หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 17 : ศาลิครามศิลา

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 17 : ศาลิครามศิลา

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

อินทรธนูรู้สึกตึงเครียด สำเหนียกว่ามันกำลังสัมผัสศกุนตะที่แผกต่างไปจากเดิม คล้ายสรุกแห่งนี้ไม่อาจพบเห็นแสงสว่างอีกต่อไป

ภายในสรุกเต็มไปด้วยคาวเลือด ความละโมบ และชนชั้น มีขื่อมีแปทว่าไร้มโนธรรมผิดชอบชั่วดี ร้ายกาจชั่วช้าประหนึ่งดุ่มเดินอยู่ท่ามกลางสัตว์เดียรัจฉานในเปรตวิษัย ไม่ว่าสิ่งใดที่สามารถประคองลมหายใจยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ล้วนชั่วช้าสามานย์ แม้แต่โปญผู้ครองสรุกเยาว์วัยยังต้องเลือกหนทางหลีกลี้หนีห่างไปยังเมืองฝ้าย

สมคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ใดย่างเท้าเข้าสู่ศกุนตะ จงสลัดความหวังให้หมดสิ้น’

เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่ถูกอินทรธนูหักหลังฉายชัดในแววตาศศิน ลำคอเฉลาญ์หนุ่มถึงกับแห้งผาก ชีพจรเต้นถี่ บัดนี้ความสดใสเริงร่าของคู่ชีพิตอินทรธนูช่างเลือนราง ราวกับได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับไอดำที่แผ่ออกมาจากร่างกาย

ผู้ร้ายกับผู้รักษาศานติเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ

อินทรธนูสูดลมหายใจลึก

หากความรู้สึกส่วนตัวทำให้มันอกสั่นขวัญหาย ภายหน้าจะกล้าห้ำหั่นกับศศินได้อย่างไร คิดถึงตรงนี้ชายหนุ่มปลุกปลอบความกล้าหาญที่จะปกป้องผู้บริสุทธิ์ขึ้นอีกครั้ง กำหมัดกัดฟันแน่น แววตาฮึกเหิม

“นี่ก็เทวสถานแห่งที่สามแล้ว ศศินคงมิอาจหาญถึงขั้นบุกเดี่ยวเข้าดงโขลญกระมัง”

เฉลาญ์ตุ่นหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโคปุระของเทวสถานที่มหาเสนาปติอุปถัมภ์ จากนั้นจึงเอ่ยพลางโน้มตัวไปข้างหน้า สองมือยันเข่าอย่างอ่อนล้า ด้วยก่อนหน้านี้มันกับอินทรธนูพากันวิ่งรอกตรวจสอบเทวสถานมาแล้วสองแห่ง

เสียงหอบหายใจของไอ้ตุ่นเร้าอินทรธนูให้ก้าวนำ

“พิธีโหมกูณฑ์สิ้นสุดลงแล้วฤๅ” ร่างเปรียวเปล่งเสียงออกมาได้ในที่สุด

“นั่นซี เหตุใดเงียบผิดปกติ…”

เฉลาญ์วัยสิบเจ็ดนิ่งอึ้งกับภาพที่เห็น หลังลอดผ่านซุ้มโคปุระที่คร่อมกำแพงมาดิลฝั่งทิศตะวันออก

ประดาโขลญและครอบครัวของพวกมันต่างอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถ ไอควันบางเบายังคงลอยกรุ่นออกจากร่าง นิ้วมือหงิกงอ ทั่วสรรพางค์แข็งทื่อประหนึ่งศพชาวนาถูกสายฟ้าฟาดกลางทุ่ง แต่ละร่างล้วนบิดเบี้ยว บางรายศีรษะห้อยตกไปด้านหลัง นัยน์ตาเหลือกลาน

เว้นแต่รองผู้บังคับบัญชาหน่วยสมิงที่มีศรปักกลางอกซ้าย

“โอ มหาศิวะ เรามาช้าเกินการเสียแล้ว” ริมฝีปากเฉลาญ์ตุ่นสั่นเทา ผิดกับหัวใจของมันที่กำลังลิงโลด

