หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 13 : รุ้งพราย

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 13 : รุ้งพราย

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

อินทรธนูสะบัดหน้าหลบ ศรเรียดใบหูเกิดแผลเลือดซิบทันที อาการแสบร้อนแล่นปราดประหนึ่งถูกไฟจี้ ทว่าชายหนุ่มไม่ยี่หระ ตัดสินใจเหวี่ยงขาออกไปกระแทกโจรป่าเข้ากลางลำตัว รู้สึกได้ว่าหน้าแข้งกระทบเข้าชายโครงอีกฝ่ายเต็มแรง

ชายหนุ่มตาสีรุ้งกลิ้งตัว ลุกขึ้นยืนเพียงชั่วเสี้ยวพริบตา กระชากมีดปีกผีเสื้อออกมาจากผ้าพันข้อมือใต้ท้องแขน ก่อนก้มตัวลงต่ำวิ่งเลาะไปตามกองตั่งและข้าวของระเกะระกะ

เสียงปลายศรทะลวงภาชนะก้นกลมดังขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเศษเครื่องปั้นดินเผาปลิวว่อน

อินทรธนูวิ่งเข้าไปถึงด้านในสุดของตัวปราสาท ยอบกายลงต่ำเข้าไว้ขณะสอดส่ายสายตาไปทั่วคูหา แรงเตะของเขาทำให้ไฟในถ้วยตะคันร่วงกลิ้งไปตามพื้น ก่อแสงวับแวมริบหรี่

ชายหนุ่มยกปลายนิ้วแตะใบหู นิ่วหน้า ด้วยริ้วอันเกิดจากปลายศรกรีดทำให้รู้สึกปวดแสบไม่น้อย

ทันทีที่ได้ยินหัวหน้าโจรป่าหัวเราะเสียงต่ำในเงามืด อินทรธนูทรุดตัวลงต่ำทันที ขยี้เปลือกตาทั้งสองข้างเบาๆ ครั้งหนึ่ง แล้วหรี่ตามองฝ่าอนธการ พยายามหาตำแหน่งของมันจากรังสีอุณหภูมิของร่างกาย

“สมกับที่เป็นเผ่ารุ้งพราย”

โจรป่าพูดถูก อินทรธนูเป็นพวกรุ้งพรายผู้รอดชีวิตจากความขัดแย้ง เป็นเด็กที่เติบโตไปพร้อม กับการย้ายถิ่น ถึงขั้นหนีเข้าป่าแสวงหาความปลอดภัยจากเงื้อมมือพวกวิปลาสที่ตัดสินและเชื่อฝังหัวไปแล้วว่าวิถีแบบพวกรุ้งพรายนั้นผิดบาป เฉดสีแห่งความแตกต่างหลากหลายจึงกลายเป็นเฉดดำทันที เป็นคนเลวทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรผิดแม้สักกระผีก

นับแต่จำความได้อินทรธนูจึงตกอยู่ในวังวนแห่งความสับสน เคว้งคว้าง แปลกแยก และหวาดระแวง มีเพียงนัยน์ตาสีรุ้งนี้เองที่ช่วยชีวิตเขาไว้หลายต่อหลายครั้งจากพวกวิกลจริต

อย่างน้อยก็ในกษณะนี้

“อัญได้วางก้อนผงดำไว้ทั่วบริเวณ ถึงอย่างไรกุฏิฤๅษีแห่งนี้ก็บ่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว” โจรป่าร่างสูงเอ่ยอย่างเย็นชา ขณะเคลื่อนกายอ้อมข้าวของบุโรทั่งไปยังประตู “แทนที่จะถล่มที่นี่ทิ้งเสียเปล่าปลี้ อัญจึงมีของเล่นเล็กๆ น้อยๆ มากำนัล”

“อย่างไข้ดำและทรพิษ…”

ลำคออินทรธนูถึงกับแห้งผาก เสียงชัปนะที่หลุดลอดนั้นแผ่วเบา แต่ก็ดังพอที่อีกฝ่ายจะได้ยิน

