หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 31 : งูซวง

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 31 : งูซวง

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

“เพลามาถึงแล้ว”

น้ำเสียงของยายเฒ่าลงผีคล้ายแส้หวายถักที่กำลังหวดลงบนหลังปศุสัตว์ ขณะสายตากำลังจับจ้องริ้วแดงเหนือฟากฟ้า

นั่นเป็นสัญญาณที่นางเฝ้ารอ

งูซวงปราฏเด่นชัดเหนือริ้วเมฆ อสรพิษ…สัญลักษณ์แห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นจากพญาแถนเพื่อกำจัดมนุษย์ผู้ไร้ศีลธรรม ยิ่งกว่านั้นงูซวงยังปรากฏในฐานะสัญลักษณ์แห่งความเป็นสตรีผู้ตกอยู่ภายใต้การครอบงำและกดขี่

ผีพุ่งไต้สีโลหิตคือลางเลือด ฤกษ์แห่งการสังหาร

“อิตถีใดมีปานแดงรูปงูซวงปรากฏบริเวณต้นขาฤๅอวัยวะเพศ ทายาทของอิตถีนั้นมักไม่มีโอกาสได้เติบใหญ่ ยามใดให้โทษปานงูจักเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ”

หญิงชราเผ่ารุ้งพรายขยับเข้าไปใกล้บานเมือง

สตรีลูกหนึ่งนุ่งโจงสมพตสีเลือดนกเหมือนเช่นเคย ผ้าไหมปักดิ้นทองลายกลีบดอกลำดวนพลิ้วไหวสดสว่างดั่งอัคคี ผิวพรรณนวลเนียนไร้ตำหนิ สีอ่อนซีดยิ่งกว่าน้ำตาลโตนด นางมีเรือนกายเพรียวบาง งามสง่า หน้าอกอิ่มเต็ม และเอวคอด มิว่าบุรุษใดที่พบพานนางเข้าจะไม่มองเมินเผินผาด เมื่อนานมาแล้วผู้ชายเหล่านี้ล้วนชมเปาะว่างามย้อง ทว่าบัดนี้บานเมืองไม่ได้สวยอย่างพวกมันว่าอีกแล้ว เพราะนางเป็นสีแดงก่ำน่าประหวั่นพรั่นพรึง

“เผ่ารุ้งพรายเชื่อเช่นนั้น?” บานเมืองถามไปอย่างนั้นเอง

ยายเฒ่าลงผีพยักหน้าแทนคำตอบ

สตรีสูงวัยผู้นี้เอ่ยถึงงูซวงในนิทานปรัมปราเรื่องท้าวคัทธนามและสังข์ศิลป์ชัย อันหมายถึงงูใหญ่ดุร้าย ลำตัวยาวร้อยเส้นเชือกล่ามวัว นัยน์ตาแดงก่ำดั่งแสงสุริยัน และพ่นพิษออกมาเป็นลำไฟ บางสรุกในท้องถิ่นที่ราบสูงเรียกว่าลวงหรือหลื่ง ด้วยเข้าใจว่างูซวงและพญานาคคือสิ่งเดียวกัน บ้างก็ว่ามันคืออสุรกายซึ่งแถนสร้างขึ้นเพื่อทำลายมนุษย์

“ยิ่งว่านั้นเผ่ารุ้งพรายยังเชื่อว่างูซวงคือเปลวไฟ แทนหัวใจอัคคีของผีย่ายาย” ยายเฒ่าเอ่ย “ถ้าหากนั่นคือลมหายใจของงูอย่างข้าว่า เพลาของเอ็งย่อมเวียนมาถึงแล้ว…บานเมือง บัดนี้ไฟพิษกำลังคลี่ลามไปทั่วท้องฟ้า ไม่มีสิ่งใดชัดแจ้งไปมากกว่านี้อีก ถึงยามที่เอ็งต้องเคลื่อนเบี้ยเพื่อกวาดล้างบุรุษอัปรีย์ที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าด้วยไฟประลัยกัลป์”