ฝันร้ายได้เริ่มขึ้นแล้ว และชาวศกุนตะจะไม่มีวันลืมตื่นขึ้นมาจากห้วงฝันนี้ได้อีก

ไอ้ตุ่นป้องปากร้องอย่างนกสาลิกาทันที ท่วงทำนองขับขานบ้างลากยาวบ้างเว้นถี่คล้ายรหัส จากนั้นไม่นานสาลิกาที่เกาะอยู่ตามคาคบก็ขานรับส่งต่อกันเป็นทอดๆ

ที่น่าแปลกคือ แม้นกสายพันธุ์นี้สามารถบินอพยพไปที่ใดก็ได้อย่างอิสระ ทว่าเมื่อพวกมันบินเข้าเขตศกุนตะแล้ว เมื่อเหล่านกสาลิกาได้ยินเสียงเฉลาญ์ส่งสัญญาณขับขาน พวกมันก็ขันตอบเป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงคูที่พวกมันได้ยิน ต่อเนื่องไปเป็นทอดๆ โดยมิต้องอาศัยมนุษย์ฝึกฝน

อินทรธนูรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเพรียกหากำลังเสริม จึงปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันไป

“นี่มิใช่ฆ่าคนชั่ว แก้แค้นให้ผู้ถูกย่ำยีกดขี่ดอกฤๅ” เฉลาญ์ตุ่นตั้งข้อสังเกต

แม้เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดอย่างมันรั้งตำแหน่งเฉลาญ์มาไม่นาน สืบคดีจับโจรไปหลายคดี น่าเสียดายที่โขลญทหารและขุนนางจัญไรมากเจ้าเล่ห์กลับไม่เคยพลาดพลั้ง กระทั่งบัดนี้ยังใช้ส่วนสาอากร กินอยู่สุขสบายอยู่ในเรือนไม้โอ่อ่า

“มุสิกมีรูของมุสิก อสรพิษมีวิถีเลื้อยของอสรพิษ คนชั่วมีแนวคิดของคนชั่ว บางเรื่องขื่อแปมิอาจตัดสิน”

“เราจึงต้องมีวีรบุรุษเช่นนี้อย่างไรเล่า” ไอ้ตุ่นหมายถึงศศิน

อินทรธนูกลับส่ายศีรษะ แล้วทรุดกายลงหรี่ตาสังเกตสภาพศพเบื้องหน้า ดวงใจที่กำลังเต้นตุบในช่องอกของมันช่างหนักอึ้งด้วยความสมเพชเวทนา

“แก้วตาขุ่น มีหยาดน้ำตาสีเลือดไหลลงมาจากหางตา ริมฝีปากแสยะแข็งค้าง บ่งว่าพวกมันล้วนทุกข์ทรมานก่อนตาย มิหนำซ้ำยังมีเลือดซึมออกจากเหงือก ลิ้นบวมพองมีริ้วปริแตกอยู่ตามขอบ”

ร่างโปร่งลุกขึ้นยืน แววตาเครียดขึง

“สภาพอย่างกับผีต้องอสนีบาต” หน้าไอ้ตุ่นซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด

“ฤๅไม่ก็วางยาซ้อน”

เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองอินทรธนู สายตาสองคู่ประสานกัน ตาสีนิลสะท้อนข้อสันนิษฐานอย่างเดียวกัน

“ซ้อน? หมายความว่าสาเหตุมีมากกว่าหนึ่ง?”

อินทรธนูพยักหน้า “ทั้งปัจจัยภายในแลภายนอก”

“หากคะเนเช่นนั้น เอ็งคิดว่ามีอาวุธที่ฆ่าชาวสรุกได้จากภายนอกอย่างผาแลหน้าไม้ ส่วนภายในคงเกิดจากผู้เข้าร่วมพิธีได้ดื่มกินอะไรบางอย่างเข้าไประหว่างประกอบพิธีโหมกูณฑ์?”

