ดวงใจจอมกระบี่ บทที่ 2 : ผาชิงดาว
โดย : แสนแก้ว
ดวงใจจอมกระบี่ นวนิยายดีเด่นกลุ่มนวนิยายรัก โครงการช่องวันอ่านเอาปี 2 โดย แสนแก้ว กับเรื่องของสาวไฮโซที่ถูกวางแผนฆ่า แต่อยู่ๆ เธอก็ได้พบกับหวังอี้เทียน จอมยุทธ์ที่หลุดมาในยุคปัจจุบัน เขามาช่วยชีวิตเธอและสืบความจริงในอดีตจนจับคนร้ายได้และเธอได้ข้ามกลับไปลุยกันต่อที่ฝั่งยุทธภพกับเขา นิยายออนไลน์ที่อยากให้ได้อ่านกันค่ะ
ยามบ่ายของวันใหม่ซึ่งแสงแดดแผดจ้า นลินญากับเรนนี่เดินทางไปท่องเที่ยวผจญภัยผาชิงดาวตามที่วางแผนไว้ รถยนต์เฟอร์รารีสีแดงสดแล่นไปตามทางลดเลี้ยวขึ้นเขา นลินญาผู้ขับมองหาอาคารเล็ก ๆ ซึ่งเป็นจุดบริการนักท่องเที่ยว เธอนัดกับคนของดาราลัยรีสอร์ตไว้ว่าจะยืมอุปกรณ์โรยตัวกับรถกระบะโฟร์วีลสำหรับเดินทางต่อไปยังจุดโรยตัว เส้นทางลุยป่าฝ่าดงบนผาชิงดาวนั้นรถเฟอร์รารีไปไม่ได้แน่ จะมีก็แต่มอเตอร์ไซค์วิบากกับรถกระบะที่ไปไหว
ทว่าไม่ทันถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว เรนนี่ก็ชี้ไปตามทางแยกขวามือ ถนนแยกขวานั้นสูงชันไม่น้อย
“แก มีป้ายศาลเจ้าผาชิงดาวด้วย ไปไหว้กันไหม”
นลินญาชะลอรถ
“ทำไม แกจะขอพรให้หวังอี้เทียนของแกฟื้นคืนชีพเหรอ”
“อะไรยะ สามีฉันไม่ตายง่าย ๆ หรอก” ถึงจะพูดอย่างนั้น เรนนี่ก็หน้าจ๋อยอยู่ดี “ไม่รู้ละ เดี๋ยวรออ่านตอนต่อไปของอาจารย์ถังก่อน ฉันว่าต้องมีปาฏิหาริย์อะไรสักอย่างแน่ ๆ หวังอี้เทียนไม่ตายหรอกน่า”
นลินญาตามใจเพื่อน เลี้ยวไปตามแยกทางขวา มุ่งหน้าสู่ศาลเจ้าผาชิงดาว
เธอไม่ได้จะไปขอพรให้หวังอี้เทียนเหมือนเรนนี่ เธอคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมาต่างหาก
ศาลเจ้าผาชิงดาวอยู่บนยอดสุดของภูเขาแห่งนี้ รอบบริเวณกว้างขวาง มีซุ้มประตูศาลเจ้าขนาดใหญ่ ถัดเข้าไปข้างในมีอาคารก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมจีนสูงสามชั้น ภายในมีองค์เทพเจ้ามากมาย หญิงสาวทั้งสองทำบุญและได้ธูปมาหนึ่งกำ ทยอยไหว้ขอพรตามจุดต่าง ๆ ปักธูปบูชาเทพเจ้าองค์ละสามดอก กว่าจะครบทั้งสามชั้นและธูปหมดกำก็ท่องคำอธิษฐานได้คล่องปากจนจำขึ้นใจ
เรนนี่สบายใจขึ้นมากเมื่อได้ฝากทวยเทพทั้งหลายให้ช่วยดูแลหวังอี้เทียน ครั้นพอจะกลับ นลินญาก็ชวนอ้อมไปด้านหลัง เรนนี่จึงเพิ่งสังเกตว่า สุดเขตศาลเจ้าบริเวณที่ใกล้หน้าผาซึ่งมองเห็นท้องฟ้าจรดขุนเขาเต็มสายตา ยังมีศาลเจ้าอีกหลังหนึ่งทว่าขนาดเล็กกว่ามากราวกับย่อส่วน
ป้ายไม้เก่าแก่ด้านบนเขียนว่า ‘เทพเจ้าแห่งความดี’
