หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 27 : คำมั่น

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 27 : คำมั่น

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

หน่วยสมิงย่างสามขุมออกมาจากที่ซุ่มหลังป่าชิงชัน ในมือแต่ละคนถือกุทัณฑ์ทรงพลัง ก่อเสียงตื่นตระหนกจากลำคอของหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายทันที

“ยาย” หัวหน้าเผ่ารุ้งพรายหันไปกระซิบสั่งยายเฒ่าที่ยังปราดเปรียวแข็งแรง “ที่นี่บ่ปลอดภัย หนีไปทางตะวันออกเดี๋ยวนี้!”

สตรีหัวหน้าเผ่าผู้นี้ร่างกายแบบบาง ยามเคลื่อนไหวจึงคล่องแคล่วปานสายลม นางใช้ร่างกายบดบังลูกชายและยายเฒ่าให้รีบเผ่นออกแอ่งน้ำชุ่มเลือด

“อย่าออกสู่ที่โล่งเด็ดขาด! เข้าใจฤๅไม่”

ฉึก!

เพียงเสี้ยวลมหายใจก็เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงขึ้นอีกครา เสียงนั้นทำให้ศศินมึนงงไปชั่วขณะ สายโลหิตที่ไหลซึมจากลำตัวของไอ้ด่างทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกคล้ายลอยลิ่วสู่ปรโลก

สุนัขจิ้งจอกกระโดดเอาร่างกายของมันเป็นเกราะกำบังให้นายน้อย

ทว่าศศินไม่ทันได้สังเกต ว่าเมื่อครู่มีโขลญอีกนายยิงหน้าไม้พร้อมกันกับไอ้หาญ

“แม่!”

หัวใจศศินตกวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม หยาดน้ำใสเริ่มถั่งโถมจากหางตา ด้วยใต้ไหปลาร้าข้างซ้ายของมารดาปรากฏหัวศรเสียบทะลุ

ภาพเดือนกำลังอ้าปากพะงาบพยายามเอาลมหายใจเข้าปอดช่างน่าสมเพชเวทนา

“แม่บ่เป็นไร บ่ต้องร้องไห้” สตรีหัวหน้าเผ่าเอื้อมปลายนิ้วสั่นระริกเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม ลูบศีรษะบุตรชายอย่างทะนุกถนอม ก่อนประคองใบหน้าศศินขึ้นเพื่อไม่ให้จมจ่อมอยู่กับโลหิตสิ่งอุจาดตา “แม่คงปกป้องศินได้เพียงเท่านี้แล้ว…”

ศศินส่ายหน้า สะอื้นฮัก

“วิ่ง!”

เดือนผลักลูกชายกับยายเฒ่าออกไปให้พ้นตัว หมุนร่างเล็งหน้าไม้อาวุธที่นางสันทัดไม่แพ้กุทัณฑ์ใส่หน่วยสมิงผู้หนึ่ง ยังผลให้ก้อนดินดำในมืออีกฝ่ายหลุดร่วง

ทันทีที่วัตถุกระทบพื้น คลื่นกระแทกจากพลังงานความดันกสิณพาร่างผู้ที่อยู่รายรอบลอยลิ่วในชั่วพริบตา เศษซากแตกกระจายไปทั่วผืนดินก่อเปลวเพลิงลุกโชติ

แรงปะทะมหาศาลเล่นเอาศศินหน้ามืด ร่างเด็กชายเสียหลักถลาลิ่วลงแอ่งน้ำตกด้วยร่างของมารดากระเด็นมากระทบ ส่วนยายเฒ่าลงผีกะเผลกลงแอ่งน้ำก่อนผลุบหาย

เมื่อเด็กชายคว้าร่างมารดาเอาไว้ได้ จึงเอื้อมมือช้อนใต้ต้นแขนของเดือนเอาไว้แน่น กระเสือกกระสนลากร่างไร้สติของมารดาขึ้นมาพักที่ข้างโขดหินสุดกำลัง

“แม่…” ศศินสะอึกสะอื้น โอบกอดวงศ์วานที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวไว้ในอ้อมแขน ก่อนซุกหน้าเข้าที่หัวไหล่

เดือนปรือตา แววที่ฉายอยู่ในนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แม้ร่างกายและใบหน้าถูกสะเก็ดระเบิดเกิดคราบเลือดเกรอะกรัง

“ถ้ำ!” เดือนกระซิบ หมายถึงถ้ำเกล็ดหินหลังม่านน้ำตก

“แต่แม่…”