“ฤๅไม่ก็สูดดม”

ไอ้ตุ่นรีบกลั้นหายใจทันที

“พื้นที่นี้เป็นลานโล่ง หากมีไอพิษจริง คงสูญสลายในอากาศนานแล้ว” อินทรธนูหักกิ่งมะตูมเขี่ยสำรวจเครื่องบรรณาการทีละประเภทอย่างเบามือ ไร้ท่าทีจะสนใจอาการกระต่ายตื่นตูมของอีกฝ่าย “แล้วเป็นอย่างที่ข้าคะเนฤๅไม่”

ศศินเอาผลึกเศษะมาทำสิ่งใดกันแน่ ปากอินทรธนูขยับถาม ในใจกลับนึกถึงบุรุษที่น่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้

“แม้ธรรมเนียมนี้มิได้มีในคัมภีร์ แต่ที่นี่มักยึดถือกันว่าผู้บูชาศาลิครามต้องกินเทวประสาท อาหารที่ถวายศาลิครามแล้วเป็นนิตย์”

“ต้องกินอาหารที่ถวายศาลิครามอย่างนั้นฤๅ” มือของอินทรธนูชะงักค้างกลางคัน หลุบตาจ้องฆีกับมะพร้าวขูด “เครื่องบรรณาการพวกนี้มีพิษผสมอยู่แน่นอน”

ไอ้ตุ่นสบตาอินทรธนู เห็นอาหารหวาดหวั่นอยู่ในนั้นชัดเจน

“ไม่มีข้อสันนิษฐานอื่นใดอีกแล้ว ผู้ร้ายใส่อะไรบางอย่างเข้าไปในอาหาร เมื่อพิษอยู่ในท้อง ร่างกายของพวกมันคงตอบสนองกับอะไรสักอย่างที่อยู่ภายนอก ถึงได้ตายด้วยเหตุปัจจัยทั้งภายในแลภายนอกอย่างเอ็งว่า”

“แล้วที่นี่มีวัตถุใดทำปฏิกิริยากับพิษด้วยฤๅ” หัวคิ้วเข้มของอินทรธนูหยักลึกยิ่งขึ้น

จังหวะนั้นเองไอ้ตุ่นเผลอทำหินดูดเหล็กที่มันชอบคลึงเล่นในมือหลุดผล็อย

ทันทีที่หินสีขี้เถ้าเทาหม่นหล่นลงข้างถ้วยดินเผาบรรจุมะพร้าวขูดผสมการบูร ผลึกใสทอประกายสีรุ้งวาววามก็ลั่นเปรียะ เกิดสายฟ้าหงิกงอขนาดเท่าขนวัวเชื่อมต่อระหว่างถ้วยกับหินสีเทาวูบวาบ

ชายหนุ่มทั้งสองสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ

อินทรธนูใช้กิ่งมะตูมในมือเขี่ยหินดูดเหล็กให้กลิ้งห่างไปอีกทาง สายฟ้าที่เชื่อมต่อระหว่างวัตถุทั้งสองก็หายวับทันที

“ข้าอยากลองเทมะพร้าวใส่หินดูดเหล็กดู” ตุ่นพูด

“หากมันเกิดระเบิดเหมือนหรดาลเล่า” หนุ่มรุ้งพรายยืนแขนออกไปทำท่าจะห้าม

“ข้าว่ามันไม่น่าระเบิดดอก”

เฉลาญ์ตุ่นหยิบถ้วยดินเผา ระมัดระวังไม่ให้นิ้วมือแตะต้องสิ่งที่อยู่ข้างใน ก่อนเทโครมราดลงบนหินสีเทา

ราวกับว่าผลึกใสที่เคลือบมะพร้าวขูดถูกพลังงานบางอย่างดูดออกมาให้เรียงตัวรอบก้อนหินของเล่นไอ้ตุ่นทันที ลักษณะการเรียงตัวของผลึกไม่ต่างกับคลื่นน้ำก่อตัวเป็นชั้นรอบก้อนหินเหมือนผงตะไบเหล็ก จากนั้นติดไฟพึ่บ เผาไหม้ลามเลียตามเส้นคลื่นอย่างรวดเร็วประหนึ่งใยนุ่นติดไฟ

