หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 26 : จุมพิต

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 26 : จุมพิต

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

“พวกอัญทำสิ่งใดผิด หน้าส่วยก็บ่เคยขาด” เดือนตะคอก

“ลองถามตัวมึงดูซี”

แววตาภายใต้ขนคิ้วดกหนาของไอ้ตูบทอประกายวาววับดูลึกลับอย่างไม่อาจทำความเข้าใจได้ มุมปากโค้งลงบ่งอาการปรามาส

“กูบ่เคยทำสิ่งใดให้พวกศกุนตะ” เดือนแค่นเสียงลอดไรฟัน

นางรู้สึกเหมือนกำลังยืนคร่อมเส้นแบ่งเขตแดนโปร่งใส เท่าข้างหนึ่งเหยียบศกุนตะอันเครียดขรึม ดินแดนที่เต็มไปด้วยภาพแห่งความอบอุ่นระหว่างพ่อ แม่ และลูก อีกข้างเหยียบรุ้งพราย รุ้งพรายที่หมายถึงเสรี ดินแดนที่ทำให้เดือนหลงลืมเสียสนิทว่าความเป็นหญิงและความเป็นชายคือสิ่งใด

หัวหน้าเผ่ารุ้งพรายยังจดจำจุมพิตแรกเมื่อราวสิบห้าปีก่อนได้ดี ยามที่นางอายุเพิ่งย่างสิบห้า อยู่ในวัยแรกแย้มแบ่งบาน

มันเป็นเพียงจูบเดียวเท่านั้น

มันคือรสสัมผัสที่มีมนตร์สะกดดุจเรื่องราวในปกรณัมบุราณ กระทั่งบัดนี้รอยจุมพิตของบานเมืองยังคงตรึงแน่นไม่เสื่อมคลาย

มันคือความหวังอันสูงส่งของเธอ

เพราะเดือนคงไม่มีวันพบความรักเช่นนั้นอีก…

ความรักที่เบ่งบานได้ด้วยรอยจุมพิตเดียว

“แล้วอีบานเมืองมันติดไข้ลักเพศมาจากผู้ใด ใครที่บังอาจทำให้หญิงชายในศกุนตะนอกรีตนอกรอย” โขลญตูบหน่วยสมิงหัวเราะคิกคัก “ทั้งที่เกิดมาทำแค่หน้าที่เมียก็ดีอยู่แล้ว งานอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนสบายจะตายห่า”

เดือนเม้มริมฝีปาก กำมือทั้งสองข้างแน่นกระทั่งสั่นระริกไปทั่วสรรพางค์

จู่ๆ ไอ้คนพูดพล่ามก็รู้สึกอึดอัดเมื่อก้าวออกสู่ที่โล่ง เป็นความรู้สึกประหลาดเหมือนตอนที่มันถูกมหาเสนาปติผู้โหดเหี้ยมจับจ้องยามสั่งการ นับแต่ไอ้หาญล่วงรู้ว่าบานเมืองกับเดือนมีสายสัมพันธ์บางอย่างผูกโยงกันอยู่ เสนาปติผู้นี้ก็มักอารมณ์ร้าย คล้ายท้องฟ้าก่อนพายุโหมกระหน่ำ

“ข้าว่ารีบจัดการให้มันเสร็จเถอะ ข้าไม่ชอบคืนเดือนมืดเลยว่ะ” โขลญอีกนายที่ยืนอยู่ข้างไอ้ตูบเร่ง

ยังไม่ทันสิ้นคำ รังต่อหัวเสือขนาดมหึมาก็ลอยลิ่วตกลงใส่หัวไหล่ของส่วนกำลังราบที่ยืนเคียงกันทั้งสองนาย รังต่อแตกโพละเหมือนหม้อดิน ฝูงต่อแถบส้มอมเหลืองตัวอวบอ้วนที่เดือดดาลบินกรูออกมาในอากาศทันที

