หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 16 : โหมกูณฑ์

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 16 : โหมกูณฑ์

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

ทุติยยามเคลื่อนใกล้เข้ามา

ศศินไล่สายตาขึ้นไปตามความยาวของซุ้มหลังคาลาดประดับยอดบนสุดด้วยโดมทรงเหลี่ยม อาคารสี่เหลี่ยมขนาดเล็กหลังนี้เรียกว่าการณกุฑุ อันเป็นซุ้มของเทพนพเคราะห์เก้าองค์หรือเรียกโดยทั่วไปว่าเทพงู แม้การณกุฑุเป็นอาคารโปร่ง ไม่มีการก่อผนังทึบ ทว่าท่ามกลางแสงวับแวมจากดิยา ตะเกียงดินเผากระจิริดประจุฆีและจุดไฟที่ปลายไส้ฝ้ายฟั่นเช่นนี้ กลับดูขนลุกอย่างประหลาด ประหนึ่งบางสิ่งจากอดีตกาลกำลังเลื้อยคลานขึ้นมาจากเบื้องลึกใต้ผืนดิน

อะไรบางอย่างที่ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้

“คำมั่น การทรยศหักหลัง แลการแก้แค้น”

คำพูดของศศินถูกเสียงสรพะเอ็ดอึงของผู้คนที่กำลังเดินทางมาร่วมพิธีโหมกูณฑ์

กลิ่นไม้กฤษณาอันเกิดจากการเผาทำให้ชายหนุ่มนึกถึงกลิ่นกายของอินทรธนูที่เพิ่งพานพบ ราวกับกลิ่นหอมอ่อนระคนหวานนุ่มนวลพาให้สดชื่นนั้นยังคงติดที่ปลายจมูกมิคลาย ก่อความรู้สึกโหยไห้ อาลัยอาวรณ์ และห่วงหา

“มิได้” ศศินสะบัดหน้าทันที “จะคิดถึงคนทรยศเผ่าของอย่างมันมิได้เด็ดขาด”

ชายหนุ่มอึดอัดเหลือคณานับ ความรู้สึกไม่สบายตัวย้อนกลับมาเล่นงานศศินอีกครั้ง

ใช่ ต้องฆ่าอินทรธนูเสีย มันควรสังหารคู่ชีพิตด้วยน้ำมือของตัวเอง ด้วยสังหรณ์ว่าหากมันไม่ยอมทำ อีกไม่นานแผนล้างแค้นเอาคืนต้องถูกอินทรธนูทำลายป่นปี้อย่างแน่นอน

“รีบเข้าไปข้างในกันเถิดพี่”

ศศินชำเลืองมองตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน เห็นหญิงสาวนางหนึ่งกำลังรบเร้าโขลญหนุ่ม พลางพยักพเยิดไปยังแถวชาวสรุกศกุนตะที่กำลังเดินผ่านซุ้มโคปุระเข้าไปภายในเทวสถาน

“ลูกของเรา…” นางแพงพวยทำท่าลูบหน้าท้อง พลางลอบสังเกตสีหน้าของสามีหนุ่ม

“เพิ่งกินดองวันสองวัน แต่เอ็งกลับตั้งครรภ์ได้สามเดือน” ทหารหนุ่มยกหัวคิ้วยียวน “น้ำยาข้าแรงดีไม่มีตกจริงๆ”

“มิรู้เรียกเทพอุ้มสมฤๅชิงสุกก่อนห่ามดีนะจ๊ะพี่” แพงพวยแน่งน้อยทำทีขอดค่อน แต่น้ำเสียงกระเดียดไปทางฉอเลาะให้ผัวเอ็นดูมากกว่า “มิว่าอย่างไรข้าขอเพียงอย่างเดียว อย่าให้ลูกของเราติดไข้วิปริตอย่างพวกรุ้งพราย”

“เป็นไปมิได้ หน่วยสมิงของข้ายกโขยงไปกุดหัวพวกมันหมดแล้วนี่ จะติดไข้อยู่กินแบบชายชายหญิงหญิงได้อย่างไร” มันกระซิบทำทีเป็นขึงขังเหมือนประดาวัวสันหลังหวะ

เฉลาญ์ตุ่นระแวงว่าผู้อื่นจะได้ยินความชั่วของตน จึงกวาดตาสำรวจเลิ่กลั่กทันที ว่ามีเฉลาญ์นายอื่นอยู่ในละแวกหรือไม่ ทั้งที่เทวสถานแห่งนี้สงวนให้ทหารหน่วยสาลิกาเท่านั้น ไม่มีชาวสรุกอื่นใดสามารถเข้ามาปะปน