“หินดูดผลึกนี้ทำปฏิกิริยาเหมือนตอนดูดผงตะไบเหล็กไม่มีผิด”

ไอ้ตุ่นพยายามสรุปสิ่งที่มันคิด ไม่สนใจว่าใบหน้าของมันจะถูกฉาบด้วยเขม่าดำอยู่หลายชั้น ยังดีที่มันไม่ได้จ่อหน้าเข้าไปใกล้ ไม่อย่างนั้นคงได้ผลลัพธ์อันยากจะคาดเดา

อินทรธนูยื่นผ้าผืนเล็กให้ “เช็ดหน้าเช็ดตาเสีย เห็นแล้วนึกว่าพวกเงาะป่าปาสคะเมา”

เฉลาญ์หนุ่มรับผ้าไปเช็ดหน้าอย่างขอไปที

“ไม่แปลกที่สภาพศพมีรอยไหม้ที่ปลายนิ้วแลทวารทั้งเจ็ด”

“ปกติชาวสรุกเอาหินดูดเหล็กที่เอ็งชอบถือเล่นไปทำสิ่งใด” หนุ่มรุ้งพรายถาม

“เอามาใช้ทำจานบ่งทิศทางอย่างชาวฮั่นอย่างไรเล่า” สีหน้าไอตุ่นเต็มไปด้วยความภาคภูมิที่มันดูรอบรู้กว่าอีกฝ่าย

อินทรธนูพยักหน้า “แล้วเทวสถานแห่งนี้มีหินดูดเหล็กด้วยฤๅ”

ไอ้ตุ่นเอียงศีรษะ สายตาไปหยุดอยู่ที่แท่นหินพาลิพิตัมสำหรับวางเครื่องบูชา บัดนี้รูปทรงดอกบัวซึ่งน่าจะเป็นส่วนบนสุดของแท่นกลับหล่นเอียงกระเท่เร่อยู่ที่พื้น

“ฤๅจะเป็นหินศักดิ์สิทธิ์…ศาลิครามศิลา” เฉลาญ์หนุ่มพึมพำ ย่ำเท้าเข้าไปใกล้แท่นหิน “ข้าเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่พูดถึงอยู่บ้าง แต่มิมีผู้ใดล่วงรู้ว่ามันถูกนำไปประดิษฐานอยู่ที่ใด มิแน่ว่า…”

“ซ่อนอยู่ในแท่นหิน?” อินทรธนูเดินเข้าไปหาไอ้ตุ่น ชะโงกดูช่องที่ถูกเจาะไว้บนหน้าตัดแท่น

เฉลาญ์ตุ่นผงกศีรษะ

“แล้วหินศักดิ์สิทธิ์นี่…” ร่างเปรียวถาม

“หลายปุราณะกำหนดว่า ผู้สามารถจับต้องศาลครามได้ต้องเป็นพราหมณ์ผู้ผ่านการสวมยัชโญปวีตแล้วเท่านั้น แต่ผู้ที่อยู่ในวรรณะอื่นสามารถเป็นยชมาน…เจ้าภาพผู้บูชาศาลิครามได้” ไอ้ตุ่นอธิบาย

“อย่าบอกนะว่าผู้เป็นเจ้าภาพบูชาศิลาของเทวสถานนี้คือ…”

“มหาเสนาปติ” ไอ้ตุ่นพูดทันควัน “เทวสถานแห่งนี้ถึงได้สงวนให้แต่พวกโขลญเข้าร่วมพิธีอย่างไรเล่า”

“หินศาลิครามมีความสำคัญเยี่ยงไรแน่” ร่างเปรียวมุ่นหัวคิ้ว กวาดตาหาสถานที่ที่น่าจะมีศิลาศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่

