ดวงใจจอมกระบี่ บทที่ 3 : ใต้ภาพวาดภูผาธารา

ดวงใจจอมกระบี่ บทที่ 3 : ใต้ภาพวาดภูผาธารา

โดย : แสนแก้ว

Loading

ดวงใจจอมกระบี่ นวนิยายดีเด่นกลุ่มนวนิยายรัก โครงการช่องวันอ่านเอาปี 2 โดย แสนแก้ว กับเรื่องของสาวไฮโซที่ถูกวางแผนฆ่า แต่อยู่ๆ เธอก็ได้พบกับหวังอี้เทียน จอมยุทธ์ที่หลุดมาในยุคปัจจุบัน เขามาช่วยชีวิตเธอและสืบความจริงในอดีตจนจับคนร้ายได้และเธอได้ข้ามกลับไปลุยกันต่อที่ฝั่งยุทธภพกับเขา นิยายออนไลน์ที่อยากให้ได้อ่านกันค่ะ

 

วันนี้ทั้งวันนลินญาได้แต่นอนเบื่อ ไม่รู้เรนนี่หายไปไหนถึงไม่มาหา จวบจนค่ำเรนนี่ก็เข้ามาเยี่ยม  สาวแว่นเปลี่ยนมาใส่เสื้อกาวน์เป็นคุณหมอเต็มตัวแล้ว ผมน้ำตาลทองลอนสยายก็ถูกรวบเรียบร้อย พูดคุยกันครู่หนึ่งนลินญาจึงได้รู้ว่า ที่คุณหมอเรนนี่หายไปร่วมครึ่งค่อนวันนั้นก็เพราะต้องเข้าร่วมผ่าตัดชายที่ตกหน้าผา

“ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว พักดูอาการในห้องไอซียู อาการเขาหนักเลยแก ซี่โครงทิ่มปอด ปอดช้ำ เสียเลือดมาก แต่อันตรายที่สุดคืออะไรรู้ไหม”  เรนนี่ยื่นหน้ามากระซิบกระซาบทั้งที่ในห้องก็มีกันอยู่แค่สองคน  “แผลถูกแทง ถูกแทงจากข้างหลังลึกมาก รอดมาได้ถึงตอนนี้บอกเลยว่าปาฏิหาริย์โคตร ๆ”

“ถูกแทงงั้นเหรอ” นลินญาขยับตัวขึ้นนั่ง “ถูกแทงตกเขาอะไรแบบนั้นเหรอ”

“ใช่ นี่ แกคิดเหมือนฉันใช่ไหมนลิน แกเองก็คิดเหมือนฉันใช่ไหม”

“หือ คิดอะไร”

“ก็คิดว่า…” คุณหมอสาวชะโงกหน้ามาใกล้ “เขาเหมือนหวังอี้เทียน”

“บ้า…”

นลินญาลากเสียงยาว เอนกายหนีไปซบหมอนหนุนบนเตียง

“จริง ทั้งรูปร่างหน้าตา เสื้อผ้า บาดแผล รอยแผลเป็น เหมือนทุกอย่างเลย ฉันว่าเขาต้องเป็นหวังอี้เทียนทะลุมิติมาแน่ ๆ”

อีกฝ่ายก็โวยทันที

“เพ้อเจ้อใหญ่แล้วเรนนี่ แกเคยเห็นหวังอี้เทียนมาก่อนหรือไง”

“ไม่เคย”

“ก็ใช่น่ะสิ หวังอี้เทียนก็แค่ตัวละครในนิยาย ไม่ใช่คนจริง ๆ สักหน่อย เรื่องทะลุมิติอะไรนั่นอีก แกอ่านนิยายเยอะไปแล้วเรนนี่ หรือไม่ก็ขอพรเยอะไปจนชื่อหวังอี้เทียนขึ้นสมอง”

“แต่เขาเหมือนมากเลยนะแก แกลืมแล้วเหรอ หวังอี้เทียนที่อาจารย์ถังบรรยายไว้เป็นยังไง”

บุรุษหนุ่มรูปงามดุจหยกล้ำค่าแห่งตระกูลหวัง รูปร่างสูงเพรียวทว่าแข็งแกร่ง ผิวขาวซีดดุจปุยเมฆหมอกก่อนอรุณรุ่ง เส้นผมยาวปานธารน้ำตกสีนิล

ใบหน้ารียาวคมคาย คิ้วเฉียงคมเข้มดุจใบดาบ ดวงตารียาว นัยน์ตาดำเข้ม ยามยิ้มแย้มส่องประกายเจิดจ้าดุจลูกนิลเจียระไนล้อแสง ยามครุ่นคิดเคร่งขรึมเฉียบขาด ยามสังหารดุดันดั่งดวงตาพยัคฆ์

ข้อความเหล่านี้นลินญาไม่เคยลืม ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะนักแปลเธอต้องจดบันทึกไว้ด้วย เวลาแปลนิยายจะได้เทียบข้อมูลเดิมไว้ไม่ให้ลักลั่น

ชายผู้บาดเจ็บสาหัสที่เธอพบใต้หน้าผา จริงอยู่ว่าไม่อาจยืนยันว่ามีรูปลักษณ์ตามที่ว่านั้น แต่ก็ไม่อาจแย้งได้เช่นกันว่าไม่เหมือน

เรนนี่เสริมมาอีกว่า

“นอกจากแผลถูกแทงที่ตรงกับในนิยาย ตามตัวเขาก็มีรอยแผลเป็นหลายที่ อาจารย์ถังไม่เคยเขียนถึงแผลเป็นแต่ฉันว่ามันต้องมีให้สมกับที่ชอบผจญภัยในยุทธภพน่ะแหละ แล้วเสื้อผ้าของเขานะ ฉันไปดูมาแล้ว แก…มันคือชุดจีนโบราณ เป็นชุดผ้าไหมยาวสีน้ำเงินครามปักไหมสีเงินเป็นลายเมฆ สวยอลังการมาก เสื้อตัวในกับกางเกงเป็นผ้าไหมสีเทา กวานที่ครอบยอดผมก็เป็นเงิน ลายสวยมาก เหมือนก้อนเมฆกับกรงเล็บเสือประกอบกัน”