ศาลเจ้าเล็กสีค่อนข้างซีด ไม่แดงสดเหมือนศาลใหญ่ กำแพงมีรอยร้าว เสาไม้ก็ผุ คนที่มาทำบุญกับเทพเจ้าแห่งความดีคงไม่คึกคักหนาตาเท่าเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย
ชายชราผู้หนึ่งกวาดพื้นอยู่ เส้นผมของเขาเบาบางต่างจากเคราขาวที่ดึกครึ้มคลุมริมฝีปากเกือบมิด พอสังเกตเห็นนลินญา เขาก็รีบวางไม้กวาด ยิ้มร่า เดินกึ่งวิ่งงอกแง่กเข้ามาหา
“คุณนลิน แวะมาเที่ยวเหรอครับ”
“อาแปะหลง สวัสดีค่ะ อุ๊ย ๆ ไม่ต้องวิ่งค่ะ เดี๋ยวล้ม”
นลินญาเองก็รีบก้าวยาวเข้าไปหา ยกมือไหว้ ยิ้มแย้ม เล่นเอาเรนนี่งงไปเลยทีเดียวว่าเพื่อนสาวจอมหยิ่ง ถือตัว เอาแต่ใจ ไปสนิทสนมกับอาแปะคนดูแลศาลเจ้าตั้งแต่ตอนไหน
อาแปะหลงเชิญสองสาวเข้าไปในศาลเจ้าเล็กทึบทึม ช่วยกันเปิดหน้าต่างและเปิดไฟเพดาน แสงสว่างส่องให้เห็นรูปเคารพเทพเจ้าแห่งความดีองค์ใหญ่ตั้งตระหง่าน ศาลเจ้าซึ่งเล็กอยู่แล้วยิ่งดูแคบเข้าไปอีก
องค์เทพนี้แกะสลักจากหินทั้งก้อน เป็นรูปชายสูงวัยท่าทางใจดี แต่งกายชุดจีนยาว สวมหมวกตำแหน่งสูงน่าเกรงขามทว่าใบหน้ากลับดูแย้มยิ้ม มือข้างหนึ่งถือพัดซึ่งว่ากันว่าเป็นพัดหยกมงคล ส่วนมืออีกข้างอุ้มกระต่ายน้อยอย่างเบามือและเปี่ยมเมตตา
เรนนี่คุกเข่าลง ค่อย ๆ ไล่มองสำรวจองค์เทพเจ้าแล้วรู้สึกศรัทธาอย่างประหลาด ท่านดูใจดีเหลือเกิน ต่างจากเทพบางองค์ที่ใบหน้าถมึงทึงขึงขัง มือกำอาวุธจำพวกกระบองหรือไม่ก็กระบี่
หญิงสาวหันซ้ายขวาหาธูป นลินญาซึ่งนั่งคุกเข่าเคียงกันก็บอกเบา ๆ ว่า
“เวลาไหว้เทพเจ้าแห่งความดีไม่ต้องจุดธูปก็ได้ ไม่ต้องตั้งเครื่องเซ่นไหว้ก็ยังได้ เขาไหว้กันด้วยอะไรรู้หรือเปล่า”
เรนนี่เพิ่งสังเกตว่าบนแท่นบูชาไม่มีชุดสักการะอยู่เลย มีแค่ถาดทองเหลืองใบเดียวกับปึกกระดาษเปล่า เธอเอ่ยถามตาใสว่า
“งั้นไหว้ด้วยอะไรเหรอ”
นลินญากระซิบตอบ “ความดี ท่านให้บูชาความดีด้วยความดี”
“ฮ้า…”
หญิงสาวอุทานด้วยความเลื่อมใส อาแปะหลงซึ่งยืนเยื้องไปด้านหลังก็เสริมว่า
“หนึ่งชีวิตแลกพรหนึ่งข้อ สมหวังหรือไม่ล้วนแล้วแต่วาสนา วิธีขอพรเป็นอย่างนั้น”
เรนนี่ขมวดคิ้ว แต่พอจะถามเพิ่มเติมอาแปะหลงก็ออกไปกวาดใบไม้เสียแล้ว นลินญาจึงอธิบายแทน
“ก็…เมื่อได้ช่วยชีวิตใครไว้หนึ่งคน เราก็เอาความดีนี้ไปขอพรเทพเจ้าได้หนึ่งข้อ แต่ขอแล้วจะสมหวังหรือผิดหวังก็ต้องแล้วแต่วาสนา เทพท่านไม่ได้คอนเฟิร์มว่าจะทำให้ทุกเรื่องน่ะ”
“เอ๋…ไม่ค่อยเข้าใจแฮะ”
“เออน่า ไม่ต้องเข้าใจหรอก ไหว้ไปเถอะ”
