หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
ยามนี้ศศินยืนอยู่หน้าเรือนยายสา มันสวมกุบสานทรงกรวยป้านคล้ายกุบญวนหรือกุบเวียด โครงกุบทำจากไผ่สีสุกสอดสานเป็นลายเฉลว อันเป็นเครื่องหมายของยันต์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชาวสรุกเชื่อกันว่าใช้ป้องกันคาถาอาคมได้ชะงัดนัก
ถัดจากเรือนยายสาออกไปไม่ไกลคือกระท่อมไผ่ของเฒ่าสุขผู้เชี่ยวชาญด้านการปั้นและเผาดิน บัดนี้เฒ่าสุขกำลังนั่งเหม่อมองยอดเขาวนํรุงด้วยสายตาเลื่อนลอย ริมฝีปากขยับงึมงำเลื่อนเปื้อนจับใจความไม่ได้
“หอมเย็นชื่นใจ…”
นั่นคงเป็นผลพวงจากการสัมผัสผลึกเศษะ เกล็ดพิษที่ออกฤทธิ์ทำให้ชีพจรเต้นผิดจังหวะ กระทั่งเวลานี้ปลายนิ้วของตาเฒ่ายังคงปรากฏรอยไหม้ตรงบริเวณที่เผลอไปสัมผัสมันเข้า ยังดีที่มันไม่ถึงกับอัมพฤกษ์อัมพาต เพียงส่งผลให้สติฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
“ตาได้กลิ่นหอมจากสิ่งใดฤๅ” ศศินหลุบปีกกุบลงต่ำ ย่ำเข้าไปหาเฒ่าสุข
“เกล็ดงู จับแล้วเย็น กลิ่นหอมฉุนยิ่งกว่าการบูร”
ชายชราทอดสายตาไปยังรางกู้แร่ที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อย เห็นเป็นเงาตะคุ่มทอดตัวยาวเฟื้อยดุจอสรพิษ
ศศินผินหน้ามองต้นการบูรสูงใหญ่หลายต้นของยายสาทันที ไพล่นึกถึงบานเมือง สตรีผู้เป็นที่รักของมารดา ด้วยนางมักใช้เครื่องหอมอย่างบุหงารำไปที่ใช้คุณสมบัติหอมระเหยของการบูรเป็นตัวชูกลิ่น ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ชายหนุ่มต้องเดินทางมาหายายสา หญิงชราผู้สันทัดในการกลั่นการบูร ยิ่งกว่านั้นผลึกสีขาวของยายเฒ่านี้ยังเป็นที่นิยมของร้านขายเครื่องประทินโฉมและยาบำรุง เพราะคุณภาพดี มีชื่อเสียงมากในหมู่คหบดีผู้มีอันจะกินชาวศกุนตะ
ยาขาวแลน้ำมันมหาปะไลยกัลป์ ใช้ทาแก้เส้นอัณฑพฤกษ์ที่ทำให้ตายด้าน ช่วยให้นกเขาขันไพเราะเหมือนเก่าก่อน
ศศินเม้มปากเหยียดเป็นเส้นตรงให้กับข้อความของตำราพระโอสถและความดัดจริตของเจ้าศักดินาผู้หมกมุ่นแต่เรื่องใต้สะดือ มีพฤติกรรมทางเพศหวือหวายิ่งกว่าเผ่ารุ้งพรายซึ่งถูกพวกมันตราหน้าว่าสำส่อนอยู่มากนัก
เฒ่าสุขชำเลืองมองชายหนุ่ม แม้สติสตังไม่สมประกอบ แต่มันเห็นความเครียดของศศินชัดเจน รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีภารกิจเดิมพันสูงบางอย่างกำลังเกิดขึ้น
“ธุระปะปังกับยายสาหนักหนาสาหัสถึงเพียงนั้น?” เฒ่าสุขถามเช่นนั้นเพราะเมื่อครู่เห็นชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่หน้าเรือนนานสองนาน
“เป็นธุระที่เดิมพันสูงอย่างนึกไม่ถึงเทียว และข้าต้องไม่ทำให้ทุกสิ่งต้องผิดพลาด” ศศินเปลี่ยนมาใช้สำเนียงของศกุนตะ
ชายหนุ่มวางแผนการละเล่นนี้อย่างรอบคอบ อย่างน้อยการเข้าควบคุมด้วยตนเองย่อมรับรองได้ในระดับหนึ่งว่าสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่จะไม่ป่นปี้ยับเยินกลายกลับเป็นความยุ่งเหยิง