ไม่แน่ว่าความชั่วที่มันซุกซ่อนไว้ลึกสุดใจนั้นเพราะกลัวคนอื่นจะมองออกว่ามันแอบไปกิน ‘สิ่งใด’ มา หรือกลัวเหล่าโขลญสมิงกับครอบครัวพวกมันจะมองเมียกับลูกมันไม่ดีกันแน่

“แต่ไอ้อ่ำ ลูกชายนางแดง ก็ถูกลากไปเฆี่ยนเจียนตาย เพราะทิ้งลูกเมียแอบไปเล่นสวาทให้บุรุษบำเรอกามแถวหอสังคีตบ่อยๆ มิใช่ฤๅ”

นางแพงพวยหรี่ตาหลังเปรยหยั่งเชิงผู้เป็นผัว

“ข้าบ่มีวันยอมให้ลูกชายเราติดไข้วิปริตผิดเพศอย่างไอ้อ่ำดอก” ไอ้ตูบเอ่ยย้ำ

“แล้วเหตุใดพี่ไม่ยอมดื่มยาชูกำลังที่ข้าได้มาจากเกลอสนิท” นางแพงพวยทำท่าฮึดฮัดไม่ได้ดั่งใจ “ข้าหวังดีดอกอยากให้พี่แข็งแรงปึ๋งปั๋ง”

“ยาอะไรก็ไม่รู้ ขืนกินสุ่มสี่สุ่มห้าเกิดน้ำลายฟูมปากขึ้นมาเอ็งจะอยู่กับใคร…”

ดวงตาของศศินพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกเมื่อได้ยินบทสนทนาหนุ่มสาวเบื้องหน้า

ร่างสูงหยุดยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินตามหลังชาวสรุกคนสุดท้ายเข้าไปภายในเทวาลัย เป็นจังหวะโขลญตูบกับนางแพงพวยกำลังหาที่นั่งข้างกองไฟพอดี

โขลญตูบเหลียวซ้ายแลขวา ใช้เวลาระหว่างรอทหารนายอื่นเข้ามาในเทวาลัยพิจารณาเทวาลัยประธาน ด้านในสุดเป็นห้องครรคฤหะ สถานที่ประดิษฐานพระศรีมหาอุมาเทวี หนึ่งพักตร์สี่กร หัตถ์ซ้ายบนทรงถือสัง ซ้ายล่างแสดงปางประทานพร หัตถ์ขวาบนทรงถือจักร และหัตถ์ขวาล่างทรงแสดงปางประทานอภัย อันเป็นลักษณะของปางทุรคา

ไอ้ตูบพ่นลมขึ้นจมูกเมื่อเห็นเทวรูปชายาของมหาเทพผู้เป็น ‘ศักติ’ เพราะมันไม่เคยเชื่อว่าจะมีเจ้าแม่หรือสตรีใดเป็นผู้ทรงพละกำลังถึงขั้นกุมอำนาจเหนือบุรุษได้

ขณะที่โขลญหนุ่มเบือนสายตาไปทางด้านซ้ายของเทวาลัยประธาน มันจึงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นบุรุษร่างสูงและล่ำสันผู้หนึ่งย่ำเท้าเชื่องช้าเข้ามาหยุดอยู่ข้างหอศิวลึงค์ กระทาชายผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลา ทว่าแววตาอึมครึม มิหนำซ้ำยังมีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้ไอ้ตูบรู้สึกผิดไปจากธรรมดา

“อ้าว หายไปไหนเสียแล้ว”

เพียงชั่วพริบตาที่ไอ้ตูบหันมาสะกิดเมียสาว หันไปอีกทีไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นแม้สักคน ราวกับว่าบุรุษปริศนาได้กลืนหายไปกับความมืดมิด

“ผู้ใดฤๅ” หญิงสาวถาม

“คนมาร่วมพิธีกระมัง เหมือนข้าเคยเห็นหน้าผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อน”

โขลญหนุ่มกวาดตาไปรอบเทวสถานอีกครั้ง เห็นร่างชายลึกลับยืนอยู่ข้างมาดิล กำแพงที่มียอดเป็นวิมานจำลอง บัดนี้ชายผู้นั้นกำลังก้มหน้าลงต่ำ เห็นได้ชัดว่าอยู่ในท่าเตรียมพร้อม

