หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 12 : พรานโจร

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 12 : พรานโจร

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

จุดทักษิณายัน ณ ตติยยาม (1) ช่างหนาวเหน็บ

ค่ำนี้เป็นวันก่อนปรากฏการณ์บูรณมี คืนจันทร์วันเพ็ญ ซึ่งเหล่าพราหมณาจารย์เรียกขานว่าศิวาราตรี รัชนีแห่งองค์ศิวะ พิธีนี้ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน หาใช่มหาศิวาราตรี พิธีเฉลิมฉลองซึ่งจัดขึ้นปีละครั้งในคืนแรม 13 หรือ 14 ค่ำ เดือนผาลคุนะ (2) ไม่

มันคือรัตติกาลแสนยาวนานที่สุดในรอบปีใต้ผืนฟ้าเหนือสรุกศกุนตะ เขตการปกครองขนาดย่อมอันมีนัยตรงตัวว่า ‘ดินแดนแห่งสกุณา’ ดุจเป็นภาพจำลองนครหนึ่งของกษัตริย์ทุษยันต์ผู้ทรงก่อตั้งราชวงศ์ปุรุซึ่งปรากฏในมหากาพย์มหาภารตะ มาบัดนี้ไร้ซึ่งเมฆหมอกคลี่บัง เผยให้เห็นเดือนแขกลมโตถูกแต้มแต่งด้วยสีหริณะ เฉดส้มอมแดงชาด ส่องสว่างจัดจ้าลงทาบทาเหล่ายอดอ่อนของประดาพฤกษาชาติดกครึ้ม ก่อภาพเงาตะคุ่มดำทะมึนสล้างสลับมืดสว่างคล้ายถูกสาดด้วยหยาดเลือด

เหล่าแมกไม้ซึ่งโอบล้อมตีนเขา ‘สถูลไศล’ อันหมายถึงภูผากว้างใหญ่ ต้องสายลมก่อเกิดระลอกคลื่นเขียวขจีพลิ้วไหวดุจผิวน้ำในบารายขนาดใหญ่เบื้องหน้า พวกมันกำลังส่งเสียงสวบสาบราวกับไม่ต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้ชายหนุ่ม

จริงอยู่ชาวศกุนตะนิยมเรียกขานภูเขาไฟที่มอดดับลูกนี้ด้วยคำสันสกฤตว่าสถูลไศล ทว่ายโศธรปุระ อาณาจักรใต้ นิยมเปล่งเสียงเรียกชื่อคีรี พื้นที่กัลปนาแด่พระกัมรเตงชคต เทพเจ้าหลักที่ชาวบ้านนับถือในปราสาทหินทรายบนยอดเขาแห่งนี้ด้วยสำเนียงพื้นถิ่นว่า ‘วนํรุง’

ชายหนุ่มแหงนหน้าหรี่ตาจ้องหริณจันทร์ ปรากฏการณ์จันทราสีโลหิต ด้วยความรู้สึกตึงเครียด ก่อนไล่สายตาตามลำแสงเรืองระเรื่อที่กำลังชำแรกแทรกสอดลอดผ่านคาคบจนมองเห็นบาทวิถี ซึ่งแล่นจากทิศตะวันออกไล่เรื่อยขึ้นสู่ยอดเขาด้านทิศตะวันตกอยู่รำไร

ชั่ววินาทีนั้นเองกระจกตาของเขาคล้ายฉาบด้วยสีรุ้งวูบวาบอยู่เลือนราง

แสงหริณจันทร์กระทบใบหน้าแบบชนเผ่าในป่าลึกหล่อเหลางดงามจนลมหายใจสะดุด

เหงื่อเม็ดละเอียดที่ฉาบอยู่บนผิวกายสีน้ำผึ้งของบุรุษร่างสูงกำลังเล่นล้อแสงนวลเปล่งประกายสีทอง คล้ายพรายน้ำเรืองเรื่อบริเวณริมหาดลาดเอียงของอาณาจักรใต้ นครแห่งพนม ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มชื้นแฉะถัดจากแนวเทือกเขาภนุมฎองแรกลงไปกระทั่งจดชายชลธี

