ดวงตามัจจุราช บทที่ 1 : คนจรจัด…ศพที่ 2 

ดวงตามัจจุราช บทที่ 1 : คนจรจัด…ศพที่ 2 

โดย : ตะวันยอ

Loading

ดวงตามัจจุราช โดย ตะวันยอ นวนิยายแนวเหนือจริงที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์…เมื่อตำรวจสาวผู้มากด้วยความสามารถต้องกลายมาเป็นคู่หูกับชายหนุ่มผู้มองเห็นความคิดและความทรงจำสุดท้ายของคนตาย การผจญภัยเสี่ยงชีวิตด้วยกันจึงเกิดขึ้น และแม้คดีมากมายจะจบลง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

*************************

– 1 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เสียงเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ของไทยมุงที่ชะเง้อคอยืดยาว พยายามมองเข้าไปในพื้นที่ปิดล้อมจากเหตุฆาตกรรมในป่าละเมาะริมถนน บางคนยกมือถือมาถ่ายเซลฟีกับแบ็กกราวนด์ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่ ทุกสายตาพุ่งตรงไปยังหญิงสาวผู้มาใหม่ ร.ต.อ.ดุจดาว พนักงานสืบสวนหญิงจากสำนักงานสืบสวนคดีฆาตกรรมเหนือธรรมชาติ* (Office of Supernatural Criminal Investigations-OSCI) ด้วยเรือนร่างระหงสมส่วน ดวงหน้าหวานละมุนเรียบเฉยติดจะเคร่งเครียด มวยผมเก็บเรียบร้อยภายใต้หมวก รองเท้าส้นสูงแบรนด์ไฮเอนด์สีดำ เจ้าตัวเดินตัวตรงมาดมั่น ท่าทางเคยชินต่อการตกอยู่ภายใต้ความสนใจ เธอเร่งเดินทางมายังที่เกิดเหตุ หลังได้รับรายงานว่าคดีนี้เสียชีวิตแบบผิดปกติจากคดีฆาตกรรมทั่วไป โดยมี ด.ต.ปกป้อง ผู้ช่วยพนักงานสืบสวนที่ลงพื้นที่มาก่อนหน้าได้รายงานข้อมูลเบื้องต้นให้ทราบ

“ผู้ตายเป็นคนจรจัดที่เร่ร่อนบริเวณนี้ สอบถามคนละแวกนี้ทราบว่าผู้ตายชื่อ นายกล่ำ ไม่ทราบนามสกุล สูง 160 เซนติเมตร อายุประมาณ 50 ปี ในตัวผู้ตายไม่พบหลักฐานระบุตัวตน ผู้พบศพ ชื่อ นาง ละออ อาชีพ แม่ค้าก๋วยเตี๋ยว ที่อยู่… ให้การว่า เดินผ่านบริเวณนี้เพื่อไปขึ้นรถเมล์ไปซื้อของสดที่ตลาดในเวลา 04.00 น. ตรวจสอบศพได้กลิ่นเหล้า ตรวจพบร่องรอยการต่อสู้บริเวณพงหญ้าห่างจากศพ 2 เมตร ยังไม่พบอาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรม…”

ดุจดาวทรุดตัวนั่งข้างๆ ศพ ทักทายแพทย์นิติเวชเพื่อนรุ่นพี่จาก OSCI ผู้กำลังก้มๆ เงยๆ หาหลักฐานอยู่ข้างๆ ผู้กองดุจดาวเอ่ยถามสีหน้าครุ่นคิด

“พี่หมอฤทธิ์ นี่จะคล้ายอีกเคสที่เราตามสืบอยู่ไหมคะ”

น.พ.ฤทธีพยักหน้าตอบรับ ชี้ให้หมวดรุ่นน้องดูสภาพศพที่นอนหงาย

“ศพนี้มีสภาพแห้งคล้ายมัมมี่ ที่หน้าอกซ้ายมีรอยคล้ำดำคล้ายฝ่ามือคน พี่ว่ารูปแบบคล้ายคลึงกัน”

“มีความเป็นไปได้ไหมว่าน่าจะเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง…หรือฆาตกรรมเลียนแบบ”

ผู้กองดุจดาวภาวนาให้ไม่ใช่ทั้งสองประเด็น เนื่องจากคดีที่เธอรับผิดชอบนั้น ถือเป็นคดีดังระดับประเทศที่นักข่าวตั้งฉายาว่า คดีศพมัมมี่ เนื่องจากศพที่พบมีสภาพร่างกายเหือดแห้งเหมือนถูกสูบเลือดเนื้อออกจนหมดตัว จนถูกโยงไปถึงเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างผีดูดเลือด หรือลัทธิเซ่นสังเวยบูชาภูตผีปีศาจ จนสร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชน แต่คำภาวนาของเธอไม่สัมฤทธิผล

“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ศพเด็กชายตะวันที่เราเพิ่งพบเมื่อ 2 วันก่อน ถูกตัดมือสองข้างแล้วนำมาถ่วงน้ำ สาเหตุการเสียชีวิตคือหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน น่าจะถูกนำศพมาทิ้ง ส่วนศพนี้เสียชีวิตที่นี่ ถูกเย็บริมฝีปาก ดูจากร่างกายที่เริ่มแข็งทื่อ คาดว่าเสียชีวิตมาประมาณ 1-2 ชั่วโมง สาเหตุการเสียชีวิตยังไม่ทราบชัด แต่จากสภาพศพและรอยฝ่ามือที่พบในตัวศพ มันคล้ายคดีแรก น่าจะเป็นฆาตกรรมต่อเนื่อง” หมอฤทธีสันนิษฐานตามรูปการณ์

