เกมอาชา บทที่ 5 : เพื่อม้า
โดย : ภัสรสา
——————————————————-
แม้การแข่งขันจบลงแล้ว ทว่าหน้าที่ของสัตวแพทย์ประจำทีมและผู้ดูแลม้ายังไม่จบ สุมิตราต้องตรวจม้า ให้น้ำเกลือ เฝ้าระวังอาการผิดปกติของม้าซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ ม้าหนึ่งตัวให้น้ำเกลือราวๆ ห้าถึงสิบขวดแล้วแต่ว่าความตึงผิวมีมากน้อยแค่ไหน อุณหภูมิร่างกายปกติหรือไม่ ดีว่าผู้ดูแลม้าค่อนข้างรู้งาน สุมิตราจึงบอกแค่ว่าม้าตัวไหนให้น้ำเกลือกี่ขวด แล้วแทงเข็มน้ำเกลือไว้ให้ เมื่อหมด ผู้ดูแลม้าสามารถเปลี่ยนน้ำเกลือขวดใหม่ได้เอง
ตอนนี้สุมิตราต้องเฝ้าระวังเจนิต้า เพราะจากม้าที่อัตราการเต้นของหัวใจดีเลิศ ลักษณะอาการภายนอกดีงามจนได้รางวัลเบสต์คอนดิชันมาครอง ตอนนี้กลับมีอุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ปัสสาวะมีสีแดงคล้ายเลือด สุมิตรานำผ้าห่มม้ามาคลุมตัวเจนิต้าเพื่อให้ความอบอุ่น อยู่เฝ้าไม่ไปไหนแม้กระทั่งตอนที่บอกให้ผู้ดูแลม้าทุกคนแยกย้ายไปเพื่อเตรียมตัวไปงานเลี้ยงต้อนรับนักกีฬาและผู้เกี่ยวข้องในค่ำคืนนี้
สุมิตรานั่งอยู่มุมคอก ในมือจับสายจูงของเจนิต้าไว้หลวมๆ คอยส่งหญ้าป้อนเข้าปากเจนิต้าไปเรื่อยๆ อดยิ้มไม่ได้เพราะพอรู้ว่าสุมิตราคอยป้อน เจนิต้าก็ไม่กินหญ้าเอง พอสุมิตราแกล้งไม่ป้อน เจนิต้าก็วนเวียนเอาปากมาชนเข่าสุมิตราอยู่เรื่อยๆ เป็นการกระตุ้นเตือน อดสะดุ้งไม่ได้ตอนประตูคอกเปิดออก พอหันไปมองเห็นเป็นหิรัณย์ในชุดลำลองเกินกว่าจะไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ จึงเอ่ยถาม “ไปงานชุดนี้เหรอ”
“ไม่ไป”
ต้องแปลกใจเหรอ… ขนาดแค่กินข้าวกับเพื่อนร่วมทีมเขายังไม่ค่อยไปเลย จะให้ไปกินข้าวกับคนอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่รู้จักกัน จ้างสองล้านยังไม่รู้จะไปไหม เพราะขอพ่อคำเดียว อย่าว่าแต่สองล้าน สิบล้านเฮงก็คงให้โดยง่าย
“เจนิต้าเป็นไง”
“ดีขึ้น อุณหภูมิปกติแล้ว… ปกติเป็นแบบนี้ไหม”
หิรัณย์พยักหน้า “เหมือนเขารู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะเป็นม้าเอ็นดูแรนซ์ที่โอเค พยายามจะไม่แสดงอาการแย่ๆ ในสนามแข่ง พอแข่งจบก็ต้องจับตาดูเป็นพิเศษ เหมือนแม่เขาแหละ จาเมก้า อายุเยอะแล้วแต่ก็ยังอยากแข่ง พยายามทำตัวฟิตตลอด… เดี๋ยวก็ได้เจอกัน”
“อ้อ เป็นหนึ่งในหกตัวที่คุณพากลับเหรอ”
“ใช่”
หิรัณย์ตอบ รั้งสายจูงออกจากมือสุมิตรา พาเจนิต้าเดินวนไปอีกทาง ไล่สำรวจเนื้อตัว ยกขาดูทั้งหน้าและหลัง จนพอใจแล้วจึงค่อยจูงให้หันหน้ากลับมาหาสุมิตรา เอ่ยถาม “แล้วหมอไม่ไปงานเลี้ยงเหรอ”
สุมิตราส่ายหน้า บุ้ยปากไปทางเจนิต้าเป็นเชิงบอกว่าที่ไม่ไปเพราะต้องเฝ้าคุณคนนี้นี่แหละ
หิรัณย์จึงบอก “หมอไปเถอะ ผมดูเอง”
สุมิตรามองหน้าหิรัณย์ ถามด้วยน้ำเสียงป่วนประสาทเต็มกำลัง “เป็นหมอเหรอ”
แล้วพอเขามองหน้าพร้อมยกมือเท้าสะเอว สุมิตราก็ยิ้มขำ ไม่พูดอะไรอีกกระทั่งหิรัณย์เอ่ยถาม
“จบงานนี้หมอกลับไปอยู่กับร็อบต่อเหรอ”
“ใช่”
“กลับไทยเมื่อไร”
“ปีหน้า”
หิรัณย์เงียบไป ไม่พูดอะไรออกมาอีก สุมิตราก็ไม่พูด ไล่อ่านบทความในมือถือของตัวเอง กระทั่ง…