หมู่ไม้รกชัฏยืนทะมื่นกระหนาบทั้งสองข้างบาทวิถีลดอุณหภูมิเนื้อหนังของชายหนุ่มลง กระทั่งรู้สึกเย็นเยือกกว่าสายลมหนาวที่พัดกระหน่ำ

มันตัดสินใจยอบร่างหลบเข้าไปข้างหลังพุ่มพงข้างกระไดศิลาต้นทาง หวังเร้นกายใต้เงามืด จากนั้นเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้า

และแล้วพรานโจรก็มาถึงดังคาด!

กลุ่มคนจากชุมนุมนี้มีสีผิวแทบกลืนไปกับม่านแห่งราตรี สมชื่อปาสคะเมา แปลตรงตามอักขระคือ พวกขบถดำ

แม้มันจะนุ่งผืนผ้าหน้าแคบยาวแบบสั้นพันรอบเอวทะมัดทะแมงแล้วก็ตาม กระนั้นชายหนุ่มอายุสิบแปดผู้นี้ก็อดถกชายผ้าโธตีขึ้นด้วยความเคยชินไม่ได้ ก่อนสืบเท้าเข้าไปยังช่องว่างอันมืดมิดข้างพลับพลา ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของยกพื้นรูปกากบาท พลางไล้ปลายนิ้วกดแผ่นกังสดาลขนาดจิ๋วที่แขวนอยู่ข้างถุงผ้าเยียรบับถักทอด้วยทองแล่งผสานเส้นไหมใต้ผ้าคาดรัดพัสตร์ต่างเข็มขัดแถวสะเอว เพื่อไม่ให้มันเผลอกระทบสายเศวาลหิรัญที่คล้องเฉวียงบ่าจนเกิดเสียง

เข่าขวาของชายหนุ่มแนบสนิทเข้ากับผนังศิลาแลงของพลับพลา ระแวดระวังไม่ให้ส่วนใดของร่างกายโผล่พ้นสู่ที่โล่ง สายตายังคงจับจ้องเงาตะคุ่มของปาสคะเมาผู้นั้นอยู่ไม่วาง

“อุบายของอัญจะยังใช้ได้ไหมหนอ”

ชายหนุ่มเปล่งเสียงต่ำ ทว่าเสียงนั้นถูกขยักเอาไว้ในลำคอ ไม่ยอมให้มันเล็ดลอดผ่านริมฝีปากบางที่กำลังขยับกระหมุบกระหมิบ

จังหวะนั้นเองปลายนิ้วของมันสัมผัสเข้ากับลายนาคนูนต่ำที่ล้อมกรอบแผ่นโลหะหล่อสำริดขนาดจิ๋วคล้ายระฆังวงเดือนทั้งซ้ายขวา ไอเย็นจากกังสดาลแผ่นเล็กแล่นปรูดผ่านเส้นประสาทตรงสู่ขั้วหัวใจ ราวต้องการกระตุ้นเตือนสัมปชัญญะไม่ให้ชายหนุ่มเผลอไผล

ภารกิจครานี้ช่างสาหัสสากรรจ์

โจรป่าผู้นี้เล่นตัวเหลือเกิน กว่าหน่วยสาลิกาจะสามารถเกลี้ยกล่อมกระทั่งอีกฝ่ายยินยอมพบปะกับตนตามลำพังได้ ต้องอาศัยเวลากว่าค่อนปีถึงตะล่อมหว่านล้อมสำเร็จ ทั้งที่ก่อนหน้านี้แคนดง หัวหน้าหน่วยสาลิกา พยายามโน้มน้าวผ่านสายลับนกต่อในอาศรมกูยหรือมุณฑ์ พวกข่าที่ชอบอยู่ตามป่าเขา อาศรมไพรสำลาง รวมถึงกลุ่มสุกรรมามาตลอด กลับไม่เคยมีคำตอบรับ กระทั่งวันก่อนมันเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอเจรจากับอินทรธนูโดยจำเพาะ