“อัญว่าเหมาะเหลือเกินที่จะใช้กุฏิฤๅษีวิปลาสเป็นจุดแพร่เชื้อโรคให้กระจายไปทั่ว”

โอ…มันตั้งใจทำให้กุฏิทั้งคูหากลายเป็นระเบิดเชื้อโรคเชียวฤๅนี่

ยามนี้สายลมหนาวกำลังโบกสะบัด มันจึงไม่ใช่เพียงเทวาลัยแห่งนี้เท่านั้นที่เสี่ยง แต่ยังหมายถึงบ้านเรือนชาวศกุนตะที่อยู่รายรอบตีนเขาอีกด้วย

อินทรธนูขยับกาย จะต้องหยุดไอ้โจรป่าผู้นี้ให้จงได้

ชายหนุ่มเคลื่อนตัวไปยังประตู แม้ใจจะยังพรั่นหวาดกับหน้าไม้ดัดแปลงในมือของมัน แต่อินทรธนูจะไม่ยอมให้ความรู้สึกนั้นมาทำให้เขาถอดใจ

ความเสี่ยงช่างสูงลิ่ว ดุจก้าวย่างอยู่บนเส้นด้าย

อินทรธนูปิดเปลือกตาแรงๆ อีกครั้ง ก่อนพยายามสอดส่ายสายตาหาไอความร้อนจากร่างของโจรป่า ทว่าผลที่ได้คือเฉดเหลืองและน้ำเงินกะพริบวูบวาบ สีพวกนั้นล้วนแผ่ออกมาจากต้นไม้ใบหญ้า ทำให้นัยน์ตาเขาพร่าและน่ารำคาญ

หรือไอ้โจรป่าได้ไล้ผิวทั่วตัวด้วยน้ำมันพิเศษเพื่อไม่ให้ตัวมันแผ่ไอร้อน

ช่างหัวแม่มัน

ชายหนุ่มตัดสินใจหมอบตัวต่ำ กระชับมือขวาเข้ากับมีดปีกผีเสื้อ เมื่อสังเกตว่าบริเวณทวารกุฏิไม่มีความเคลื่อนไหว นั่นหมายความว่านักล่าทมิฬยังคงอยู่ในคูหา

แล้วตอนนี้มันไปหลบอยู่ที่ใดเล่า

หน้าไม้กับมีด คิดอย่างไรก็มีแต่เสียเปรียบ

ชั่วขณะที่อินทรธนูนอนนิ่งราวถูกตรึงอยู่กับที่ หางตาเหลือบไปเห็นโจรป่าหมอบอยู่ห่างจากวงกบประตูไม่ถึงคืบ ใช้ตั่งตัวหนึ่งเป็นโล่กำบัง

ชายหนุ่มจำเป็นต้องยุติการละเล่นนี่เสียที

อินทรธนูควานมือสะเปะสะปะ คว้าได้ภาชนะเขียนสีใบหนึ่ง แล้วโยนไปยังวงกบไม้ข้างกายโจรนักล่า

ทันทีที่เครื่องปั้นดินเผากระแทกดังเปรื่องแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โจรป่ายิงหน้าไม้ไปยังทิศที่มาของเสียงตามสัญชาตญาณ ชายหนุ่มจึงอาศัยจังหวะผุดลุกอย่างรวดเร็ว โถมกายเข้าใส่โจรร่างสูง ด้วยสำเหนียกดีว่าตนมีเวลาไม่ถึงชั่วสูดลมหายใจ

อินทรธนูใบมีดปีกผีเสื้อปลายแหลมด้วยน้ำหนักและความสมดุลสมบูรณ์แบบ ทว่านักล่าทมิฬกลับว่องไวกว่า เอียงหน้าหลบวูบดุจมีตาอยู่ข้างขมับ มีดจึงพุ่งตัดผ้าป่านที่มันใช้ห่อใบหน้า แก้มเหนือสันกรามคมคายปรากฏรอยกรีดผุดเลือดซิบทันที ก่อนใบมีดจะพุ่งเข้าเสียบคาอยู่ที่ซอกผนังหิน

แน่นอนว่าไอ้โจรป่าตระหนักได้ถึงความผิดพลาด

“ศิน?”