ความโกลาหลเกิดขึ้นทันใด

ศศินเงยหน้าขึ้นมองอินทรธนูบนคาคบสูงลิ่ว ด้วยหลานยายเฒ่าลงผีกระโดดแผล็วปีนขึ้นต้นไม้เงียบกริบก่อนที่ไอ้โขลญสองนายจะทันรู้ตัวด้วยซ้ำ

ปืนป่ายคล่องแคล่วเช่นนี้ ชะรอยยากลิ่นเหม็นของหมอมนตร์คงออกฤทธิ์ดีสมคำร่ำลือ ศศินกระหยิ่ม

อินทรธนูอาศัยจังหวะนั้นบุ้ยใบ้ให้พ่อแม่ลูกที่อยู่เบื้องล่างรีบวิ่งไปยังน้ำตกซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล

ขณะศศินพยักหน้ารับรู้แล้วออกวิ่ง ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกว่าถูกเหล็กในทิ่มเข้าที่ผิวแก้มครั้งหนึ่ง ครั้งต่อมาตรงท้ายทอย พิษของมันทำให้เด็กชายพะอืดพะอมในชั่วพริบตา

ทว่าไอ้โขลญสองหน่อไม่ได้อยู่ในระยะโชคดีอย่างนั้น

พวกมันถูกต่อยหลายครั้ง โขลญตูบปากมากเริ่มคลั่ง ตะโกนด่าทออย่างคนเสียสติ พยายามฟาดตัวต่อด้วยหน้าไม้

แน่นอนว่านั่นเป็นการออกแรงที่ไร้ประโยชน์

โขลญอีกนายตะเบ็งเสียงให้ไอ้ตูบเข้าช่วย ทว่าเกลอสนิทของมันผู้นั้นกลับพยายามวิ่งตุปัดตุเป๋โดยไม่ยอมเหลียวหลังกลับมาแม้แต่ครั้งเดียว

อินทรธนูเฝ้าดูโขลญทหารล้มลงกับพื้นจากง่ามไม้ ดูมันบิดตัวดิ้นเร่าอย่างบ้าคลั่ง เพียงชั่วอึดใจไอ้โขลญก็แน่นิ่ง

แม้เด็กชายไม่อยากนั่งเป็นเป้านิ่งอยู่กับที่นานนัก แต่ก็ยังฝืนใจเกาะอยู่บนต้นไม้อีกครู่หนึ่ง รอให้รังต่อว่างเปล่าเหลือเพียงตัวอ่อน ก่อนจะรีบไต่ลงสู่พื้น

ขณะที่อินทรธนูตั้งใจว่าจะวิ่งตามศศินกลับเกิดบางสิ่งขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

อุ้งมือใหญ่หนาซึ่งน่าจะเป็นฝ่ามือของบุรุษคว้าหมับครอบมิดทั้งจมูกและปากของเด็กหนุ่ม

อินทรธนูเหวี่ยงป่ายแขนขาดิ้นสุดแรงเกิดทันที มือหนึ่งพยายามแงะฝ่ามือที่ปิดเกือบมิดหน้า มืออีกข้างจิกข่วนท่อนแขนที่รัดรอบอกของตนไว้

ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มกรีดร้องอู้อี้ ปลายลิ้นสัมผัสได้ถึงน้ำมันหนืดเหนอะที่ฉาบบนฝ่ามือของบุรุษปริศนาจนชุ่มโชก แต่ละนิ้วของมันช่างแข็งแกร่งเรียงชิดดุจแท่งหิน ดิ้นเท่าไรก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

ไม่นานอินทรธนูก็รู้สึกเหมือนลมหายใจกำลังจะขาดห้วง จึงเผลอสูดอากาศเข้าปอดเสียเต็มรัก สิ่งที่มาพร้อมกับกลิ่นหวานเอียดคือรสของมันที่ฝาดเฝื่อน

ร่างเด็กหนุ่มกระตุกงอฉับพลัน จังหวะนั้นใบหน้าของมันเลื่อนหลุดจากฝ่ามือ จึงผินหน้ามองหมาลอบกัด

“ปูรณิม?”

