
หัวใจมังกร บทที่ 3 : พายุอารมณ์
โดย : สิรี กวีผล
หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co
ตะเกียบไม้เสื่อมสภาพตามการใช้งาน วางลงเบาๆ บนชามกระเบื้องสีขาวจนเกือบเหลืองประดับลวดลายงดงามลายนกยูงรำแพนหาง มีร่องรอยบิ่นนิดตามฐาน ควันสีขาวพวยพุ่งข้าวสวยเรียงเม็ดร้อนๆ ไซโป๊ผัดไข่ หมูหวาน ยำกุ้งแห้งไข่เค็ม แข่งกันส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำลายกลับถูกทอดทิ้งและวางลง
โต๊ะกลมเล็กๆ สำหรับเป็นโต๊ะอาหารสำหรับครอบครัวที่เหลืออยู่เพียง 2 คน แต่กลับไม่ได้ดูเงียบเหงาลง เพราะเรือนขนาดกลาง 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เชื่อมต่อกับเรือนใหญ่ของเฉิง เสียงถอนหายใจของ จางหย่ง ดังขึ้น คิ้วเข้มๆ ขมวดติดกัน ริ้วรอยความหยาบกร้านของชายผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ถ้าคนไม่รู้จักอาจคิดว่าอายุเกิน 50 ปีไปไกลโข จน ถิงถิง ลูกสาวที่กำลังทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อยเงยหน้าขึ้นมามองพ่ออย่างสงสัย
“ป๊ายังไม่ชินอีกเหรอ”
“จะว่าชินมันก็ชิน จะว่าไม่ชินก็ยังได้”
“เจ็กจ้านมาทีไร เรือนก็ลุกเป็นไฟทุกที” ถิงถิงเบื่อหน่าย
“ป๊าสงสารอาแปะของลื้อน่ะสิ อาถิง” แววตาของจางหย่งมองไปที่เรือนใหญ่ดูเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด
“เฮียเหลียงก็ชอบพาเรื่องเข้าบ้านไม่ต่างกับอาเจ็กหรอก” จางหย่งมองหน้าลูกสาวอย่างมีคำถาม
“เรื่องอะไร” จางหย่งเสียงเข้ม
“วันก่อนแถวๆ ถนนอัษฎางค์น่ะป๊า มาหาเรื่องอั๊ว มาพูดเหมือนจะอยากได้อั๊วไปเป็นเมีย แต๊ะอั๋งถึงเนื้อถึงตัว อั๊วไม่ชอบ เฮียชางมาช่วยก็เลยมีเรื่องกันนิดหน่อย”
จางหย่งฟังแล้วลมออกหู ลูกสาวคนเดียวของเขาแม้ว่าตอนเด็กๆ จะวิ่งเล่นแหย่กัน สนิทสนม ถึงเนื้อถึงตัวกันแค่ไหน เมื่อโตเป็นหนุ่มก็ต้องรู้จักให้เกียรติหญิงสาว แววตากลมใสที่มีเชื้อสายจีนอยู่ในตัว ใบหน้าเรียวยาวขาวนวลสะอาดตา ประดับตกแต่งด้วยคิ้วบางสวยงามเข้ารับกับจมูกเล็กๆ และรอยยิ้มที่แสนจะอ่อนหวาน ผมยาวพอที่จะถักเป็นเปียหนาๆ รวบไว้ด้านหลังเพื่อความทะมัดทะแมง
“แล้วมันทำอะไรลื้ออีกไหม” น้ำเสียงผู้เป็นพ่อไม่สบอารมณ์
“ไม่ได้ทำ เพราะเฮียชางต่อยเข้าไปเต็มท้องจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น ยังกะลูกหมา” เสียงหัวเราะสะใจดังขึ้น จางหย่งยิ้มเล็กๆ ออกมา เขารักชางเหมือนลูกชายแท้ๆ ของเขาอีกคน รวมทั้งชุนด้วย 2 พี่น้องมีความเป็นลูกผู้ชายอย่างที่ชายควรจะมี ทั้ง 2 คนคอยเป็นหูเป็นตาดูแลถิงถิงให้เขาเวลาที่ต้องเดินทางไปทำงานกับเฉิง