แล้วคนที่บอกว่าไม่เข้าใจก็ยกมือไหว้หลับตาพึมพำเป็นจริงเป็นจัง มีคำว่าหวังอี้เทียน ๆ แว่ว ๆ
ส่วนนลินญากำลังจะขอพรบ้างก็ไตร่ตรองว่า ชีวิตเธอตอนนี้ต้องการอะไรกันแน่ เหมือนจะมีทุกอย่างรายล้อมพร้อมสรรพแต่มันช่างว่างเปล่าในความรู้สึก เธอไม่มีเรื่องจะขอ บางครั้งการมีชีวิตเพียบพร้อมเกินไปก็ทำให้ขาดแรงบันดาลใจอย่างน่าประหลาด
ทันใดนั้นหญิงสาวก็นึกถึงคำพูดของเรนนี่ขึ้นมา
‘เอาน่า เดี๋ยวสักวันแกจะได้เจอคนที่เขาตามหาผู้หญิงแบบแก เชื่อฉันสิ’
ไหน ๆ ก็โดนผู้ชายทิ้งมาซะยับเยินขนาดนี้ เช่นนั้นเธอก็จะขอเรื่องนี้ก็แล้วกัน
ออกจากศาลเจ้าผาชิงดาว สองสาวก็ไปกันต่อ เปลี่ยนเป็นรถโฟร์วีลที่จุดบริการนักท่องเที่ยวแล้วมุ่งหน้าสู่ผาชิงดาว
เมื่อมาถึงริมผาก็พบเจ้าหน้าที่และพนักงานของดาราลัยรีสอร์ตรออยู่ก่อนแล้ว เตรียมเชือกและอุปกรณ์โรยตัวไว้พร้อม นลินญากับเรนนี่ก็เริ่มแต่งตัว สวมใส่ซีตฮาร์เนสหรือเข็มขัดเซฟตี้ครึ่งตัว สวมถุงมือและหมวกนิรภัย
นักโรยตัวหนึ่งคนจะลงพร้อมกับเชือกสองเส้น เส้นหนึ่งเป็นเส้นหลัก อีกเส้นเป็นแบ็กอัป
เส้นแบ็กอัปติดตั้งอุปกรณ์กันตกที่เรียกว่า ฟอลอาเรสเตอร์ เจ้าสิ่งนี้สามารถล็อกให้เกาะอยู่กับเส้นเชือกหรือปลดล็อกเป็นโหมดออโต้เพื่อเคลื่อนที่ขึ้นลงตามเส้นเชือกได้
ส่วนเชือกเส้นหลักสำหรับโรยตัว โดยปกติจะร้อยกับห่วงเลขแปดซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญ ใช้ชะลอความเร็วในการโรยตัว ประคองเชือกให้ไหลผ่านก็คือโรย จับยึดเชือกไว้ก็คือหยุด เรียกได้ว่าโรยหรือหยุดก็ควบคุมที่ห่วงเลขแปดนี้
แต่ครั้งนี้พนักงานรีสอร์ตมีอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกมาให้ใช้แทนห่วงเลขแปด เรียกว่า ดีเซนเดอร์หรืออุปกรณ์โรยตัวแบบคันโยก บีบคันโยกก็จะปล่อยให้โรยตัวลงได้ พอปล่อยคันโยกก็ยึดเชือกให้หยุด ช่วยให้โรยตัวได้ง่ายขึ้น
หญิงสาวทั้งสองค่อย ๆ โรยตัวเคียงข้างกันเป็นคู่บัดดี้ลงมาตามหน้าผา แสงแดดยามบ่ายอุ่นจัดสาดจ้ากระทบแผ่นหลังและหินผา หมู่ไม้เบื้องล่างทั้งเขียวสดและเขียวเข้ม ทั้งยอดสูงและยอดเตี้ยดูคล้ายกับต้นไม้จิ๋ว
ขาของเรนนี่ที่ยันหินผาสั่นเล็กน้อย ต่างจากนลินญาที่ท่าทางทะมัดทะแมงเป็นนักกีฬาเต็มตัว ขยับโรยตัวกันไปก็คุยกันไปเพลิน ๆ
“นี่ นลิน เมื่อกี้แกอธิษฐานอะไรเหรอ”
“ไม่บอก”
“ย่ะ” เรนนี่ไม่แปลกใจคำตอบเลยสักนิด “งั้นแกอธิษฐานแลกกับความดีอะไรเหรอ”
นลินญาเงยหน้ามองข้างบน เห็นขอบผาสูงลิ่ว เธอกับเรนนี่ลงมาได้สักหนึ่งในสามของความสูงทั้งหมดแล้ว