นลินญาไม่มีคำพูด มีแต่คำหนึ่งในใจว่า…ชุดตำแหน่งประมุขเจ้าสำนักพยัคฆ์เมฆา

“ปกติหวังอี้เทียนชอบใส่เสื้อผ้าธรรมดา ๆ สีครามกับเทา แต่คืนที่เขาถูกแทงตกเขามีงานเลี้ยงชุมนุมหลายสำนัก เขาก็เลยใส่ชุดเต็มยศ แกว่ามันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่คนคนหนึ่งจะใส่เสื้อผ้าแบบนี้ไปที่ผาชิงดาว อีกอย่าง ผ้าคาดเอวของเขาที่เป็นสีคราม ผูกป้ายหยกขาวรูปเสือเหยียบเมฆไว้ด้วย”

ป้ายหยกประจำตระกูลหวัง…นลินญาครุ่นคิดเงียบขรึม

“แล้วก็มีอีกอย่างที่เจอ เป็นถุงผ้าเล็ก ๆ สีฟ้าหม่น ๆ ปากถุงผูกเชือกสีคราม”

คราวนี้นลินญาหันขวับ “ข้างในถุงมีอะไรไหม”

เรนนี่เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วชี้หน้าเพื่อนสาวยิก ๆ

“นั่นไง แกเองก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะว่านั่นคือถุงเฉียนคุน”

หญิงสาวหมายถึงถุงเอกภพ ของวิเศษที่ใช้เก็บของใหญ่ ๆ ได้

“ฉันเปิดดูแล้ว ข้างในไม่มีอะไรเลย ก็สมควรอยู่หรอก เขาเก็บกันด้วยพลังเวทย์นี่ แต่ว่านะ ถึงขั้นนี้แล้วแกจะยอมรับได้หรือยังว่าเขาคือหวังอี้เทียน”

อีกฝ่ายก้มหน้า อึกอัก

“บ้า ก็คงเป็นดาราจากกองถ่ายซีรีส์จีนที่ไหนสักกองละมั้ง อาจจะถ่ายทำกันอยู่ก็ได้เรื่องตำนานจอมกระบี่เย้ยฟ้าน่ะ”

“แต่จนป่านนี้ยังไม่มีกองถ่ายไหนติดต่อมาเลยสักกองนะ อย่าว่าแต่กองถ่ายเลย ญาติผู้ป่วยก็ไม่มีใครแสดงตัวสักคน แต่แกลองคิดดู ใครจะบ้าแต่งตัวเป็นหวังอี้เทียนมาที่ผาชิงดาวคนเดียวแบบนี้ แล้วก็มาถูกแทงเหมือนในนิยายด้วยเนี่ยนะ”

“หรือว่า จะเป็นการฆาตกรรมเลียนแบบนวนิยาย”

นลินญาเคยยืมนิยายแปลญี่ปุ่นของเรนนี่มาอ่านเล่น มีหลายเล่มที่เป็นการฆาตกรรมเลียนแบบตำนาน บางเล่มก็นิทานกริมม์ เรนนี่ตาวาววูบหนึ่งแต่ก็กลับแย้งว่า

“ถ้าจะบอกว่า ฆาตกรวางแผนให้ผู้ชายคนนี้แต่งตัวเป็นหวังอี้เทียนแล้วลวงมาฆ่าที่หน้าผา แต่ผมล่ะ…ผมเขาที่เห็นยาว ๆ อย่างนั้นน่ะ ผมจริงนะ เหยื่อต้องไว้ผมยาวเป็นปี ๆ เพื่อวันหนึ่งจะมาถูกฆ่าที่นี่ มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”

นลินญาชักจะปวดหัว ทิ้งมือลงทั้งสองข้าง หันไปเหล่มองคุณหมอแทน

“แต่อะไร ๆ ก็ไม่แปลกเท่าการที่แกคิดว่าหวังอี้เทียนทะลุมิติมาจริง ๆ หรอกมั้ง”

“โอ๊ย ย่ะ ไม่แปลกเท่าการที่แกตกหน้าผาเท่าตึกยี่สิบชั้นแล้วไม่เป็นอะไรเลยมากกว่ามั้ง ยัยนลิน” เรนนี่หยิกขาคนไข้สาวจนสะดุ้ง “นี่ แกไม่คิดเหรอ บางทีอาจเป็นโชคชะตาก็ได้นะที่ทำให้แกร่วงตกหน้าผาเพื่อลงมาเจอหวังอี้เทียนน่ะ”

นลินญาขยับปากจะล้อเลียนแม่สาวช่างฝัน แต่กลับพูดไม่ออกเมื่อได้สบดวงตาสีน้ำตาลของเรนนี่ ข้างในมีแต่แววจริงจัง ไม่เจือความล้อเล่นแม้แต่น้อย เรนนี่เชื่อว่าผู้ชายคนนั้นคือหวังอี้เทียนอย่างปักจิตปักใจ ผิดกับเธอที่ไม่เชื่อแน่นอนพันเปอร์เซ็นต์ เพียงแต่สับสนเพราะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเต็มไปหมด

หญิงสาวถอนใจเบา ๆ

“ฉันว่ารอให้เจ้าตัวฟื้นก็รู้แล้วละว่าเขาเป็นใคร และเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่”

เรนนี่ทุบกำปั้นเข้ากับฝ่ามือ

“นั่นสิ ไว้เขาฟื้นเมื่อไรเราไปเยี่ยมเขากันเถอะ ฉันอยากคุยกับเขาจะแย่แล้ว”

แต่นลินญาไม่เอาด้วย

“เชิญย่ะ เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านก่อนแล้ว”

“เฮ้ย ได้ไง พี่หมออนุญาตให้แกกลับแล้วเหรอ”

“ฉันเป็นอะไรซะที่ไหนล่ะ นอนเล่นให้น้ำเกลือเฉย ๆ เนี่ย เบื่อชะมัด ฉันไปซ้อมขี่มอเตอร์ไซค์ดีกว่า วันมะรืนมีแข่ง มัวนอนแบบนี้เส้นยึดกันพอดี”

 

เช้าวันรุ่งขึ้น นลินญาเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อกล้ามคลุมด้วยแจ็กเกตกับกางเกงยีนเข้ารูป กะว่าออกจากโรงพยาบาลแล้วจะตรงไปสนามแข่งรถมอเตอร์ไซค์ทันทีเพื่อฝึกซ้อมเป็นวันสุดท้าย เมื่อก้าวเข้าลิฟต์ชั้นวีไอพีและกำลังจะกดปุ่มชั้นหนึ่ง นิ้วเรียวยาวก็เกิดลังเล