“ลื้อคิดยังไงกับเจ้าชาง” ข้าวในปากถิงถิงแทบกลืนไม่ลง
“ป๊าถามไรอย่างนั้น เฮียชางก็เป็นพี่ชายของอั๊วคนนึงสิ”
“แล้วเจ้าชุนล่ะ” คราวนี้เธอกลับเงียบ เขี่ยข้าวในชามวนไปวนมา สายตาเริ่มไม่อยู่นิ่ง
“ป๊าไม่ต้องสนใจหรอก เอ้า! ป๊าไม่สงสารแปะเฉิงแล้วเหรอ กินข้าวต่อๆ” เธอเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกว่าป๊าเริ่มจับความรู้สึกได้ จางหย่งได้แต่ส่ายหน้า แต่ไม่ว่าลูกสาวของเขาจะรักชอบใคร เขาก็ไม่ได้ห้าม แต่ขอให้เป็นคนดี รักเดียวใจเดียว และให้เกียรติลูกสาวเขาก็เพียงพอ
ปูนทรงสี่เหลี่ยมถูกสลักลวดลายด้วยช่างฝีมือ เป็นรูปปลาตัวเล็กตัวใหญ่โดยรอบมีเกลียวคลื่นเล็กๆ เพื่อสื่อถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิตให้ดูมีชีวิตชีวา ว่ายวนอยู่ในสระบัวขนาดใหญ่สวยงามกลางเรือน แสงอาทิตย์ยามเช้าสะท้อนผิวน้ำจนมองไม่เห็นปลาน้อยใหญ่ที่เลี้ยงอยู่ภายใน
“อย่าคิดว่าเป็นลูกชายคนโตของตระกูลแล้วจะทำอะไรก็ได้”
“แค่เก็บกวาดขยะที่บางคนทำไม่ได้” เหลียงเลือดขึ้นหน้า เดินย่างสามขุมเข้ามากระชากคอเสื้อชางอย่างไม่สบอารมณ์
“ท้องหายเจ็บหรือยัง” ชางกระซิบเบาๆ
ลูกชายคนเดียวของจ้านเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำล่ำสัน ไว้ผมสั้นติดหนังหัว หางคิ้วมีรอยบากเล็กๆ คล้ายแผลเป็น ตั้งแต่เล็กเหลียงมีนิสัยอันธพาลชอบตั้งตนเป็นใหญ่ เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับชาง ห่างกันเพียงไม่กี่เดือน จริงๆ แล้วชางเด็กกว่าเหลียงเสียด้วยซ้ำ แต่ผิดที่เขาเป็นลูกของน้องชายไม่ใช่พี่ใหญ่อย่างแปะเฉิง ชางเลยกลายเป็นลูกชายคนโตของตระกูลไปโดยปริยาย ยิ่งตอนชุนเกิดเหลียงยิ่งกลายเป็นคนนอกของตระกูลฟู่ไปเลย เพราะลูกชายทั้ง 2 คนจะขึ้นแท่นผู้นำตระกูลแทนคนอย่างเขาแน่นอน ยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียดเข้ากระดูกดำ
“ก็แค่ลูกที่เกาะใบบุญพ่อ” เหลียงตวัดมีดพกที่เสียบอยู่ที่เอวขึ้นมา แขนของเขาคว้าคอชางประชิดเข้าหาตัว ชุนเห็นก็รีบจะเข้ามาช่วยพี่ชาย ทว่าเหลียงต้องชะงักไป เมื่อรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ที่หน้าอก พลันสายตาก้มลงมามองเห็นกรรไกรขาเดียวปักอยู่ระหว่างอกของเขา เสื้อกล้ามสีขาวขาดเล็กน้อยเผยให้เห็นเนื้อข้างใน ชางไวกว่าเขาเสมอ แขนที่คว้าคอชางคลายลง มีดพับถูกพับเก็บอย่างมิดชิดกลับเข้าที่ข้างเอวของเขา เช่นเดียวกับกรรไกรขาเดียว เหลียงชี้หน้าอาฆาต ทำท่าจะเดินกลับเข้าเรือน ทว่าเขาหันกลับมาคว้าตัวชางเพื่อผลักให้ตกสระ ขาแข็งแรงของชุนยื่นออกมาช้าๆ ทำให้เหลียงที่ก้าวเข้ามาไม่ทันได้มองสะดุดขาชุนก่อนจะถึงเป้าหมาย ชางเบี่ยงตัวหลบเหมือนรู้ใจ ด้วยแรงที่หมายจะผลักชางให้ตกสระกลับกลายเป็นว่าตนเองพลาดกระแทกสระน้ำตกลงไปทั้งตัว