แน่นอนนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อรอง

เหรียญเงินศรีวัตสะไม่อาจซื้อความไว้วางใจได้มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจรจาครานี้

อินทรธนูกระชับสายถุงเยียรบับบรรจุเหรียญศรีวัตสะอยู่เต็มให้เข้าที่ ก่อนเลียบเลาะตามแนวทางดำเนินมุ่งหน้าขึ้นสู่ภูฝั่งทิศตะวันตก

เวลานี้มีดวงตาไม่กี่คู่ที่ยังลืมอยู่ นัยน์ตาทุกคู่เป็นของบรรดาพรหมณ์และปูชารี ผู้ทำหน้าที่ประกอบพิธี และขณะนี้พวกมันทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่ปราสาทหินเหนือยอดสถูลไศล

แม้ชายหนุ่มผ่านการตรวจสอบที่โคปุระ ซุ้มประตูอันเป็นด่านแรกของทางเข้าสู่เทวาลัยได้แล้วก็ตาม กระนั้นชั่วกษณะนี้มีอยู่หนทางเดียวคือเขาจำเป็นต้องอาศัยความเชื่อมั่นและศรัทธา ว่าวิธีอำพรางอาวุธติดตัวเล็กๆ น้อยๆ ของตนสามารถใช้ได้นานพอจะรอดพ้นอาการเฉลียวใจของเหล่าทวารบาลไปได้ตลอดรอดฝั่ง

“อคันฑะ มัณฑะลาการัม วยาปตัม เยนะ จราจรัม…”

มันได้ยินบทสวดคุรุวันทนา บทสุดท้ายในการสวดอารตี แว่วมากับสายลม พร้อมกลิ่นกำยานและอครพัตติ ก้านเครื่องหอมสำหรับจุดบูชา โชยมาแต่ไกล ซึ่งนอกจากเป็นการแสดงการสักการะบูชาแล้ว การจุดเครื่องหอมยังเป็นการจำลองโหมกูณฑ์หรือพิธีบูชาไฟอีกด้วย

นั่นเป็นสัญญาณบ่งว่าการพบปะกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจนับแต่นี้

และทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความสำเร็จของอินทรธนูแต่เพียงผู้เดียว!

อินทรธนูมาถึงโรงช้างเผือกอันเป็นจุดหมายแล้ว แน่นอนว่าในยามนี้ที่นี่ร้างไร้ผู้คน มิหนำซ้ำการรักษาความปลอดภัยยังน้อยมาก มันจึงเหมาะแก่การนัดพบอย่างที่สุด

แต่กระนั้นการเลือกสถานที่แห่งนี้ก็ออกจะน่าขัน ด้วยครั้งหนึ่งนานมาแล้วสารโฆรวิส…พิษร้ายปริศนาถูกฤๅษีผู้หนึ่งเค้นสกัดขึ้นที่นี่ ร่องรอยของสสารทั้งหลายยังคงฟุ้งกระจายออกจากปากภาชนะดินเผาขาวนวล ส่งกลิ่นเหม็นบูดบางเบาปะปนอยู่ในมวลอากาศ ฤๅษีผู้นั้นถูกจับไปคุมขังทันทีที่ความแตก ยังผลให้อาคารหลังนี้ถูกทิ้งร้าง และท้ายที่สุดก็กลายมาเป็นคลังเก็บของขนาดย่อมของปราสาทสถูลไศล

การเจรจาเกี่ยวกับสารตั้งต้นของโฆรวิสกำลังจะเกิดขึ้นภายใต้ชายคานี้อีกครั้ง!