อินทรธนูอ้าปากค้าง ทว่าไร้ซึ่งคำขานจากร่างสูง

มิน่าเล่าเขาจึงมองไม่เห็นไอร้อนจากเรือนร่างของอีกฝ่าย ด้วยเผ่ารุ้งพรายขึ้นชื่อว่าอุณหภูมิของเลือดนั้นเย็นเฉียบ

ชายหนุ่มเคลื่อนสายตาจับจ้องแผ่นกังสดาลครึ่งซีกที่ร้อยเชือกพันรอบข้อมือนักล่าทมิฬอีกครั้ง

ศศินกลับอาศัยจังหวะโถมกายเข้าใส่จนอินทรธนูล้มลงกับพื้น

ทายาทหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายเคลื่อนปลายจมูกเข้าหาอดีต ‘คู่ชีพิต’ ทำให้ใบหน้าชายหนุ่มทั้งสองอยู่ใกล้กันกระทั่งรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

นัยน์ตาทั้งสองข้างของศศินจ้องมองอินทรธนูไม่กะพริบ ไม่ยี่หระต่อโลหิตที่หยาดหยดจากแก้มตนลงเปื้อนเปรอะปรางนวลของผู้อยู่ใต้ร่าง

ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างที่สุด ชิงชังอย่างลึกซึ้ง

ท่าทางของชายหนุ่มดุจสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บจวนเจียนจะสิ้นลม และกำลังเคียดแค้นเข้ากระดูกดำราวกับชั่วพริบตาถัดจากนี้ก็จะฉีกร่างอินทรธนูแล้วกลืนลงท้อง

ใบหน้าของศศินดูต่างไปจากภาพเด็กหนุ่มในความทรงจำของอินทรธนูอยู่บ้าง

ใต้คิ้วหนามีดวงตาที่ดูลุ่มลึกเปล่งประกายแวววาวคู่หนึ่ง ผิวกายสะอาดสะอ้าน ด้านข้างของขากรรไกรทั้งสองมีเพียงแนวเขียวบางอันเกิดจากการโกนหนวด ปรากฏแนวสันกรามเรียวงามแข็งแกร่ง ทั่วทั้งร่างดูหล่อเหลาทว่าลึกลับ เปี่ยมด้วยจิตสังหาร

ลักษณะที่แผ่จากร่างสูงเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยอาอาภรณ์ที่สวมใส่ เพียงผ่านซากศพและแอ่งโลหิตมานับไม่ถ้วน กระทั่งกลิ่นอายโหดเหี้ยมอำมหิตซึมซาบเข้าไปในรูขุมขนจนผู้คนครั่นคร้ามหวั่นเกรง

เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่อินทรธนูรู้สึกหวาดกลัวเป็นที่สุดนับแต่ครั้งมหาเสนาปติพาหน่วยสมิงเข้าเข่นฆ่าเผ่ารุ้งพราย

ในที่สุดชายหนุ่มก็รวบรวมความกล้าหาญเงยหน้าขึ้น มองสบสายตากับศศิน

“ผู้ที่เคยเป็นคู่หมายคู่ชีพิตอย่างอัญ สามารถทำให้เตรังเกียจแลหวาดกลัวถึงเพียงนี้เทียว?”

น้ำเสียงศศินฟังดูเฝื่อนฝาด ฝืดฝืน และเหินห่างเหลือประมาณ

ช่วงสามปีที่ผันผ่านไม่รู้ว่าบุตรชายหัวหน้าเผ่าหนีหายไปทำอะไรมาบ้าง หลักฐานซึ่งพอจะบอกเล่าเรื่องราวได้มีเพียงรอยแผลเป็นบนร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า และแต่ละริ้วล้วนไม่ใช่ร่องแผลตื้นเขิน

“ตรงนี้ยังเจ็บอยู่ฤๅไม่”

อินทรธนูเบนสายตาไปยังรอยแผลตรงหัวไหล่ข้างซ้าย เป็นรอยกรีดยาวไล่ลงมาจนเกือบถึงยอดอก ความร้ายแรงคงเกือบจะปลิดชีวิตชายหนุ่ม มาบัดนี้แม้จะหายดี ทว่าผิวเนื้อยังคงไม่ราบเรียบ รอยเย็บแผลสดประหนึ่งตีนตะขาบไฟอย่างไรอย่างนั้น