เสียงตู้มใหญ่มาพร้อมกับน้ำที่กระเซ็นออกมาทุกทิศทุกทาง คล้ายสปริงเกอร์ทำงาน รองเท้าหนังขัดมันเงาโผล่พ้นเหนือสระน้ำพุขนาดกลางประดับตกแต่งในสวนหย่อมข้างบ้าน ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาหวานปานน้ำผึ้ง พยายามต่อสู้กับน้ำพุเพื่อทรงตัวขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ชุดสูทสีน้ำเงินเข้มราคาแพง บัดนี้เปียกจนหาความดูดีไม่ได้ ทรงผมที่เซตมาอย่างหนุ่มเกาหลี ทว่าน้ำได้ชโลมไปทั่วจนไม่เหลือความหล่อเหลาให้เห็น เควิน พยายามยืนเกาะขอบสระน้ำพุ แต่รองเท้าหนังของเขาลื่นเกินจะทรงตัวได้
“กัญ คุณกัญ ฟังผมก่อน” เควินตะโกนเสียงดัง พอๆ กับเสียงน้ำพุ แต่คนที่ถูกเรียกกลับไม่ได้ยินพร้อมกับหันหลังเดินเข้าบ้าน เควินโมโหไม่พอใจ เหวี่ยงหมัดลงบนน้ำพุงหลายครั้ง ทว่ายิ่งทำให้เขาลื่นล้ม ตีลังกาไม่เป็นท่า
“ต้องให้ช่วยไหม” รอยยิ้มใจดีของชายหนุ่ม สูงขาว หน้าตาดี สวมใส่ชุดวอร์มสบายๆ อยู่ที่บ้าน ส่งเสียงตะโกนเพื่อให้คนในน้ำได้ยิน แต่รอยยิ้มใจดีของ ณัฐ หรือ ณัฐนันท์ กลับกลายเป็นรอยยิ้มสะใจปนหัวเราะอยู่ไม่ห่าง เขาเดินดูสภาพเควินอยู่รอบๆ มองดูคนตัวสูงอย่างชาติตะวันตกที่พยายามเอาชนะน้ำพุที่เด็กยังไม่จม ณัฐยื่นมือเข้าไปเพื่อให้เควินจับ เควินมองเคืองแต่สภาพเขาตอนนี้ต้องการที่ยึดเกาะมากกว่าอะไรทั้งหมด เควินยื่นมือเพื่อจับณัฐ ทว่าณัฐชักมือกลับ เควินไม่ทันตั้งตัวล้มหน้าคว่ำลงน้ำพุไม่เป็นท่า เสียงหัวเราะของณัฐดังลั่น
“โชคดีนะเพื่อน” ณัฐเดินกลับโดยไม่สนใจเควินที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในสระน้ำพุ เควินมองตามอย่างไม่ค่อยพอใจกับเพื่อนเท่าไร ทั้ง 2 คนสนิทกันเพราะเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันที่อังกฤษ พอณัฐกลับมาทำงานที่ไทย เควินก็กลับเยี่ยมบ้านที่นี่เช่นกัน จนวันหนึ่งเควินได้พบกับลูกพี่ลูกน้องของณัฐ เควินตกหลุมรักทันที ทว่าเควินเป็นคนเจ้าชู้ เขาเติบโตมากับคำว่า sex แตกต่างกับ relationship เขาสามารถมีสัมพันธ์กับหญิงสาวเพียงแค่ข้ามคืน แต่คนที่เขาต้องการมี relationship ด้วยคือหญิงสาวที่เขากำลังตะโกนเรียกชื่อ