“แกนี่ดีจังนะเรนนี่ เป็นหมอก็ได้ช่วยชีวิตคน มีแต้มต่อให้อธิษฐานเยอะเลย”
“อ้าว นี่ แกไม่ได้น้อยใจฉันใช่ไหม” เรนนี่ค่อย ๆ ขยับเท้าแตะหินผา “ฉันก็แค่ชวนคุยเฉย ๆ”
นลินญาเอ่ยตอบราบเรียบ
“ไม่นานมานี้ฉันได้ช่วยป้าคนหนึ่งไว้ด้วยละ”
“หือ ใครน่ะ”
“ไม่รู้จัก น่าจะเป็นคนจรจัดแหละมั้ง”
นลินญาเล่าว่า คืนหนึ่งเธอไปนั่งฟังเพลง ดื่มค็อกเทลแก้เบื่อที่ไนต์คลับที่ประจำ นั่งเพลินจนเกือบตีสอง ขากลับเพนเฮาส์ ระหว่างที่ขับรถชมวิวเมืองหลวงยามดึกเพลิน ๆ ได้สังเกตเห็นหญิงวัยกลางคนแต่งกายมอมแมม ผมเผ้ายาวฟู วิ่งสุดฝีเท้าหนีอะไรบางอย่างเข้าไปในตรอกอันมืดอับ
อึดใจเดียวก็มีชายหนุ่มแต่งกายมอซอพอกันกลุ่มหนึ่งวิ่งตามเข้าไป ส่งเสียงไล่กันเอะอะ
นลินญาจอดเทียบข้างทางทันที เปิดช่องเก็บของในรถแล้วเอาปืนมาใส่กระเป๋าไว้ ลงมาดูสถานการณ์ เพ่งมองฝ่าความมืดสลัวไปรอบตัว ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำอย่างไร ต้องแจ้งตำรวจหรือไม่ เพราะยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
วินาทีต่อมา หญิงท่าทางเสียสติคนนั้นก็โผล่พรวดทะลุซอยมาทางนี้พอดี นางสะดุดล้มหน้าร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นที่เดียวที่ยังเปิดไฟสว่าง กลุ่มนักเลงย่างสามขุมจะรุมทำร้าย นลินญามีวิชาป้องกันตัวอยู่บ้างก็บุกเข้าไปช่วยเหลือทันที
นักเลงมาด้วยหมัด เธอก็รับแล้วซัดกลับด้วยหมัด อีกคนเงื้อไม้ฟาดลงมา เธอก็หลบฉากแล้วคว้าแขนเขาจับทุ่มหลังฟาดพื้นเต็มหลัง ชายร่างใหญ่ทะมึนบุกเข้ามาด้วยมีดสปาต้าคมปลาบ นลินญาสวนกลับไปด้วยปากกระบอกปืน
เมื่อนั้น ดวงตาโหดเหี้ยมของพวกอันธพาลก็เริ่มไหวระริก แล้วคนพวกนั้นก็สบถหยาบคาย วิ่งหนีหายไปในตรอกมืด
‘คุณป้า เป็นอะไรหรือเปล่าคะ’
เธอร้องถามพลางช่วยฉุดพยุงหญิงเคราะห์ร้ายขึ้นมา นางตัวสั่นงันงก ยังไม่หายหวาดกลัว ทว่าเมื่อหันมาพบหน้านลินเข้า นางก็เบิกตาโพลงผ่านเส้นผมรุงรังจนน่ากลัวว่าลูกตาจะถลนออกมา
ปากสั่นระริกของนางอ้ากว้าง ร้องอ๊า ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ วูบหนึ่งที่นลินญาเกิดความคิดว่านางไม่เหมือนหญิงบ้า เพราะดวงตาของนางฉายแววประหลาด
ราวกับ…ดีใจที่ได้พบคนรู้จัก
“โห แกนี่ดังขนาดคนบ้ายังรู้จักเลยนะ ดาราสุด ๆ”
“บ้า ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วแกทำไงต่อ”
“ฉันก็ถามป้าว่า ป้าเป็นใคร รู้จักฉันด้วยเหรอ”
“อ่าฮะ”
“ป้าก็ตอบว่า…”