ผู้กองดุจดาวเดินสำรวจจุดที่คาดว่าจะเป็นจุดเกิดเหตุ กวาดตามองรอบๆ บริเวณนั้นตามบันทึกที่บอกไว้ว่า ผู้ตายกระเสือกกระสนคลานมาเสียชีวิต ณ จุดที่พบศพ

“อาจจะต้องตรวจสอบกล้องวงจรปิดในละแวกนี้ สาเหตุการเสียชีวิตยังไม่ชัดเจน เราคงต้องนำศพกลับไปผ่าชันสูตร”

เธอเดินเข้าใกล้ศพอีกครั้งเพื่อสำรวจตามนิสัย คราวนี้สายตาอันฉับไวเหลือบไปเห็นวัตถุสีขาวสะท้อนแสงอาทิตย์

“พี่หมอฤทธิ์…ในมือข้างนั้นของศพกำอะไรอยู่น่ะ”

หมอฤทธีขยับมาใกล้มือขวาของศพตามที่ดุจดาวชี้ เมื่อดาบป๊อกถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐานแล้ว เขาจึงใช้เครื่องมือพยายามดึงชิ้นส่วนเล็กๆ ที่มือขวาศพกำไว้แน่นออกมา

“ชิ้นส่วน PVC เคลือบเงาสีขาว…อาจจะเป็นของใช้หรือของเล่น ต้องเอาไปตรวจสอบก่อนถึงจะรู้ชัด” เขากล่าวก่อนจะเก็บหลักฐานชิ้นนั้นใส่ถุง

“เด็กชายตะวันศพแรก ถูกตัดมือ ศพที่สอง นายกล่ำ ถูกเย็บปาก ฆาตกรโหดร้ายทารุณเกินไปแล้ว สองคดีแรกของ OSCI เริ่มต้นก็มืดแปดด้าน”

__________________________

*เป็นหน่วยงานที่สมมติขึ้น

ดุจดาวถอนหายใจยาว ยืนกอดอกมองตามเจ้าหน้าที่ลำเลียงศพนายกล่ำขึ้นรถไป             ชันสูตรที่ OSCI

หมอฤทธีเดินมาใกล้แล้วตบไหล่เป็นเชิงให้กำลังใจรุ่นน้องร่วมจังหวัดเดียวกันที่ทุ่มเทและเอาจริงเอาจังกับงานสืบสวนคดีฆาตกรรมเหนือธรรมชาติมาก

“ผมว่างานนี้เราควรพึ่งบริการดวงตามัจจุราช…”

จู่ๆ ดาบป๊อกที่ยืนด้านหลังก็เอ่ยชื่อบุรุษที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญในแวดวงตำรวจ ด้วยความสามารถเหนือธรรมชาติที่มองเห็นความทรงจำของศพและความคิดของผู้อื่นได้ เขาจึงช่วยตำรวจไขคดีฆาตกรรมมาหลายคดีแล้ว ชื่อนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันไปในหมู่เจ้าหน้าที่ OSCI

ผู้กองสาวเลิกคิ้วที่เรียวโก่งได้รูปขึ้น ปากเม้มเป็นเส้นตรง เอ่ยเสียงเข้ม

“คดีแรก เราไม่ควรตัดริบบิ้นด้วยการพึ่งพวกชีปะขาวที่หลอกเอาเงินคนอื่นด้วยการนั่งนับลูกประคำนะคะ”

น้ำเสียงเธอดูหมิ่นอย่างไม่ปิดบัง ใครๆ ใน OSCI ต่างรู้ดีว่าผู้กองดุจดาวไม่ชอบพ่อมดหมอผีที่เธอมองว่างมงาย และไม่มีทางทำงานร่วมกับคนเหล่านี้ ถึงแม้หน่วยงานจะได้รับการขนานนามว่า หน่วยสืบผี ก็ตามที

“ดวงตามัจจุราชนี่เขาเป็นพวกชีปะขาวนั่งนับลูกประคำเหรอ ว้า…อุตส่าห์เป็นแฟนคลับ” เสียงหมอฤทธีเอ่ยอย่างผิดหวัง “แต่พี่เคยได้ข่าวว่าเขาซี้ปึ้กกะ ผอ.เรา เคยช่วย ผอ.ก่อตั้งหน่วยงานเราขึ้นมา อาจมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ได้” หมอฤทธีเอ่ยขึ้น

“ที่ผมได้ยินมา ทุกคดีเขาทำให้โดยไม่รับเงินสักสลึงเดียวเลยนะครับ ประเด็นหลอกเงินตัดไปได้” ดาบป๊อกแย้งขึ้นบ้าง

ดุจดาวขยับจะค้านว่าก็แค่เพียงเปรียบเปรยกระทบกระเทียบด้วยความหงุดหงิด ไม่เคยพบดวงตามัจจุราชตัวจริงสักที จะไปรู้ได้ไงล่ะ แต่…ช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรเส้นทางระหว่างเธอและพวกงมงายมนตร์ดำอย่างนายดวงตามัจจุราชก็ไม่มีทางมาบรรจบกันอยู่แล้ว