เธอเปลี่ยนไปกดชั้นห้าอันเป็นชั้นผู้ป่วยวิกฤตแทน

ไม่ว่าชายคนนั้นจะเป็นหวังอี้เทียนหรือใคร เวลานี้เธอจะออกจากโรงพยาบาลลาจากไปก่อนแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย

พอไปถึง พยาบาลแจ้งว่าเขาออกจากห้องไอซียูย้ายไปพักฟื้นที่ห้องผู้ป่วยพิเศษแล้ว หญิงสาวรู้สึกยินดีแม้จะแปลกใจว่าอาการบาดเจ็บที่เรนนี่เล่าว่าแสนสาหัสนั้น ทุเลาลงรวดเร็วภายในคืนเดียวได้ด้วยหรืออย่างไร

ภายในห้องพักผู้ป่วยอันกว้างขวางและมีแสงสว่างลอดม่านเพียงเบาบาง นางพยาบาลที่เรนนี่ไหว้วานให้ช่วยดูแลผู้ป่วยไร้ญาติคนนี้เป็นพิเศษบอกว่าเขาอาการดีขึ้นจากเดิมมาก เพียงแต่ยังไม่รู้สึกตัว

หญิงสาวก้าวเข้ามาข้างเตียง พินิจดูชายผู้ป่วยเต็มสายตาอีกครั้ง นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มองเห็นแบบชัดเจนเพราะครั้งก่อนตอนพบกันด้วยอุบัติเหตุฉุกเฉินนั้นเป็นเวลากลางคืน เธอขอเวลาส่วนตัวครู่หนึ่ง นางพยาบาลก็ค้อมศีรษะให้แล้วออกจากห้องไป

 

นลินญาทอดสายตามองร่างชายผู้ป่วยซึ่งนอนหลับตาสนิท อารมณ์ความรู้สึกหลายอย่างพลุ่งพล่านจนยากจะแยกแยะ ทั้งสงสัยและอยากรู้ ทั้งตื่นเต้นและตื่นกลัว ภาพที่เธอพบเขาครั้งแรกใต้เหวลึกของผาชิงดาวยังคงชัดเจน เธอสะดุดขาเขาจึงก้มมอง ถึงได้เห็นเขานอนแน่นิ่งเลือดอาบอยู่บนพื้น เธอเขย่าตัวเขาอย่างละล้าละลัง ทั้งอยากให้เขาฟื้นแต่ก็กลัวร่างกายที่บาดเจ็บจะกระทบกระเทือน ฉับพลันนั้นเขาก็ลืมตา ลุกขึ้นมาบีบคอเธอด้วยมือใหญ่แข็งแกร่งเปื้อนเลือด

“นี่ กลัวมากเลยใช่ไหม” เธอเอ่ยเสียงเบา ไม่คาดหวังให้เขาได้ยิน “ตกใจมากเลยเหรอ”

ดวงตาของเขาในเวลานั้นเธอก็ยังจำได้แม่น มันแดงก่ำและวาววับราวกับสัตว์ป่าบาดเจ็บจนตรอก

“คุณโดนใครไล่ฆ่าอยู่งั้นเหรอ ถึงได้ตกใจกลัวขนาดนั้น”

เธอเอ่ยอย่างรำพึงรำพัน ไม่ได้ต้องการคำตอบแต่อย่างใด

“ฉันไม่ทำร้ายคุณหรอกนะ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ฉันก็ดีใจที่เห็นคุณปลอดภัย แล้วนี่ ไม่มีเพื่อนไม่มีญาติเลยเหรอ เจ็บหนักขนาดนี้แต่ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย คงเหงาเลยสินะ”

เธอมองรอบห้องที่ว่างเปล่า มีแต่เครื่องมือทางการแพทย์ส่งสัญญาณแทรกในเสียงลมแอร์

“ไม่หรอก คุณก็คงมีเพื่อนมีครอบครัวเหมือนคนอื่นนั่นแหละ แต่ยังไม่มีใครรู้ข่าวมากกว่า ฉันช่วยอะไรได้บ้างไหม ฉันติดต่อเพื่อนคุณให้ได้นะ”

ครั้นแล้วหญิงสาวก็ผ่อนลมหายใจ

“ไม่สิ ฉันมาลาต่างหาก” มือเรียวบางแตะแขนขาวซีดของเขาแผ่วเบา “คุณ…หายไหว ๆ นะ  ฉันคงต้องไปก่อนแล้วละ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่จนคุณฟื้น แต่มีเรนนี่อยู่ทั้งคนก็ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก”

เธอก้าวห่างออกจากเตียง แล้วว่า “ไปก่อนนะคุณ”

ครั้นแล้ว เมื่อเธอจะหมุนตัวจากไปก็ทันได้เห็นแพขนตางอนยาวของเขาสั่นระริก เขาลืมตาขึ้นมา ดวงตาที่เคยแดงก่ำบัดนี้เป็นปกติแล้ว นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองสบตาเธอนิ่ง ไม่เปลี่ยนผัน

“เฮ้ย ฟื้นแล้วเหรอ คุณ…” หญิงสาวร้องยินดี “เดี๋ยวฉันไปตามหมอให้นะ”

นลินญาผลุนผลันออกจากห้องไป ทว่าเมื่อแพทย์และพยาบาลเข้ามาในห้องกลับเห็นเขาหลับอยู่เหมือนเดิม หญิงสาวก็ได้แต่งุนงง สงสัยว่าตนอาจจะตาฝาดไปเอง

 

ในบรรดากิจกรรมและกีฬาเอ็กซ์ตรีมสุดแสนท้าทาย มีกีฬาอยู่ชนิดหนึ่งที่นลินญาชื่นชอบมากเป็นพิเศษนั่นคือ แดร็กเรซซิง

แดร็กเรซซิง เป็นการแข่งรถแบบแข่งกันด้วยสถิติความเร็วในระยะทางสั้น ๆ สนามแข่งเป็นเส้นตรงยาว มีด้วยกันหลายระยะ พาหนะที่ใช้แข่งก็มีทั้งรถยนต์ เรียกว่า แดร็กคาร์ และมอเตอร์ไซค์ เรียกว่าแดร็กไบค์ ทั้งสองประเภทยังแบ่งย่อยเป็นหลายรุ่นตามประเภทรถที่ใช้แข่ง ส่วนงานแข่งขันแดร็กไบค์ที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ นลินญาจะนำรถบิ๊กไบค์ของเธอลงแข่งในรุ่นโอเพน อัลลิมิเต็ด