ศศินสังเกตได้ว่าในดวงตาคมคู่นั้นของอินทรธนูไม่มีอาการหวาดกลัวหลงเหลืออยู่แล้ว ดูท่าว่าหลังจากคลายอาการตื่นตระหนกความห่วงหาอาทรก็หลั่งไหลเข้าแทนที่ไม่ขาดสาย

ความหม่นขรึมที่เคลือบคลุมอยู่บนนัยน์ตาของร่างสูงจางหายไปทันที

“ยังไกลหัวใจ”

ศศินพลิกกายออกจากอินทรธนู นั่งชันเข่าบนพื้นหิน กล่าวตอบเสียงต่ำ ความนุ่มนวลที่เจืออยู่คล้ายกำลังปลอบขวัญอีกฝ่าย จากนั้นค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมาก่อนเอ่ยถาม

“อยู่กับไอ้ณิมเป็นอย่างไร”

อินทรธนูอึกอัก ไม่กล้ามองร่างช่วงบนที่กำยำล่ำสันของศศินมากนัก ทำได้เพียงหลุบตามองตรงไปเบื้องหน้าครู่ใหญ่ ก่อนจะยอมบอกเล่าเรื่องราวแต่หนหลัง

 

อินทรธนูฝันร้าย

เด็กหนุ่มลืมตาโพลงในฝันเพียงเพื่อให้ตนสำเหนียกว่าความน่าสะพรึงกลัวรออยู่เบื้องหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาหวาดผวา รายละเอียดของภาพน่าสะพรึงกลัวที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเองในทุกรูปแบบล้วนฝังแน่นในความทรงจำ จนเขาไม่อยากจะเชื่อว่านั่นคือเรื่องจริง

ในที่สุดมันก็จบสิ้นเสียที

เมื่ออินทรธนูสะดุ้งตื่น ถึงขั้นเผลอคิดไปเช่นนั้น ทว่ามันยังไม่สิ้นสุดง่ายๆ นับแต่นี้เป็นเพียงการเริ่มต้นความทรมาทรกรรมฉากใหม่เท่านั้น

ภาพเผ่ารุ้งพรายถูกสังหารด้วยวิธีต่างๆ มากมายหลายวิธี อึดใจสุดท้ายของแต่ละชีวิตผู้บริสุทธิ์ผุดขึ้นมาในมโนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เด็กหนุ่มรู้สึกว่าจิตวิญญาณของตนถูกฉีกทึ้ง พิษแห่งความเกลียดกลัวผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกรอบผัวเมียสืบวงศ์ตระกูลจึงกลายเป็นเผ่าพันธุ์นอกคอก ถูกตราหน้าว่าวิถีเคลื่อนหลั่งอสุจินอกช่องคลอดของเพศหญิงนั้นผิดบาป เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และยิ่งชาวรุ้งพรายมีนัยน์ตาแต้มเหลือบเฉดรุ้งกินน้ำ ก็ยิ่งพุ่งเป้าไปยังตำแหน่งแห่งความชิงชังลึกล้ำดำมืดที่สุดซึ่งสถิตอยู่ในหัวใจชาวศกุนตะ

จนนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ในที่สุดอินทรธนูก็กลับมามีสติอีกครั้ง รสฝาดเฝื่อนของยาหมดสติยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้น

เด็กหนุ่มนอนนิ่งครู่หนึ่ง รอให้ฉากอันทารุณโหดร้ายเลือนหายไปจากความคิด ทว่าสุดท้ายเขาต้องยอมรับว่าพิษแห่งความเดียดฉันท์ได้ถูกซึมซับเข้าทุกอณูในร่างกายอินทรธนูแล้ว ทำให้ร่างกายที่ถูกทุกตีจากการบังคับให้สารภาพเมื่อคืนวานยิ่งอ่อนแอจนดูไม่ได้

‘ศิน…’

อินทรธนูพลิกตะแคง คู้เข่างอตัวคล้ายทารกในครรภ์ เพรียกหาคู่ชีพิตที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร

จู่ๆ เด็กหนุ่มก็เบิกตาโพลง เพราะมีบุคคลผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า

‘เฉลาญ์ปูรณิม?’