“งูซวงจักพ่นพิษให้ข้าได้สักกี่หยดกัน”

“เท่าที่เอ็งต้องการ” หญิงชราเอ่ยคล้ายให้คำมั่น “เริ่มจากผลึกเศษะทั้งหมดที่อยู่ในกำมือของศศิน”

“เด็กเคราะห์ร้ายนั่นวิกลจริตไปแล้ว” ริมฝีปากของบานเมืองกำลังสั่นระริก “ความเจ็บปวดไม่เคยมีประโยชน์กับผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวมันเอง หนทางที่เมตตาที่สุดคือการเติมน้ำมันสาวน้อยประแป้งผสมน้ำซาวเข้าใส่ขันให้มัน หลับใหลไร้ความรวดร้าว จบสิ้นทุกสิ่งอย่างเงียบงัน มิแน่ว่าวิญญาณของมันอาจมาเข้าฝันกล่าวสำนึกในบุญคุณ หากมันยังรับรู้ขณะลมหายใจสุดท้ายกำลังจะถูกพราก”

ยายเฒ่าเดินเข้าเรือนเหย้าข้างเพิงเก็บฟืน

ลักษณะเด่นของกระต๊อบเครื่องผูกหลังนี้คล้ายตูบต่อเล้า อันเป็นเพิงโย้เย้ซึ่งสร้างอิงกับเล้าข้าว เพลานี้มันดูหม่นมัวและหดหู่ หลังความสว่างสุกใสของแสงอาทิตย์ยามบ่ายค่อยๆ เลือนหายลับขอบฟ้า

หญิงชรายกมือเหี่ยวย่นจุดปลายไส้ในถ้วยตะคันแคล่วคล่อง ก่อนยกสาดส่องไปตามถ้วยขี้ผึ้ง โถยาน้ำ และสมุนไพรป่นวางอย่างเป็นระเบียบบนชั้นไผ่ ชั้นล่างสุดหลังขวดกระเบื้องเคลือบบรรจุน้ำผึ้งสมานแผลเข้มข้นเป็นกระปุกดินเผาป้อมเตี้ย ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าหัวแม่มือ

“เอ็งพูดถูก” ในที่สุดหญิงชราก็เอ่ยตอบ ขณะปัดฝุ่นที่ทับถมเป็นชั้นออกจากกระปุก ยายเฒ่าลงผีก็เขย่าตรวจดูว่าวัตถุซึ่งอยู่ข้างในนั้นยังคงกระทบกันดังกังวานหรือไม่ “​ศศินเจ็บปวดมามากเกินพอแล้ว”

“เหตุนี้ข้าจึงต้องลงมือด้วยตัวเอง” บานเมืองย้ำพลางหลุบตาพินิจแก้วผลึกราวสิบเม็ดที่ยายเฒ่าลงผีเทออกจากกระปุก

เม็ดยาเหล่านั้นไม่ใหญ่ไปกว่าเมล็ดลูกหว้า ร่วงกราวลงบนถ้วยก้นตื้น ล้อแสงเป็นประกายดุจไพลินนิลกาฬใต้แสงตะคัน มันมีสีน้ำเงินจัดค่อนไปทางเฉดม่วง กระทั่งบานเมืองยังไพล่นึกไปว่าตนไม่เคยเห็นสีเช่นนี้มาก่อนในชีวิต

“แม้ขนาดของมันจักเล็กจ้อย ทว่าสามารถกุมอำนาจแห่งชีวิตแลความตาย” หญิงชราเขี่ยเม็ดยากระจิริดแผ่วเบาด้วยปลายเล็บ

“มันคือสิ่งเดียวที่ข้าผสมสาโทให้สิคาล…”