รั้วไม้อัตโนมัติถูกเลื่อนออกเพื่อให้รถหรูสีน้ำเงินพุ่งทะยานขับออกไป บ้านสไตล์โมเดิร์น 2 ชั้น ดีไซน์ออกแบบล้วนเป็นกระจกและไม้เป็นส่วนใหญ่ กำแพงรอบบ้านเป็นสีเทาเข้มหรูหราด้วยสไตล์ปูนเปลือยขัดมัน มีช่องแสงและโคมไฟส่องขึ้นจากพื้นเป็นระยะเพื่อให้บ้านดูไม่มืดจนเกินไปตัดกับหินประดับสีขาวโดยรอบ ร่องรอยน้ำจากเควินเปียกเป็นทางจากสวนน้ำพุด้านขวา มีต้นมั่งมีต้นสูงใหญ่คอยเป็นร่มเงาให้กับเก้าอี้ในสวน และคนในบ้าน อีกทั้งต้นไม้น้อยใหญ่ประดับตกแต่งให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ประตูเข้าบ้านเป็นประตูไม้แกะสลักเรียบๆ มีที่จับประตูสีทองเป็นหัวสิงห์อยู่กลางบาน คล้ายนำมาตกแต่งมากกว่าใช้งาน แชนเดอเลียร์ระย้าอยู่กลางบ้านห้อยไล่ระดับลงมาจากชั้น 2 เข้ากันกับบันไดวนขึ้นบ้านด้านซ้าย พร้อมช่องหน้าต่างทรงสูงที่สามารถมองเห็นนอกบ้านได้ชัดเจน
กัญญ์กุลณัชเดินเชิดหน้าก้าวเข้าบ้าน เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลไกรอัครา ตระกูลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการซื้อขายและสะสมของโบราณหายาก หญิงสาวผิวสองสีดวงตากลมโตดูสดใส ภายในแววตาของเธอแฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ช่างสังเกต ได้เชื้อสายมาจากพ่อโดยตรง บุคลิกทะมัดทะแมงเป็นสาวทำงานที่ไม่ค่อยชอบออกงานสังคมเท่าไรนัก แต่ถ้ามีผลประโยชน์หรือมีสิ่งดึงดูดใจแม้จะเพียงเล็กน้อยเธอก็ไม่หวั่น บัดนี้ความสดใสนั้นกลับกลายมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนรอบๆ ดวงตาและแก้มชมพูระเรื่อ มือเรียวสวยยกขึ้นปาดน้ำตา สมเพชตัวเองที่อ่อนแอ เธอทรุดลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า มือหนาๆ คว้าตัวเธอไว้ ใบหน้าเธอปะทะอ้อมกอดอันอบอุ่นคุ้นเคย
“พ่อกับแม่อยู่กับหนูเสมอนะคะ” เพียงแค่คำพูดนี้ของ กฤตชย์ ผู้เป็นพ่อ ที่คอยเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจ กฤตชย์ไม่เคยห้ามลูกเรื่องจะรักใครชอบใคร ทว่าการดูแลอยู่ห่างๆ ของเขา คือ ความไว้วางใจ และให้เกียรติลูกสาวให้ได้เลือกและตัดสินใจเอง ไม่ว่าดีร้าย ทำให้กัญยิ้มและมีแรงขึ้นมาทันตา
“ลูกแม่สวย เก่งจะตายไป อย่าไปเป็นตัวสำรองให้ใครเขาค่ะลูกสาว”