‘เรียกข้าว่าณิมเฉยๆ ก็ได้’ ปูรณิมเดินเข้ามาหา แตะหลังมือเข้ากับหน้าผากอินทรธนู อาจเพราะมีแสงอบอุ่นจากเทียนส่องสะท้อนอยู่ข้างแคร่ ยามนี้แววตาที่เขามองอินทรธนูจึงดูนุ่มนวลละมุนละไม ‘ดีขึ้นไหม ข้าป้อนยาแก้ช้ำในกับลดไข้ให้เอ็งหลายรอบแล้ว’

เด็กหนุ่มนิ่วหน้าแทนคำตอบ ความคิดทุกอย่างที่สับสนปนเปมาพร้อมกับความรู้สึกคลื่นไส้

อินทรธนูพยายามอย่างมากในการเหยียดแขนขาออก อาการปวดระบมแล่นปราดไปทั่วทั้งสรรพางค์ กระทั่งไม่ต้องเสียเวลาดูว่ามีจุดใดบาดเจ็บบ้าง จากนั้นก็พยุงกายลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า

‘เช้าแล้วฤๅ’ อินทรธนูพึมพำ

สิ่งที่เขาจำได้ครั้งสุดท้ายคือตอนที่เขาปืนลงจากต้นไม้ กำลังจะวิ่งไปหาศศินแถวแอ่งน้ำตกเมื่อคืน ทว่าอาการปวดหนึบตามข้อพับบ่งว่าเขานอนอยู่ในท่าเดิมมานานมากกว่าครึ่งคืน ฉะนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่รู้เลยว่ารุ้งพรายคนไหนบ้างรอดชีวิตจากการโจมตีของหน่วยสมิง

‘พิษบาดแผลทำให้เอ็งไข้ขึ้น สลบไสลไม่ได้สติอยู่สองวัน’

‘สองวัน?’

‘เอ็งคงตกใจไม่น้อยที่…’ ปูรณิมไม่ได้หมายถึงระยะเวลาที่อินทรธนูหมดสติ ‘ที่ข้าใช้ยาหมดสติป้ายจมูกเจ้าแบบนั้น’

‘ทำไมเตถึง…’

สัญชาตญาณลึกๆ ในตัวอินทรธนูเริ่มหวาดระแวง เฉลาญ์ของศกุนตะอย่างปูรณิมทำแบบนี้เพื่ออะไร ทั้งที่สายเลือดของเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นของเผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยเกลียดชังผู้มีวิถีแตกต่าง หรือเขาเพียงเสแสร้งเป็นพ่อพระเพื่อหวังผล ช่างดูไม่มีเหตุมีผลอะไรเลยสักอย่าง

‘ข้าไม่มีทางเลือก’ ปูรณิมยกปลายนิ้วขวาแตะผ้าพันแผลรอบต้นแขนซ้ายของตนเบาๆ ‘ยามนี้จิตใจของผู้คนในสรุกเต็มไปด้วยอคติ ความโกรธ และความเกลียด การอยู่ร่วมกันแลปฏิบัติต่อกันอย่างศานติเป็นทางออกเพียงสายเดียว’

‘เตบาดเจ็บ?’

ปูรณิมผงกศีรษะ ‘ตอนแบกเจ้าลงจากเขา…หน่วยสมิงยิงหน้าไม้แม่นไม่น้อย’

ความสงสัยของอินทรธนูที่มีต่อปูรณิมค่อยๆ จางหาย

เด็กหนุ่มเผลอมองสำรวจผิวหนังท่อนบนอันเปลือยเปล่าและซีดเซียวของปูรณิม อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มร่างกายปราดเปรียวมากกว่าจะดูแข็งแรงกำยำ

‘เอ็งคงหิวแย่’