“หมอ”
สุมิตราเงยหน้าจากโทรศัพท์มองเจนิต้าโดยอัตโนมัติเพราะน้ำเสียงของเขาบอกชัดว่าต้องเกี่ยวข้องกับอาการของเจนิต้าแน่ พอเห็นว่าเจนิต้าตัวสั่นริก สุมิตราก็รีบเอามือถือเสียบกระเป๋ากางเกง ลุกขึ้นไปใช้ปรอทสอดก้นเพื่อวัดอุณหภูมิ ระหว่างรอก็ใช้ผ้าขนหนูสอดไปใต้ผ้าห่มเพื่อถูเนื้อตัวเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย หิรัณย์เองก็ถูตัวเจนิต้าอยู่อีกฟากเช่นกัน กระทั่งได้เวลา สุมิตราจึงผละไปดูผลวัดของปรอท แม้ตัวเลขจะต่ำกว่าปกติทว่าไม่จัดว่าน่ากลัวนัก ขอแค่อย่าให้ต่ำลงอีกภายในชั่วโมงนี้
“เป็นไงบ้าง”
“หมอจะลองพาเจนิต้าเดินสักพัก ถ้าอุณหภูมิยังลดลง คงต้องอุ่นน้ำเกลือให้”
หิรัณย์พยักหน้า บอกก่อนผละไป “จะไปเตรียมอุปกรณ์”
สุมิตราไม่ตอบรับ เพราะถึงตอบก็คงไม่ทันเพราะหิรัณย์เดินห่างไปเร็วรี่ บ่งบอกว่าเป็นห่วงเจนิต้ามากแค่ไหน ถ้าเป็นคนอื่นอาจรอให้เธอฟันธงว่าต้องให้น้ำเกลือก่อนค่อยไปเตรียมอุปกรณ์ก็ได้ แต่หิรัณย์เตรียมให้ทันที ไม่คิดแบบคนขี้เกียจว่าถ้าอาการเจนิต้าไม่แย่ขนาดต้องให้น้ำเกลือ ตัวเองจะเหนื่อยเปล่า
หมอม้าสาวนำเชือกจูงล็อกเข้ากับขลุม จัดผ้าห่มให้อยู่ในตำแหน่งที่จะไม่ร่วงหล่นโดยง่าย พาออกจากคอกเพื่อเดินวนไปมา เห็นอาการเจนิต้าตอนเดินผ่านคอกจอร์เจ็ตต์แล้วรู้ว่าสองตัวนี้คงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เพราะเจนิต้าส่งเสียงเรียกเบาๆ ในลำคอ จอร์เจ็ตต์เองจากที่หันก้นอยู่ก็รีบหมุนตัว เอาหน้าโผล่ออกมาจากคอก สุมิตรายอมหยุดให้เจนิต้ากับจอร์เจ็ตต์สื่อสารกันอยู่ครู่ก็พาเจนิต้าเดินวนต่อ โล่งใจเมื่อเจนิต้าถ่ายเบาแล้วไม่มีเลือดปะปนออกมา ราวครึ่งชั่วโมงจึงพาเดินกลับคอก และพบว่าหิรัณย์เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว มีน้ำเกลืออุ่นพร้อมใช้งาน
สุมิตราเห็นแล้วว่าเจนิต้ายังตัวสั่น จึงรีบวัดอุณหภูมิอีกครั้ง มีสีหน้าหนักใจเมื่ออุณหภูมิร่างกายของเจนิต้าต่ำลงอีก เมื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจแล้วพบว่าต่ำกว่าปกติ จึงมองหน้ากับหิรัณย์แล้วพยักหน้าแทนการบอกว่าต้องให้น้ำเกลือ หิรัณย์ขยับตัวไปจัดการร้อยน้ำเกลือเข้ากับเสาให้น้ำเกลืออย่างรู้งาน ส่วนสุมิตราเดินไปหยิบบัตตาเลียนขนาดเล็กมาไถขนบริเวณลำคอตรงจุดที่จะเจาะเพื่อให้น้ำเกลือ ใช้แอลกอฮอล์เช็ดจนแน่ใจว่าสะอาด จับหาเส้นเลือดแล้วแทงเข็มเข้าไป หันไปปรับให้น้ำเกลือไหลได้เต็มที่ แล้วตรวจเช็กร่างกายของเจนิต้าอีกทีว่าไม่มีบาดแผลหรืออาการผิดปกติใดเพิ่มเติม
ที่สุดก็หันไปทางหิรัณย์ซึ่งยืนหน้านิ่วอยู่ใกล้ๆ “คุณไปนอนเถอะ ที่เหลือก็แค่ให้น้ำเกลือ หมอดูเอง”
หิรัณย์ยังยืนนิ่งอยู่อีกพัก มองสุมิตราสลับกับเจนิต้าอยู่หลายรอบ ในที่สุดก็ยอมเดินจากไปโดยไม่พูดไม่จาแม้สักคำ
ซึ่งไม่ได้ทำให้สุมิตราแปลกใจหรอก แล้วตอนนี้เธอก็ไม่สนใจด้วย เพราะกำลังพะวงอยู่กับอาการของเจนิต้า ซึ่งถ้าเป็นเด็กก็เป็นเด็กที่น่าตีเสียเหลือเกิน เพราะห่วงเล่นห่วงแข่งเสียจนไม่สนใจขีดจำกัดของร่างกายตัวเอง แถมเก็บอาการเก่ง ในสนามแข่งขันไม่มีสิ่งผิดปกติแสดงให้เห็นให้เป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย แล้วดูตอนแข่งเสร็จแล้วสิ