คำพูดของนลินญาหายไปกะทันหัน เพราะเสี้ยววินาทีนั้นร่างเธอร่วงพรวดไปจากที่เดิม เรนนี่กรี๊ดลั่น นลินญาจับยึดเส้นเชือกเต็มสองมือจนหยุดได้ แรงเหวี่ยงพาให้ร่างเพรียวบางฟาดเข้ากับหน้าผา ยังดีที่หญิงสาวใช้ข้างลำตัวปะทะจึงไม่บาดเจ็บมาก สองเท้าเกี่ยวซอกหินหาที่ยืน
อุปกรณ์โรยตัวแบบคันโยก จู่ ๆ ก็มีปัญหา
“นลิน แกเป็นไงบ้าง” เรนนี่ร้องถาม พยายามโรยตัวให้เร็วขึ้นเพื่อลงมาหา แต่ก็แกว่งไปแกว่งมาทุลักทุเล นลินญาร้องตอบขึ้นไป
“ฉันโอเค”
นลินญาเหยียบซอกหินได้ เกร็งร่างพยายามทรงตัว มือซ้ายพันทบกับเชือกเพื่อให้แน่นยิ่งขึ้น อีกมือเอื้อมไปคว้าเชือกเส้นแบ็กอัป เธอจำเป็นต้องล็อกฟอลอาเรสเตอร์เพื่อช่วยให้ไม่ร่วงลงไปอีก
เมื่อล็อกได้แล้ว เธอก็เปลี่ยนเอาดีเซนเดอร์ที่ชำรุดออก ล้วงเอาห่วงเลขแปดจากกระเป๋าข้างขากางเกงมาเปลี่ยนแทน แต่ตอนร้อยเชือกเข้ากับห่วงก็ทำได้ทุลักทุเลเต็มกลืนเพราะมือซ้ายยังต้องยึดเชือกไว้
“นลิน ฉันมาแล้ว” เรนนี่โรยตัวลงมาเกือบถึงตัวเธอ “ยังไงดีล่ะ ฉันต้องทำยังไงบ้าง”
ถึงจะเป็นคู่บัดดี้โรยตัวกัน แต่ทั้งสองไม่เคยซักซ้อมกันเลยว่าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันต้องแก้ปัญหาอย่างไร
นลินญาร้อยเชือกเข้าห่วงเลขแปดได้แล้ว แต่เกี่ยวเข้าห่วงคาราบิเนอร์ซึ่งเชื่อมติดกับชุดซีตฮาร์เนสที่สวมไม่ได้สักที มือที่ยึดเส้นเชือกอยู่ก็อ่อนล้าจนเริ่มสั่น
“เรนนี่ แกเกี่ยวห่วงให้หน่อย”
ขอเพียงเกี่ยวห่วงเลขแปดเข้ากับคาราบิเนอร์ หมุนล็อกให้ได้ ทุกอย่างก็เรียบร้อย เรนนี่ไต่ผาเข้ามาใกล้ ทว่า พอเอื้อมมือไปจะเกี่ยวห่วงให้ เท้าของนลินที่เหยียบร่องหินกลับลื่นหลุด ทำให้หญิงสาวร่วงวูบลงจากที่เดิม เส้นเชือกถูกกระชากจนตึง ร่างบางหมุนคว้างแกว่งไกว โชคดีที่ล็อกฟอลอาเรสเตอร์ไว้จึงยังยึดอยู่กับเชือกแบ็กอัป
“นลิน! แกเป็นอะไรหรือเปล่า”
เรนนี่ลนลานแทบจะกระโจนตามลงมา นลินญาร้องบอกขึ้นไปว่า
“ฉันโอเค แกไม่ต้องตกใจ เอาห่วงเลขแปดมาให้ฉันที”
หญิงสาวตั้งใจว่าจะร้อยห่วงนั้นเข้ากับเชือกเส้นหลักอีกครั้ง และเมื่อเกี่ยวมันเข้ากับห่วงคาราบิเนอร์ ทุกอย่างก็จะปลอดภัยเต็มระบบเหมือนเดิม ทว่าเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดถึงก็เกิดขึ้น จู่ ๆ เส้นเชือกแบ็กอัปอันเป็นสิ่งเดียวที่ยึดโยงตัวเธอไว้ก็หลุดร่วงลงมาทั้งเส้น
ร่างของนลินญาร่วงลงสู่หุบเหวราวกับถูกปีศาจแห่งป่าไม้เบื้องล่างดูดคืนสู่ผืนพิภพ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วในพริบตาจนแม้แต่นลินญาเองก็ลำดับไม่ทัน คงเหลือเพียงเสียงกรีดร้องก้องสะท้อนของเรนนี่