พอดีกับที่มีข่าวอุบัติเหตุตกหน้าผาของนลินญา โก๋และกิ๊ก สองพี่น้องที่มาถ่ายคลิปการฝึกซ้อมจึงเกาะกระแสโดยโกไลฟ์หรือถ่ายทอดสดให้แฟน ๆ ของนลินญาได้พูดคุยกันแบบสด ๆ

เมื่อโก๋ซึ่งเป็นช่างภาพเริ่มถามเกี่ยวกับอุบัติเหตุ นลินญาซึ่งเปลี่ยนมาใส่ชุดแข่งรถมอเตอร์ไซค์ก็ตอบพลางสวมถุงมือด้วยท่าทางสบาย ๆ ว่า

“ใช่ค่ะ วันนั้นพี่กับเพื่อนไปโรยตัวที่หน้าผา แต่โชคร้ายไปหน่อย อุปกรณ์เสีย เชือกก็ขาด พี่ก็เลยร่วงตกผาตามในข่าวเลยค่ะ”

“แล้วพี่นลินบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับ ยังตกใจอยู่ไหม”

“ก็…ไม่ได้เป็นอะไรเลยค่ะ ฟลุ้กมาก ๆ ส่วนยังตกใจอยู่ไหมก็…นิดหน่อยค่ะ คือถ้าเรารักการผจญภัย ชอบเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมแล้วละก็ เรื่องกลัวเจ็บไม่ต้องกลัวค่ะ เพราะเจ็บตัวแน่ บางทีต้องเตรียมตัวตายเลยด้วยซ้ำ”

“โห…พี่นลินโหดจังครับพี่”

“อ้าว พี่พูดจริง ถ้ากลัวเจ็บ กลัวตาย ก็อยู่กับบ้านดีกว่าไหม”

โก๋หัวเราะเก้อ ๆ กิ๊กโผล่เข้าไปทำเป็นช่วยแต่งตัวแต่แอบกระซิบว่า

“พี่นลิน พูดดี ๆ หน่อยสิคะ นี่เราไลฟ์นะ”

“พี่พูดไม่ดีตรงไหนล่ะ มีคำหยาบสักคำหรือไง”

เพื่อไม่ให้เสียงเข้ากล้องไปมากกว่านี้ โก๋จึงเปลี่ยนเป็นพาเดินชมสนามแข่งแทน สนามแห่งนี้อยู่ที่จังหวัดหนึ่งในเขตปริมณฑล รอบด้านเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้าง ความยาวถนนอันเป็นระยะแข่งขันคือ 402 เมตร ต่อด้วยระยะเบรกอีก 600 เมตร มองตั้งแต่ต้นสนามจะเห็นเป็นถนนทอดยาวไกลสุดตา

ไม่นานจากนั้นก็ถึงคิวนลินญาเข้าซ้อม เธอขึ้นคร่อมรถบิ๊กไบค์สีดำสะท้อนแสงแดดเป็นมันวาว เริ่มเบิร์นยางจนฝุ่นคลุ้ง เสียงเครื่องยนต์กระหึ่มก้อง ระหว่างนี้โก๋ก็รับหน้าที่พิธีกรภาคสนามบรรยายไปด้วยว่า

“เอาละครับ เรามาเชียร์พี่นลินซ้อมกันดีกว่า มาดูกันว่าพี่นลินประสบอุบัติเหตุร้ายแรงขนาดนั้นแล้วจะมีผลต่อสถิติของพี่เขาหรือไม่ ในคลิปซ้อมครั้งที่แล้วพี่นลินทำไว้ที่ 8.922 วินาที ซึ่งนับว่าเร็วมาก เร็วจนไม่น่าเชื่อว่าคนขับจะเป็นสาวสวยไฮโซคนนี้นะครับ…”

เมื่อนักแข่งสาวพร้อม ก็บิดออกตัวด้วยความเร็วสูง สนามแข่งแห่งนี้จับเวลาด้วยระบบเซนเซอร์ ทันทีที่รถบิ๊กไบค์ระเบิดพลังแรงม้าขับผ่านเซนเซอร์ไป ตัวเลขสีแดงบนป้ายดิจิตอลก็เริ่มนับ

พริบตาเดียวนลินญาก็ผ่านจุดเส้นชัย ตัวเลขนับเวลาก็หยุด

“ตัวเลขออกมาที่ 8.884 วินาทีครับ โอ้โฮ…เร็วกว่าสถิติเดิมที่เคยทำไว้ด้วย ทั้งที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มาแต่ฟอร์มก็ไม่ตกเลยครับผม แข็งแกร่งจริง ๆ ครับพี่นลินของเรา…”

รอยยิ้มภูมิใจเผยออกมาเงียบ ๆ ภายใต้หมวกกันน็อก แต่หลายคนไม่คิดเช่นนั้น เพราะตอนซ้อมเสร็จในตอนค่ำและโก๋กับกิ๊กได้ลากลับไปแล้ว นลินญามานั่งพักอ่านคอมเมนต์ต่าง ๆ ทั้งทางเพจและช่องยูทูป ก็พบว่ามีแต่คอมเมนต์ดี ๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น…

…พวกไฮโซบางทีก็รวยไร้สาระ

หัวคิ้วนักแข่งสาวกระตุกทันใด

…ชีวิตมีค่านะครับ เด็ก ๆ ดูคลิปนี้แล้วอย่าเอาอย่างนะ

…ถ้ากลัวเจ็บ กลัวตาย ก็ให้อยู่กับบ้าน คุณพูดแบบนี้มักง่ายไปหน่อยไหม แทนที่จะแนะนำวิธีเซฟตัวเอง กลับมาพูดจาดูถูกคนอื่นแบบนี้ ช่องนี้มีไว้อวดเก่งเหรอครับ

“โอ้โฮ อะไรเนี่ย คนด่าเต็มเลย ฉันอุตส่าห์ทำสถิติใหม่ของตัวเองได้นะ ทำไมมีแต่คนรุมด่าล่ะ”