ปูรณิมวางกระด้งลงบนแคร่ ในนั้นมีถ้วยดินเผาใส่น้ำพริกจรั๊วะโดง ข้าวเหนียว ผักสด และดอกเข็มช่อหนึ่ง

‘ก่อนกินข้าวลองบีบน้ำหวานจากดอกเข็มใส่ปากดูซี ล้างความเฝื่อนจากยาหมดสติได้ชะงัดนัก’

อินทรธนูบีบน้ำหวานหยดหนึ่งลงบนลิ้นตามคำแนะนำของปูรณิม ความหวานก็แผ่ซ่านทั่วปากทันที ก่อนไหลลงไปในลำคอ ก่อไออุ่นแก่ประสาทสัมผัสผุดความทรงจำยามที่เขามีศศินอยู่ข้างกาย บทสนทนาของเด็กหนุ่มทั้งสองหลังพุ่มว่านเสน่ห์จันทร์แดงย้อนกลับเข้ามาในภวังค์

อินทร์ก็รู้ว่าศินอยากใช้ชีวิตร่วมกับผู้ใดไปจนแก่เฒ่า

อินทรธนูเผลอคลำหาแผ่นกังสดาลขนาดเล็กที่แขวนไว้ข้างเอว มันคือเครื่องตีให้สัญญาณในยามที่เขากับศศินมองหากันไม่เจอช่วงคืนหริณจันทร์ วันเพ็ญสีเลือด ศศินได้กังสดาลทั้งสองแผ่นมาจากคอกร้างตลาดมืด เด็กหนุ่มทั้งสองจึงเก็บไว้คนละแผ่นประหนึ่งเครื่องแทนคำมั่นคู่ชีพิต ทว่าบัดนี้มันได้หล่นหายไปเสียแล้ว

‘หาเจ้านี่อยู่ฤๅ’ ปูรณิมยื่นแผ่นกังสดาลให้ ‘มันหลุดตอนที่ข้าเช็ดตัวให้เอ็งน่ะ’

‘ขอบใจ’ อินทรธนูรับกังสดาลไว้ในมือ แล้วลูบคลำมันอย่างทะนุถนอม ‘ศิน…’

ปูรณิมส่ายหน้า ‘เผ่ารุ้งพรายถูกฆ่าล้างเผ่าไปจนสิ้น มิหลงเหลือผู้ใดอีกต่อไปแล้ว’

 

“เตเลยเข้าเป็นเฉลาญ์กับมัน” น้ำเสียงศศินเจือความเหยียดหยัน

บรรยากาศผ่อนคลายที่เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างชายหนุ่มทั้งสองก่อนหน้านี้ได้เลือนหายไปแล้ว บรรยากาศกลับกลายเป็นชะงักงันอีกครั้ง

อินทรธนูลังเลอยู่ชั่วขณะ ในที่สุดก็เอ่ยตอบทำลายความเงียบ

“บ่ อัญเข้าหน่วยลับสาลิกา ร่วมต่อสู้เพื่อปกป้องศานติระหว่างผู้คน ต่อต้านผู้ใช้อำนาจในทางที่ผิด”

“หึ!”

ศศินแค่นเสียงขึ้นจมูก ราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินแสลงหูเสียเต็มประดา จากนั้นค่อยๆ เขยิบร่างเข้าใกล้อินทรธนูอย่างระมัดระวัง จงใจให้ปลายนิ้วก้อยข้างซ้ายสัมผัสโดนหลังมือของอีกฝ่ายเพื่อลองหยั่งเชิง

“เตยังแขวนกังสดาลไว้ที่เอวอยู่งั้นฤๅ” ศศินถาม

เมื่อเห็นร่างสูงยกมือทำท่าขอ อินทรธนูจึงปลดกังสดาลครึ่งซีกออกจากเอวให้อีกฝ่าย

ศศินปลดกังสดาลอีกครึ่งของตนเข้าประกบกัน จึงกลายเป็นกังสดาลอันสมบูรณ์ ด้านหลังแผ่นโลหะหล่อสำริดขนาดกะทัดรัดปรากฏคำมั่น

‘รักชั่วนิรันดร์ ตราบสุริยันจันทรสลาย’