“บ่มีแต่” เดือนสั่งเสียงเข้ม ทั้งที่อาการบาดเจ็บของนางเกิดจากศรที่ปักคาและบาดแผลจากสะเก็ดดินดำอยู่ไม่น้อย “รับปากกับแม่ ลูกต้องมีชีวิตต่อ บ่ว่าภายหน้าจักเกิดสิ่งใดขึ้น”

เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะ แม้สะอื้นฮักหนักหน่วยแต่ไม่ยอมให้เสียงเล็ดลอด

“ศิน! ให้คำมั่นกับแม่เดี๋ยวนี้”

“ศินสัญญา…”

หัวหน้าเผ่ารุ้งพรายเอื้อมมือไปลูบศีรษะก่อนเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อยเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นพยักพเยิดให้ศศินรีบมุดลงใต้แอ่งน้ำ ว่ายไปซ่อนตัวในถ้ำหลังน้ำตก

“พวกมึงต้องตกตายตามกันไปให้หมด!”

ไอ้หาญสะบัดหน้า พยายามเรียกสติขณะยักแย่ยักยันดันร่างขึ้นจากพื้น ตัวของมันเองก็บาดเจ็บด้วยฤทธิ์ดินดำไม่ต่างกัน

“ขนาดผีย่ายายยังคุ้มกะลาหัวของพวกมึงไว้มิได้”

“อย่าคิดว่าเศษสวะอย่างพวกมึงจะข้ามศพกูไปได้ง่ายๆ” เดือนตะคอกแล้วไอโขลก ลิ้นรับรสสนิมเค็มปร่าจากโลหิต

แม้กระนั้นในดวงตาของอิตถีผู้แกร่งกล้ากลับสะท้อนเหล่าโขลญนับสิบเบื้องหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว

เดือนคลานไปคว้าหน้าไม้ในมือโขลญหน่วยสมิงผู้หนึ่งที่แน่นิ่ง ชั่วพริบตาที่นางยันกายเล็งหน้าไม้ตรงไปยังนัยน์ตาของไอ้หาญ จู่ๆ ศรกุทัณฑ์ก็ปักเข้าใต้ชายโครงของนางเดือนอีกครั้ง

สตรีหัวหน้าเผ่าแน่นิ่งทันที ทำให้หน้าไม้ในมือหลุดผล็อย ลูกดอกที่เดือนเล็งขั้วหัวใจไว้เมื่อครู่จึงพลาดเป้า พุ่งปักต้นขาไอ้หาญแทน

“อ๊าก…! อีแพศยาวิปริต” ไอ้หาญคำรามด้วยความเจ็บปวด เห็นอีกฝ่ายสิ้นใจในท่านั่งก็สาแก่ใจไม่น้อย จึงตะโกนสั่ง “สิ้นเผ่าสิ้นโคตรได้ก็ดี พวกเราถอย!”

เมื่อพวกโขลญเห็นเดือนนั่งคอตกไม่ไหวติง จึงรีบแบกหัวหน้าหน่วยสมิงลงเขาไปรักษา โดยที่ลืมนึกถึงเด็กน้อยกับหญิงชราผู้หนึ่งไปเสียสนิท

ศศินนั่งโยกตัวอยู่ในความมืดของคูหาหลังม่านน้ำตกอย่างเดียวดาย พลางยกกำปั้นอุดปากตน ปิดกั้นเสียงสะอื้นไห้อยู่เช่นนั้นนานเนิ่น

เมื่อเสียงภายนอกเงียบลงครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มจึงออกจากถ้ำหลังท่านน้ำตก มุดน้ำออกไปหามารดา

ทันทีที่ศศินเห็นก้านศรกุทัณฑ์โผล่พ้นจากชายโครงหัวหน้าเผ่ารุ้งพราย เด็กหนุ่มพลันเปล่งเสียงแผดร้องอันสิ้นหวังดังก้องพนาวา

“ลูก…อย่ามอง…” เดือนกระซิบ ลมหายใจรวยรินและขาดห้วง

นางกัดฟันดึงลูกกุทัณฑ์ออกจากร่าง ตามด้วยสายโลหิตพรั่งพรู จากนั้นหงายล้มไปด้านหลังอย่างยากจะทานทน

ศศินพุ่งเข้าไปรับร่างของมารดา ประคองนางเอาไว้ในอ้อมกอด

ลมหนาวกระพือโบก กวาดใบไม้ลอยลิ่ว ฝุ่นคลุ้งคลุมดิน

เดือนยกมืออันสั่นเทาขึ้นลูบใบหน้าบุตรชายอย่างยากเย็น

“แม่…” ศศินสะอื้นฮัก

“หนาวบ่”

“บ…บ่หนาว…” ศศินส่ายหน้า “ตอนนี้ศินอบอุ่นเหลือเกิน”