ศศินสำเหนียกอยู่เสมอว่ามันกำลังดุ่มเดินอยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นชินเสียแล้ว
“ยายเฒ่าเห็นว่าเผ่ารุ้งพรายเป็นคนเช่นไร” ศศินหันไปเอ่ยกับยายสา
ฝีเท้าหญิงชราเงียบกริบยิ่งกว่าแมวโพง ชายหนุ่มกลับสังเกตเห็นหญิงชราย่ำฝีเท้าเข้ามาหยุดยืนหลังต้นคูนข้างกระท่อมเฒ่าสุข
“คำถามของเอ็งเกี่ยวข้องกับเกล็ดงูฤๅไม่” ยายสาย้อนถาม
ในดวงตาของศศินเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา กระทั่งยายเฒ่าผู้ผ่านโลกมามากยังอดเหน็บหนาวแถวขั้วหัวใจไม่ได้ เพราะประกายตานี้ยายกกคุ้นเคยยิ่งนัก มันคือประกายตาของนาคีที่มากด้วยพิษร้ายแห่งทิวเขาไม้คาน
ในที่สุดศศินก็พยักหน้า ยายสาจึงเอ่ยต่อ
“ครั้งหนึ่งไอ้สิคาลหลานข้ามันเคยลอบเอาออกมาให้ข้าดู สมัยที่มันยังรั้งตำแหน่งโขลญคลาง ดูแลขนอนคลังหลวง กระทั่งนายจำกอบที่ชื่อไอ้ประโคนกล่าวหาว่ามันลอบผิดประเวณีกับอีบัวถันเมียมัน…”
ยายเฒ่าเว้นจังหวะ ก่อนแค่นเสียงหวัวร่อคิกคัก
“ไอ้สิคาลลูกข้ามันจักเป็นชู้กับเมียชาวบ้านได้อย่างไร ด้วยตัวมันมิพึงใจขย่มสตรี”
ศศินไม่ใส่ใจรสนิยมทางเพศของผู้อื่น ตัดสินใจถามเข้าประเด็น “ยามนั้นตาสุขเผลอสัมผัสผลึกเศษะเข้า?”
“อือ”
“ข้ายังมิได้คำตอบเกี่ยวกับเผ่ารุ้งพราย” ศศินรั้น
“ชาวสรุกหลายคนอาจมองว่าเผ่ารุ้งพรายเป็นพวกเพี้ยน พิลึก วิปริตนอกรีตนอกรอย แลเป็นสัตว์ประหลาด แต่สำหรับข้าหาได้มองเช่นนั้นไม่ ภาวะที่คนผู้หนึ่งตกหลุมรักคนอีกผู้หนึ่งโดยมิสนใจเปลือกนอก ย่อมมิใช่ความเสื่อมถอยของเผ่าพันธุ์มนุษย์…มิใช่เลย”
ยายสาบุ้ยปากให้ศศินลงจากกระท่อม ปล่อยให้ตาเฒ่าได้พักผ่อน ขณะศศินเดินตามหลังยายเฒ่าไปยังยกพื้นหลังเรือน นางจึงเอ่ยต่อ
“และการที่เผ่าพันธุ์มนุษย์มีวิวัฒน์ทางร่างกาย อย่างพวกเอ็งที่มีสีตาเป็นประกายอย่างรุ้งพรายเหลือบเพชร นั่นก็เป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติ ใช่ว่าใครไปปรุงแต่งพวกเอ็งเสียเมื่อไหร่ อีกอย่างคนเราก็มิควรตีตราการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่ว่าเป็นความเลวทรามเสมอไป”
ศศินรู้สึกเหมือนมีท่อนซุงกระแทกลิ้นปี่ เพราะความอบอุ่นอัดแน่นจนจุกเสียดในช่องอก
“หากเด็กทุกคนบนโลกใบนี้มีพ่อแม่อย่างยายเฒ่า คงมิต้องมีผู้ใดถูกผลักไสออกจากสรุกแลครอบครัว”
“ศกุนตะก็เป็นเช่นนี้ พวกมันเชื่อว่าองคชาตเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตอันกล้าแกร่ง ลูบไล้บูชาจะได้พรจากคคเนศวร ครุฑเจ้าแห่งฟ้า ลงมาประทับกายาผู้กล้าหาญ” ยายสาหวัวร่อเสียงต่ำในลำคอ ขณะทรุดกายนั่งลงบนเบาะผ้าฝ้ายยัดนุ่นบริเวณกึ่งกลางยกพื้น “แล้วยามนี้สิคาลเป็นอย่างไร”
“สบายดี ติดต่อกับบานเมืองอยู่เนืองๆ” ศศินกวาดตามองทั่วบริเวณ ตัดสินใจโป้ปด แม้อีกไม่นานยายสาก็น่าจะรู้ชะตากรรมของบุตรชาย