หญิงสาวลูบหน้าผากเจนิต้าหนักๆ จูบจมูกนิ่มๆ หลายทีติด ก่อนเอื้อมมือไปตบบ่าข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ อดยิ้มไม่ได้เมื่อเจนิต้าขยับตัวมาทิ้งคอพาดบ่าเธอ สุมิตรารู้สึกว่าม้ากำลังกังวลเพราะความผิดปกติของตัวม้าเอง จึงเอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไรนะเจนิต้า เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ทิ้งน้ำหนักมากขึ้นอีกให้สุมิตรายิ้มกว้างขึ้น ซบแก้มลงกับลำคอของเจนิต้าแล้วหลับตาลง เริ่มปลดปล่อยความเครียดของตนที่มีมาตั้งแต่การแข่งขันเริ่มขึ้น ก่อนหน้านี้สุมิตราคิดว่าจะไปขอให้มูนสโตนช่วยเยียวยา แต่ไม่เป็นไร เป็นเจนิต้าก่อนก็ได้ ไม่ดีต่อใจเท่ามูนสโตนทำแต่ก็ถือว่าทำให้ความรู้สึกเธอดีขึ้นในระดับหนึ่ง
ขอเถอะ อย่าให้เฮงบ้าจี้ตามลูกชายอยากจัดการแข่งขันเอ็นดูแรนซ์ขึ้นมาเลย ยิ่งถ้ามีคอกที่ไม่สนใจมาตรฐานความปลอดภัยของม้าเข้าร่วมแข่งขันด้วยแล้วละก็… ผมเธอได้หงอกหมดหัวแน่!
หิรัณย์ไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรกับภาพที่เห็นดี สัตวแพทย์ชั่วคราวประจำทีมของเขานั่งหลับพิงผนัง เหยียดขายืดยาว มีเจนิต้านอนหนุนตักอยู่… หิรัณย์ไม่ชอบให้ม้าตัวเองไว้ใจใครง่ายๆ แบบนี้ กับการเป็นทีมแข่งเอ็นดูแรนซ์ซึ่งมีผลการแข่งขันยอดเยี่ยมเป็นที่จับตามอง เขามีหลายสิ่งต้องระวัง ม้าเขาเคยถ่ายท้องลงแข่งไม่ได้เพียงเพราะรับของกินจากคนแปลกหน้าที่เหมือนจะมากับทีมตรงข้าม เคยมีแผลตรงจุดสำคัญเสี่ยงต่อการที่สัตวแพทย์ประจำสนามจะไม่ให้ลงแข่ง เพียงเพราะปล่อยม้าคลาดสายตาไม่กี่นาที หิรัณย์จึงพยายามฝึกให้ม้าเขาไว้ตัว ไม่สุงสิงกับคนอื่นนอกจากคนในทีมที่เห็นหน้ากันบ่อยๆ ที่ผ่านมามันได้ผล ม้าเขาแทบไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้หรือจับตัวเลย ถ้าไม่มีคนในทีมยืนอยู่ด้วย
แล้วดูสุมิตราทำ…
แต่ก็อีกนั่นแหละ หิรัณย์รู้ดีว่าสุมิตรานั้นพิเศษกับม้า เขาเคยเห็นเจ้าหล่อนปลอบม้าที่กำลังตื่นตกใจ ทั้งดีดทั้งโผสูงดูน่ากลัวให้สงบมาแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะทำงานกับม้ามานานจนมีกลิ่นม้าติดตัวในระดับชั้นเซลล์ ม้าเลยคิดว่าเป็นพวกเดียวกันไปแล้วหรือเปล่า
หิรัณย์ก้าวเข้าไปในคอก ซึ่งเจนิต้าก็ผงกหัวขึ้น ตัวขยับอย่างระแวดระวัง แต่พอเห็นว่าเป็นเขาก็นิ่งไป แล้ววางหัวพาดตักสุมิตราต่อ… หิรัณย์ถอนใจยาว เดินเข้าไปก้มลงสะกิดไหล่สุมิตรา พอเจ้าหล่อนลืมตาก็เอ่ยปาก “ไปนอนที่ห้องไหมหมอ”
สุมิตราเงยหน้ามองหิรัณย์ ก่อนก้มลงมองเจนิต้าที่หนุนตักตน ต้องใช้เวลาอยู่ครู่กว่าจะนึกออกว่าเหตุการณ์ก่อนหน้าคืออะไร เธอให้น้ำเกลือเจนิต้าจนอุณหภูมิปกติ เจนิต้าล้มตัวลงนอนกลิ้งไปมา เธอเลยมานั่งตรงนี้เพื่อพักขาและอยากดูอาการเจนิต้าต่ออีกสักพัก แล้วอยู่ๆ เจนิต้าก็ขยับตัวมานอนหนุนตัก ไม่รู้ว่าเพื่อขอบคุณที่เธอช่วยรักษาหรือเปล่า สุมิตราหลับตาคิดว่าจะพักสายตาสักหน่อย พลางลูบคอเจนิต้าไปด้วย… เธอคงเผลอหลับไปจริงๆ สินะ