“เรื่องที่เขาเคยช่วยสารวัตรเริงก่อตั้ง OSCI ถือว่าเป็นตำนานของหน่วยงานเรา สารวัตรเริงอยากให้จารึกชื่อเขาไว้ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง แต่เพื่อนสารวัตรไม่ยอม ดวงตามัจจุราชเป็นคนที่ไม่ชอบออกสื่อ เราจึงไม่เคยเห็นตัวจริงของเขา” ดาบป๊อกผู้รู้ลึกรู้จริงสาธยาย มือลูบหนวดเหนือริมฝีปากที่เล็มตัดแต่งอย่างดี “ผมน่ะร่วมสืบคดีแปลกประหลาดกับสารวัตรเริงตั้งแต่แกติดยศร้อยตำรวจโทใหม่ๆ สมัยที่ OSCI ยังไม่เป็นวุ้นเลย”

“อื้อหือออออ…ลืมไปเลยว่าดาบป๊อกเป็นสายสืบรุ่นเดอะของเรา ผมเรียกลุงดาบดีไหมครับ” หมอฤทธีเย้านายดาบรุ่นลุง

“เรียกดาบป๊อกเถอะ ถือว่าได้ช่วยให้ผมเป็นหนุ่มกระชุ่มกระชวย”

“แต่ดุจว่าพี่เริงไม่น่าจะให้เราทำงานร่วมกับเขานะ” ดุจดาวที่ครุ่นคิดถึงประเด็นก่อนหน้าโพล่งขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัวว่าตอนนี้วงสนทนาไปถึงไหนแล้ว

ในความคิดของเธอที่ผ่านมา พ.ต.ต.เริงเกียรติ พี่เบิ้มแห่ง OSCI ไม่เคยมีความคิดเรื่องการทำงานร่วมกับพ่อมดหมอผี ที่ผ่านมามีพวกไสยศาสตร์มนตร์ดำเพียรมาเสนอตัวถึงสำนักงานเป็นที่โกลาหลวุ่นวาย ก็โดนปฏิเสธไปทุกราย สารวัตรเริงเป็นนายตำรวจที่มีความสามารถเลื่องลือด้านสืบสวน และเป็นต้นแบบในตำนานเพียงคนเดียวที่ดุจดาวให้ความเคารพศรัทธา ดาบป๊อกคันปากขยับจะค้าน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าผู้กองสาวยึดมั่นในความคิดตัวเอง คะแนนอันดับ 1 ของรุ่นไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแน่ๆ อีกทั้งสารวัตรเริงก็เป็นเจ้านายที่เธอเคารพศรัทธา การทำงานร่วมกันมาสักพัก ดาบป๊อกเดาทางถูกว่าเธอคงไม่เชื่อสิ่งที่เขาบอกหรอก นายดาบรุ่นเดอะจึงได้พึมพำเบาๆ ว่า “ผู้กองเอ้ย เดี๋ยวประสบการณ์จริงจะสอนคุณเองว่าคุณรู้จักสารวัตรเริงน้อยไปซะแล้ว ไม่งั้นพี่แกคงไม่ก่อตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาหรอก”

ศีรษะได้รูปโผล่ชะโงกจากหลังต้นไม้ใหญ่ใกล้จุดที่กำลังชันสูตร แล้วรีบหลบแวบไป แต่ไม่พ้นสายตาหมอฤทธี จึงกระซิบบอกรุ่นน้อง “ดุจ! ผู้หญิงที่ยืนหลบหลังต้นไม้นั่นใครน่ะ”

ดุจดาวเร่งสาวเท้าเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นทันที จากวงหน้าอ่อนใส ดวงตากลมโตดำขลับของเด็กสาวภายใต้หมวกแก๊ปที่พยายามดึงปีกลงมาปิดบังใบหน้าให้มากที่สุด น้ำเสียงดุจดาวจึงนุ่มนวลขึ้น “หนู หนูมาทำอะไรตรงนี้ ไม่รู้หรือว่าที่นี่เป็นเขตพื้นที่การทำงานของตำรวจ ห้ามเข้ามา”

ดาบป๊อกที่เดินตามมาตะโกนเสียงเข้ม “แถวนี้เขาห้ามคนเข้า เข้ามาได้ยังไงน่ะ เอ๊ะ…ทำไมหน้าคุ้นๆ นะเรา” เขาเขม้นมองหน้าเด็กสาว แล้วสังเกตเห็นมือถือที่เด็กสาวรีบแอบไว้ด้านหลัง “ไหนขอดูหน่อยสิ แอบเก็บภาพอะไรไปบ้าง”

แทนคำตอบ เด็กสาวคนนั้นวิ่งหนีหายลับไปตามป่าละเมาะ ดาบป๊อกไล่กวดร่างปราดเปรียวนั่นไป สักพักเขาเดินหอบแฮกกลับมารายงานดุจดาวว่า “ผู้กอง ผมตงิดๆ ว่าจะเป็นนักข่าว หน้าตาคุ้นๆ ผมว่าผมเคยเห็นในงานเปิดตัวของเรา น่าจะใช่คนของแอดมิดเพจ ‘ตามส่อง OSCI’”

“สำนักงานเราเพิ่งมีคดีแรก ก็มีเพจตามส่องเสียแล้ว ทำท่าจะเกิดแล้วพวกเรา” หมอฤทธีเอ่ย ตามด้วยเสียงหัวเราะขันๆ

“มันจะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิหมอฤทธิ์ เพจนี้แสบเอาเรื่อง ครั้งที่แล้วก็ลงแนะนำ OSCI แถมยังกระแซะว่าตั้งหน่วยปราบผีมากินภาษีประชาชนทำไม จนสารวัตรเริงต้องออกมาแก้ข่าวว่าออฟฟิศเราเป็นหนึ่งในองค์กรที่ตั้งด้วยเงินภาษีบาป” ดาบป๊อกเล่าย้อนไปก่อนหน้านี้ที่ OSCI กลายเป็นข่าวดังครั้งแรกก่อนเปิดตัวด้วยซ้ำไป

“แหมว่าไปแล้ว เราน่าจะมีพรีเซนเตอร์หน้าสวยหุ่นดีมาช่วยโปรโมตสำนักงานช่วยต้านข่าวลวง” หมอฤทธีเหล่ไปยังดุจดาวที่เบ้ปากมองบน ไม่เห็นด้วย เคยมีคนเสนอไอเดียนี้แถมเสนอชื่อเธอให้เป็นพรีเซนเตอร์ประจำสำนักงาน แค่คิดว่าจะต้องเดินผ่านสแตนดี้ตัวเองยืนยิ้มตะเบ๊ะหน้าออฟฟิศทุกวัน ดุจดาวก็สยองแล้ว

“เราทำงานให้ใครๆ เขาประจักษ์ความสามารถดีกว่าใช้รูปร่างหน้าตาเป็นใบผ่านทาง จริงไหมคะพี่หมอฤทธิ์”

“ฉายา ‘สวยประหาร’ ไม่ใช่จะได้มาฟรีๆ ละสิ” หมอฤทธีเย้าถึงฉายาที่เพื่อนตำรวจรุ่นเดียวกันเรียกขานเธอ จนชื่อนี้เลื่องลือโด่งดังทั่ววงการตำรวจ ดุจดาวหัวเราะเบาๆ หันไปหานายดาบ “ดาบป๊อกคะ เดี๋ยวกลับไปถึงสำนักงานแล้วรีบรายงานเรื่องนี้ให้พี่เริงทราบด้วย เราไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นเก็บภาพอะไรไปได้บ้าง” ดุจดาวกังวลใจ ดูเหมือนเด็กสาวคนนั้นจะยืนอยู่ในจุดที่สามารถได้ยินสิ่งที่ทั้งสามคนพูดคุยกัน

กลุ่มตำรวจของ OSCI กำลังเดินเข้าสำนักงาน ภาพที่ทุกคนเห็นแต่ไกลคือร่างสูงใหญ่ของสารวัตรเริงเกียรติ ยืนคอยลูกน้องด้านหน้าออฟฟิศด้วยความกระวนกระวาย เขาเดินวนไปวนกลับหลายรอบ ข้างกายเขาคือชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูง คลุมศีรษะด้วยเสื้อฮูด สวมกางเกงวอล์ม สนีกเกอร์สีดำสนิท โครงหน้าที่โผล่พ้นเสื้อฮูดมานั้นชวนมองแม้จะถูกปกปิดด้วยแว่นตาดำ แต่คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางแดงเรื่ออย่างคนสุขภาพดีที่พ้นการปกปิดนั้น โดดเด่นจับตาทุกคนที่เดินผ่านไปมา

แม้แต่ดุจดาวผู้ไม่เคยใส่ใจหนุ่มหน้าไหน เห็นชายหนุ่มผู้นั้นไกลๆ ในระยะ 10 เมตรแบบนี้ เธอยังเผลอคิดไม่ได้ว่า ถ้าปากบางๆ แดงๆ นั่นไม่เคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ ไม่มีท่าทีเซ็งโลกขณะปรายตามองเจ้านายเธอเดินวนไปมาละก็คงจะน่ามองยิ่งกว่านี้ เธอไล่มองสำรวจเขาตั้งแต่ใบหน้าลงมาถึงเสื้อผ้า ถึงหน้าตาดีแค่ไหน สแกนแล้วสไตล์การแต่งตัวไม่ผ่าน คล้องสร้อยทองเส้นโตๆ อีกสักเส้น ใส่หมวกแก๊ปอีกใบก็เปิดเวทีฮิปฮอปได้เลย

“ดุจ ฤทธี ป๊อกกี้ คดีของเราเป็นไงบ้าง”

เสียงเจ้านายทักดึงให้ดุจดาวรู้สึกตัว เธอเห็นเขารีบปรี่เข้ามาหา

“สารวัตรเริงใจร้อนจริง มายืนรอถามหน้าสำนักงานเลยเหรอครับ” ดาบป๊อกอดไม่ได้ที่จะแซวลูกพี่ใหญ่ที่เขารู้นิสัยว่าตอนนี้ยืนแทบไม่ติดที่แล้ว

“แหม คดีแรกของสำนักงานเราก็ดังลั่นสนั่นเมืองซะแบบนี้ ใครจะทนนั่งติดเก้าอี้ได้เล่า” หัวหน้าตอบกลับมา