“ศิน…หัวเด็ดตีดขาดอย่างไรก็ยังจะจองล้างจองผลาญชาวศกุนตะให้ได้ใช่บ่”

ร่างสูงถึงกับชะงัก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายเนิ่นนาน ก่อนยัดแผ่นกังสดาลครึ่ง ‘รักชั่วนิรันดร์’ ยัดใส่มืออินทรธนู ดึงมือตนเองกลับพลางลุกขึ้นยืน

อินทรธนูขบริมฝีปากเพราะไม่เข้าใจตนเอง ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้บุ่มบ่ามตั้งคำถามละเอียดอ่อนออกมาในช่วงเวลาเช่นนี้

ทันทีที่คำพูดหลุดจากปาก ชายหนุ่มพลันนึกเสียใจอยู่ครามครัน

อินทรธนูจ้องเงาด้านหลังอันเคร่งขรึมและสง่าผ่าเผยดุจทิวเขาไม้คานของบุรุษผู้ยืนอยู่เบื้องหน้า พลางใจเต้นระรัวรุนแรง

“เตรู้ฤๅไม่ว่าพวกมันทำให้หมู่เฮาบ้านแตกสาแหรกขาด” ศศินพลันย้อนถาม จากนั้นผินหน้ากลับมาหลุบมองอินทรธนู

“เลยวางแผนปล้นเกล็ดงูไปจากศกุนตะทั้งหมด?”

“ใช่” สายตาของร่างสูงกวาดมองใบหน้างามของอินทรธนู “ในเมื่อพวกมันอ้างว่าศกุนตะติดไข้ดำแลโรคลักเพศมาจากรุ้งพราย จึงเข้าห้ำหั่นฟาดฟันจนสิ้นโคตร อัญนี่ละจะทำให้พวกมันรู้ซึ้งว่าการสิ้นเผ่าด้วยเปลวไฟแห่งรุทรนั้นรสชาติเป็นเช่นไร!”

ผลึกเศษะที่เหล่าทลิตเผอิญร่อนได้ในอดีตกาล ทำให้มุมมองที่ศศินมีต่อสนามรบนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จริงอยู่ที่ชายหนุ่มมีคู่ต่อสู้น่ากลัวที่ต้องเผชิญ ทว่ามันจะไม่ยอมเป็นผู้ถูกล่าอีกต่อไป ไม่ต้องวิ่งหนี คอยซ่อนตัว หรือมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง

แม้เมื่อสิบแปดปีก่อนเผ่ารุ้งพรายจะเคยพยายามลุกฮือขึ้นมาขบถในเหมืองแร่ แต่ก็ยังไม่มีกำลังมากพอจะเรียกร้องความเท่าเทียม

“โชคดีที่ได้ยายเฒ่าลงผีดูแล พากันหนีตายมาได้ มาถึงวันนี้กระทั่งผืนดินที่พอจะอยู่อาศัยก็บ่มี เตรู้บ่ จนทุกวันนี้อัญยังจำภาพลมหายใจสุดท้ายของแม่ได้อย่างแจ่มชัด นับแต่วันนั้นอัญจึงพร่ำบอกกับตนเองว่าสักวัน…อัญจะอยู่เหนือกว่าพวกมันให้จงได้”

ศศินชะงักไปชั่วอึดใจ เคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาอินทรธนู ก่อนเปล่งเสียงลอดไรฟัน เน้นหนักทั้งคำและนัย

“แต่…ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าเสนอหน้ามาขวางอัญ บ่ว่ามันจะเป็นผู้ใดหน้าไหนก็ตาม ย่อมถือเป็นศัตรู ต้องกำจัดให้สิ้นซาก!”