ยอดวิว ยอดแชร์ของเพจและช่องเยอะขึ้นก็จริง แต่เหมือนช่วยกันแชร์ไปด่าประจานมากกว่า

“อิจฉาละสิท่า ทำไม่ได้แบบฉันละสิ”

แล้วหญิงสาวก็โยนโทรศัพท์เก็บลงกระเป๋า เงยหน้าจนศีรษะโขกผนังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เบานัก

“เฮ้อ โลกโซเชียลนี่มันน่าเบื่อชะมัด”

 

นลินญากลับถึงเพนเฮาส์ราวสามทุ่ม เธอหมดอารมณ์จะเปลี่ยนเสื้อผ้าจึงกลับมาทั้งชุดแข่ง

เพนเฮาส์แห่งนี้ไม่ใช่ของเครือดาราลัย แต่เป็นคอนโดมิเนียมหรูสร้างใหม่ใกล้รถไฟฟ้าแห่งหนึ่ง เธอซื้อไว้เองด้วยเงินสดหลักร้อยล้าน ตกแต่งเพิ่มอีกหลายล้านทั้งที่ทายาทดาราลัยกรุ๊ปอย่างเธอสามารถเลือกอยู่เพนเฮาส์ที่สวยที่สุดของตัวเองได้ฟรี ๆ สบาย ๆ

เหตุผลง่าย ๆ มีแค่ว่า…เธอชอบ

ชอบตั้งแต่รู้ข่าวเปิดตัวว่า เป็นเพนเฮาส์สไตล์โมเดิร์นโอเรียนทอล อบอวลไปด้วยกลิ่นอายอารยธรรมของประเทศฝั่งตะวันออกแบบหรูหรา มีอยู่ทั้งหมดสามห้องด้วยกัน

ห้องสไตล์เรือนไทยมีลานสวนดอกไม้หอม ห้องสไตล์ญี่ปุ่นมีบ่อออนเซ็น และห้องสไตล์จีนมีดาดฟ้าส่วนตัวซึ่งจัดเป็นสวนต้นหลิวและไผ่รายล้อมรอบศาลาจีนโบราณ แน่นอนว่าห้องที่เธอเลือกคือห้องสไตล์จีนโบราณ เธอชอบวัฒนธรรมจีนตั้งแต่จำความได้ เวลาผ่านไปก็ไม่เปลี่ยน

บัดนี้ ตรงหน้าคือประตูห้องลักษณะเป็นไม้ระแนงสีน้ำตาลเข้มสลับขาว คล้ายบ้านชาวจีนสมัยก่อน

เพียงแค่เห็นหน้าห้อง ใจเธอก็สงบลงอย่างประหลาด เรื่องวุ่นวายหนักสมองมักอันตรธานไปเมื่อได้เข้าไปพักผ่อนในโลกของตัวเอง

ทว่า…ไม่ใช่วันนี้

ประตูทั้งสองถูกนลินญาผลักเปิดออก เผยให้เห็นภาพที่ทำให้หญิงสาวอึ้งตะลึงงัน เบิกตากว้าง ลมหายใจคล้ายจะขาดห้วงไปในวินาทีนั้น

เบื้องหน้าตู้โชว์ไม้สีน้ำตาลเข้มขัดเงาที่ใช้วางชุดหยกแกะสลักและถ้วยชามโบราณ มีชายในชุดผู้ป่วยคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น เข่าข้างหนึ่งตั้งขึ้น แขนของเขาวางพาดบนเข่าข้างนั้นในท่าสบาย

ใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ค่อย ๆ เงยขึ้น ดวงตาดำเข้มเหลือบขึ้นจ้องมองตรงมาแน่วแน่

การปรากฏตัวของเขาถึงจะแปลกประหลาดแต่กลับงามสง่า ไม่ว่าจะเพราะแสงไฟโทนอบอุ่นภายในห้อง หรือเพราะแจกันจีนทรงสูงสองใบที่ตั้งขนาบข้าง หรือจะเพราะภาพวาดทิวทัศน์ภูผาธาราขนาดใหญ่บนผนังเหนือศีรษะเขาก็ตาม

 

“เฮ้ย!” ผู้เป็นเจ้าของห้องผงะถอย “คุณ…เข้ามาได้ยังไง”

เห็นอีกฝ่ายยังเฉย ความโกรธก็ยิ่งพุ่งขึ้น

“ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ ตามฉันมาทำไม ออกไปนะ”

ชายหนุ่มในชุดคนไข้ยังคงนั่งนิ่งในท่าเดิม มีเพียงสายตาเท่านั้นที่กวาดมองเธอทั่วทั้งร่าง

นลินญาทั้งโกรธทั้งกลัว หันไปคว้าเทพ ‘ฮก’ ซึ่งทำจากกระเบื้องเคลือบมาถือไว้ แต่นึกได้ว่าเป็นของมงคล หากทำแตกไปเดี๋ยวจะไม่เข้าชุด จึงวางเรียงเป็นฮกลกซิ่วตามเดิม

หันรีหันขวางหาอาวุธชิ้นใหม่ จะคว้าแจกันใบเล็กบนโต๊ะข้างประตูก็เป็นของโบราณที่สะสมไว้ ท้ายสุดจึงก้มลงอุ้มกระถางต้นปาล์มไผ่ไว้เต็มอ้อมแขน พร้อมทุ่มทุกเมื่อ

“จะออกมาเองดี ๆ หรือจะให้ฉันใช้กำลังฮะ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ ไอ้โรคจิต!”