เสียงคำรามก้องของสัตว์ป่าชนิดหนึ่งปลุกให้นลินญารู้สึกตัวตื่น แต่ครั้นลืมตาโพลงก็ยังมองเห็นแต่ความมืดมิด เวลานี้เป็นเวลากลางคืนและตัวเธอแขวนค้างอยู่บนต้นไม้ เชือกปีนเขาและอุปกรณ์โรยตัวคงมีสักชิ้นที่ไปเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้เธอจึงได้รอดตายปาฏิหาริย์ หญิงสาวพยายามล้วงเอาโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าข้างขากางเกงมาเปิดไฟฉายแล้วพบว่าตัวเองอยู่ไม่สูงจากพื้นดินเท่าใดนัก ใช้เวลาพักใหญ่ก็สามารถปลดตัวเองออกจากซีตฮาร์เนสได้ ค่อย ๆ ไต่ต้นไม้ลงมา
โชคดีเหลือเกินที่ร่างกายไม่มีส่วนใดแตกหัก แค่เจ็บระบมและเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัวเท่านั้น แต่เรื่องโชคร้ายก็มีอยู่ว่า เธอลงมาเหยียบยืนอยู่ที่ก้นเหวของผาชิงดาวเป็นที่เรียบร้อย
สำเนียงพงไพรอื้ออึง นลินญาไม่กล้าตะโกนขอความช่วยเหลือกลัวว่าจะเรียกสัตว์ร้ายมาแทน เธอสาดแสงไฟหาต้นไม้ใหญ่สักต้นหรือก้อนหินใหญ่สักก้อนไว้เป็นที่กำบัง อย่างน้อย ๆ ก็ต้องหลบซ่อนตัวจนกว่าจะเช้า
ครั้นแล้ว เท้าก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง ไม่นุ่มอย่างกองใบไม้ ไม่แข็งอย่างท่อนไม้ หญิงสาวกราดไฟฉายโทรศัพท์ลงมา สิ่งที่ปรากฏกลางวงแสงไฟทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด เส้นขนในกายลุกชันทั่วทั้งร่าง
สิ่งนั้นคือคนผู้หนึ่ง…
ร่างนั้นนอนหงายเหยียดยาวหมดสติ เสื้อผ้าชุดยาวที่สวมอยู่ดูรุงรังทว่าเนื้อผ้ากลับเป็นผ้าไหมชั้นดี ลายเลื่อมที่ปักอย่างประณีตสะท้อนแสงไฟ สีของผ้าเป็นสีคราม บางส่วนเป็นสีเทา ทว่าถูกกลบด้วยสีแดงเข้มของเลือดเป็นส่วนใหญ่ เลือดออกมากจนไม่เหมือนบาดเจ็บเพราะตกหน้าผา
นลินญาโผไปทางศีรษะ รวบรวมความกล้า ใช้นิ้วมืออังจมูก สัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วเบา
โชคดีอย่างยิ่งที่คนคนนี้ยังไม่ตาย เธอจับชีพจรที่คออีกทีก็ยิ่งแน่ใจจึงเขย่าร่างรัว
“คุณ เป็นไงบ้างคะ คุณ”
เรือนผมยาวสยายของผู้บาดเจ็บสั่นไหว นลินญาปัดปอยผมเพื่อให้เห็นใบหน้าได้ชัดเจนขึ้น แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งว่าคนคนนี้เป็นผู้ชาย แรกทีเดียวที่เห็นผมยาวสยายเธอก็นึกว่าเป็นผู้หญิง
“คุณ ได้ยินฉันไหม คุณ”