“บ่วงหลาม” ยายเฒ่าแสยะยิ้มก่อนหัวเราะคิกคัก พลางยื่นมือไปจุดกำยานในกระถางขนาดเล็ก “สกัดจากพืชที่ขึ้นจำเพาะหมู่เกาะของพวกผิวดำ[1]ท่ามกลางทะเลสีมรกต ห่างไกลออกไปครึ่งค่อนโลก ข้าต้องบ่มสมุนไพรไว้ในน้ำคั้นลูกเถาคันอยู่นานทีเดียว จากนั้นโรยผงจันทน์เทศลงไปสักหน่อย แล้วค่อยแยกกากทั้งหมดทิ้ง”

“ขั้นสุดท้ายคือการตั้งไว้ให้มันตกผลึก?” บานเมืองหรี่ตา

“ถูกครึ่งหนึ่ง ก่อนตั้งไว้ให้ตกผลึกยังมีสารจำเป็นอีกอย่าง” หญิงชราส่ายหน้า “เถ้ากระดูกคนตายช่วยให้ตัวยาข้นคลั่ก แต่กระนั้นกระบวนการตกผลึกก็ยังเชื่องช้าแลยากเย็น มิหนำซ้ำวัตถุดิบทุกชนิดล้วนต้องใช้เหรียญศรีวัตสะแลกมาในราคาสูงลิ่ว กว่าข้าจักได้แต่ละอย่างครบถ้วน เล่นเอาเลือดตาแทบกระเด็น”

“แล้วยายเฒ่ารู้วิธีเหล่านี้ได้อย่างไร”

“เช่นเดียวกับเหล่ารสายนเวท ผู้มีหน้าที่ลงผีประจำเผ่าอย่างข้าใคร่เรียนรู้ศาสตร์แห่งการเยียวยา ไม่ต่างกับประดาเฒ่าจ้ำแห่งดินแดนที่ราบสูง สูตรลับเหล่านี้ล้วนตกทอดระหว่างผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงกับภูตผี” ยายเฒ่าลงผีหลุบตาจ้องผลึกบ่วงหลาม “แต่ผู้ที่มาให้ข้ารักษากลับหลงลืมไปว่า คนรู้วิธีรักษาย่อมรู้วิธีฆ่ามิต่างกัน”

แม่มดหมอผีและผู้พันธนาการเงามืดจากเผ่ารุ้งพรายเรียกการปรุงพิษชนิดนี้ว่าบ่วงหลาม

เพียงตำผลึกยาให้ละเอียด โรยลงผสมในน้ำฝนหรือสาโท มันจะทำให้กล้ามเนื้อลำคอของเหยื่อค่อยๆ บีบรัดกระทั่งปิดหลอดลม อาการยิ่งกว่าถูกงูหลามขนดโอบ บรรดานักฆ่าจึงเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าใบหน้าของผู้เคราะห์ร้ายมักเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอมม่วงเหมือนผลึกบ่วงหลามที่พวกมันกลืนลงกระเพาะ เม็ดยาสีสวยอันเป็นสาเหตุแห่งความตายของพวกมัน

“อาการคลับคล้ายคนสำลักเศษอาหารยามเมามาย ไร้อาการผิดปกติใดโจ่งแจ้งจนเป็นที่สังเกต” ยายเฒ่าเสริมเมื่อเห็นความหวาดหวั่นฉายชัดบนสีหน้าคนรักของนางเดือน

“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องทำ”

บานเมืองยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง นางไม่ได้อ่อนเยาว์เช่นในวันวานอีกแล้ว หางตาจึงปรากฏริ้วรอยซีดจาง ด้วยยามนี้ขวบปีได้ล่วงเข้าเลขสามสิบสาม เป็นวัยแห่งสาวเทื้อ และเป็นตัวเลขที่เหล่าบุรุษเริ่มเหม็นเบื่อ ทว่านั่นมิใช่สิ่งที่สามารถห้ำหักบานเมืองได้

สิ่งเดียวที่กรีดลึกลงตรงขั้วหัวใจอย่างไร้ความปราณีคือความรู้สึกที่สตรีอย่างนางไม่อาจปกป้องหญิงผู้เป็นรัก ไม่อาจช่วยเหลือศศินให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของไอ้หาญ เป็นเหตุให้เด็กน้อยผู้นั้นเติบใหญ่กลายเป็นปิศาจ