ชายหนุ่มผู้นั้นไม่ตอบ แต่ดวงตาของเขามีแววสงสัยพาดผ่าน เขาเปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิเรียบง่ายอย่างใจเย็น

นลินญายิ่งโมโหเมื่ออีกฝ่ายดูจะไม่เกรงกลัวกระถางปาล์มไผ่ในมือเธอแม้แต่น้อย มันดูเป็นอาวุธที่กระจอกงอกง่อยนักหรือไง

ครั้นแล้วข้อสันนิษฐานใหม่ก็แว่บผ่านเข้ามา เธอลองถามเป็นภาษาจีนว่า

“คุณ…พูดไทยไม่ได้เหรอ”

เหมือนจะได้ผล เขามีสีหน้าคล้ายยิ้ม ชี้มือมาที่กระถางปาล์มไผ่ ตอบกลับด้วยภาษาจีนเช่นกันว่า

“นั่น…เจ้าจะสังหารข้าหรือ”

นลินญาวางกระถางลงทันที ดวงหน้าบึ้งตึงหนักขึ้นอีก บอกไม่ถูกว่าโกรธ กลัว หรือว่าอายมากกว่ากัน

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นเรนนี่ที่โทร. เข้ามาได้ถูกจังหวะที่สุด นลินญาชั่งใจครู่หนึ่งก็ดึงประตูปิดล็อกขังเขาไว้ข้างใน ส่วนตัวเธอคุยโทรศัพท์อยู่ข้างนอก

ทันทีที่รับสาย เรนนี่ก็ร้องมาเสียงดังว่า

“แก เกิดเรื่องใหญ่แล้ว หวังอี้เทียนหนีออกจากโรงพยาบาล”

“เออ ฉันมีเรื่องใหญ่กว่าแกอีก” หญิงสาวจงใจถอนหายใจใส่ “หวังอี้เทียนของแกเข้ามาอยู่ในห้องฉัน”

“หา! เพนเฮาส์ของแกน่ะเหรอ”

“ก็เออสิ นั่งอยู่นี่ ฉันไล่เท่าไรก็ไม่ไป ฉันว่าเขาต้องเป็นคนบ้าแน่ ๆ”

คุณหมอเรนนี่อุทานแปลกใจอยู่เป็นนานสองนาน

“ไม่หรอกน่า คนบ้าที่ไหนจะเก่งขนาดแอบเข้าห้องแกได้ แล้วนั่นมันเพนเฮาส์ของคอนโดหรูระดับนั้น ระบบรักษาความปลอดภัยไม่กระจอกหรอกมั้ง”

นลินญาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ จึงพึมพำว่า

“จริงด้วยแฮะ เขาเข้ามาได้ยังไงล่ะ”

“ก็เพราะเขาคือหวังอี้เทียนไง ถึงเข้าไปได้”

“โอ๊ย ยัยเรนนี่ ฉันพูดจริงจัง แกอย่าเพิ่งเล่นได้ไหม”

“ฉันไม่ได้เล่น ฉันก็พูดจริง ที่ฉันเคยแปลมานะ พวกจอมยุทธ์เขามีประสาทสัมผัสไว สามารถดมกลิ่น มองเห็น ได้ยินเสียงในระยะไกล ฉันว่าเขาก็คงสะกดรอยตามแกไปนั่นละ”

“แต่วันนี้ฉันอยู่ที่สนามแข่งทั้งวัน ไม่เห็นเขาเลยนะ”

“เขาเพิ่งหายไปจากโรงพยาบาลไม่นาน คงไปรอแกที่เพนเฮาส์เลยละมั้ง ไม่ได้ไปสนามแข่ง”

“บ้า บ้าไปใหญ่แล้ว เขาจะรู้ได้ไงว่าเพนเฮาส์ฉันอยู่ที่ไหน”

“ก็…” เรนนี่เงียบไปครู่หนึ่ง “เออใช่ ตอนที่พี่หมอเข้าไปตรวจอาการเขา ฉันตามเข้าไปด้วย แล้วพี่หมอก็ถามถึงแกว่าเป็นยังไงบ้าง รีบออกจากโรงพยาบาลไปขี่มอเตอร์ไซค์แบบนั้นเดี๋ยวจะไม่ไหวเอา ฉันก็เลยตอบว่า เพนเฮาส์ของแกอยู่ใกล้โรงพยาบาลแค่นี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวก็คงกลับมาเอง”

มือที่ถือโทรศัพท์เริ่มเย็นชื้นพร้อมกับใจที่เริ่มสั่น

“บ้า เพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้ว ไม่จริงอะ เขาฟังภาษาไทยออกที่ไหน”

“ฟังไม่ออก แต่ฟังรู้เรื่อง” เรนนี่พูดจริงจัง “พวกจอมยุทธ์น่ะ ไม่ใช่แค่ร่างกายที่แข็งแกร่งเหนือคนปกติทั่วไปนะ จิตใจของเขาก็พิเศษจนนึกไม่ถึงเลยล่ะ”

นลินญาไม่อยากเชื่อ ถึงคำพูดของเรนนี่จะฟังดูมีน้ำหนัก แต่ก็เป็นเหตุผลที่คิดเองเออเองทั้งนั้น หญิงสาวคิดว่ายิ่งคุยก็ยิ่งเพ้อเจ้อ พานจะไปสร้างเสริมจินตนาการให้คุณหมอนักแปลคิดอะไรเลยเถิดไปใหญ่ด้วย จึงตัดบทและรีบวางสาย

เธอมีเรื่องใหญ่ที่ยังต้องสะสางนั่งรออยู่ในห้อง

สองมือบางผลักเปิดประตูออกกว้างอีกครั้ง ปรากฏว่าชายหนุ่มคนไข้ปริศนายืนหันหลังดูรูปภูผาธาราอย่างสนใจ ไม่เพียงเท่านั้น ยังกวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้องที่ยืนบึ้งตึงอยู่นี่เลยด้วย

“ปรโลกหน้าตาเป็นอย่างนี้เองหรือ”

เขาพึมพำ พอหันมาสบสายตาดุกร้าวของนลินญา เขาก็ผงะนิดหนึ่ง

“วิญญาณหญิงสาวในปรโลก ดุร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

“นี่ไม่ใช่ปรโลก” นลินญาแหวใส่ “นี่คือโลกมนุษย์จริง ๆ”

“แต่ทุกอย่างที่นี่เหมือนไม่ใช่โลกมนุษย์”

“เอ๊ะ ก็บอกว่าใช่ไง ยังจะเถียงอีก”

เขาขยับกาย มือไพล่หลัง

“ถ้าเช่นนั้น ข้ายังไม่ตายจริง ๆ ใช่ไหม”

“เออสิ” เธอกระแทกเสียงตอบ หันไปคว้าอาวุธใหม่มาได้ นั่นคือกระบี่ไม้แกะสลักที่แขวนตกแต่งอยู่ข้างผนัง

เธอชักกระบี่ไม้ออกจากฝัก กำด้ามแน่นด้วยสองมือ ชี้ปลายไปข้างหน้า

“คุณเป็นใคร มาที่นี่ทำไม”