“ค่าห้องก็จ่ายแล้ว แพงกว่าคนอื่นด้วยเพราะหมอนอนเดี่ยว ใช้ห้องให้คุ้มหน่อย”
สุมิตราเงยหน้ามองหิรัณย์ตาขวาง ย้อนทันทีอย่างรู้ทัน หน้าอย่างเขาไม่มีวันยอมมีเพื่อนร่วมห้อง “คุณก็นอนเดี่ยว”
“เงินผม”
“ถ้าการเงินคุณมีปัญหา ฉันจ่ายค่าห้องเองก็ได้นะ”
เหมือนเจนิต้าจะรู้ว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดีจึงขยับตัวลุกทำให้สุมิตราต้องลุกเพื่อเปิดพื้นที่ให้ม้า และเพื่อไม่ให้ตัวเองได้รับอันตราย พอลุกได้เจนิต้าก็เดินหมุนวนไปอยู่อีกมุมของคอก หันก้นให้มนุษย์ทั้งสองราวกับรำคาญเสียเต็มประดา
เกิดความเงียบอยู่ชั่วอึดใจก่อนสุมิตรากับหิรัณย์จะหันมองหน้ากันเหมือนรู้ตัวว่าโดนม้าเมินเข้าให้ แต่หิรัณย์พูดได้ก่อนตามเคย
“หมอทำเจนิต้าเสียม้าหมด”
สุมิตราไม่ยอมแพ้ ยิ่งตอนกำลังง่วงๆ งงๆ ไม่มีสติแบบนี้อย่าหวังว่าเธอจะยั้งใจยั้งปากได้ “มันเสียมาตั้งแต่เป็นม้าคุณแล้วไหมล่ะ”
หิรัณย์ทำได้เพียงยกมือเท้าสะเอว มองสุมิตราเข้าไปตรวจเจนิต้า ครู่เดียวก็เดินออกจากคอกโดยไม่พูดอะไรกับเขา หิรัณย์ต้องรีบหันกลับไปถาม “เจนิต้าเป็นไง”
“ดี”
สุมิตราตอบโดยไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ หิรัณย์จึงร้องถามไปอีกครั้ง “แล้วหมอจะไปไหน”
“นอน”
ทว่าพอตอบแล้วสุมิตรากลับหยุด เดินย้อนกลับมาหาหิรัณย์ “พรุ่งนี้เช้าฉันจะมาดูเจนิต้าอีกรอบ ถ้าไม่มีอะไรน่าห่วงจะกลับเลย ให้พ่อคุณจัดการโอนเงินเข้าบัญชีฉันให้ด้วย”
หิรัณย์ไม่ตอบ หรือถ้าตอบสุมิตราก็คงไม่ได้ยิน เพราะพอพูดจบเจ้าหล่อนก็หมุนตัวเดินห่างไปอย่างรวดเร็ว หิรัณย์ยืนมองจนสุมิตราลับสายตาไป และได้แต่ส่ายหน้าไปมากับท่าทีของสุมิตราที่ไม่น่ารักกับเขาเอาเสียเลย แต่เบาใจได้อยู่ว่าถ้าเจนิต้าไม่ ‘ดี’ อย่างที่บอกมา สุมิตราคงไม่ทิ้งไปไหนง่ายๆ แน่ หิรัณย์หันกลับไปสำรวจเนื้อตัวของเจนิต้าอีกครั้ง พอให้แน่ใจว่าสบายดี ตบไหล่เจนิต้าอีกสองที ค่อยเดินออกจากคอกแล้วลงล็อกประตูแน่นหนา ก่อนยกมือถือโทรหาพ่อตน เพราะเวลาที่แตกต่างกันสิบสองชั่วโมง ทำให้ตอนนี้ที่เมืองไทยเป็นเวลาบ่ายสอง ไม่กวนเวลานอนของพ่อแน่ๆ
“ว่าไงหิน”
พ่อรับสายเขารวดเร็วอย่างทุกครั้ง และหิรัณย์ก็บอกความประสงค์ของตน “โอนค่าจ้างหมอแซมให้หน่อยนะพ่อ ผมส่งข้อความบอกจำนวนไปแล้ว”
“อ้อ ได้เลย งานเสร็จแล้วเหรอ”
“เรียบร้อย… ไหนพ่อว่าหมอแซมชอบโดนโกงเงิน ท่าทางเขี้ยวลากดินแบบนี้ ไม่น่ามีใครกล้าโกง” หิรัณย์บอกแล้วได้ยินเสียงพ่อตนหัวเราะ ก่อนอธิบาย “เขี้ยวลากดินแต่ก็ยังเป็นเขี้ยวของผู้ดี จัดการพวกคนหน้าด้านหน้าทนไม่ได้หรอก นี่ไม่รู้เคสที่ทำให้แซมหนีไปโน่นจ่ายเงินหรือยัง แต่มีรุตมาช่วยแล้วน่าจะดีขึ้นนะ รุตคงพอช่วยทวงได้… ตกลงหินกลับพร้อมแซมไหม”
“เห็นหมอว่ากลับปีหน้า”
“ก็เห็นว่าแบบนั้น แต่พ่อว่าน่าจะกลับเร็วกว่านั้น ว่าจะส่งรูปอาชาชัยให้ดูบ่อยๆ”
หิรัณย์เพียงหัวเราะหึ ก่อนบอกกำหนดการตัวเอง “ผมรอแข่งแมตช์ตะวันออกกลางของชีคญะนีสก่อน แข่งเสร็จก็กลับแล้ว อีกไม่กี่เดือน”
“แล้วจะชวนแซมไปทำด้วยกันอีกไหม”
“ขอคิดดูก่อน”
เพราะแมตช์นั้นอาจหนักหนาเกินไปสำหรับสุมิตรา หิรัณย์ไม่อยากเพิ่ม ‘ภาระ’ ให้ตัวเอง!