“จุ อย่าเอ็ดไป ข้ามาช่วยเอ็ง”

อินทรธนูอ้าปากคล้ายต้องการเอ่ยอะไรบางอย่าง สัมปชัญญะกลับดับวูบ สิ้นสติสมปฤดี

 

ศศินมุดลงใต้ผิวน้ำจนมิดหัว ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงลากตัวเองขึ้นมานั่งบนก้อนหินริมแอ่งน้ำตก พิษจากเหล็กในทำให้เด็กชายเวียนศีรษะไม่น้อย สิ่งที่ผู้เฒ่าผู้แก่เอ่ยถึงความเจ็บปวดจากเหล็กในของต่อหัวเสือล้วนไม่ใช่คำขู่

เมื่อศศินลองคลำก้อนบวมแถวท้ายทอย ยามนี้ขนาดใหญ่ของมันเริ่มขยายใหญ่กว่าลูกมะหาด

ขณะปลายนิ้วแตะโดนของเหลวที่ซึมออกจากรูขจิริดบริเวณที่เขาดึงเหล็กในออก สายตาจับจ้องไปยังทิศทางซึ่งตนเพิ่งวิ่งหนีตายมาเมื่อครู่ ความมืดเบื้องหน้าทำให้เด็กชายรู้สึกอึดอัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับมวลอากาศกำลังกดทับทรวงอกให้เขาหายใจไม่ทั่วท้อง

สิ่งที่เกิดขึ้นในรัตตินี้ไม่มีวันเลือนหาย ศศินรู้ดีว่าภาพที่เห็นจะคอยตามหลอกหลอนไปชั่วชีวิต จิตวิญญาณของชาวรุ้งพรายที่ยังเหลือรอดคงหนีไม่พ้นอาการฉีกขาดแหว่งวิ่นอย่างไม่มีวันสมานได้อีก บางรายอาจถึงขั้นจิตใจวิปริตอย่างที่พวกศกุนตะว่าไว้ก็ได้

“เจ็บมากไหมลูก”

ทันทีที่เดือนโผล่พ้นผิวน้ำก็ตรงดิ่งเข้าไปหาบุตรชาย

ศศินส่ายหน้า จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของมารดา เห็นแต่ความเศร้าสร้อย แม้เดือนจะพยายามซ่อนไว้อย่างสุดความสามารถก็ตาม

“อินทร์ยังบ่ตามมาเลย” เด็กชายเสเปลี่ยนเรื่อง แม้ใจลึกๆ อยากถามมารดาถึงเหตุแห่งความรันทดนั้น “เมื่อครู่ศินคงได้ยินโขลญพวกนั้นพูดเกี่ยวกับตัวแม่แล้ว”

สีหน้าของนางเดือนดูซีดเซียว เปราะบางดุจผลึกแก้วกระนั้น

ศศินอยากเอ่ยอะไรบางอย่าง ทว่าทำไม่ได้ เพราะเรื่องราวของสตรีชาวศกุนตะนามว่าบานเมืองเกิดขึ้นก่อนที่เด็กหนุ่มจะลืมตาดูโลก แม้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แต่ก็ได้ยินบิดาเผลอพูดถึงอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นคำพูดไม่ปะติดปะต่อ มันจึงไม่เข้าใจเท่าไรนัก

“แม่มักจำไม่ได้ว่าคนที่เป็นแม่ควรทำเช่นไร” เสียงนางเดือนสั่นพร่า น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม “แม้แม่บ่ได้รักพ่อ แต่แม่อยากให้ศินรู้ไว้ว่าลูกเป็นของกำนัลสุดวิเศษที่เหล่าเทพยดาประทานให้แม่ อย่าลืม…อย่าลืมว่าแม่รักลูกมากเพียงใด”

“แม่กับพ่อ…” ศศินไม่กล้าเอ่ยต่อ

นางเดือนพยักหน้า

“แม่ออกเรือนกับพ่อเพราะแม่ละอายแก่ใจ บ่ใช่ละอายใจที่แม่รักบานเมือง แต่ที่ต้องอยู่กินกับกระสัง ลูกชายหัวหน้าเผ่าคนก่อน ก็เพราะแม่บ่อยากให้ชาวรุ้งพรายต้องเผชิญกับหายนะ”