ชายหนุ่มหรี่ตาเพ่งฝ่าความมืด ไม่ทันได้สังเกตว่าเสียงฝีเท้าที่เขาตามติดมาตั้งแต่เมื่อครู่ได้อันตรธานไปสิ้น

อินทรธนูตัดสินใจจดปลายเท้าก้าวเข้าไปภายในพื้นที่หลังกำแพงศิลาแลงซี่งล้อมรอบโรงช้างเผือกอยู่อีกชั้น ความเย็นของมีดคมและบางราวปีกผีเสื้อ ความยาวประมาณหนึ่งคืบที่เขาซุกไว้ใต้ผ้าพันข้อมือช่วยให้เด็กหนุ่มอุ่นใจ

มันเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียวของชายหนุ่มที่สามารถลักลอบนำติดตัวเข้ามาได้

อินทรธนูไม่กล้าเสี่ยงนำอาวุธชนิดอื่นผ่านทวารบาลผู้ตรวจตรารักษาความปลอดภัยตรงหน้าโคปุระใหญ่

มันเดินชิดติดกำแพงด้านขวา แสงสว่างเดียวมาจากรัศมีแขเหนือศีรษะ

ชายหนุ่มยกหลังมือขึ้นขยี้เปลือกตา สีรุ้งที่ฉาบอยู่บนกระจกตาวาบวับฉ่ำวาวขึ้นมาทันที ทว่ามันก็ยังไม่เห็นรังสีความร้อนที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจมองเห็นแผ่ออกมาจากสิ่งมีชีวิตเป้าหมายอยู่ดี ทั้งที่สิ่งมีชีวิตนั้นยิ่งมีอุณหภูมิของร่างกายสูงมากเท่าไร รังสีที่แผ่ออกมาก็ยิ่งเข้าใกล้เฉดเหลืองและขาวมากเท่านั้น

เฉลาญ์อินทรธนูซอยเท้าถี่ทว่าเงียบกริบ ก้าวขึ้นไปตามขั้นบันไดหินราวสี่ขั้นของกุฏิฤๅษี มันไม่รู้เลยว่าจะพบบุคคลที่ติดต่อไว้ได้บริเวณใด ยามนี้ทำได้เพียงรอสัญญาณจากอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น

ร่างโปร่งหยุดหอบหายใจเบื้องหน้าประตู สอดส่ายสายตาไปทั่วพื้นที่ด้านในพลางขบฟันจนแนวกรามนูนขึ้นเป็นสัน

อินทรธนูรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย…

ถัดจากซุ้มประตูบริเวณกำแพงแก้วเป็นห้องบรรณาลัย ชั้นไม้ที่เรียงรายแน่นขนัดด้านซ้ายเต็มไปด้วยภาชนะดินเผา บ้างก้นกลมปากแตรไร้เชิง บ้างมีขอบปาก ส่วนฝั่งขวามีตำราเกี่ยวกับพิธีกรรมคัมภีร์และตำราคร่ำคร่า สมกับคำเรียก ‘อาลัย’ ที่อยู่ของบรรดา ‘บรรณ’ ใบไม้ใบลานสำหรับจารจารึกอักขระ

ชายหนุ่มสืบเท้าออกไปเบื้องหน้าเชื่องช้า ประสาทสัมผัสตื่นตัวรับรู้ทุกความเคลื่อนไหว

จู่ๆ แสงไฟก็สว่างวาบส่องผ่านช่องว่างของหน้าต่างบานหนึ่งเข้ามาภายใน ทำให้นัยน์ตาสีรุ้งที่เคยเห็นได้ดีในความมืดพร่ามัวไปชั่วขณะ ชายหนุ่มเบี่ยงกายเพรียวด้วยมัดกล้ามยังไม่สมบูรณ์ถึงวัยฉกรรจ์หลบเข้าสู่ความมืดมิดข้างผนังหิน

ผู้ใดกัน

หรือทวารบาลเกิดเอะใจขึ้นมาแล้ว?!