“สุ้มเสียงที่ศินพูดล้วนสั่นเครือ” หัวหน้าเผ่ารุ้งพรายยิ้มระโหย “ปี่ของพวกภูไทเล่า”

เด็กหนุ่มปลดปี่ไผ่เฮียะ เครื่องเป่าของชนเผ่าผู้อพยพลงสู่หัวพันห้าพันหก ดินแดนที่ราบสูงทางตอนใต้ ออกจากสายคาดเอว

“เป่าให้แม่ฟัง…เป็นครั้งสุดท้าย…ได้บ่…”

คำพูดที่หลุดจากริมฝีปากแห้งระแหงของนางเดือนช่างแผ่วเบาเหลือประมาณ

ศศินเป่าปี่ภูไทท่วงทำนองอ่อนหวาน ปนเสียงสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอ มืออีกข้างเอื้อมคว้าแล้วเกาะกุมมือข้างซ้ายของมารดาเอาไว้แน่น

“แม้เราเกิดมาบ่มีโอกาสเทียบเท่าผู้อื่นเขา แต่แม่…” มุมปากหญิงแกร่งเชิดขึ้นเล็กน้อย ราวได้ย้อนกลับไปยังกระท่อมน้อยอันอบอุ่นในป่าใหญ่ “แม่อยากเห็นศิน…เดินต่อไปในเส้นทางใต้แสงสุริยัน…ได้ฤๅไม่”

เด็กหนุ่มผงกศีรษะ ขณะเป่าท่วงทำนองหวีดหวิวเศร้าสร้อย

ชั่วพริบตานั้นเองสตรีหัวหน้าเผ่าก็ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปในอ้อมกอดของบุตรชาย มือข้างหนึ่งแบออกท่ามกลางพื้นใบไม้ชื้นแฉะทับถม

ความเกลียดชังจากเผ่าอื่นโหมเผาเผ่ารุ้งพรายไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการคิดเองเออเองว่าเชื้อชาติตนสูงส่งเหนือชั้นกว่า เห็นพวกมันเป็นอื่นกระทั่งก่อเกิดความหวาดระแวง ชิงชัง พร้อมใช้ความรุนแรงเข้ากระทำอย่างไร้ปรานี

นั่นทำให้ครั้งหนึ่งเผ่ารุ้งพรายจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองจาก ‘ผู้ถูกกระทำ’ มาเป็น ‘ผู้กระทำ’ ที่ก้าวร้าว เต็มไปด้วยอาการหวาดระแวงว่าคนอื่นจะสุมหัวกลุ้มรุมทำร้าย ทั้งที่เนื้อแท้แล้วชาวรุ้งพรายนั้นรักสงบ รื่นเริง มีน้ำใจ พวกมันจึงทำทุกวิธี และเรียกวิถีเหล่านั้นว่าการป้องกันตนเอง

บัดนี้ศศินกำลังร่ำไห้จนตัวโยน กกกอดมารดาไว้แนบอกแน่น

สายลมเย็นพัดพาให้ใบแห้งของต้นสมอและเปล้าใหญ่ ปลิดปลิวจากแขนงโปรยปรายลงปกคลุมร่างไร้ลมหายใจและร่างที่ยังมีชีวิตของหนุ่มน้อยบนทิวเขาทอดยาวนับร้อยโยชน์

สายลมพัดให้ทุกสิ่งบนโลกนี้เลือนหาย เพียงไล้แผ่วเบาก็ไร้ร่องรอย

หนุ่มน้อยพยุงร่างมารดาให้นอนลงข้างตน จากนั้นก็เอาแต่นั่งเขย่ามือที่เริ่มเย็นของนางเดือนอยู่อย่างนั้น…

แม้รู้อยู่เต็มอกว่ามารดาของมันไม่มีวันได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกแล้วก็ตาม

ยามที่เผ่ารุ้งพรายผู้รอดชีวิตไม่ถึงห้าคนเดินไปพบศศิน เห็นเด็กหนุ่มนั่งอยู่เคียงข้างร่างไร้ลมหายใจของนางเดือนหัวหน้าเผ่า มือซ้ายเกาะกุมมือมารดาเอาไว้แน่น ส่วนมือขวายกปี่ชาวภูไทเป่าหวีดหวิวไม่หยุด นัยน์ตาว่างเปล่า เหลือเพียงคราบน้ำตาอาบผิวแก้ม

บนร่างของสตรีผู้เป็นแม่และลูกชายต่างถูกทับถมเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง

ลมเย็นกลางดึกคงพัดพาพวกมันปลิดปลิวลงปกคลุมทั้งผู้ที่ตายไป…และหนุ่มน้อยผู้ยังมีลมหายใจแสนรอนอ่อนระทด

 



Don`t copy text!