“นี่มันจะทำอะไรของมันกันแน่” ไอ้ตูบพึมพำ

เพลานี้เมียของทหารหนุ่มอยู่ในท่านั่งบนหลังเท้า หลังตั้งตรง มือทั้งสองข้างวางบนเข่า ศีรษะก้มต่ำ คำตอบของหญิงสาวมีเพียงเสียงจุปากให้ผัวหุบปาก

ไอ้ตูบยืดตัวขึ้นนั่งในท่าเดิม

ผู้เข้าร่วมพิธีส่วนใหญ่นั่งในท่าเดียวกันกับเมียทหาร บางส่วนกำลังยื่นส่งถ้วยดินเผากระจิริดใส่เครื่องบูชายื่นส่งให้ผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเป็นทอดๆ กระทั่งผู้นำประกอบพิธีซึ่งนั่งรายล้อมกองกูณฑ์รับไปเทใส่ไฟที่โหมลุก

“สวาหะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมหยิบการบูร งา กระวานเขียว และกานพลูใส่ถ้วย ทว่าโขลญหนุ่มไม่ได้กล่าวคำหลังจบวรรคท้ายคำบูชาเทพเจ้าเหมือนเมียสาว

ทั้งพิธีกรรมและความลี้ลับได้มอดดับลงแล้วในหัวใจของไอ้ตูบ ไม่แน่ว่าอาการกระสับกระส่ายของมันอาจเป็นผลพวงจากแรงกดดันของอาการปวดเบาร่วมด้วย แต่สิ่งที่มันอยากทำที่สุดในยามนี้คือลุกออกไปเสียให้พ้นจากเทวสถาน

ขณะที่โขลญหนุ่มกำลังจะเอื้อมมือไปแตะปลายศอกของเมียสาว หวังสะกิดให้นางลุกขึ้น แต่ความเคลื่อนไหวของศศินทำให้มันหยุดชะงัก

กลิ่นหวานเอียนคล้ายกลิ่นจันทน์อบอวลมาพร้อมกับควันไฟอันเกิดจากการเผาไหม้เครื่องบูชา ทำให้โขลญหนุ่มเผลอกลั้นหายใจตามสัญชาตญาณที่เคยฝึกปรือ ก่อนหรี่ตาเพ่งฝ่าม่านหมอกบางๆ

มันเห็นบุรุษลึกลับขยับริมฝีปากพ่นลมแผ่วเบา คล้ายส่งสัญญาณให้ใครหรืออะไรบางอย่าง

ฉับพลันงูดำมะเมื่อมยาวเฟื้อยก็เลื้อยเอื่อยอาดออกมาจากเบื้องหลังของมัน ชั่วพริบตาที่ลำตัวอาศิรพิษต้องแสงไฟ เกล็ดของมันคล้ายทอประกายสีเหลือบรุ้งทันที

เสียงสังวัธยายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความเงียบงัน เมื่อทุกคนในที่นั้นเห็นชายหนุ่มรูปงามกระชากหน้าไม้จากหลังเสาของอาคารการณกุฑุ เล็งมายังโขลญหน่วยสมิงนายหนึ่ง

เสียงปลายศรปักเข้าอกซ้ายโขลญวัยกลางคนไม่ต่างกับเสียงไอเวลาสำลักควันจากกำยาน ทุกใบหน้าในแถวรอบกองกูณฑ์ต่างเงยขึ้นพร้อมกัน เบิกตาจ้องร่างรองผู้บังคับบัญชาหน่วยสมิงหงายหลังสิ้นใจไปต่อหน้า

ผู้ที่นั่งบนอาสนะแถวหน้าสุดเริ่มสั่นกระตุกไปมา จากนั้นโงนเงนจนกระแทกหม้อกุมภ์ประจุน้ำศักดิ์สิทธิ์ล้มคว่ำ น้ำมนตร์ที่ผสมการบูรลงไปเมื่อครู่กลายเป็นสีรุ้งกระจายนองพื้น

อาการตกตะลึงของไอ้ตูบถูกทำลายด้วยเสียงครางอืออาของผู้เข้าร่วมพิธีโหมกูณฑ์

ทุกคนทำท่าจะลุกหนี ทว่าแข้งขากลับไม่เป็นไปอย่างใจสั่ง อย่างเมียสาวของโขลญหนุ่มก็ถึงกับลากร่างไปกับพื้นด้วยความตื่นกลัว