“จริงค่ะคุณแม่” กัญคลายอ้อมกอดผู้เป็นพ่อ หันไปมองแม่ที่เดินถือนมชมพูของโปรดมาให้ เธอหัวเราะกับคำพูดนั้น ภัทรา คุณแม่ยังสาวที่มีหัวใจวัยรุ่นตลอดเวลา ตั้งแต่เล็กแม่ของกัญจะชวนกัญไปดูคอนเสิร์ตศิลปินที่แม่ชื่นชอบ พอกัญโตขึ้นมากัญก็กลายเป็นชวนแม่ไปดูคอนเสิร์ตที่เธอชอบแทน เคยมีครั้งหนึ่งที่แม่ของเธอถูกทักว่าเป็นน้องสาว ทำเอากัญกลับมาส่องกระจกดูตัวเองเป็นวันๆ ภัทราเป็นคนใจดี ไม่ต่างกับกฤตชย์ เชื่อใจคนง่าย ทำดีมาก็ดีตอบ แต่ทว่าถ้ามีสักเรื่องหนึ่งที่ทำให้ไม่ไว้ใจ ทั้ง 2 จะไม่ใส่ใจคนคนนั้นอีกเลย
“หนูรักพ่อกับแม่ที่สุดในโลก” กัญทำตัวเหมือนเด็กๆ โผเข้ากอดทั้งสองคน เสียงหัวเราะ รอยยิ้มเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้เป็นประจำ นงค์แม่นมคนสนิทผู้เป็นทุกอย่างของทุกคนนั่งยิ้ม เอ็นดูครอบครัวและคุณหนูน้อยของเธอ
“รักพี่ชายคนนี้ด้วยสิ หรือว่าจะเกลียดพี่ไปซะแล้ว” ณัฐเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในบ้าน หลังจากไปแก้เผ็ดเพื่อนสนิทตัวเองมา ภัทราหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลากแขนหลานชายตัวแสบเข้ามากอดกันกลม 4 คน
“นี่พี่ณัฐเป็นลูกบ้านนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่เรายังไม่เกิดน่ะ” ตอนเด็กๆ กัญชอบอิจฉาพี่ชายเวลาที่พ่อแม่ของเธอรักและเอ็นดูเขามากกว่าเธอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอกลับรักณัฐเหมือนพี่ชายแท้ๆ เลยทีเดียว ไม่ว่าพี่ชายจะมีแฟนคนไหน กัญจะต้องเป็นคนไปสแกนกรรมผู้หญิงคนนั้นเป็นคนแรก ต่างกับณัฐเพราะเวลาเขาเตือนน้องสาวทีไร กลับกลายเป็นพ่อที่คอยนั่งบ่นทุกที
“โห พี่ณัฐ ปีนี้ 27 แล้วนะ มากอดอะไรพ่อกับแม่กัญเหมือนเด็กๆ”
“แหม เราล่ะ 25 แล้วไม่ใช่หรือไง มางอแงอะไร” สองพี่น้องต่างพ่อต่างแม่ ชอบเย้าแหย่กันเป็นประจำ
“เห้อ แบบนี้พ่อจะมีลูกเขยกับเขาไหมเนี่ย” กฤตชย์จับหัวลูกสาวตัวเองโยนไปมาอย่างเอ็นดู
“สงสัยเนื้อคู่น่าจะยังไม่เกิดค่ะคุณพ่อ”
“หรือจะหนีกลับชาติไปเกิดใหม่” ณัฐแซวน้องสาว ภัทราหัวเราะขำกับสองหนุ่มต่างวัยที่กำลังแกล้งลูกสาวตนเอง เธอดึงกัญเข้ามากอด กัญแลบลิ้นเย้ยหยันไปๆ มาๆ กับพี่ชายของเธอ
“หรือจะอยู่คนละภพ ภพนี้ กับภพหน้า” ภัทราแซวตอบ
“สงสัยจะภพนู้น” กฤตชย์สมทบลากเสียงยาว กัญญ์กุลณัชหน้าบูดแก้มป่อง กอดอกเหมือนเด็กน้อยที่มีแต่คนรุมหยอกล้อเธอ เสียงหัวเราะสนุกสนานดังอยู่ภายในบ้าน แม้แต่นงค์ก็ยังแอบขำไปด้วย
“เป็นกันทั้งบ้าน แม้แต่ป้านงค์ก็เอากับเขาด้วย กัญไม่คุยด้วยละ” กัญญ์กุลณัชลุกขึ้นยืนพร้อมกับดื่มนมชมพูหมดแล้ว หันมาหอมแก้มภัทราฟอดใหญ่ก่อนจะเดินหนีขึ้นห้อง ภาพของชายหนุ่มแปลกหน้าในฝันยังติดอยู่ในหัว และจู่ๆ ก็กลับมีอิทธิพลทำให้เธอตัดสินใจบอกเลิกเควิน