ซื้อเกมอาชาฉบับรวมเล่มที่ www.naiin.com
เพื่อสนับสนุน ‘ภัสรสา’ และเว็บไซต์อ่านเอา
เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าเรื่องระหว่างชนัญญูกับวินิทราต้องมีอะไร เธอจากเมืองไทยมายังไม่ถึงปี ทั้งคู่ก็ตกลงปลงใจกันแล้ว แม้ยังไม่มีการจัดงานเพราะวินิทราเพิ่งผ่านการสูญเสียพี่ชาย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่เหลืออยู่ในครอบครัว แต่ดูจากท่าทางมั่นคงและสายตาที่ทั้งคู่ใช้มองกัน สุมิตราค่อนข้างแน่ใจว่าความเหนียวแน่นของความสัมพันธ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคู่รักคู่ไหน
“รู้เรื่องงานแต่งซันกับฟุ้งหรือยัง แกน่าจะกลับมาทัน” ชนัญญูให้ข้อมูลเพื่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าดิกทันที “ไม่ ฉันไม่ไปงานแต่งใครทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะงานพวกแก ซันชวนแล้ว และฉันก็บอกซันไปแล้วว่าไม่ไป”
ชนัญญูหัวเราะหึ “คิดมากน่า”
บังเอิญหรือไม่บังเอิญสุมิตราก็ไม่อยากเสี่ยง ตอนเด็กๆ เธอไปงานแต่งงานกับพ่อแม่ทีไร มีเหตุให้บ่าวสาวเลิกรากันกลางคัน กลางงาน หรือไม่ก็เจ้าบ่าวหายตัว เจ้าสาวหายหน้าตลอด เมียแรกมาอาละวาด สามีเก่ามาพังงาน จนสุมิตราไม่ยอมไปงานแต่งงานใครอีก กระทั่งงานของอาจารย์ที่เคารพ ที่แสงฉานกับชนัญญูรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่มีทางมีอะไรเกิดขึ้นเด็ดขาด ทั้งคู่ยอมไปงานเป็นเพื่อนเธอเพื่อจะพบว่า เจ้าบ่าวทำแหวนแต่งงานหายซึ่งเป็นแหวนเก่าแก่ของตระกูล พ่อแม่เจ้าบ่าวโวยวายใหญ่โตและในที่สุดงานก็ล่ม
ตั้งแต่นั้นสุมิตราไม่ยอมไปงานแต่งงานของใครอีกเลย ยิ่งเป็นคนที่รักมากด้วยแล้ว สุมิตรายิ่งไม่ไป อาศัยอวยพรนอกรอบ ใส่ซองและจัดของขวัญชุดใหญ่ให้เท่านั้น
“ฉันมันต้องคำสาป แกก็เคยอยู่ในเหตุการณ์นะช้าง”
ชนัญญูเหลือบมองวินิทราที่นั่งอ่านหนังสืออยู่อีกทางแล้วไม่เกลี้ยกล่อมอีก จริงอยู่ว่าเขามั่นใจในความรักที่มีให้กัน แต่… ถ้ามันจะมีปัจจัยภายนอกมาระรานเขาก็ไม่อยากเสี่ยง คิดว่าแสงฉานคงคิดแบบเดียวกัน ไม่อย่างนั้นคงเกลี้ยกล่อมให้สุมิตรามางานแต่งของตัวเองไปแล้ว
“แล้วแกเป็นไง”
สุมิตรายักไหล่ก่อนตอบ “ก็ดีนะ แต่ไม่รู้ดีเกินไปหรือเปล่า มันเหงาๆ เหมือนกัน นี่ลุงเฮงส่งรูปม้ามาให้ดูทุกวันเลย ชักคิดถึง”
“กลับเร็วหน่อยก็ดี ซันมันจะเป็นบ้าแล้วเนี่ย วันก่อนมีหมอฝึกงานเข้ามาทำให้ จะฉีดยาม้าแล้วไม่เช็ดแอลกอฮอล์ ซันระเบิดลงคอกแทบแตก ฟุ้งก็อยู่ด้วย”
“ดีแล้ว มีคนช่วยห้ามซัน”
ชนัญญูถึงกับหน้าเบี้ยว “ห้ามผีอะไรล่ะ กรี๊ดแตกไปด้วยกันนั่นแหละ คุณวินกับฉันนี่อย่างเหนื่อย”
