แต่ต้องการจะควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก เพราะหมู่นี้เอวยี่สิบสองของหล่อนชักจะขยายเกินไปสักหน่อย เวลาถ่ายรูปลงในนิตยสารแล้วดูเหมือนหล่อนจะอ้วนขึ้นมาก กรผกามารศรีจึงจำเป็นต้องหันมาควบคุมอาหารอย่างจริงจัง

“ทำไมอิ่มเร็วล่ะคะ เดี๋ยวก็ขาดสารอาหารหรอกคุณหนู” แม่นิ่มบ่น หากทว่าไม่จริงจังนัก “เอ จวนเที่ยงแล้ว ทำไมเจ้าสัวถึงยังไม่ออกมารับประทานอาหารอีกนะ แม่นิ่มว่าเราไปปลุกท่านดีไหมคะ”

“อย่าเลยแม่นิ่ม ท่านสั่งเอาไว้ไม่ให้ใครรบกวนนี่คะ” กรผกามารศรีส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ปล่อยคุณพ่อท่านนอนพักเถอะค่ะ สัปดาห์นี้ท่านเครียดมาก เพราะธุรกิจของเรากำลังมีปัญหาหมุนเงินไม่ทัน กรผกากลัวจังเลยค่ะแม่นิ่ม บ้านเราไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แม้แต่ช่วงที่ฟองสบู่แตก เกิดวิกฤติเศรษฐกิจแต่ธุรกิจของเราก็ไม่เคยกระทบกระเทือน คุณพ่อเองก็ไม่เคยมีท่าทางเคร่งเครียดแบบนี้เลยสักครั้ง”

“ค่ะ” แม่นิ่มเห็นด้วยกับคุณหนูของเธอ

หญิงสูงวัยคิดว่า หากเจ้าสัวทินกรตื่นนอนและรู้สึกหิวก็คงจะกดกริ่งเรียกหรือไม่ก็เดินออกมาเอง

แต่บิดาของกรผกามารศรีนอนเงียบผิดปกติ จนกระทั่งคุณหญิงสายหยุดกลับจากบ่อนไพ่ของเตี่ยของทินพันธ์ในตอนหัวค่ำ เจ้าสัวทินกรก็ยังไม่ออกมาจากห้องนอน

กรผกามารศรีพอจะเดาได้ว่ามารดาของเธอต้องโชคไม่ดีแน่ ถึงกลับบ้านเร็วเช่นนี้ หาไม่ก็ต้องเที่ยงคืน หรือไม่ก็ล่วงเข้าวันใหม่นั่นละ เธอถึงจะยอมกลับ

“คุณพ่อล่ะคะลูกขา” มารดาของกรผกามารศรีถามเสียงห้วน ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มแม้สักนิดเพราะวันนี้เธอเสียไพ่ไปสิบกว่าล้าน ตั้งใจแน่วแน่ว่าพรุ่งนี้จะต้องไปถอนทุนคืนให้ได้ “คุณพ่ออยู่ที่ไหนคะลูกกรผกา คุณหญิงแม่ว่าจะขอเงินไปถอนทุนคืนพรุ่งนี้สักหน่อย” คุณหญิงสายหยุดพูดตรงๆ ตามที่ใจคิด

“เมื่อเช้าคุณพ่อบ่นปวดหัว กินยาแล้วเข้าไปนอนพัก จนป่านนี้ยังไม่ออกมาเลยค่ะ” กรผกามารศรีตอบมารดาโดยซื่อ

“อ้าว” คุณหญิงสายหยุดขมวดคิ้ว “แล้วทำไมไม่ปลุกขึ้นมากินข้าวล่ะจ๊ะ ปล่อยให้เลยเวลาเดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะหรอก แม่นิ่มนี่ไม่ได้เรื่องเลย”

“ก็คุณท่านสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ใครรบกวนนี่คะ” แม่นิ่มก้มหน้านิ่ง

“เดี๋ยวฉันเดินไปเรียกเอง” คุณหญิงสายหยุดประกาศิต “แม่นิ่มไปเตรียมอุ่นอาหารมา เตรียมเผื่อฉันด้วย เจ้าสัวนี่ไม่ได้เรื่องเลย ทำเป็นเด็กเป็นเล็กไม่รู้เวล่ำเวลา ต้องให้ฉันต้องไปตาม เฮ้อ…ฉันเองก็ใช่ว่าจะแข็งแรง เป็นโรคหัวใจแบบนี้ จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้”

กรผกามารศรีมองดูมารดาแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ เห็นคุณหญิงสายหยุดขี้บ่นแบบนี้ แต่ที่จริงแล้วหญิงสาวรู้ดีว่าแม่รักพ่อของหล่อนมากมายนัก

แต่แล้วกรผกามารศรีก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ เข็มที่ใช้ถักนิตติ้งหล่นจากมือตกกระทบพื้นห้อง เมื่อหล่อนได้ยินเสียงของมารดาที่เดินไปปลุกเจ้าสัวทินกรที่ห้องนอน ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก

“ว้าย ตายแล้ว ใครก็ได้มาช่วยกันหน่อย เจ้าสัวเป็นอะไรก็ไม่รู้ นอนตัวเขียวหมดแล้ว ช่วยด้วย”

 



Don`t copy text!