“คดีนี้มีความคล้ายคลึงคดีศพมัมมี่ที่เพิ่งเกิดขึ้นค่ะพี่เริง เดี๋ยวรอพี่หมอฤทธิ์ชันสูตรและตรวจสอบหลักฐานบางอย่าง เราคงจะได้อะไรมากขึ้น” ดุจดาวตอบคำถามพี่ใหญ่แห่ง OSCI ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นการเป็นงาน พยายามอย่างยิ่งที่จะให้น้ำเสียงทรงพลังและท่าทีเอาจริงเอาจังนั้นไป ‘ข่ม’ ผู้ชายที่ยืนพิงกำแพงอยู่ข้างๆ ด้วยสัญชาตญาณผู้หญิงเธอจับได้ทันทีว่า ภายใต้ท่าทีเมินเฉยเฉื่อยชาต่อสรรพสิ่งรอบข้าง แววตาคมกล้านั้นกำลังไล่สำรวจเธอทั่วตัวอย่างพินิจพิเคราะห์ แก้มเนียนใสเรื่อสีขึ้นจนเจ้าตัวนึกขัดใจอาการประหม่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้งในชีวิตเมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาเพศตรงข้าม กิริยานี้ไม่สามารถรอดพ้นสายตาชายหนุ่มผู้นั้น ริมฝีปากบางแดงของเขาจึงคลี่ออกโชว์ฟันขาวอย่างอารมณ์ดี ยิ่งกวนอารมณ์หญิงสาวให้ขุ่นมัวมากขึ้น

“พี่มีที่ปรึกษามาช่วยงาน” สารวัตรเริงเกียรติเริ่มอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยตามสไตล์คนใจร้อนที่ลูกน้องชินกันทั่ว“เอ้า…ทุกคนมารู้จักกันซะ นี่ฉกาจ เพื่อนพี่ ที่ตำรวจเรารู้จักดีในฉายา ดวงตามัจจุราช”

ฝั่งหมอฤทธีกลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่เมื่อเหลือบไปมองรุ่นน้องสาวที่เริ่มขมวดคิ้ว หน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์

“สวัสดีครับ ผมได้ยินชื่อคุณมานาน เป็นแฟนคลับคุณ แต่ไม่เคยเจอตัวจริงสักที ผม หมอฤทธี แพทย์นิติเวช OSCI ครับ”

หมอฤทธีแนะนำตัวก่อนใครเมื่อได้ยินชื่อคนที่เขาติดตามชื่นชมฝีมือมาตลอด ดวงตามัจจุราชผู้โด่งดังก็ดูเป็นคนปกติธรรมดานี่นา ไหนดุจบอกแต่งตัวเป็นชีปะขาวนั่งนับลูกประคำ เขารึอุตส่าห์นึกภาพตามถึงชีปะขาวผมยุ่งรุงรังเป็นสังกะตัง แต่ตัวจริงดวงตามัจจุราชนี่หล่อเหลาขั้นเทพ เขาแอบส่งสายตาเคืองๆ ไปให้รุ่นน้องที่ให้ข่าวมั่ว ดุจดาวสบตารุ่นพี่ก็มีสีหน้าอึดอัดใจ

ฉกาจก้มศีรษะนิดๆ เป็นเชิงทักทาย เสียงทุ้มน่าฟังดังออกมาจากริมฝีปากบางแดงจนผู้หญิงอิจฉา “ผมฉกาจครับ เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยแต่งตัวเป็นชีปะขาวหลอกเอาเงินคนอื่นด้วยการนั่งนับลูกประคำสักที”

หมอฤทธีได้ยินถึงกับผงะ ขยับแว่นไปมาอย่างตื่นเต้น เฮ้ยยย เจอของจริงเข้าแล้ว ลอกประโยคดุจดาวมาทั้งดุ้นเหมือนยืนฟังอยู่ตรงนั้นเลย แบบนี้ดวงตามัจจุราชคงไม่ได้แค่เห็นความทรงจำละมั้ง ต้องอ่านความคิดคนอื่นได้ด้วย โอ้วมายก็อด…หมอหนุ่มแอบยกกำปั้นอุดปาก ร้องอุทานในใจ ในขณะที่ดาบป๊อกยกนิ้วโป้งให้ ส่วนดุจดาวยืนนิ่ง นิ่วหน้า แววตาแฝงความฉงน แต่ยังไว้ท่า

“กระผม นายดาบปกป้อง ผู้ช่วยพนักงานสืบสวนครับ” ดาบป๊อกตะโกนเสียงดัง เริ่มแนะนำตัวบ้าง

“ยินดีที่ได้รู้จักครับป๊อกกี้” ฉกาจทักทายกลับลูกน้องคนสนิทของเพื่อน ทำเอาดาบป๊อกยิ้มเผล่ ในสำนักงานนี้มีเพียงสารวัตรเริงคนเดียวที่นายดาบหน้าดุยอมให้เรียกเสียมุ้งมิ้งว่าป๊อกกี้ ครั้งนี้ก็หยวนๆ ยอมให้เพื่อนสนิทสารวัตรเริงอีกคน

“หัวหน้าคุณปลื้มทั้งป๊อกกี้ ทั้งหมอฤทธี” เขาจงใจละเว้นชื่อชื่อหนึ่งไว้ และมันก็ได้ผล วงหน้าหวาน ตวัดสายตาดุๆ มาที่เขา…เขาวางหน้าเฉย แกล้งเคี้ยวหมากฝรั่งหยับๆ อารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อเห็นคางมนสวยนั้นเชิดสูงขึ้น จนเขานึกหมั่นไส้ อยากแกล้งกระตุกมวยผมตึงๆ ของเธอให้หน้าหงาย ใส่ร้ายเขาแล้วยังทำตัวเป็นสาวมั่นมาข่ม