สุมิตราหัวเราะ แม้จะรู้ว่าถ้าอยู่ในเหตุการณ์มันก็คงไม่ขำหรอก เผลอๆ ถ้าเธออยู่ด้วยคงระเบิดลงตามแสงฉานไปติดๆ ในฐานะที่เป็นหมอ เรียนหมอมาหกปีแต่ดันลืมขั้นตอนพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่ง แต่พอฟังชนัญญูเล่าแล้วนึกภาพแสงฉานกับฟุ้งฟ้าโวยวายเอ็ดตะโรทั้งคู่ มันก็อดขำไม่ได้ แล้วพอได้พิจารณาสภาพเพื่อนชัดๆ ประกอบกับฟังเรื่องเสี่ยงตายของชนัญญูจากแสงฉาน ทำให้สุมิตราอดถามไม่ได้ แม้รู้ว่าชนัญญูอาจอยากให้มองข้ามไปมากกว่าก็ตาม “แล้วแกล่ะ อาการเป็นไง”
“ดีวันดีคืน ไม่ต้องห่วง”
ชนัญญูตอบแล้วหันไปมองอีกทาง ครู่เดียววินิทราก็เข้ามาอยู่ในหน้าจอ ส่งเสียงบอก
“พี่ช้างจะหายเร็วกว่านี้ถ้าพี่แซมกลับมาค่ะ จะได้มีคนช่วยรบกับพี่ซันระหว่างรักษาแผล”
สุมิตราหัวเราะเป็นการตอบรับ ก่อนพูดด้วยสีหน้าแววตายั่วหยอก “ดูไม่น่าห่วงเท่าไรนะคะ เหมือนช้างได้คนดูแลแผลดีอยู่ ทั้งดีต่อแผลและดีต่อใจ”
วินิทรานิ่งไป ก่อนยิ้มเขินแล้วม้วนหายไปจากหน้าจอ ทิ้งให้ชนัญญูมองสุมิตราด้วยสายตาหน่ายๆ อยู่คนเดียว
“ขยันแซะเหลือเกินนะ”
สุมิตราลอยหน้าลอยตาสีหน้ากวนอารมณ์คนมองอย่างที่สุด ก่อนบอกอย่างตัดบทเมื่อมองนาฬิกา “หมดเวลาเบรกแล้วแก ฉันเข้าสัมมนาต่อก่อน”
ชนัญญูตอบรับแล้ววางสายไป สุมิตรารีบเทกาแฟที่เหลืออยู่ก้นถ้วยเข้าปาก ขณะกำลังจะเดินกลับเข้าห้องโทรศัพท์เธอก็สั่นไหวขึ้นอีกครั้ง พอเห็นว่าเป็นหิรัณย์โทรมาก็นิ่วหน้า ก่อนกดรับ “ว่าไง”
“คุยด้วยหน่อย”
สุมิตราบิดปากจนแทบจะเป็นเลขแปดกับน้ำเสียงโอหังนั่น ตอบกลับทันที “ไม่ว่าง กำลังจะเข้าห้องสัมมนา เสร็จตอนบ่ายสอง ค่อยโทรมาอีกที”
จากนั้นวางสายแล้วย่นจมูกใส่โทรศัพท์ราวกับว่าคนอีกฟากจะเห็นท่าทางนั้น หญิงสาวกลับไปนั่งประจำที่ตนเพื่อฟังผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดในม้าให้ความรู้ต่อ แต่รู้ตัวว่าสมาธิเริ่มแตกซ่าน… บ้าจริง รู้แบบนี้ถามนายหินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่าว่ามีเรื่องอะไร ปกติเขาไม่ค่อยโทรหาเธอหรอกถ้าไม่มีเรื่องเกี่ยวกับม้า แล้วนี่ใครเป็นอะไรหรือเปล่า จอร์เจ็ตต์หรือเจนิต้าบาดเจ็บหรือไม่ ให้ตายสิ ต่อมเผือกเธอสั่นระดับสิบเลย!
สุมิตราสังหรณ์ใจตงิดแล้วแหละ ตั้งแต่เห็นรถแปลกหน้าที่คุ้นตาจอดอยู่ ทว่ายังทำทุกอย่างเป็นปกติ เดินเข้าบ้าน นั่งลงทักทายคริสตี้อยู่หน้าประตู จะผิดปกติก็คงเป็นวันนี้สโนวี่ไม่ออกมารับเธอ แล้วเธอก็นั่งเล่นกับคริสตี้อยู่นานกว่าทุกวัน กระทั่งโรเบิร์ตเดินออกมาจากส่วนรับแขก มาเอียงหน้ามองเธอส่งสายตารู้เท่าทันมาให้
“หินมารอตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้วแซม”
สุมิตราทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ถามกลับไปหน้าตาเฉย “เขามาเหรอคะ”