“ข้ามารอพบเจ้า”

เขาก้าวเข้ามา อกของเขาแทบจรดปลายกระบี่

“ผู้ช่วยชีวิตคือเจ้าชีวิต เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ชีวิตข้าย่อมเป็นของเจ้า”

บ้า…บ้าแน่นอนพันเปอร์เซ็นต์ นลินญาคิด อีตานี่ต้องจิตไม่สมประกอบแน่ ๆ แล้วอาการทางจิตมีประเภทบ้าหนังจีนกำลังภายในด้วย เธอก็เพิ่งจะรู้วันนี้

“ออกไปนะ ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”

“อย่ากลัวไปเลย…ข้ามาเพื่อรับใช้เจ้าทุกอย่าง ต่อให้ถึงตายก็ไม่บ่ายเบี่ยง”

“ไม่เอา ออกไปนะ” ปลายกระบี่ไม้เริ่มสั่นไหว

“แต่…”

“คุณบอกเองว่าฉันเป็นเจ้าชีวิตไม่ใช่หรือ งั้นฉันสั่งให้ไปก็ต้องไปสิ”

ชายหนุ่มเงียบไปทันใด เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วก้าวออกไปจากห้องอย่างว่าง่ายเหลือเชื่อ ทันทีที่เท้าเปลือยเปล่าพ้นเขตประตู นลินญาก็รีบปิดอย่างแรงแล้วล็อกประตูทันใด

นลินญาหายใจหอบ อกข้างซ้ายหัวใจยังเต้นแรงไม่หยุด ผู้ชายอันตรายคนนั้นออกไปแล้ว เธอควรจะสบายใจ แต่กลับมีอีกสิ่งหนึ่งขัดแย้งในความรู้สึก

ถ้าเขาเป็นคนบ้าจริง เธอทิ้งเขาไว้แบบนี้แล้วเขาจะไปต่อยังไง

หญิงสาวส่ายหน้าไล่ความคิด เธอไม่ได้เป็นห่วงเขาสักหน่อย ห่วงตัวเองต่างหากว่าจะอธิบายกับเรนนี่ยังไง เรนนี่ต้องโวยวายแน่ที่ทำกับหวังอี้เทียนของคุณเธอแบบนี้

ตัดสินใจได้แล้วนลินญาก็พ่นลมหายใจ ปลดล็อกแล้วกระชากเปิดประตูออก พบว่าชายหนุ่มในชุดคนไข้ยืนนิ่งสงบเสงี่ยมอยู่หน้าประตู

“ตามมา”

เขาเดินตามหลังเธอตามคำสั่ง ไม่ถามสักคำว่าจะพาไปไหน ที่ที่นลินญาพาไปก็คือโรงพยาบาลบางกอกคอนติเน็นนั่นละ เขาหนีออกจากโรงพยาบาลมา เธอก็ควรพาเขากลับไปรักษาตัวต่อถึงจะถูก

ราวกับดูละครข้ามเวลา เมื่อตัวละครจากอดีตมาขึ้นรถยนต์ก็จะขลุกขลักนิดหน่อย นลินญาเหล่ตามองเขาก้าวขึ้นรถยนต์แบบไม่ถนัดนัก เธอไม่เชื่อว่าเขามาจากยุทธภพ แต่หมั่นไส้มากกว่าว่าอะไรจะบ้าแล้วเล่นละครได้แนบเนียนทุกรายละเอียดขนาดนี้

พอเธอขับรถเฟอร์รารีออกถนน คนที่มาด้วยกันก็ดูจะชอบใจ เขานั่งนิ่งไม่รบกวนแต่สายตานั้นมองไปรอบตัวราวกับเด็กชายออกท่องเที่ยวนอกบ้านเป็นครั้งแรก

แล้วเขาก็พยักหน้าพอใจอย่างยิ่ง

“เพิ่งรู้ว่าปรโลกก็มีของเล่นน่าสนุกแบบนี้ด้วย”

“ก็บอกแล้วไงว่านี่ไม่ใช่ปรโลก!”

 

เมื่อมาถึงห้องพักผู้ป่วยพิเศษห้องเดิม ชายหนุ่มก็ขึ้นนอนบนเตียงอย่างเรียบร้อย นายแพทย์เจ้าของไข้ดุไปหลายคำ เขาก็มีสีหน้าสลดแต่นลินญาแน่ใจว่าเขาฟังไม่ออก

นางพยาบาลขยับเข้ามาจะเจาะแขนให้น้ำเกลือ เขาแข็งขืนชั่วครู่ เหลือบตามองนลินญาคล้ายจะขอความเห็น เมื่อเธอพยักหน้าเขาก็ยอมให้เจาะแขนแต่โดยดี

พอแพทย์หนุ่มเข้าตรวจอาการผู้ป่วย เรนนี่ก็ดึงแขนนลินญาออกมานอกห้องเพื่อไม่เป็นการรบกวน ทันทีที่ประตูห้องปิดลง คุณหมอสาวผมน้ำตาลทองก็แทบจะร้องกรี๊ด

“หวังอี้เทียนแอบหนีออกจากโรงพยาบาลตามไปหาผู้ช่วยชีวิต แล้วผู้ช่วยชีวิตคนนั้นก็คือยัยนลินเพื่อนฉันเอง โอ๊ย…ไม่อยากจะเชื่อเลย โรแมนติกสุด ๆ”

“โรแมนติกบ้านแกสิ น่ากลัวจะตาย ดูให้ดีสินี่มันคนบ้าชัด ๆ คนบ้าบุกเข้าห้องฉันแกก็ดันมาดี๊ด๊าดีใจซะได้ บ้าตามเขาไปแล้วหรือไง”

คนโดนดุหาได้สลดไม่

“ไม่จริงหรอก จริง ๆ แกก็เชื่อใช่ไหมล่ะว่าเขาคือหวังอี้เทียน”

“พูดอะไรของแก”

“อย่างน้อยสักเสี้ยวหนึ่งในใจแกก็เชื่อ ไม่งั้นแกคงแจ้งตำรวจหรือไม่ก็ต้องให้คุณอาเดชของแกจัดการไปแล้ว ที่แกยังอยู่เฉย ๆ พาเขากลับมาด้วยตัวเองแบบนี้เพราะใจหนึ่งก็เชื่อว่าเขาคือหวังอี้เทียนใช่ไหมล่ะ ยอมรับมาซะเถอะน่า”