เขาย่างเท้าดุจพยัคฆ์ร้ายไปหยุดตรงหน้าเธอ เพื่อนวัยเยาว์ที่รอดตายมาด้วยกันอย่างหวุดหวิดจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ในห้องอภิบาลทารกแรกเกิดที่บ้านเกิดของเรา…ตั้งแต่เราสองคนอายุได้เพียง 7 วัน เขามองเห็นมันผ่านความทรงจำที่เธอได้รับคำบอกเล่าจากมารดา ซึ่งเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาจากมารดาของเขาเช่นกัน

ฉกาจกอดอกก้มลงมองหญิงสาวที่สูงเพียงบ่า เธอเชิดหน้าสู้สายตาไม่หวั่น เขาจงใจเป่าลมใส่หมากฝรั่งให้พองโตแตกดังโพล๊ะใกล้ๆ ใบหน้าเธอ ดุจดาวที่ระวังตัวอยู่แล้วคาดไม่ถึงว่าเขาจะมาไม้นี้ เธอตกใจถอยหนี ทำหน้าไม่ถูก ฝั่งเจ้านายเธอเห็นความกวนบาทาของรุ่นน้องก็หัวเราะ เดินมาตบหลังฉกาจ

“เฮ้ย ทำแบบนี้ต่อหน้าลูกน้องผู้หญิงของฉันได้ไง ไอ้นี่ไม่รู้จัก first impression จะทำงานร่วมกันอยู่แล้วแท้ๆ นี่ผู้กองดุจดาว พนักงานสืบสวนของเรา”

ลูกโป่งหมากฝรั่งอีกลูกเป่าไวทันใจ แตกโพละตรงหน้าสารวัตรเริงเกียรติแทนคำตอบ เพื่อนรุ่นพี่จึงสวนหมัดแย็บอัตโนมัติ อีกฝ่ายก็ป้องกันตัวได้ไวทายาด ความสนิทสนมระหว่างทั้งคู่ตรงตามที่หมอฤทธีและดาบป๊อกเคยพูดไว้ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทั้งกลุ่ม มีเพียงดุจดาวคนเดียวที่ยืนเงียบมองภาพนั้น

ความจริงเธอก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ไม่ยอมแก้ความเข้าใจผิดของหมอฤทธี แต่คดีแรกกับดวงตามัจจุราช…เธอรับไม่ได้จริงๆ ลึกลงไปภายใต้อคตินั้น มันถูกแต่งแต้มให้ขุ่นมัวยิ่งขึ้นด้วยความอิจฉาที่หญิงสาวเองก็ไม่ทันรู้ตัว นายคนนี้ไม่เห็นต้องใช้ความสามารถอะไรเลย ก็ได้รับการยอมรับและยกย่อง โดยเฉพาะจากพี่เริง ไอดอลของเธอ…

“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าความสามารถของคุณไม่ใช่แค่ลมปากที่เอาไว้เป่าหมากฝรั่ง…”

ปากบางแดงของฉกาจกระตุกยิ้ม ทั้งที่เขาได้เห็นความทรงจำทั้งหมดของเธอแล้ว แต่นึกอยากแกล้ง เขาหันมาค้อมตัวลงประสานสายตากับเธอ อึดใจเดียวที่ใบหน้าคมเข้มลอยห่างวงหน้าละมุนไม่ถึงคืบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายกล้าจ้องลึกเข้าไปในตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนกระจ่างใสภายใต้แพขนตางอนที่ตอนนี้แสนจะดุดันกินเลือดกินเนื้อของเธอ

วินาทีนั้น…ทุกอย่างรอบตัวอันตรธานหายไปจนสิ้น เหมือนโลกใบนี้เหลือเพียงเขาและเธอเท่านั้น สัญญาณอันตรายดังเตือนในหัวเธอ ใจนึกอยากถอยหลังหนีแต่แปลกที่ไม่สามารถขยับตัวได้ มารู้สึกตัวอีกทีตอนได้ยินเขาถอนหายใจยาว พูดขึ้นว่า

“ในมือขวาของศพนายกล่ำที่ถูกเย็บริมฝีปากด้วยด้ายดำ ผมเห็น PVC เคลือบเงา มันวาว”

เป็นไปไม่ได้! ดุจดาวร้องอุทานอยู่ในใจ เบื้องลึกภายใต้ความขุ่นมัวและอารมณ์ประหลาดที่ตีกันวุ่นวายให้หงุดหงิดหัวใจ เธอค้นพบว่ามันคือความทึ่งที่เธอเคยยกให้แต่เพียงหัวหน้าเท่านั้น แต่ด้วยอคติต่อสิ่งเหนือธรรมชาติ เคยชินในความเชื่อมั่น ทั้งนิสัยตำรวจที่ได้รับการฝึกปรือมานาน เธอจึงหรี่ตาหันไปมองหมอฤทธีที่โบกมือปฏิเสธตาโต

“เฮ้ย! ไม่ได้พูดกะใครเลย จากที่เกิดเหตุก็ตรงมานี่แหละ”

แล้วนายคนนี้รู้ได้อย่างไร ทั้งสภาพศพและหลักฐาน…ตอนที่เก็บหลักฐานในมือศพ บริเวณนั้นมีเพียงเธอ หมอฤทธีและ…เธอหันขวับมาหาดาบป๊อกที่สะดุ้งโหยง…