บันไดโค้งรับเข้ากับมุมบ้าน ราวบันไดเป็นลายไม้ฉลุลวดลายสวยงาม เข้ากับพื้นลามิเนตลายไม้น้ำตาลเข้ม ผนังบ้านระหว่างทางเดินประดับด้วยรูปภาพโบราณต่างๆ ที่เจ้าของบ้านประมูลมาได้ และหลายชิ้นเป็นของสะสมส่วนตัว รวมทั้งแจกัน โถ เซรามิกลายนกยูง มังกร ปลา มากมายหลายชิ้น ถูกจัดใส่ตู้กระจกวางประดับตกแต่งอยู่รอบๆ ตัวบ้าน กัญเดินขึ้นไปถึงที่พักบันได ทว่าต้องชะงัก
“พรุ่งนี้มีงานประมูลใหญ่ พ่อคิดว่าจะให้หนูเลือกสักชิ้นเห็นว่าชอบงานจีนโบราณอยู่ใช่ไหมนะ” กฤตชย์ตะโกนไล่หลังลูกสาวที่กำลังงอนแก้มป่องเดินขึ้นบ้าน
“คุณพ่อเตรียมตัวเสียเงินได้เลยค่ะ” กัญญ์กุลณัชวิ่งเป็นเด็กลงมาจากบันได หอมแก้มพ่อฟอดใหญ่ 2 ข้างก่อนจะเดินสบายใจ ฮัมเพลงขึ้นบ้านไป
แสงไฟแชนเดอเลียร์กะพริบถี่คล้ายเหมือนไฟจะตก เสียงลมปะทะหน้าต่างเสียงดัง ต้นไม้ใหญ่เอนตามกระแสลมแรง ท้องฟ้ามีแสงไฟเกิดขึ้นตามด้วยเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ เม็ดฝนเริ่มเล็ดลอดออกมาจากเมฆสีดำทมิฬก้อนใหญ่ทอสีท้องฟ้าเป็นสีดำต่างจากแสงแดดเมื่อเช้านี้อย่างกับพลิกฝ่ามือ เมฆฝนก่อตัวปกคลุมไปทั่วบริเวณ เสียงโคมเต็งลั้งกระทบกันด้วยแรงลมในยามอารมณ์ขุ่นมัวไม่ต่างกับสภาพอากาศในตอนนี้ หลี่จิ้ง ซูลี่ วิ่งออกมาดูเสียงเหมือนคนตกน้ำดังโครมใหญ่ ไม่ต่างกับเฉิงและจ้านลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ที่เฉลียง
“เกิดอะไรขึ้น” เฉิงตะโกนเสียงเข้ม จนบ้านด้านหลังอย่างจางหย่งกับถิงถิงรีบวิ่งออกมา
สภาพเหลียงเปียกปอนอยู่ในสระน้ำกลางเรือน ปลาน้อยใหญ่ตกใจแตกตื่นพากันสะบัดหางจนน้ำกระจายไปทั่ว เนื้อตัวเหลียงเหม็นคาวปลาแถมมีสาหร่าย ตะไคร่น้ำเกาะตามเนื้อตัวไปถึงบนหัว ชาง ชุน ยืนนิ่งอยู่ข้างสระ กลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ จ้านมองสภาพลูกชายอย่างเอือมระอา พลันมองด้วยสายตาอาฆาตไปหาหลี่จิ้ง เธอรู้ได้ทันทีว่าสามีเริ่มเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่รีบเข้าไปช่วยลูกชายพยุงขึ้นจากน้ำ
“ป๊า เรื่องนี้ป๊าต้องจัดการไอ้ชางให้อั๊วด้วย” นิสัยเด็กขี้ฟ้องเอาแต่ใจของเหลียงติดตัวมาตั้งแต่เล็กยันโต จ้านไม่ตอบโต้อะไร ยกมือไหว้พี่ใหญ่กับซ้อก่อนจะลากแขนลูกชายตัวดีออกจากเรือนตระกูลฟู่ไป เมื่อทั้ง 3 คนออกพ้นเรือน ชางกับชุนหัวเราะกันอย่างอดไม่อยู่ จางหย่งเห็นเหตุการณ์ต่างส่ายหน้ากับพฤติกรรมของเด็กทั้ง 3 คน ทว่าเขากลับอมยิ้มหัวเราะไปด้วย ผิดกับเฉิงที่คิ้วขมวดจนแทบจะติดกัน กระแอมเสียงดัง จนลูกๆ เงียบ