“สิคาลนิยมวิถีชีวิตเฉกเช่นเผ่ารุ้งพราย ไม่แปลกที่เห็นเอ็งเป็นผู้ปลดแอก ถึงได้รีบแจ้นไปแจ้งข่าวเรื่องเกล็ดงูให้บานเมืองรู้” หญิงชราถอนใจ “แต่นึกไม่ถึงว่าหน่วยสาลิกาจะได้กลิ่นเร็วถึงเพียงนั้น เข้าริบเกล็ดงูหวังขนลงไปเก็บงำที่ยโศธรปุระ”
“แต่ข้าช่วงชิงคืนมาได้”
ยกพื้นหลังเรือนยายกกไม่สูงนัก เหนือศีรษะเป็นชายคามุงจากที่ต่อเติมออกไปกันแดดกันฝน บนตั้งเตี้ยทรงสี่เหลี่ยมกลางยกพื้นมีจานใส่ใบและยอดอ่อนการบูรวางอยู่เต็มพื้นที่ หม้อกลั่นทองแดงที่อยู่บนชั้นไม้จันทน์มองเผินๆ คล้ายผลน้ำเต้าขนาดกะทัดรัดเรียงรายอยู่หลายใบ แต่ละใบมีคอห่านอันเป็นคำเรียกท่อทองเหลืองที่เชื่อมระหว่างหม้อกลั่นกับภาชนะรองรับของเหลว
“ได้ข่าวว่าพวกโจรป่าถูกอารักษ์หน่วยสาลิกาสังหารไปจนหมด หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเอ็งจะทำเยี่ยงไร” ยายสาเปรย
ศศินหลุบตามองนิ้วมืออันเหี่ยวย่นของยายกก
หลังเอื้อมหยิบหม้อกลั่นลงจากชั้น สตรีสูงวัยก็แยกกระเปาะน้ำเต้าด้านล่างออกตั้งเตา เติมน้ำฝนผ่านตะแกรงคล้ายกระชอนคั้นกะทิที่ปิดอยู่บนปากกระเปาะ
“ที่ข้ามาในวันนี้ ยายเฒ่าคงรู้ดีว่าข้าต้องการสิ่งใด”
“สิ่งที่เอ็งต้องการประกอบด้วยเกล็ดแดง หรดาล ยางสน และการบูร เมื่อขว้างปะทะสายลมจักลุกไหม้ บังเกิดหมอกควันหนาทึบตามมา หากผสมเกล็ดงูเข้าไปด้วยละก็…”
ยายเฒ่ายกกระเปาะบนขึ้นปิดกระเปาะล่าง ก่อนหยิบยอดอ่อนต้นการบูรหั่นแว่นโรยลงบนตะแกรง ชะงักค้างอยู่ในท่านั้นเนิ่นนาน ประหนึ่งรูปปั้นพระวฏุกไภรวะ องค์ศิวะปางดุร้าย ที่ชำรุดทรุดโทรม ปกคลุมด้วยใยแมงมุมและผงฝุ่น ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบงันแถวขอบสรุกอันคึกคัก
“อีกมิกี่วันก็จะถึงคเณศจตุรถีแลเลิงพนม” ศศินยื่นถุงกระเพาะวัวบรรจุผลึกเศษะให้ยายกก มันเอ่ยถึงเทศกาลการบูชาก่อนการเพาะปลูกนาปรัง
จู่ๆ เกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่นครั่นครืนสั่นสะเทือนเวิ้งฟ้าจนเกิดเสียงอึงอล
ยายเฒ่าแหงนหน้ามอง เห็นเมฆดำรวมตัวรวมตัวกันตรงขอบฟ้า ราวกับไอชั่วร้ายอัปรีย์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจปัดเป่า ทั่วท้องนภาเหนือศกุนตะมีเพียงกลิ่นอายอัปมงคลวนเวียน นกเขาใต้ชายคาตื่นตกใจจนกระพือปีกไม่หยุด
บัดนี้เหนือวนํรุงสูงใหญ่กลับหลายเป็นสีเขม่ามินหม้อดำทะมึน
“ทุกครั้งที่ผู้รอดชีวิตอย่างไร้ชีวิตเช่นข้าหลับตา ในความมืดมีเพียงหัวใจที่แตกสลาย ยายเฒ่าคงมองออกว่าแท้จริงแล้วข้าภาวนาให้บังเกิดแต่ศานติ ทั้งที่ในมือข้ากำลังกำผลึกมหาประลัยโยนใส่พวกมันก็ตาม!”
น้ำเสียงของศศินเต็มไปด้วยความอึมครึม
ยายสาพยักหน้าเชื่องช้า พลางเอื้อมมือไปรับกลักบรรจุผลึกเศษะจากมือของศศิน
เมื่อหญิงชราเปิดกลักตรวจสอบผลึกแร่เนียนละเอียดคล้ายการบูร จังหวะหนึ่งที่ลำแสงตกกระทบผลึกสีใส ก่อประกายสะท้อนเหลี่ยมมุมเกิดเป็นสีรุ้งพรายวาววาม
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