“ผมเดินตามหมวดมาถึงเมื่อกี้ ผู้กองก็เห็นๆ อยู่ ไม่ได้แวะที่ไหนเลย ไม่ได้คุยโทรศัพท์กับใครด้วย”

งั้นก็เหลือผู้ต้องสงสัยแค่คนเดียว…แม้จะรู้แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้ ดุจดาวก็หันมามองเจ้านาย

“เฮ้ยยย ดุจยังไม่ได้รายงานพี่” สารวัตรเริงเกียรติรีบปฏิเสธเสียงหลง “เอาละๆ ถ้าอยากรู้ว่าไอ้หมอนี่รู้ได้อย่างไรเรื่องพลาสติกชิ้นนั้น พี่แนะนำให้พามันเข้าไปดูศพสิ” เจ้านายเธอแนะขึ้นหลังมองทั้งคู่เงียบๆ มาสักระยะหนึ่ง

“เราไม่ควรพึ่งไสยศาสตร์ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบก่อนนะคะ” ดุจดาวยังไม่ยอมแพ้ แม้ความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอนจากการได้เห็นความสามารถพิเศษของดวงตามัจจุราชด้วยตาตัวเอง

“กรณีนี้ ผมว่าดวงตามัจจุราชเขาได้รับการตรวจสอบมาหลายคดีแล้วนะครับหมวด” ดาบป๊อกแทรกขึ้นมา คราวนี้เขาขอเข้าข้างฉกาจ

ฉกาจมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย กระทำตัวเป็นคนวงนอก ไม่เข้าซ้ำเติมหญิงสาวอีกแรงให้อัตตาเธอบอบช้ำยับเยินไปมากกว่านี้ เขาเพียงทอดสายตามองวิเคราะห์และประเมินผู้หมวดสาวภายใต้แว่นดำนิ่ง

“ฉกาจมีความสามารถพิเศษที่จะเชื่อมเรากับความทรงจำสุดท้ายของศพ พี่อยากให้ดุจเปิดใจลองทำงานร่วมกับเขาดู เซนส์พี่มันบอกว่าคดีนี้ไม่ธรรมดา ทางผู้ใหญ่เองก็เร่งรัดให้เราปิดคดีให้เร็วที่สุด เพราะเป็นคดีที่สะเทือนขวัญประชาชน”

ดุจดาวก้มศีรษะน้อมรับ แล้วเอ่ยปากขอให้หมอฤทธีนำฉกาจไปห้องชันสูตร โดยมีเธอ เจ้านายและดาบป๊อกเดินตามไป

“ตอนที่พี่สัมภาษณ์คัดเลือกเข้าทำงาน พี่เคยบอกแล้วว่า การเข้ามาทำงานในหน่วยงานนี้มันแตกต่างจากหน่วยอื่นของตำรวจ” ทำไมเธอจะจำวันแรกที่เข้ามาสัมภาษณ์ที่นี่ไม่ได้ เธอยังจำได้ถึงความประหลาดใจที่ได้ฟังไอดอลอย่างเขาเล่าถึง ‘โลกลี้ลับ’ หลังคดีเหนือธรรมชาติที่เธอยังครุ่นคิดสงสัย

เสียงสารวัตรเริงเกียรติดึงเธอกลับมาสู่ปัจจุบัน “เปิดใจกว้าง น้อมรับความแตกต่างและความเป็นไปได้ทุกอย่าง คดีเหนือธรรมชาติมันมีอะไรที่เราคาดเดาไม่ได้เสมอ ที่สำคัญ ถ้าลองเปิดใจ ดุจจะได้เรียนรู้อะไรจากเขาอีกเยอะ สิ่งที่พี่เองก็ไม่สามารถสอนดุจได้” สารวัตรเริงเกียรติเอ่ยเตือนสติลูกน้องระหว่างทางที่เดินไปห้องชันสูตร “อย่าด่วนตัดสินเขาก่อนจะได้เห็นความสามารถ สัญชาตญาณตำรวจของทุกคนจะบอกเราได้ว่าเราควรเชื่อหรือไม่เชื่อใคร”

ลูกน้องสาวค้อมศีรษะยอมรับคำตักเตือนนั้น แต่เบื้องลึกในใจก็ยังคงมีความสงสัยที่ต้องรอการพิสูจน์อีกเช่นกัน

ดาบป๊อกที่เดินตามหลังมา เมื่อทิ้งช่วงเว้นระยะให้หัวหน้าได้พูดคุยตักเตือนตามลำพังกับดุจดาวจบแล้ว จึงเดินเร่งเท้าเข้าไปหาสารวัตรเริงเกียรติ

“สารวัตรครับ เมื่อกี้ตอนที่พวกเรากำลังเก็บหลักฐานกันอยู่ มีเด็กผู้หญิงผมสั้นใส่หมวกแก๊ปมายืนแอบมองใกล้ๆ ผมเห็นหน้าแล้วคุ้นๆ ว่าน่าจะเป็นผู้ช่วยแอดมินเพจ ‘ตามส่อง OSCI’ ที่เคยมีกรณีกะสารวัตรครับ เพราะผมจำได้ว่าแอดมินเพจนี้น่าจะเป็นผู้ชายหน้าเข้มๆ หน่อย หมวดให้ผมรายงานเรื่องนี้กับสารวัตร เผื่อจะได้เตรียมพร้อมตั้งรับ”