“แพงพวย…นี่เอ็งเป็นอะไรไป”

เมียของมันอ้าปากพะงาบ พยายามตอบ ขากรรไกรกลับแข็งทื่ออือออไม่เป็นภาษา

โขลญตูบเหลือบไปเห็นเศษเนื้อมะพร้าวแก่ที่หั่นเป็นชิ้นเล็กคลุกการบูรติดอยู่ในซอกปลายเล็บเมีย เพราะนั่นคือหนึ่งในเครื่องบูชา

“เอ็งมิได้แอบกินมะพร้าวใช่ฤๅไม่”

มันเขย่าตัวเมียสาว ด้วยรู้ดีว่านางชื่นชอบมะพร้าวขูดคลุกเคล้าน้ำอ้อยก้อนเหนือสิ่งใด แต่ฝ่ายหลังแข็งค้างอยู่ในท่าคลาน ทำได้เพียงเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

โขลญหนุ่มบีบมือเมียแน่น กวาดตาไปโดยรอบ ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา โคปุระทุกจุดล้วนมีงูพิษตัวใหญ่นอนขนดขดขวาง ดุจนายทวารเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” น้ำเสียงชายชาติทหารสั่นสะท้าน

มือของหญิงสาวยังจับมือผัวไว้แน่น ทว่าบัดนี้คอพับไปข้างหลัง ริมฝีปากเหยียดออก

“อีแพงพวย…”

จากปลายหางตา ไอ้ตูบเห็นสภาพคนอื่นๆ ไม่ต่างกัน ปลายนิ้วของแพงพวยกำลังสั่นระริกอยู่ในอุ้งมือของมัน หยาดน้ำตาไหลลงมาตามปรางนวล ก่อนน้ำใสจะเปลี่ยนเป็นเฉดแดงฉานต่อหน้าต่อตาโขลญหนุ่ม

หน้าอกของเมียมันไม่ได้สะท้อนขึ้นลงอีกต่อไป ร่างของหญิงสาวกระตุกสองครั้งก่อนแข็งค้าง มือที่ถูกผู้เป็นผัวเกาะกุมหลุดผล็อยลงกระทบผืนดิน

ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นรอยไหม้จุดเล็กๆ เหมือนถูกปลายธูปจี้ที่ปลายนิ้วทั้งสิบของเมียสาว หากคิดให้ดีรอยไหม้คล้ายสภาพของคนถูกฟ้าผ่าอยู่หลายส่วน เพียงแต่ริ้วอสนีบาตใหญ่กว่านี้หลายเท่านัก

ไอ้ตูบทิ้งร่างเมียคลานหนีทันที มันหวาดกลัวเกินกว่าจะทนนั่งอยู่กับที่ต่อไปได้

ควันบางเบาโชยกรุ่นลอยขึ้นจากปากที่อ้าค้างของร่างไร้ชีวิต แต่ละร่างแข็งค้างในลักษณะแตกต่างกัน บ้างนั่ง บ้างคุกเข่า นัยน์ตาแต่ละคู่เหลือกกลอกจนไม่เห็นตาดำ บริเวณหางตามีริ้วเกรียมทอดตัวเป็นสาย

ทุกคนตายแล้ว

ไอ้ตูบหวาดผวาจนไม่อานจเปล่งถ้อยคำที่จุดอยู่ในลำคอ ได้แต่กวาดตาล่อกแล่กไปโดยรอบ ถึงได้รู้ว่ายังมีผู้ที่ยังขยับไปมาได้อีกหลายคนทั่วทั้งเทวาลัย เช่นเด็กแฝดคู่หนึ่งที่ร่างถูกตรึงในอ้อมกอดของพ่อแม่ ยามนี้พวกมันกำลังสะอึกสะอื้นผะแผ่ว

โขลญตูบรีบคลานหลบเข้าไปในเงามืดของพาลิพิตัม แท่นหินวางเครื่องบูชารูปดอกบัว ซึ่งตั้งอยู่ข้างซุ้มสิงห์ มันมั่นใจว่าชั่วกษณะนั้นไอ้หนุ่มปิศาจคงไม่ทันสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของตน

จู่ๆ แผ่นหลังของมันก็ชนเข้ากับขอบช่องใต้กำแพง ไอ้ตูบหันขวับไปดูทันที

ที่แท้เป็นช่องระบายน้ำยามฝนตกออกสู่ที่ลุ่มด้านนอกเทวาลัย

มันคลานถอยหลังเข้าช่องระบายน้ำทันที ใจปรีดาว่านั่นคือทางออก แต่เมื่อคลานเข้าไปจนมิดหัว ปรากฏว่าปลายเท้าของมันสัมผัสได้ถึงตะแกรงเหล็กตาถี่ที่ติดตรึงอย่างแน่นหนา

ชายหนุ่มทุบกำปั้นลงดินด้วยความเจ็บใจ ก่อนซบหน้าลงกับพื้น ยกสองมือที่เปื้อนเปรอะขยุ้มศีรษะของตัวเอง พร้อมสวดอ้อนวอนเหล่าเทวตาอยู่ในใจ

และแล้วทุกสิ่งก็เงียบสงัด

โขลญหนุ่มกำลังสะอื้นไห้ หยาดน้ำตาหลั่งรินลงมาตามกล้ามเนื้อแก้มที่กำลังสั่นระริก ขณะที่มันพยายามข่มเสียงสะอึกไม่ให้เล็ดลอดออกจากลำคอ โดยการยกกำปั้นอุดปากตัวเองไว้

จากช่องระบายน้ำซึ่งกว้างสูงราวสุนัขโตเต็มวัยยืน โขลญตูบมองเห็นสภาพภายในเทวาลัยภายใต้แสงไฟวับแวมจากกองกูณฑ์และปลายไส้ในถ้วยดินเผา มวลอากาศเจือด้วยกลิ่นขนไหม้ไฟ คล้ายเวลาเมียสาวของมันเอาขาหมูจี่ถ่านเผาขนก่อนนำไปปรุงต้ม

“พ่อแก้วแม่แก้ว…” ไอ้ตูบเพรียกหาบุพการีอย่างสิ้นหวัง สายตายังคงตรึงอยู่ที่แท่นหินพาลิพิตัม

มันเพิ่งเห็นว่าปิศาจรูปงามใช้ผ้าสุกุลพัตร์นุ่งโจงโธตีเนื้อขาวละเอียด ตัดด้วยลายยกดอกดำสนิททั่วทั้งผืน ทำให้โขลญหนุ่มเผลอนึกถึงถ้อยคำจากเตภูมิกถาตอนฝูงนาคราชถวายผ้าห่มแต่งองค์พระเจ้าธรรมาโสกราช

ผ้างดงามดั่งผ้าทิพย์อันบริสุทธิ์ มิได้ปะปนด้วยด้ายแลไหมเทศ

ไอ้ปิศาจเหวี่ยงตุ้มกลมขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ปลายค้อนคทาเข้าใส่หินทรงดอกบัวคว่ำ อันเป็นส่วนบนสุดของแท่นพาลิพิตัม

ผลลัพธ์เกิดขึ้นในพริบตา

โขลญรู้สึกถึงแรงลมอัดปะทะ เสียงกัมปนาทหลังค้อนคทากระทั้นหินสลักเสมือนมีก้อนดินดำเข้าไประเบิดในโสต ส่งผลให้หูอื้อ สายตาพร่าลายไปชั่วขณะ

ปิศาจรูปงามเขี่ยดอกบัวหินลงจากแท่นที่สูงราวชายโครงลงพื้นอย่างไม่แยแส ราวกับว่าผกาชนิดนี้ที่เป็นภาพแทนของความสงบสุขเป็นเพียงวัชพืชไร้ค่ากระนั้น จากนั้นล้วงมือลงไปดึงถุงผ้าไหมขนาดเท่าฝ่ามือออกจากช่องที่ถูกเจาะไว้บนหน้าตัด

โขลญตูบพยายามเพ่งวัตถุที่อยู่ในมือปิศาจหนุ่มว่าเป็นสิ่งใดภายใต้แสงสลัวหรุบหรู่

“นี่น่ะฤๅศาลิครามศิลา” บุรุษรูปงามแค่นเสียงขึ้นจมูก “อถา ยท วิษิโต ภวตี ตท วิษณุรภวตี”

ผู้เป็นอิสระจากตรวนและการฉุดรั้งทั้งปวงคือวิษณุ

โขลญรีบหดตัวกลับ ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นตน

เมื่อครู่ที่ผ่านมา มันทันเห็นหินสีดำที่ชาวสรุกศกุนตะเรียกขานว่า ‘ศาลิครามศิลา’