ร่างสูงยื่นมือออกมาโดยไร้สัญญาณบอกล่วงหน้า ตรึงปลายนิ้วเข้ากับปลายคางคู่ชีพิต

นี่เป็นเรื่องกะทันหันและหุนหันพลันแล่น อินทรธนูไม่ทันตั้งตัว ศศินโถมกายเข้ากอดมันไว้ ก้มหน้าลงระดมจุมพิต มืออีกข้างเคลื่อนลงทึ้งโจงโธตีของอีกฝ่ายอย่างคลุ้มคลั่ง

เฉลาญ์หนุ่มบันดาลโทสะ ใช้ศอกกระแทกแผงอกศศิน ส่งผลให้ฝ่ายหลังครางด้วยความเจ็บปวดในลำคอแผ่วเบา

ศศินคว้าข้อมืออินทรธนูได้ข้างหนึ่ง กดลงกับพื้นหินเย็นเยือก ก้มหน้าลงตั้งใจจะจูบอีกครั้ง ทว่าถูกเฉลาญ์คว้าหมับเข้าที่เอวสอบ กดร่างอันร้อนเร่าของศศินลง พลิกกายตนขึ้นนั่งคร่อมบนร่างกำยำในชั่วพริบตา ก่อนตรึงแขนสองข้างของศศินไว้

ร่างสูงหัวเราะหนึ่งที ผงกหัวขึ้นทำท่าจะบดริมฝีปากอินทรธนูอีกครั้ง ท่าทางหื่นกระหายคล้ายคนตัณหากลับ

อินทรธนูเบือนหน้าหนีทันที

ศศินฉวยโอกาสนั้นดึงมือข้างหนึ่งของตนจนหลุดออกจากพันธนาการของอินทรธนู โอบเอวอีกฝ่ายไว้ ในใจหมายจะโต้กลับ

ไฉนเลยอินทรธนูจะยอมให้ศศินสมหวัง กำหมัดชกใส่ลอนหน้าท้องของร่างสูงครั้งหนึ่ง เล่นเอาศศินจุกเสียดจนตัวงอ

“อยากตายฤๅ” อินทรธนูตะคอกถาม

“จากกันไม่กี่วัน กลับลืมค่ำมั่นไปเสียสิ้น”

ศศินหอบหายใจเล็กน้อย จ้องคู่ชีพิตด้วยแววตาล้ำลึก ขณะจะเอื้อมมือไปคว้าตัวอีกฝ่าย จู่ๆ ร่างสูงก็รู้สึกวิงเวียนตาลาย กระทั่งอดปิดเปลือกตาแน่นไม่ได้

ศศินลองกำหมัด รู้สึกได้ว่าปลายนิ้วเริ่มชาหนึบ สีหน้าร่างสูงพลันแปรเปลี่ยน

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของหนุ่มร่างสูงพลันเย็นเยียบน่าประหวั่น เต็มไปด้วยอาการเสียใจ ตัดพ้อ สิ้นหวัง ตามด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ประหนึ่งสัตว์ป่าติดบ่วงแร้วของพรานที่ตนไว้ใจจนได้รับบาดเจ็บสาหัส

“เตเล่นลูกไม้อะไรกับอัญ” ศศินแค่นเสียงถามอย่างเฉียบขาด เน้นย้ำทีละคำ

อินทรธนูลังเลอยู่ชั่วขณะ ตัดสินใจลองยื่นมือออกไปหาศศิน ทว่าถูกอีกฝ่ายปัดออกเต็มแรง

ศศินลูบแผลที่แก้ม จ้องใบมีดปีกผีเสื้อของอินทรธนูที่ปักคาซอกผนังหิน ก่อนร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ด้วยมันเพิ่งสำเหนียกว่าใบมีดของอินทรธนูอาบยาหมดสติเข้มข้น

“คนทรยศ!”

ชายหนุ่มร่างสูงกรีดปลายแง่งหินเหล็กไฟลงกับพื้นหิน ประกายแล่นปราดติดชนวนที่ทำจากกระดาษสาห่อหุ้มดินดำไว้ภายใน จากนั้นล้มตึงแก้มแนบพื้น สองตาปิดแน่นสลบไสล

อินทรธนูลมหายใจแทบขาดห้วงมองตามเปลวไฟที่ลามเลียไปตามสายชนวนเร็วรี่

เพราะนั่นเป็นสัญญาณบ่งว่าก้อนดินดำที่ศศินซุกซ่อนไว้กำลังจะปะทุในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า!

 



Don`t copy text!