โรเบิร์ตไม่ตอบ แค่หรี่ตาลงคล้ายจะดุทว่าสีหน้าขบขัน กวักมือเรียกแทนคำตอบแล้วเดินกลับไปในห้องที่หิรัณย์นั่งไขว่ห้าง บนตักมีสโนวี่นั่งสะบัดหางไปมา หน้าหิรัณย์นิ่งสนิทค่อนไปทางเย็นชา ดูขัดกับมือที่กำลังลูบตัวสโนวี่อย่างอ่อนโยนยิ่งนัก เหมือนภาพตัดแปะ เป็นความไม่เข้ากันที่มีอยู่ในตัวหิรัณย์ทว่าโรเบิร์ตเริ่มชินแล้ว เขาใช้มาตรฐานการตัดสินคนที่มาบ้านจากสัตว์เลี้ยงของเขา ถ้าสโนวี่ดีกับใคร แสดงว่าคนนั้นใช้ได้ ส่วนคริสตี้… ได้ข่าวว่ารายนั้นเป็นมิตรกับทุกสิ่งแม้แต่ถุงพลาสติกที่ปลิวมาตามลม
สุมิตราเดินไปทักแก้วตาที่ทำอาหารอยู่ในครัวก่อน เรียกได้ว่ายื้อเวลาจนถึงที่สุดกว่าจะเดินเข้าไปหาหิรัณย์ ไปนั่งลงข้างโรเบิร์ต หันไปรับคริสตี้ที่ตะกายขึ้นโซฟามานั่งเบียด ลูบเนื้อลูบตัวคริสตี้เล่นอยู่อย่างนั้นกระทั่งโรเบิร์ตตีไหล่มาเบาๆ บอกกลั้วหัวเราะ
“พอแล้วแซม”
นั่นเอง สุมิตราจึงหันไปทางหิรัณย์ “มีอะไร”
“มีแข่งเอ็นดูแรนซ์อีกแมตช์”
สุมิตราหน้านิ่ว “หมอนายยังไม่หายอีกเหรอ”
“ไม่ได้จะชวนเป็นทีมเว็ต”
อ้าว…
“ชีคญะนีสอยากได้หมอที่ไว้ใจได้สักคนทำส่วนกลาง ผมเลยมาชวนคุณ”
นั่นแปลได้ว่าเขาไว้ใจเธอสินะ แต่เดี๋ยว… “ชีค… แข่งแถวไหน”
หิรัณย์ตอบชื่อประเทศซึ่งอยู่แถบตะวันออกกลาง โด่งดังเรื่องการจัดแข่งเอ็นดูแรนซ์ โดยภูมิภาคนั้นต่างประกาศว่าตนเป็นต้นกำเนิดของกีฬาชนิดนี้ อเมริกาเองก็เคลมว่าตนเป็นผู้จัดการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรก และยังมีโพนี่เอ็กซ์เพรสซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกีฬาแข่งม้ามาราธอนนี้เช่นกัน เหมือนจะพากันลืมเจงกิสข่านที่ขี่ม้าทำศึกไปครึ่งโลกกันไปหมด
“จริงๆ ผมไม่ค่อยอยากให้คุณไปหรอก กลัวเป็นภาระ”
เอ๋า… สุมิตราเบิกตากว้าง หันมองหน้าโรเบิร์ตซึ่งหลุดหัวเราะออกมาเหมือนห้ามไม่อยู่ ทำหน้างอนให้ดูเสียหน่อยก่อนหันไปตอบหิรัณย์ “งั้นก็อย่าเลย ฉันก็ไม่อยากเป็นภาระใครเหมือนกัน”
“แต่หมอเป็นคนที่ผมแน่ใจว่าจะตัดสินอย่างตรงไปตรงมาที่สุด”
สุมิตรานิ่งอึ้ง เกลียดการตบหัวแล้วลูบหลังของหิรัณย์ที่สุด พร้อมกับแน่ใจ…
“ถ้าหมอจะไม่ทำตัวให้เป็นภาระ ผมจะขอบคุณมาก”
ใช่ มันต้องมีการตบหัวปิดท้ายอีกรอบราวกับจริงๆ แล้วเขาไม่ได้อยากให้เธอไปด้วยหรอก แค่มาชวนตามมารยาท แต่สุมิตราไม่ได้ลืมไปว่าหิรัณย์ไม่ค่อยมีหรอก มารยาทน่ะ เขาไม่ทำอะไรตามมารยาท โดยเฉพาะการดั้นด้นมาหาเธอเพื่อชวนตามมารยาทยิ่งเป็นไปไม่ได้ เขาอยากให้เธอไปจริงๆ และให้ตายสิ เธออยากปฏิเสธเขา แต่เกลียดตัวเองเหลือเกินที่พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับม้าแล้วเธอใจแข็งไม่ได้เลย
“ชีคญะนีสออกค่าเดินทางกับที่พักให้ทั้งหมด บินเฟิสต์คลาส พักโรงแรมห้าดาว จ่ายหนักกว่าผมสองเท่า”
สุมิตราตอบได้ทันที “โอเค ไป”
นี่เพื่อม้าหรอก!