ปิศาจที่สามารถสังหารเหล่าทหารชั่วอย่างไร้ความปรานี

นางปิดเปลือกตาลง ทอดถอนใจแผ่วเบา เพราะสุดท้ายแล้วเป็นตัวของบานเมืองเองที่ค่อยๆ เน่าเฟะ

เป็นกรรมที่กำลังตามสนอง

กรรมที่นางร่วมมือกับสิคาลสังหารบิดา…นายจำกอบผู้ชั่วช้าสามานย์

ผลกรรมหนักที่นางไม่อาจหลีกลี้หนีพ้น

“ข้าถนอมเรี่ยวแรงกายใจไว้ก็เพื่อวันนี้” เรียวนิ้วของบานเมืองกำลังสั่นเทา ระยะหลังมานี้นางนอนหลับไม่ค่อยสนิท “แม้เป็นสิ่งเลวทราม แต่ข้าจำเป็นต้องทำ หากผีย่าผียายเห็นหน้าข้าในปรโลก พวกท่านคงเห็นใจ ยกโทษให้คนบาปฆ่าบุพการีอย่างข้า”

นางเคลื่อนไหวโงนเงนอย่างอ่อนล้าขณะทรุดกายนั่งลงบนแคร่ แต่เมื่อหลับตาลง บานเมืองยังคงมองเห็นผีพุ่งใต้สีแดงดุจเปลวเพลิงหลังม่านน้ำตา ราวกับว่าลางบอกเหตุเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำลังเต้นเร่าท่ามกลางอนธการ

“ถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนก็ต้องตาย จริงอยู่ที่บางคนอาจตายเร็วไป แต่เอ็งจงนึกสิ่งที่มันได้ลงมือทำกับเผ่ารุ้งพราย เดือน และศศิน เพราะนั่นจักเป็นเครื่องบรรเทาความทุกข์โศกของเอ็งได้”

“ข้าไม่อยากให้ศศินเจ็บปวดเพราะต้องแบกรับความพยาบาทไปมากกว่านี้อีกแล้ว” ขณะบานเมืองงึมงำด้วยเสียงสั่นเครือพลางส่ายหน้า จู่ๆ นางก็แว่วเสียงสาลิกาขับขานเป็นท่วงจังหวะกระชั้นถี่ ทำให้แววตาหลังหยาดน้ำใสพลันเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำค้างแข็งบนยอดภู “ลางเลือด…ใช่แล้ว…มันคือนิมิตแห่งการฆ่า…”

สายลมยามหัวค่ำพาเสียงรหัสกระซิบผ่านช่องขนาดเล็กบนผนังกระต๊อบ พร้อมกลิ่นกำยานจากเทศกาลคเณศจตุรถีในวันแรก ไต้และตะเกียงไหววูบวาบกระจายทั่วทั้งสรุก บานเมืองเห็นกองไฟหุงต้มกำลังลุกไหม้เป็นจุดวับแวมประหนึ่งท้องทุ่งแห่งดวงดาวที่ร่วงพรูลงสู่พื้น

“ทหารโขลญญาติฝ่ายแม่ของเอ็งคงช่วยไอ้หาญแหกคุกออกมาตามแผนของศศินแล้วกระมัง”

ยายเฒ่าลงผีใช้แหนบทองเหลืองคืบเม็ดบ่วงหลามขึ้นมาส่องผ่านแสงตะคัน สีหน้าซับซ้อน ขณะถอดรหัสของหน่วยสาลิกา

อาณัติสัญญาณของหน่วยนี้มีสองประเภท ประเภทแรกคือรหัสพื้นฐานอย่าง ‘รอคำสั่ง’ และ ‘เรียกกองหนุน’ อีกประเภทคือรหัสเสียงอักษรขอมตามการจัดแบ่งวรรคในระบบภาษาสันสฤต โดยมีพยัญชนะทั้งหมดสามสิบห้าตัวและสระลอยจมอีกแปดตัว