แสงไฟจากไต้เปลือกเสม็ดกวาดผ่านช่องว่างบนผนังของบรรณาลัยไปทีละช่อง…ทีละช่อง…

มันลอบมองออกไปเบื้องนอกผ่านช่องว่างช่องหนึ่ง

เป็นทวารบาลสายตรวจอย่างที่คาด

อีกฝ่ายกำลังเคลื่อนกายช้าๆ ไปตามทางเดินปูหิน สาดแสงสว่างไปทั่วทั้งลานหญ้า

ชายหนุ่มขบริมฝีปาก ก่อนพ่นคำสบถออกมาแผ่วเบา เพราะเกรงว่าทวารบาลผู้นี้จะพลอยทำให้ไอ้ปาสคะเมาตื่นตกใจ เพริดหนีไปจนเสียการ

เฉลาญ์หนุ่มอดทนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง รอกระทั่งทวารบาลสายตรวจผู้นั้นทำหน้าที่ของมันจนเสร็จสิ้น

มันหายลับไปจากสายตาชายหนุ่มชั่วขณะ ก่อนจะโผล่หน้าออกมาจากอาคารหินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้อีกครั้ง จากนั้นเคลื่อนผ่านลานแคบ กระทั่งลับหายออกไปนอกกำแพงแก้วในที่สุด

ตอนนั้นเองเปลวไฟวับแวมอันเกิดจากปลายไส้ใยไหมที่จุ่มอยู่กลางถ้วยน้ำมันขนาดเล็กของตะคันทรงสูงก็ถูกจุด มันกะพริบส่งสัญญาณสามครั้ง

โจรป่าคงสังเกตได้ถึงการมาถึงของมัน

ชายหนุ่มสืบเท้าไปยังทางเข้าของปราสาทหินอีกองค์ ใช้ปลายนิ้วดันประตูไม้ให้พอแง้ม แล้วแทรกตัวผ่านช่องแคบ

“สิทธิ สวัสติ” โจรป่าเอ่ยทักทายอย่างใจเย็น

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงของอีกฝ่าย เพราะก่อนหน้านี้สารมักถูกส่งผ่านมาแล้วหลายทอด เพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริงของมันไว้เสมอ

น้ำเสียงนั้นทุ้มนุ่มเหมือนบุรุษที่เขาเคยคุ้นมานานแสนนาน…นั่นกลับก่ออาการหวาดระแวงให้อินทรธนูทันที

“นั่งซี” ใบหน้าบุรุษที่ห่อพันด้วยผ้าป่านสีตุ่นบุ้ยใบ้เชื้อเชิญ เมื่อเห็นว่าอินทรธนูไม่มีทีท่าว่าจะตอบ มันจึงเดินอ้อมตั่งโต๊ะที่ตั้งระเกะระกะอย่างไม่มีทางเลือก

พรานโจรผู้ตั้งตนเป็นหัวหน้ากลุ่มขบถดำนั่งอยู่บนตั่งเตี้ยตัวหนึ่ง ด้านข้างมีอีกหลายตัววางซ้อน นอกเหนือไปจากนั้นยังมีตั่งอีกตัวซึ่งตั้งเอียงกระเท่เร่อยู่เบื้องหน้าของมัน ดูแล้วคงไม่แคล้วถูกชายร่างสูงผิวเข้มใช้ปลายเท้าเขี่ยมันออกมา

อินทรธนูพลิกตั่ง ทรุดกายลงนั่ง แล้ววางถุงเยียรบับบรรจุเหรียญเงินลงกับพื้น

นัยน์ตาของขบถดำค่อนข้างกลมโต ผิวสีน้ำผึ้งเข้มดูเนียนมีน้ำมีนวล มันสวมผ้าโธตีสีขาวยกดอกดำทับท่อนล่างเช่นเดียวกับชายหนุ่ม ส่วนท่อนบนเปลือยเปล่าไร้สายสร้อยคล้องสะพายแล่ง