นลินญาขยับถอยมาเอนพิงผนัง กอดอกครุ่นคิด

“ไม่ได้เชื่อ แต่ฉันว่ามันแปลกเกินไป”

“แปลกตรงไหน”

“แปลกทุกอย่าง” เธอตอบเสียงต่ำ “ทั้งสภาพการณ์ตอนเจอกันก็แปลก อาการบาดเจ็บของเขาก็แปลก เจ็บสาหัสขนาดนั้นกลับไม่ตาย แถมยังหายเร็วจนหนีออกจากโรงพยาบาลได้ คำพูดที่เขาพูดกับฉันก็แปลก ถูกของแกแหละเรนนี่ ถึงฉันจะคิดว่าเขาเป็นคนบ้าถึงได้เพี้ยนหลุดโลกขนาดนี้ แต่คนบ้าที่ไหนจะแอบเข้าห้องฉันได้ง่าย ๆ แบบนี้ล่ะ”

เรนนี่พยักหน้ารัว ๆ ถูกใจ ทำไม้ทำมือยุกยิกแสดงความเห็นด้วย นลินญาก็กล่าวต่อ

“อีกอย่าง รูปร่างหน้าตาเขาก็…”

“หล่อใช่ไหมล่ะ งานดี งานเนี้ยบสุด ๆ”

นลินญาทำปากยื่นแก้มป่องเหมือนเด็กดื้อ แต่แล้วเด็กดื้อคนนี้ก็พยักหน้ายอมรับ

“ใช่ แต่หล่อเกินไป ทุกอย่างของเขามันสวยงามเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ปกติธรรมดา”

 

นายแพทย์หนุ่มรุ่นพี่ของเรนนี่กลับออกมาแล้ว เขาสรุปให้ฟังว่าบาดแผลถูกแทงของชายหนุ่มอักเสบ ที่บาดเจ็บภายในอื่น ๆ ก็กระทบกระเทือน แต่แปลกที่คนไข้ดูไม่เจ็บเลย อดทนเก่งมาก ๆ เขาฉีดยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดให้คนไข้แล้ว ยามีฤทธิ์ง่วงซึมอีกไม่นานก็คงหลับไปอีกหน

คล้อยหลังนายแพทย์หนุ่ม เรนนี่กับนลินญาก็เข้าไปในห้องอีกครั้ง  เห็นดวงตาเหงาซึมของชายหนุ่มแล้วนลินญาก็พูดไม่ออก

เขาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยภาษาจีนก่อนว่า

“เจ้าต้องการให้ข้าอยู่ที่นี่หรือ”

นลินญาก็จัดไปหนึ่งชุด

“ยังจะมีหน้ามาถามอีก ก็หนีออกจากโรงพยาบาลเองไม่ใช่หรือไง แผลก็ยังไม่หายดี อักเสบเพิ่มแล้วเนี่ย เดี๋ยวก็ติดเชื้อในกระแสเลือดตายหรอก หมอยังไม่ให้กลับบ้านเลยจะรีบออกเองได้ยังไงฮะ”

“นลิน แกใจเย็นก่อน”

เรนนี่กระซิบและดึงแขนเพื่อนไว้ เอ่ยขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นงานเป็นการว่า

“ฉันชื่อเรนนี่ เป็นหมอผ่าตัดคุณนะคะ คุณเจ็บแผลไหม รู้สึกยังไงบ้างคะ”

“รู้สึกดีขึ้นมากแล้วขอรับ ขอบคุณท่านหมอมาก”

เขาขยับจะลุกขึ้น ประสานมือคารวะ เรนนี่ต้องรีบโบกมือห้ามไว้

“ไม่เป็นไร ๆ ค่ะ นอนลงก่อนเถอะ” เธอกระตุกสาบเสื้อกาวน์นิดหนึ่ง “คือ หมออยากรู้ว่าคุณเป็นใคร มีญาติหรือเพื่อนอยู่ที่ไหนคะ หมอจะได้ติดต่อให้ แล้วก็ เอ่อ…เกิดอะไรขึ้นที่ผาชิงดาวคะ เรื่องนี้เป็นคดีทำร้ายร่างกายร้ายแรง เดี๋ยวตำรวจก็คงมาสอบปากคำคุณ หมอเลยอยากทราบเรื่องราวไว้ก่อนน่ะค่ะ เพราะในฐานะที่โรงพยาบาลของเรารับคุณมารักษาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเหมือนกัน”

เขานิ่งฟัง แล้วดวงตารียาวก็เหลือบมองมาทางนลินญา หญิงสาวอึ้งไปนิดเพราะรู้สึกว่าดวงตานั้นคล้ายจะขอความเห็นว่าควรเล่าหรือไม่ เธอพยักหน้าเบา ๆ แม้จะไม่เข้าใจว่าเขาจะมาขออนุญาตเธอทำไม

ชายหนุ่มก็เริ่มต้นเล่าเป็นภาษาจีนว่า

“คืนก่อนข้าได้รับสารลับจากคนที่อ้างว่าวางยาพิษท่านพ่อข้า นัดหมายให้ไปเจรจาที่กระท่อมเชิงเขาทิศตะวันตก แต่ระหว่างทางข้ากับน้องชายถูกกลุ่มโจรดักทำร้าย ข้าถูกพวกมันสาดผงพิษใส่ตาจนมองไม่เห็นและถูกแทงตกหน้าผา แต่พอรู้สึกตัวอีกครั้งข้าก็มาอยู่ใต้หน้าผาที่นี่ซึ่งไม่ใช่ที่ที่ข้าตกลงมา”

เรนนี่กับนลินญาลอบมองตากัน

“ที่แห่งนี้ต่างจากบ้านเมืองข้าราวกับคนละโลก เกรงว่าญาติพี่น้องของข้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่ มีเพียงข้าคนเดียวที่หลงเข้ามา อ้อ ขออภัยท่านหมอด้วย ข้าลืมพูดสิ่งที่ควรพูดตั้งแต่คำแรก”

เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย มองสบตาเรนนี่อย่างสุภาพ แล้วดวงตารียาวก็มาหยุดอยู่ที่นลินญา

“ข้าแซ่หวัง นามว่าเฟย นามรอง อี้เทียน”



Don`t copy text!