“และบ่วงหลามคือของกำนัลรอการหวนคืนของทหารทรราช”

บานเมืองไม่มีแหวนหรือกำไลที่เป็นรูกลวงอย่างพวกนักฆ่าโปรดปราน แต่นางมีกระเป๋าน้อยใหญ่มากมายภายใต้ผืนสะเอง ผ้ารัดเอวที่มีตุ้งติ้งห้อยตกโดยรอบ นางจึงแบะผืนผ้าให้หญิงชราซุกซ่อนยาพิษไว้ในช่องลับหนึ่งในนั้น

“แม่!”

บานเมืองสะดุ้งเฮือก ฝ่ามือเย็นเฉียบ เกิดความรู้สึกอบอุ่นและหวาดหวั่นเมื่อได้ยินสำเนียงที่คุ้นเคยกะทันหัน อาการปวดตุบที่ขมับของนางย้อนกลับมาฉับพลัน นัยน์ตาดำขลับซึ่งครั้งหนึ่งเคยแหลมคมดูมีแววบ้าคลั่ง

กิริยาท่าทางเช่นนี้ทำให้บานเมืองเกือบจะดูเหมือน…คนป่วยไข้

สีหน้าของนางหลากหลายปนเป แต่ความรู้สึกที่เด่นชัดที่สุดคืออาการพรั่นกลัวเมื่อเห็นสายตาคมกริบดุจเหยี่ยวรุ้งของบุตรชายที่จ้องมองมาอย่างพินิจพิจารณา

ชายหนุ่มหลุบตาเพ่งผืนสะเองที่มารดากำลังจัดให้เข้าที่ลุกลี้ลุกลน กลิ่นกำยานชันน้ำมันเตะจมูกเข้มข้น

“พ่อณิมเองฤๅ ทำเอาแม่ตกอกตกใจหมด” บานเมืองพยายามทำตัวให้เริงร่าด้วยการหัวเราะ ทว่าเสียงนั้นแตกพร่าอย่างยากจะปิด “ลูกไม่ค่อยแวะมาหาแม่เลยนับแต่ได้บรรจุเป็นเฉลาญ์”

กลิ่นน้ำกุหลาบที่ผ่านการอบควันกำยานโชยชายจากร่างของบานเมือง

มารดาของมันเป็นเพียงสตรีร่างเล็กผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่เห็นมีพิษสงอะไรแม้แต่น้อย ความคิดของปูรณิมไม่อาจยอมรับบทสนทนาที่ตนเพิ่งได้ยินเต็มสองหูมาตั้งแต่เมื่อครู่

“เอ็งไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปแล้ว เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มเต็มตัว เป็นเฉลาญ์ผู้กล้าแห่งหน่วยสาลิกา” ยายเฒ่าลงผีจงใจทะลุกลางปล้อง พยายามทำลายบรรยากาศอันแห้งแล้ง

แต่ก็จริงอย่างหญิงชราเอ่ย

ยามนี้ปูรณิมรูปงามนัก ดูสูงกว่าคราวแรกที่ยายเฒ่าลงผีพบ ความคล่องแคล่วและความสง่างามเพิ่มพูนขึ้นกว่าแต่ก่อนอักโขภิณี

เป็นความฝันของสตรีทุกคนก็ว่าได้

“นั่นซี โตเป็นหนุ่มรู้จักแต่งตัว รู้จักอาบน้ำอาบท่า ผิวพรรณสะอาดสะอ้านขับเสน่ห์ชวนหลงไม่น้อย” บานเมืองย่นจมูก แซวกลบเกลื่อน “คิดไม่ผิดจริงๆ ที่พาณิมไปฝากเนื้อฝากตัวไว้ช่วยงานท่านมนตรีตั้งแต่ยังเล็ก”