ฉับพลันนั้นชายผู้บาดเจ็บก็ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาแดงก่ำจนนลินญาผงะถอย แววตาดุร้ายกราดเกรี้ยว ชั่วขณะจิตที่หญิงสาวคิดว่านี่คือผีป่าที่มารอฆ่าเธอเพื่อเป็นตัวตายตัวแทนอยู่ใต้เหว เขาก็พรวดเข้ามาบีบคอเธอแน่นด้วยมือเพียงข้างเดียว
หญิงสาวกรีดร้องแต่เสียงก็ถูกกดอยู่แค่ในลำคอ โทรศัพท์ร่วงตกไปบนพื้น แสงไฟสาดส่องเข้าเต็มหน้า
และคงเพราะเขาเห็นหน้าเธอชัดขึ้นในแสงไฟ มือใหญ่แข็งแกร่งดุจเครื่องมือเหล็กจึงได้คลายออก ดวงตาแดงก่ำของเขาเบิกโพลง เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเพียงคำเดียวว่า
“เจ้า…”
แล้วชายประหลาดผู้นี้ก็ล้มลงหมดสติไปอีกครั้ง ไม่ว่าหญิงสาวเรียกเท่าไรก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย
เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยมาถึงในชั่วโมงต่อมา ที่มาช้าเพราะฝนตกและฟ้าปิดจึงขึ้นบินไม่ได้ เมื่อทีมกู้ภัยเดินเท้าพร้อมเปลมาถึงก็ต้องแปลกใจเมื่อพบผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุตกเขาถึงสองคน เพราะเดิมได้รับแจ้งจากเรนนี่ว่ามีแค่คนเดียวคือนลินญา
ผู้ประสบภัยทั้งสองได้รับการช่วยเหลือ นำส่งโรงพยาบาลบางกอกคอนติเน็นโดยเฮลิคอปเตอร์ บินตรงจากชลบุรีสู่กรุงเทพมหานคร นลินญารู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งในห้องพักผู้ป่วยวีไอพี ใบหน้าแรกที่เธอได้เห็นเมื่อลืมตาตื่นก็คือคุณอาของเธอเอง
คุณอาจารุเดช ประธานกรรมการใหญ่แห่งดาราลัยกรุ๊ป นับแต่พ่อกับแม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายจากเรือยอชต์ส่วนตัวเมื่อตอนเธออายุห้าขวบ อาเดชก็ขึ้นนั่งตำแหน่งประธานบริษัทแทนเรื่อยมาจนถึงวันนี้ อาเดชเลี้ยงดูเธอมาอย่างดีตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าสิ่งใดหากนลินญาต้องการ คุณอาก็เสกมาให้ได้ราวกับมีไม้วิเศษ
“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว นลินฟื้นแล้ว” อาเดชลุกขึ้นพรวดแล้วหันไปสั่งคนข้างหลัง “อำนาจ ตามหมอมาทีเร็ว”
“อาเดช มาด้วยเหรอคะ” หญิงสาวพึมพำแหบแห้ง
“นลิน เป็นไงบ้างลูก ยังเจ็บตรงไหนไหม อาตกใจหัวใจแทบวายตอนรู้ข่าวหนู รู้ไหม”
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงค่ะอา นลินไม่เป็นไร คงเพราะเหนื่อยมากเลยหลับนานไปหน่อยค่ะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี เมื่อตอนหนูยังสลบอยู่คุณหมอก็บอกว่าหนูโชคดีมากที่แทบไม่เป็นอะไรเลย มีแค่ฟกช้ำดำเขียวเท่านั้น”
“นลินไม่ตายง่าย ๆ หรอกค่ะอา ขนาดเคยอยากตายยังไม่ได้ตายเลย”