ตอนไอ้ปิศาจล้วงหินศักดิ์สิทธิ์ออกจากถุงแล้วยกขึ้นส่องกับแสงไฟ เผยให้เห็นซากดึกดำบรรพ์คล้ายหอย (1) ขดตัวเป็นรูปกงจักรในเนื้อหิน

‘จักร’ สัญลักษณ์สำคัญของพระวิษณุ

ไอ้ตูบเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าศาลิครามศิลาปรากฏเฉพาะแม่น้ำกาลีคัณฑกี (2) ทว่าผลึกนวลใสอย่างเนื้อกล้วยสุกฝังอยู่จุดกึ่งกลางหอย

ขณะปิศาจหนุ่มกำลังตรวจสอบหินแร่ขนาดไม่เกินปลายข้อนิ้วชี้ที่ยังไม่เจียระไน จังหวะหนึ่งที่แสงไฟวูบวาบตกกระทบผลึกก่อลำแสงสะท้อนเหลี่ยมเกิดเป็นสายรุ้งจางๆ

“สูรยกานต์?”

โขลญหนุ่มเบิกตาโพลง คำถามของมันติดขัดขลุกขลักในลำคอไม่ยอมหลุดออกมาทั้งที่ปากยังอ้าค้าง

ที่มันฆ่าคนทั้งหมดเพียงเพื่อผลึกเม็ดนี้เพียงเม็ดเดียวอย่างนั้นหรือ

จริงอยู่ที่ชาวศกุนตะรวมถึงตัวไอ้ตูบเองรู้ว่าเทวสถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บรักษาของศักดิ์สิทธิ์นับแต่ภูเขาไฟวนํรุงปะทุครั้งสุดท้ายก่อนมอดดับ ทั้งโปญและมหาเสนาปติหลายต่อหลายรุ่นแวะเวียนมากราบไหว้บูชา กระทั่งพิธีโหมกูณฑ์ในค่ำนี้ยังประกอบขึ้นเพื่อระลึกถึงสวายัมภู

“ฤๅคำกล่าวของเหล่าผู้เฒ่าจักเป็นจริง” โขลญหนุ่มกระซิบ กลอกตามองหริณจันทร์แดงฉานกลมโตเหนือฟากฟ้า

ผิว์หริณจันทร์หวนคู่สุริยัน

ดึกดำบรรพ์ก่อเกิดสูรยกานต์

“ไม่ได้การ ต้องรีบหนี”

โขลญหนุ่มสะบัดหน้า ไล่ความหวาดหวั่นที่อึงอลใต้กะโหลก สิ่งเดียวที่มันอยากเก็บเอาไว้คือรอยยิ้มละไมครั้งสุดท้ายของเมียสาว กับสัมผัสละมุนจากมือนาง

ฟ่อ!

ทว่าทุกสิ่งกำลังจะสูญสลาย

อสรพิษเกล็ดรุ้งตัวหนึ่งเลื้อยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของมัน

ไอ้ตูบได้แต่เพรียกหาคำตอบจากองค์เทพว่าเหตุใดโขลญทหารและเหล่าลูกเมียของพวกมันจึงต้องพบกับจุดจบเช่นนี้

เหตุใดกัน

คำถามประการสุดท้ายคลับคล้ายจะได้คำตอบ

ขณะที่มันต้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีรุ้งของงูพิษ ดวงตาของเดียรัจฉานทำให้โขลญหนุ่มไพล่นึกถึงสีหน้าและลมหายใจสุดท้ายของเผ่ารุ้งพราย ที่ตัวมันและหน่วยสมิงเข้าเข่นฆ่าล้างโคตรเมื่อสามปีก่อนอย่างเลือดเย็น

 

เชิงอรรถ :

(1) เป็นที่รู้จักในลักษณะซากฟอสซิลแอมโมไนต์ (ammonite) สัตว์ดึกดำบรรพ์คล้ายหอยในยุคเดโวเนียนถึงยุคครีเทเซียส (Devonian-Cretaceous) ตกราวสี่ร้อยถึงหกสิบล้านปีก่อน ศาสนิกชนฮินดูเรียกเทวรูปที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติเช่นนี้ว่า ‘สวายัมภู’ เพราะซากดึกดำบรรพ์ชนิดนี้ถูกสายน้ำพัดพากัดเซาะจนกลมเกลี้ยงคล้ายจักรของพระวิษณุ

(2) ปัจจุบันแม่น้ำสายนี้อยู่ที่ประเทศเนปาล



Don`t copy text!