นับแต่อินทรธนูเกิดมา ยายเฒ่าลงผีซึ่งมีศักดิ์เป็นยายของมันก็ไม่ค่อยได้อยู่ในเผ่า ด้วยอาสามาอยู่เฝ้าบานเมืองตามประสงค์ของนางเดือนหัวหน้าเผ่า จึงไม่ได้บอกเล่าความเป็นมาของหินศักดิ์สิทธิ์ของชาวรุ้งพรายนี้ให้มันฟังเท่าไรนัก

“คัมภีร์พรหมไววรรตปุราณะและวิษณุปุราณะกล่าวว่า เดิมพระลักษมี พระสุรัสวดี แลพระแม่คงคา ทั้งสามพระองค์เป็นมเหสีของพระวิษณุ ครั้งหนึ่งทั้งสี่พระองค์ประทับอยู่ด้วยกัน พระแม่คงคาทรงทอดพระเนตรพระวิษณุด้วยความรัก พระวิษณุทรงทอดพระเนตรกลับ ทำให้พระสุรัสวดีไม่พอพระทัย รับสั่งว่าพระวิษณุทรงลำเอียงแล้วทรงบริภาษพระแม่คงคา ทว่าพระลักษมีทรงห้ามปรามไว้ พระสุรัสวดีจึงทรงสาปพระลักษมีให้กลายรูปเป็นต้นตุลสิแลแม่น้ำคัณฑกี พระแม่คงคาจึงทรงสาปพระสุรัสวดีให้เป็นแม่น้ำสรัสวดี พระสุรัสวดีจึงทรงสาปพระแม่คงคาให้ลงจากเทวโลกมาเป็นแม่น้ำคงคาคอยล้างบาปพัดพาสิ่งสกปรกของมนุษย์มิต่างกัน”

อินทรธนูหันขวับไปยังผู้ทะลุกลางปล้อง ยามนี้ผู้พูดกำลังลอดผ่านซุ้มโคปุระเข้ามาภายในอย่างเชื่องช้าด้วยสภาพร่างกายยังปวดหนึบจากบาดแผล พลางเล่าเรื่องราวเทพปกรณัม

“พระนารายณ์ทรงถวายพระสุรัสวดีแด่พระพรหม ส่วนพระแม่คงคาถวายแด่พระศิวะ ก่อนเทวีทั้งสามลงจากเทวโลกมาสถิตในชมพูทวีป”

ปูรณิมนิ่วหน้า ยกมือขวาขึ้นคลำแผลที่ปวดตึง ทว่าการกัดริมฝีปากแน่นของชายหนุ่มหาใช่กำลังข่มกลั้นอาการเจ็บปวด ทว่ากลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลเพราะความโหดร้ายจากภาพเหล่าโขลญและครอบครัวของมันเบื้องหน้า

“กาลต่อมาพระลักษมีทรงมาจุติเป็นราชกุมารีของอสูรกาลเนมิ แลได้อภิเษกกับอสูรสังขจูฑะ อสูรตนนี้ก่อศึกกับเทวโลก ล่วงเกินพระอุมา พระอุมาพิโรธมากจึงทูลขอให้พระวิษณุทำลายอสูรตนนี้เสีย พระวิษณุกลับทรงเนรมิตพระองค์เองเป็นสังขจูฑะ เพื่อร่วมอภิรมย์สังวาสกับพระอุมา พระอุมาล่วงรู้ด้วยอำนาจจากตบะสมาธิ จึงสาปให้พระวิษณุกลายรูปเป็นหินศาลิคราม ถูกแมลงวัชรกีฏะเจาะไชร่างของพระองค์ให้เป็นสัญลักษณ์จักรดังที่ปรากฏในศาลิครามศิลา”

“มิน่า…หินนี้ถึงได้ซุกซ่อนอยู่ภายในเทวาลัยพระแม่ทุรคา ปางหนึ่งของพระปารวตีแลพระลักษมี”

อินทรธนูคิดบางสิ่งในใจ จึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“นี่คือการฆ่าล้างแค้นของศศินอย่างนั้นฤๅ” ปูรณิมถามด้วยความเจ็บปวด

