หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ

หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

 

ปรัตยุตบัน อาศวิน (1) มหาศักราช 923 (2)

ก่อนสติสัมปชัญญะจะแจ่มชัด ม่านตาของมันจับทัศนียภาพผืนฟ้าฝั่งทิศตะวันออกผ่านทวารโคปุระเบื้องหน้าได้อย่างเลือนราง แม้กล่าวได้ว่าทัศนียภาพ ทิวทัศน์ที่เห็นกลับคับแคบยิ่ง ประหนึ่งร่างกายของมันกำลังนอนแบ็บอยู่ก้นโลงใต้ผืนดิน แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องนภาซึ่งถูกตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า นอกเหนือจากสันเขาทะมึนทอดยาวในแนวขวางแล้ว สรรพสิ่งที่เหลือล้วนล้อมกรอบด้วยอนธการ

เมื่อแรกมันยังไม่เข้าใจว่าลักษณะภูมิประเทศตรงหน้านั้นหมายถึงสิ่งใด และไม่อาจเดาได้ว่าสถานที่ที่อยู่ในขณะนี้คือแห่งหนไหน

มันรู้สึกคล้ายเพิ่งตื่นจากนิทรารมณ์ เส้นแบ่งระหว่างความฝันกับความเป็นจริงคลุมเครือและเคลือบคลุม

มวลอากาศเย็นชื่นผิวทำให้มันรู้ว่าน่าจะเป็นเวลาก่อนรุ่งสาง บางคราวได้ยินเสียงร้องของนกแสกอยู่ไม่ไกล เสียงนั้นช่างมีพลังคุกคามอย่างประหลาด นกชนิดนี้ไม่เคยแสดงตัว ไม่กระพือปีก มีเพียงเสียงร้องเท่านั้นที่สะท้อนก้องตามผนังศิลาแลงแห่งนี้

เสียงร้องของนกแสกเลือนหาย แทนที่ด้วยกลิ่นอายของดอกซ้อนเหลืองนวลที่กระตุ้นประสาทรับกลิ่นบางเบา

มันค่อยๆ นึกออกแล้วว่าขณะนี้ตนเองอยู่ที่ใด

มันพยายามเชิดคางขึ้นสูง ทว่าศีรษะคล้ายถูกตรึงไว้กับอะไรบางอย่าง ทำได้เพียงกลอกตาไปมาเท่านั้น

ทันทีที่มันชำเลืองไปทางขวา เห็นลวดลายปรากฏบนเสาติดผนังปรางค์ประธานประกอบด้วยรูปแบบหน้ากระดานสลักลายประจำยามขนาบด้วยลูกประคำ พื้นที่ส่วนบนมีการสลักลายบัวคว่ำอันต่อเนื่องมาจากลวดลายประดับฐานอย่างสิงห์คายพรรณพฤกษา

มันกลอกตาลงเบื้องล่างโดยไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกาย สายตาไปหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของตน และแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

ด้วยแขนซ้ายและขาซ้ายของมันถูกจัดวางให้พาดขวางไปทางด้านขวา มือซ้ายถูกตรึงให้อยู่ในท่าพาดขวางระดับอก หงายฝ่ามือหักข้อคล้ายงวงช้าง ชี้ปลายนิ้วลงสู่เท้าซ้ายข้างที่ยกพาดเหนือเข่าขวา ดุจอยู่ในท่วงท่าหลุดพ้นจากสังสารวัฏ รับกับมือขวาที่แบและยกข้อมือขึ้นจดข้อมือซ้าย คล้ายอยู่ในท่าปางอภัยของมหาเทวะ

มันรู้สึกว่าฝ่าเท้าข้างขวาเหมือนกำลังเหยียบยืนอยู่บนแท่นรูปดอกบัว เมื่อหลุบตาเพ่งให้ดีก็พบว่าสิ่งที่ถูกฝ่าเท้าของมันกดอยู่คือรูปปั้นอสูรแคระอปัสมารปุรุษะ ซึ่งวางอยู่บนแท่นดอกบัวอีกชั้นหนึ่ง

“เมื่ออปัสมารปุรุษะ ตัวแทนแห่งอวิชชาโง่เขลาถูกเหยียบย่ำ มิให้โผล่ขึ้นมาบดบังความจริง วิชชา ความรู้แจ้งย่อมปรากฏ…”

มันพึมพำก่อนเหลือบตามองวงกบที่ตรึงร่างของมันเอาไว้ทันที

วงกบโลหะที่วางกรอบล้อมร่างของมันอยู่มีรูปทรงคล้ายพนมเทียน เปลวไฟซึ่งติดอยู่ปลายเทียน ส่ายสะบัดรูปกรวยพุ่งขึ้นไปเบื้องบน ตรงกลางป่องอวบอูมอันเป็นที่มาของคำว่าพนม

“ขอบเขตแห่งการร่ายรำ เบื้องนอกคือเปลวไฟ ด้านในเป็นมหาสมุทร สรรพสิ่งเกิดดับด้วยกูณฑ์ไฟประลัยกัลป์”

มันหมายถึงประภามณฑล คำเรียกวงโค้งสำริดรูปทรงเกือกม้า

นฤตตมูรติ!