มันเป็นการแข่งขันเอ็นดูแรนซ์แมตช์ควอลิฟายด์ที่ระยะทางแปดสิบกิโลเมตร สุมิตรารู้ว่าหิรัณย์มาแข่งแถบนี้บ่อย และเธอก็ให้แปลกใจ ทำไมเขายังขาวผ่องเป็นยองใยอยู่ได้ อยากรู้จริงๆ ว่าใช้ครีมกันแดดยี่ห้ออะไร ขนาดเธอโปะแล้วโปะอีก ผิวยังคล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สุมิตราไม่ห่วงมากนักเพราะรู้ตัวเองดีว่าเป็นคนคล้ำง่ายแต่ก็ขาวขึ้นไวเช่นเดียวกัน
สุมิตราเป็นสัตวแพทย์ประจำช่องสำหรับให้ม้าวิ่งเพื่อตรวจสอบว่าม้าสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้หรือไม่ (Trot up) ชื่อประจำตำแหน่งคือเว็ตเลน (Vet Lane) ซึ่งโชคดีมากว่าแมตช์นี้เป็นแมตช์ใหญ่ แม้จะมีทั้งหมดหกช่องวิ่งเพื่อทดสอบ ทว่ามีสัตวแพทย์ประจำหนึ่งเลนต่อหนึ่งคน งานเธอจึงไม่หนักมากนัก
หิรัณย์เป็นคนพาเจนิต้าเข้ามาทร็อตอัปด้วยตัวเองในเลนถัดไป สุมิตราหันไปเห็นพอดีระหว่างรอม้าตัวใหม่เข้าเลนตัวเอง อดสังเกตไม่ได้ว่าเจนิต้าเป็นอย่างไร แล้วต้องพยายามบอกตัวเองว่าเธอเป็นกลาง… เธอเป็นกลาง
ม้าวิ่งดี คนวิ่งดีแต่นิสัยแย่ เธอไปยุให้หมอเลนนั้นไม่ให้เขาผ่านได้มะ!
แต่เจนิต้าวิ่งสวยขนาดนั้นยังไงก็ต้องผ่านอยู่ดี
แล้วพอตัวต่อไปเข้ามา สุมิตราก็ต้องระวังเพิ่มขึ้นอีกนิด เพราะมีเชือกสีแดงผูกอยู่ที่หาง อันเป็นสัญลักษณ์ที่บอกให้รู้ว่าม้าค่อนข้างตื่น หรือมีแนวโน้มว่าจะเตะคนที่อยู่ใกล้ สุมิตราดูใบรายชื่อ เพศเมีย หกปี ชื่ออัซฮาร์ ตรวจตำหนิต่างๆ บนร่างกายตามที่ระบุไว้ในพาสปอร์ต มองหน้าแล้วให้เอ็นดู ตากลมแป๋วแหวว หน้าหวาน ท่าทางเป็นมิตร ดูแล้วไม่น่าผูกเชือกแดงได้เลย สุมิตราตรวจสอบเอกสารแล้วส่งสัญญาณให้เริ่มทร็อต มองหาอาการบาดเจ็บของม้าที่อาจมี และพบว่าม้าค่อนข้างสมบูรณ์ แค่วิ่งไม่สวยเพราะคนจูงวิ่งไม่สวยก็เท่านั้น หลายคนที่เลี้ยงม้ารู้และหลายคนอาจไม่รู้ ว่านานไปม้าจะจับจังหวะการเดิน วิ่ง ของคนใกล้ชิดแล้วจะเริ่มเดินและวิ่งในจังหวะเดียวกับคนคนนั้น
แหม อยากจะส่งหิรัณย์ไปสอนวิ่ง แต่เขาคงไม่สอนหรอก ถ้าไปบอกเขาก็จะบอกว่า สอนไม่ได้ ผมเป็นแบบนี้เอง ไม่รู้จะทำยังไงให้คนอื่นเป็นเหมือนกัน… เหอะ จะบอกว่าดูดีมาแต่เกิดว่างั้น ชิ
ในที่สุดการทร็อตอัปก็เสร็จสิ้น รอเริ่มการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ ครั้งนี้เธอมาเป็นกรรมการกลาง หิรัณย์ไม่อยากให้มีปัญหาจึงบอกไว้ล่วงหน้าว่าไม่อยากให้แสดงตัวว่ารู้จักกันมาก่อน แต่เขาแนะนำเธอกับลิสเบธ สัตวแพทย์สาวชาวเยอรมันอีกคนให้รู้จักกันไว้ และเพราะเป็นประชากรผู้หญิงอันน้อยนิดที่อยู่ในการแข่งขันนี้ ทั้งคู่จึงตัวติดกันไปโดยปริยาย เรื่องดีคือลิสเบธศึกษาเรื่องการบาดเจ็บที่ขาของม้าเป็นพิเศษ เธอจึงพลอยได้ความรู้เพิ่มเติมไปด้วย ส่วนลิสเบธพอรู้ว่าเธอศึกษาเรื่องนูทริชันจากโรเบิร์ตโดยตรงก็มีคำถามมากมาย เพราะส่วนใหญ่แล้วคนในวงการต่างรู้ดีว่าการจัดการเรื่องโภชนาการของโรเบิร์ตนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด นอกจากนั้นยังได้แลกเปลี่ยนแนวทางในการรักษาด้วยเลเซอร์ เปรียบเทียบกับการทำช็อกเวฟ เรียกได้ว่าถ้าไม่มีหน้าที่การงานรออยู่ในตอนตีสี่ เธอกับลิสเบธคงได้คุยกันทั้งคืน อันที่จริงก็คงทั้งคืน ถ้าไม่เพราะมีข้อความหนึ่งส่งเข้าโทรศัพท์มือถือของเธอในตอนห้าทุ่มครึ่ง
‘นอน อย่ามัวแต่คุย’
นายหิน! บ้าจริง คนกำลังคุยสนุก แต่ถึงอย่างนั้นสุมิตราก็ต้องยอมรับ พรุ่งนี้งานใหญ่งานยักษ์ เธอกับลิสเบธไม่นอนไม่ได้จริงๆ
ดังนั้น ในตอนใกล้ๆ เที่ยงคืน สองสาวจึงแยกย้ายกันในที่สุด…