อินทรธนูกลับไม่อาจยืนยันหรือปฏิเสธ ทำได้เพียงยืนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกอยู่อย่างนั้น

ปูรณิมกล่าวต่อ

“ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว พฤติกรรมของผู้ร้ายมิสอดคล้องกับมือสังหารจิตวิปลาส เห็นได้ชัดว่ามันมีความสามารถในการวางแผน และเมื่อดูจากสภาพศพ ฆาตกรคงมิได้ทรมานผู้เคราะห์ร้าย นี่เท่ากับผู้ลงมือได้คัดเลือกเหยื่ออย่างรอบคอบ วางแผนละเอียดลออก่อนลงมือ”

“อือ…”

ยังไม่ทันสิ้นคำปูรณิมดี จู่ๆ ก็มีเสียงผะแผ่วแว่วดังมาจากกำแพงมาดิล เสียงนั้นคร่ำครวญโศกเศร้าไร้เรี่ยวแรงราวมีคนถูกกักขังอยู่หลังก้อนอิฐ

“นั่นเสียงคร่ำของผู้ใด” อินทรธนูตะโกน สายตาระแวดระวัง

“ติดหนี้ชดใช้ด้วยเหรียญ ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต นั่นคือวิถีธรรมชาติแห่งกรรม…” น้ำเสียงละเมอเพ้อพกแว่วขึ้นอีกครั้ง

เฉลาญ์หนุ่มทั้งสามเงี่ยหูฟังทิศทางของถ้อยคำพร่ำเพ้อ พลางเดินหลบหลีกซากศพที่แข็งทื่อ

กร๊อบ!

แม้ลมหนาวแห่งรัตติกาลกำลังพัดหวีดหวิว แต่เสียงคล้ายกระดูกลั่นเบาๆ นั้นลอยกระทบโสตให้ได้ยินชัดเจน

ความตึงเครียดก่อตัวขึ้นในมวลอากาศอีกครั้ง อินทรธนูแทบได้ยินเสียงกะโหลกลั่นขณะคิดคำนวณทุกทางว่าจะรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดอย่างไร

พริบตานั้นเอง อินทรธนูรู้สึกประหนึ่งกาลหยุดนิ่งไปชั่วขณะ

โขลญตูบนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่หน้าช่องระบายน้ำฝน โดยมีงูลำตัวอวบอ้วนกำลังม้วนรัดร่างกายทหารหนุ่มแน่นเข้าทีละน้อย เสียงหักเมื่อครู่คงเกิดจากกระดูกท่อนแขนหรือไม่ก็ซี่โครงที่พับงอจนสะบั้นขาด

บัดนี้ใบหน้าไอ้ตูบที่โผล่พ้นลำตัวงูดูเหม่อลอย ดวงตาเบิกโพลง ปากขยับหมุบหมิบพยายามเอ่ยคำขอความช่วยเหลือ

เฉลาญ์ตุ่นกระโจนเข้าคว้าคองู หมุนข้อมือหักคอเดียรัจฉานทันที

งูเขื่องดิ้นเร่าสิ้นใจ คลายลำตัวจากร่างโขลญตูบ เปิดโอกาสทำให้มันพูดเพ้อถึงเส้นทางลงนรกจากปุราณะขึ้นมาอีกคำรบ

“คล้องบ่วงบาศลากคอคนบาปลงสู่แดนยมราช สูรยะสิบสองดวงแผดเผา หนามเกี่ยวเนื้อแหว่งวิ่น อสรพิษฉกรัดทึ้งวิญญาณ…”

โลหิตทะลักจากมุมปากทหารหนุ่มพร้อมถ้อยคำพร่ำเพ้อถึงห้วงเวลาแห่งหายนะล้างโลก ตามด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย

สายตาไอ้ตูบที่นิ่งค้างยังคงจับต้องอยู่ที่ช่องระบายน้ำฝนอันมืดมิดใต้กำแพง



Don`t copy text!