“เดือน! พวกมันไล่ตามมาแล้ว!” ยายเฒ่าลงผีตะโกน ในมือมีหน้าไม้พร้อมซองหนังแบบห้อยเฉียงบ่าบรรจุลูกศรแน่นขนัด คงเป็นของไอ้โขลญที่ถูกต่อหัวเสือต่อยตายที่ใต้ต้นไม้เมื่อครู่

เรื่องเล่าของนางเดือนจึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น

“อินทร์เล่ายาย”

เด็กชายเห็นยายเฒ่าลงผีน่าจะวิ่งผ่านมาทางนั้นจึงถามอย่างร้อนใจ เก็บความสงสัยในเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อบานเมืองเข้ากรุแห่งความทรงจำ

ทว่ายายเฒ่ายังไม่ทันได้ตอบคำ ไอ้โขลญนายหนึ่งก็ตะโกนก้อง

“หัวโจกลัทธิกามวิตถารอยู่ทางนี้โว้ยพวกเรา พวกมันตาบอดในคืนเดือนมืด พวกเรามิต้องกลัว”

สิ้นคำไอ้โขลญ น่องซ้ายของยายเฒ่าลงผีก็ถูกกุทัณฑ์ดอกหนึ่งปักคาทันที

หญิงชราทรุดฮวบแต่ไม่ยอมแพ้ นางเอี้ยวตัวเล็งหน้าไม้ใส่ลำคอไอ้โขลญปากมาก ก่อนจะปล่อยให้สายหนังควายฟั่นเกลียวที่รั้งกับคันโก่งพาลูกดอกลอยลิ่วปลิดชีวิตมัน

จังหวะนั้นนางเดือนแลเห็นแขนขวาของชายผู้หนึ่งโผล่พ้นจากเงามืด มีผ้าเคียนพันทับผิวหนังอยู่หลายชั้น มันกวัดแกว่งแหลนประดับพู่ขนนกเล่มหนึ่งในมือ พุ่งเข้ามาหาหญิงชรา หมายเสียบคอยายเฒ่าลงผีให้ตายตกตามลูกน้องของมันไป

หญิงสูงวัยไม่มีเวลาให้ถอยหลังอีกแล้ว จำเป็นต้องยกหน้าไม้ต้านรับปลายแหลนของมหาเสนาปติ

“ไอ้หาญ!” นางเดือนตะลึงตะไลกับโฉมหน้าผู้ก่อเหตุ

เสียงเรียกทำให้มันชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนสำรอกคำดูหมิ่น ขุดด้วยปากถากด้วยตา “พวกลักเพศช่างทนมือทนตีนอย่างคำเขาว่าจริงๆ”

จังหวะนั้นนางไม่อาจลังเลได้อีก คว้าใบมีดความกว้างราวสองนิ้วมือออกจากปลอกที่พันไว้แถวต้นขา ปาใส่ตัวการของเรื่องทันที

ไอ้หาญจำเป็นต้องเบี่ยงกายหลบใบมีดบางเฉียบและคมกริบ กระทั่งเผลอสะดุดกระไดลิงเครือเขาหลงพาร่างซวนเซ

ยายเฒ่าลงผีเสียบลูกดอกใส่รางป้ายชันโรงแคล่วคล่อง ยิงเสียบแขนขวาของมันดังฉึก

ไอ้หาญส่งเสียงคำรามทันที พร้อมกับอาวุธคู่กายหลุดผล็อยจากมือ

เมื่อศศินเห็นว่ายายเฒ่าลงผีหอบหายใจอย่างหน่วงหนักขณะลากขาที่มีลูกธนูปักคาเข้ามาหาตน เด็กหนุ่มจึงรีบวิ่งเข้าไปพยุงหญิงชราพร้อมกันกับนางเดือน

“ฆ่ามัน!”

ไอ้หาญตะโกนก้องด้วยความเกรี้ยวกราด 

 



Don`t copy text!