เฉลาญ์หนุ่มเพ่งพินิจ แววตาของอีกฝ่ายคล้ายกำลังเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา ไม่ใช่เครียดขึงแกมคลางแคลงอย่างที่ชายหนุ่มรู้สึก

ก่อนหน้านี้อินทรธนูคะเนว่าหัวหน้าโจรป่าผู้นี้คงเป็นพวกเล่นแร่แปรธาตุขี้ตื่น ประเภทพร้อมจะทรยศต่อใครก็ตามที่อยู่ข้างมันเพียงเพื่อได้มาซึ่งเหรียญตราที่มีมูลค่ามากกว่า และดูจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วสำหรับการดำรงชีวิตในยามนี้

มันยกหีบไม้กฤษณาลวดลายเถาวัลย์อ่อนช้อยวางลงข้างถุงเหรียญ ทันทีที่โจรป่าอ้าฝาหีบขึ้น ผลึกขาวใสแวววาวคล้ายเกลือสินเธาว์จากสรุกหนองหานหลวง (3) เล่นล้อกับแสงไฟในถ้วยตะคันเป็นมันระยิบ

ว่ากันว่าเพียงใช้ปลายนิ้วหยิบผลึกชนิดนี้โปรยลงไปในบาราย น้ำกินน้ำใช้จะกลายเป็นพิษร้าย สามารถปลิดลมหายใจคนได้ร่วมสิบร่วมร้อยพร้อมกันเลยทีเดียว

“คัมภีร์อายุรเวทพูดถึงเหตุแห่งโรคว่ามีสามทาง” ไอ้ปาสคะเมาหยักมุมปาก “หนึ่งคือ อาธยาตมิกะ โรคอันเกิดจากความผิดปกติภายในร่างกายของตนเอง อธิเภาติกะ เกิดจากเหตุภายนอก แล อธิไทวิกะ เหตุจากสิ่งเหนือวิสัยอย่างโชคชะตาแลสิ่งเร้นลับ…”

เหงื่อเม็ดโป้งเริ่มไหลลงตามขมับของชายหนุ่ม

บัดนี้อาวุธร้ายที่ร่อนหาที่ไหนไม่ได้อีกวางอยู่เบื้องหน้าเฉลาญ์หนุ่มตรงนี้แล้ว

“อัญไม่ยักรู้มาก่อนว่า…หน่วยสาลิกาจะให้ความสนใจผลึกเศษะกับเขาด้วย” ไอ้ขบถดำหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ “ว่าแต่เตจะเอาผลึกพวกนี้ไปทำสิ่งใดฤๅ…เฉลาญ์อินทรธนู”

เลือดทุกหยาดหยดในกายของอินทรธนูแทบจะแข็งตัว

นี่ไม่ใช่สารพิษโฆรวิส แต่เป็นเกล็ดงูอย่างนั้นฤๅ

แล้วผลึกที่ปูรณิมเร่งขนลงไปเก็บงำที่ยโศธรปุระเล่า

เฉลาญ์หนุ่มเบิกตาโพลง ตกตะลึงหลังได้ยินคำเรียกตำแหน่งขุนนางหน่วยสาลิกาตามด้วยชื่อของตนอย่างชัดถ้อยชัดคำจากปากอีกฝ่าย

อินทรธนูคว้าถุงเยียรบับ ขยับตัวเร็วรี่ ทว่า…

ช้าเกินการเสียแล้ว

ลูกดอกขนาดจิ๋วหลุดลิ่วจากร่องสอดไกของหน้าไม้ขนาดไม่เกินหนึ่งฝ่ามือของโจรป่า ตามด้วยเสียงกริ๊กดังขึ้นไม่ไกลจากใบหู