“ไม่เอา อย่าพูดแบบนี้สิ เฮ่อ…” จารุเดชหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง “คอยดูนะ อาจะไล่ออกให้หมดเลยพวกที่รีสอร์ต บอกแล้วให้ดูแลหนูอย่างดี นี่ปล่อยให้ตกเขาไปได้ยังไง”
นลินญาส่ายหน้าเชื่องช้า “ไม่เป็นไรค่ะ นลินบอกเขาเองแหละว่าไม่ต้องดูแลมาก น่ารำคาญ”
“โธ่…” ชายสูงวัยกว่าลูบศีรษะเธอแผ่วเบา “แล้วผู้ชายที่อยู่กับหนูใต้หน้าผาคนนั้นเป็นใครเหรอลูก”
คำถามนั้นจุดประกายวาบจนนลินญาแทบจะลืมความปวดระบมทั้งมวล ชายหนุ่มประหลาดคนนั้นเป็นใครและตอนนี้ไปอยู่ซะที่ไหนแล้ว เธอเองก็ไม่รู้
จำได้ว่า ตอนขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพื่อส่งตัวมารักษาที่กรุงเทพฯ เธอไม่ได้รับบาดเจ็บจนอันตรายจึงได้นั่งข้างหน้า ต่างกับชายคนนั้นที่อาการสาหัส ต้องนอนเตียงและต่อเครื่องช่วยหายใจเป็นผู้ป่วยวิกฤตอยู่ข้างหลัง
ความทรงจำสุดท้ายเกี่ยวกับชายผู้นั้นคือตอนที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอดบนดาดฟ้าโรงพยาบาลบางกอกคอนติเน็นแห่งนี้ ท้องฟ้ายังมืดดำแต่ไฟสปอตไลต์ส่องสว่าง เตียงเข็นสองเตียงมารอพร้อมอยู่ท้ายเฮลิคอปเตอร์
นลินญาขึ้นไปนอนบนเตียงหนึ่ง รู้สึกว่าพวกพยาบาลและบุรุษพยาบาลออกจะประคบประหงมเธอจนเกินไปหน่อย แต่ด้วยสถานะเซเลบคนดัง ทายาทดาราลัยกรุ๊ป เพื่อนสนิทของเรนนี่ผู้เป็นลูกสาวผู้อำนวยการโรงพยาบาล และหลานสาวของจารุเดช เพื่อนสนิทคุณรัชพล พ่อของเรนนี่ ก็พอเข้าใจได้ถึงสาเหตุที่ตนได้เป็นผู้ป่วยซูเปอร์วีไอพีทั้งที่ร่างกายแค่เจ็บระบม
ครู่เดียว ร่างของชายผู้ประสบภัยอีกคนก็ถูกย้ายมาที่เตียงเข็นเคียงข้างกัน ใบหน้าของเขาที่เอียงมาทางนี้ดูซีดเผือดไร้สีเลือด มุมปากใต้หน้ากากออกซิเจนมีคราบเลือดเป็นทาง ชั่วขณะหนึ่งที่นลินญาไม่แน่ใจว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่ จู่ ๆ ดวงตารียาวของเขาลืมขึ้นเล็กน้อย แววตาไหวระริก ราวกับว่าเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะเพ่งมองสบตาเธอ
‘คะ…คุณ’
หญิงสาวเปล่งเสียงเอ่ยเรียกเขา ลำคอระหงของเธอยังเลอะเลือดตามรูปมือของเขาอยู่ หญิงสาวหันไปสะกิดบอกพยาบาลสาวใกล้ตัวว่าผู้ป่วยรู้สึกตัวแล้ว ทว่าหันไปอีกทีเขาก็หมดสติไปเช่นเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อึดใจต่อมาพยาบาลและบุรุษพยาบาลได้เข้ารุมล้อมเตียงของเขาแล้วเข็นอย่างเร็วเข้าไปในตัวอาคาร เมื่อเตียงเข็นของนลินญาถูกเคลื่อนย้ายตามไป หญิงสาวก็รู้สึกอ่อนล้าจนผล็อยหลับไปอีกรอบ