สารวัตรเริงเกียรติพยักหน้า เพจนี้เคยทำให้เขาหนักใจมาแล้วเขายังจำได้ดี “ขอบใจมากป๊อกกี้ ผมไม่รู้ว่าเคยไปเหยียบตาปลาแอดมินเพจนี้ตั้งแต่เมื่อไร เล่นงานเราตั้งแต่ยังไม่เปิดสำนักงานเลย” ในใจเขาไม่ได้นึกสนุกเลยเมื่อมีเพจตามส่อง OSCI มาตามแอบดูการทำงานของลูกน้องเขาอย่างใกล้ชิดเกินไปแบบนี้

 

ภายในห้องชันสูตรที่เงียบสงัด ศพนายกล่ำนอนหลับตาสงบนิ่งรอคอยอยู่บนเตียง ฉกาจเดินเข้าไปใกล้ร่างที่นอนแข็งทื่อ เขาถอดแว่นดำออก หลับตารวบรวมสมาธิครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาจ้องมองไปที่ร่างปราศจากวิญญาณของนายกล่ำ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเขาฉายแสงวาบขึ้นมา

ภาพความทรงจำสุดท้ายก่อนเสียชีวิตของนายกล่ำฉายชัดในมโนสำนึก เสมือนเขาเข้าไปยืนร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้น นายกล่ำวิ่งหนีผ่านหน้าเขาไป ละล่ำละลักขอร้องให้ชายหนุ่มผู้มีแผลเป็นที่แก้มซ้าย ที่กำลังจอดมอเตอร์ไซค์หน้าคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ช่วยพาไปส่งที่ข้างทางรถไฟ สถานที่ที่เสียชีวิต

คล้อยหลังไปอีก 2 วัน เขามองเห็นบุรุษสวมหน้ากากปีศาจสีขาวตามมาพบนายกล่ำจนเกิดการต่อสู้ นายกล่ำสู้สุดฤทธิ์ กระชากฉีกชิ้นส่วนซีกซ้ายของหน้ากากปีศาจติดมือมา แล้ววิ่งหนีมาจนถึงพงหญ้า ก่อนจะถูกจับมัดและ…ฉกาจพยายามเพ่งเล็งภาพความทรงจำที่ค่อนข้างพร่าเลือน เหมือนมีใครจงใจก่อกวนสัญญาณภาพให้เขามองเห็นไม่ชัด

ณ ที่นั่นมีชายอีกคน คลุมผ้าดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า เดินอ่อนระโหยออกมาจากมุมมืด รังสีแห่งความตายแผ่ซ่านออกมาจากร่าง มันทรุดตัวนั่งลงข้างตัวนายกล่ำที่ถูกจับมัด พยายามเอ่ยท่องบทสวดอะไรบางอย่าง แต่ถูกปิดปาก ชายคนนั้นใช้มือที่สั่นระริกจับเข็มเย็บผ้าค่อยๆ เจาะเข้าไปในเนื้ออ่อนนุ่มของริมฝีปาก ดึงขึ้น ดึงลงให้เส้นด้ายปิดเย็บปาก เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของนายกล่ำดังก้องไปทั่วแล้วค่อยๆ เงียบหายไป

“นี่คือบทลงโทษคนที่ผิดศีลข้อ 5 สุราเมระยะ มัชชะ ปะมา ทัฏฐานา เวระมะณี สิกขา ปะทังสะมาทิยามิ”

เสียงแหบโหยทรงพลังเปล่งออกมาจากปากชายลึกลับ นายกล่ำพยายามดิ้นรนตะเกียกตะกายหนี สองมือเขาจิกแน่นลึกลงไปในดิน จนดินอัดลึกแทรกแน่นเข้ามาในเล็บ ก่อนจะถูกปล่อยตัวให้คลานมาถึงจุดที่เสียชีวิต ชายคลุมผ้าดำย่างตามมาช้าๆ ทรุดตัวลงข้างๆ เสียงหัวเราะที่ชวนขนลุกดังขึ้นเมื่อได้แนบฝ่ามือขวาเข้ากับอกด้านซ้ายของนายกล่ำ…ฉกาจพยายามใช้พลังเพ่งมองใบหน้าเจ้าของฝ่ามือ ทว่า…ใบหน้านั้นกลับถูกปกคลุมด้วยผืนผ้าดำสนิทที่มืดมิดและความสลัวยามย่ำรุ่ง ภาพนั้นดับวูบลง…

จู่ๆ ใบหน้าสีเขียวคล้ำ ริมฝีปากแห้งกรังที่มีด้ายสีดำหลุดลุ่ย ดวงตาเบิกโพลงด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทนแสนสาหัสของนายกล่ำก็มาปรากฏกายข้างๆ เขา

“ช่วยด้วย!” เสียงแหบโหยของวิญญาณร้องออกมา พยายามเปล่งเสียงอะไรบางอย่างเพื่อสื่อสารกับเขาต่อ แต่กลับถูกกระชากหายวูบไปทันที

ฉกาจทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรงหลังใช้พลังงานอ่านความทรงจำจากศพนายกล่ำ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่กำลังจ้องมองอย่างรอคำตอบ เขากล่าวเพียงสั้นๆ ว่า

“พวกคุณกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติที่น่ากลัว…”

 

หมายเหตุ : 

*เป็นหน่วยงานที่สมมติขึ้น

 



Don`t copy text!