อินทรธนูเบี่ยงตัวหลบไม่พ้น ทั้งที่ผู้ยิงจงใจเล็งให้ปักตรงขั้วหัวใจของอีกฝ่าย

โชคยังเข้าข้าง

ลูกดอกพุ่งเข้าบริเวณหัวไหล่ กระทบสายเศวาลก่อนกระเด็นแฉลบลับหายไปในความมืด แรงเหวี่ยงกายส่งร่างเปรียวของอินทรธนูหงายผึงลงด้านหลัง หลุดพ้นความตายไปได้หวุดหวิด พร้อมตั่งเตี้ยที่ล้มตามส่งเสียงดังสนั่น

แผ่นหลังชายหนุ่มกระแทกลงกับพื้นหิน ปลายเท้าเข้าไปติดอยู่ใต้ตั่งเตี้ย เพียงเท่านั้นก็ทำให้ลมหายใจของมันแทบขาดห้วง

ไม่เคยมีสัจจะในหมู่โจรจริงๆ

อินทรธนูกัดฟันกรอด

โจรป่าเดินอ้อมตั่งมายืนค้ำร่างอินทรธนู ปลายหน้าไม้ยังคงเล็งแน่วนิ่ง ทว่าลูกดอกยังไม่หลุดจากแล่ง

จังหวะนั้นเองที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นกังสดาลครึ่งซีกที่โจรป่าร้อยสายไว้ตรงข้อมือกระทบแสงอยู่วาววับ

“หากอัญเดาบ่ผิด ปฏิบัติการค่ำคืนนี้คงผ่านที่ประชุมของหน่วยสาลิกามาแล้วเรียบร้อยกระมัง” โจรป่าหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ เอ่ยถึงหน่วยงานลับได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ จากนั้นโน้มตัวลงมาใกล้ใบหูของอินทรธนู “เตคงไม่ว่าอะไรกระมัง หากอัญจะขอเวลาเล่นสนุกเพิ่มอีกหน่อย”

อินทรธนูไม่อยู่ในสถานะที่จะสามารถบอกปัดปฏิเสธ

“อีกไม่กี่อึดใจต่อจากนี้ อัญจะถล่มที่นี่ให้ราบลงเป็นหน้ากลอง แล้วค่อยโปรยเกล็ดงูลงไปในแหล่งน้ำแลบารายให้ทั่ว เพื่อล้างแค้นที่หน่วยสาลิกาอย่างเตได้เข้าไปทำลายการปฏิบัติการของพวกอัญแถวช่องจันทบเพชรแลตาเมือน”

โจรป่าหมายถึงเหตุการณ์ที่พวกมันดักปล้นเกลือสมุทรและสินค้าอื่นๆ ที่ช่องเขาสำคัญบริเวณเทือกเขาภนุมฎองแรก แต่ถูกหน่วยสาลิกาขัดขวางอยู่เนืองๆ

มันเว้นจังหวะแล้วเอ่ยต่อ

“ยิ่งไปกว่านั้นอัญกับไอ้ปูรณิมของเตยังมีหนี้ที่ต้องสะสาง เตบ่ต้องทำหน้าสงสัยไป มันเป็นเรื่องส่วนตัวของอัญกับ ‘เกลอสนิท’ คนใหม่ของเต ส่วนนัยน์ตาสีรุ้งงามๆ ข้างนี้ก็ถือเสียว่าเป็นการล้างแค้นคนทรยศให้เผ่ารุ้งพรายที่ตายไปก็แล้วกัน”

ปลายลูกดอกแหลมคมค่อยๆ เคลื่อนมายังตาซ้ายของอินทรธนู

“ความตาย…จักต้องลบล้างด้วยความตาย!”

โจรป่าพลันเหนี่ยวไก

 

เชิงอรรถ :

(1) ตามคติสันสกฤต แบ่งคืนหนึ่งออกเป็น 4 ยาม ยามละ 3 ชั่วโมง ได้แก่ ปฐมยาม (18.00-21.00 น.) ทุติยยาม (21.00-24.00 น.) ตติยยาม (24.00-3.00 น.) และปัจฉิมยาม (3.00-6.00 น.)

(2) กุมภาพันธ์

(3) ปัจจุบันคือสกลนคร



Don`t copy text!