ชั่วพริบตาที่ไพล่นึกไปถึง ‘ศิวนาฏราช’ มันก็พานคิดไปถึงนรกและภัยพิบัติล้างโลก ก่อนเกิดผัสสะเสมือนว่ารูขุมขนกำลังหดตัวทั่วสรรพางค์

มันนึกไม่ออกว่าทำไมตนเองจึงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้

ความทรงจำขาดตอนไม่ปะติดปะต่อประหนึ่งกระเบื้องเคลือบถูกขว้างแตกเป็นเสี่ยง แม้พยายามนึกเท่าไร แต่ละชิ้นส่วนไม่ยอมประกอบกันเป็นรูปร่างลวดลายที่มีความหมาย

มันงุนงงว่าสิ่งใดคือเหตุ เรื่องราวใดคือผล

ทำไมตัวมันถึงมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้

ยามนี้มันแน่ใจว่าความทรงจำได้สูญหายไปบางส่วน ทว่าไม่อาจคาดเดาได้ว่าส่วนซึ่งว่างเปล่านั้นมีมากน้อยเพียงไร

ขณะพยายามรำลึกถึงความทรงจำในอดีต มันกลับรับรู้ได้ว่าสติสัมปชัญญะติดขัด ขาดความลื่นไหล คล้ายเพิ่งตื่นจากภวังค์สลับไปมากับความรู้สึกคล้ายจะหมดสติ

ไร้ประโยชน์สิ้นดี

ผืนฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นโดยไม่รู้ตัว เฉดสีที่เคยมีแต่ความมืดกลับกลายเป็นครามเข้ม เส้นแสงเจือจางซึ่งแบ่งระหว่างความตายกับความเป็นเรืองเรื่ออยู่ไกลลิบ

“ต้องหาวิธีหนีออกไปจากที่นี่” มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แตกระแหง

หากหนีออกไปไม่ได้ จิตจะถูกความตายที่กำลังคืบเคลื่อนเข้ามาเข้ามาเชื่องช้ากัดกินทีละน้อย

มันเงี่ยหูฟัง กลอกตาสังเกตบรรยากาศโดยรอบ จู่ๆ บุรุษอกสามศอกอย่างมันก็หวาดกลัวขึ้นมาที่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยว

“ผู้ใดก็ได้ช่วยเดินผ่านเทวาลัยแห่งนี้ทีเถิด”

สิ่งที่พึ่งพาได้ในตอนนี้มีเพียงสองตาและสองหู มันนิ่งรอให้มีเสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาใกล้ พลางหงุดหงิดตนเองที่ทำอะไรไม่ได้แม้สักอย่าง

“ช่วยด้วย…”

มันลองส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ น้ำเสียงนั้นช่างแหบแห้งแทบไม่หลุดจากลำคอ และถูกกลืนหายไปกับมวลอากาศเย็นเยียบทันที ไม่มีทีท่าว่าจะไปถึงหูใคร มันจึงพยายามออกแรงเฮือกสุดท้ายให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการของเส้นเชือกที่ตรึงร่างของมันเอาไว้ในท่าศิวนาฏราช ซึ่งดูแล้วด้ายฟั่นเส้นยาวก็คล้ายลำตัวอสรพิษเสียเหลือเกิน

เมื่อแสงสูรยะโผล่พ้นทิวเขา สาดทะลุม่านน้ำโปร่งบางที่เคลือบนัยน์ตาของมัน เมื่อนั้นมันจึงเข้าใจโดยดุษณีที่ลมหายใจของมันกำลังจะถูกถ่ายโอน

มันสะอื้นผะแผ่ว ไร้สำเนียงเปล่งออกมาเป็นคำพูด

กลิ่นอายของผืนน้ำในบารายคล้ายจะอบอวลเข้มข้นยิ่งขึ้น

พราหมณาจารย์เคยบอกว่า ตราบใดที่ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามจังหวะของธรรมชาติ มนุษย์จะอุบัติยามน้ำขึ้น และละโลกเมื่อน้ำลง

อาการเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นด้านชา พร้อมกับแว่วเสียงกังสดาลบอกเวลามาแต่ไกล

ชั่วพริบตาที่แสงอาทิตย์ลอดผ่านทวารทั้งสิบห้าของเทวาลัยเป็นเส้นตรงกระทบร่างของมันในท่วงท่าตาณฑวะ ซึ่งในหนึ่งปีปรากฏการณ์เช่นนี้มีเพียงสี่ครั้งเท่านั้น ด้ายฟั่นเหนียวหนาที่พันธนาการตัวของมันไว้กับวงกบโลหะก็ส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะพร้อมเปลวอัคนีลุกพึ่บ

มันยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไป

ความตายคืบคลานมารออยู่เบื้องหน้าแล้ว

 

เชิงอรรถ :

(1) เดือนกันยายน เป็นคำเรียกตามสัญลักษณ์ของจักรราศีที่อิงการโคจรของดวงอาทิตย์ โดยเริ่มนับเดือนแรกของปีคือ ไจตระ (มีนาคม) และสิ้นสุดที่ ผาลคุนะ (กุมภาพันธ์)

(2) พุทธศักราช 1544 อนึ่งมหาศักราชนั้นใช้ตามปีครองราชย์ของพระเจ้ากนิษกะ กษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรกุษาณะ ศากยะวงศ์องค์หนึ่ง เมื่อมหาศักราชแพร่เข้ามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้จารึกโบราณส่วนใหญ่ใช้มหาศักราชในการจดจาร



Don`t copy text!