“แม่กับยายเฒ่ากำลังทำสิ่งใดกันอยู่ฤๅ” ชายหนุ่มไม่นำพา ทอดตามองเม็ดยาสีน้ำเงินแกมม่วง

“แม่กับยายเฒ่าไม่ได้ทำอันใดนี่ เพียงยืนคุยกันเรื่องหยูกยาบำรุงกษัยตามประสาคนแก่”

แม้บานเมืองกำลังยิ้ม แววตากลับเย็นเยือกเป็นพิเศษ เย็นชากว่าก่อนหน้านี้มาก ราวกับเสือดำตัวหนึ่งที่ถูกมนุษย์กระตุ้นโทสะ ตั้งท่าจะปรี่เข้าขย้ำให้ตาย เพราะมนุษย์ผู้นั้นบังอาจล่วงล้ำอาณาเขต

“เมื่อครู่แม่เมืองกับข้ากำลังถกเรื่องราวปรัมปรา” หญิงชรายิ้มแสยะ เอ่ยคำยอกย้อน ทว่าไม่คิดจะปกปิดความนัย

“ครึ้มอกครึ้มใจอันใดถึงได้พากันถกนิทาน” เฉลาญ์หนุ่มหรี่ตา เต็มไปด้วยทีท่าระมัดระวังตัวแทนที่จะนอบน้อมตามมารยาท

ยายเฒ่าลงผีหลุบตามองเครื่องเคลือบในมือชายหนุ่มแวบหนึ่งแล้วเอ่ย

“มุขปาฐะบอกเล่าเรื่องราวกินนร อมนุษย์ครึ่งคนครึ่งนก พวกมันต่างสำรอกน้ำลายสร้างรังเต็มสวนดอกไม้ไปหมด หญิงม่ายเจ้าของสวนไม่ได้ว่ากระไรหากเดียรัจฉานพวกนั้นเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่แต่ในที่ทางของมัน ทว่าเมื่อไรที่มันบังอาจเข้ามาเกะกะฝ่าเท้า หญิงม่ายผู้นั้นจักยกฝ่าเท้าเหยียบมันให้แดดิ้นเทียว”

ปูรณิมรู้สึกราวกับหัวใจโลดขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย ทว่าสีหน้าของยายเฒ่าลงผีคล้ายกำลังสำราญใจ

“แม่รู้จักใครในหน่วยสาลิกาอีกฤๅไม่”

บานเมืองสะดุ้งอีกครั้ง อาการปวดแล่นริ้วตั้งแต่ขมับไปจนถึงกระบอกตาไม่ต่างกับโรคลมตะกัง แต่นางพยายามปั้นหน้าให้ดูเรียบเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้

“นอกจากพ่อณิมแล้ว แม่ก็ไม่รู้จักใครในหน่วยสาลิกาอีกแล้วละจ้ะ” บานเมืองสั่นสะท้าน คำซักไซ้ของลูกชายทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกไล่ต้อน

“แล้วแม่พอดูออกไหมว่านี่เป็นโถของพ่อฤๅไม่”

ทันทีที่บานเมืองจ้องปากโถเคลือบที่มีรอยคราบน้ำมันกับผลึกเศษะในมือของปูรณิม นางก็ยกมือขึ้นทึ้งศีรษะของตัวเอง

“ปิศาจ…”

ยามนี้เพียงนึกถึงอาชญากรรมที่ตนมีส่วนร่วม บานเมืองก็รู้สึกคล้ายถูกหวายหนามทิ่มแทง ขณะนอนแผ่อยู่กลางดอกบัวกลีบคมที่ติดเพลิงลุกโหมเป็นอนันต์ ภาพสายตาน่าพรั่นพรึงของเหล่านิรยบาลผู้คอยลงทัณฑ์ทรมานสังขารของบานเมืองตราบอสงไขยผุดขึ้นมาทันที พร้อมรอยแสยะยิ้มที่เหมือนรู้กันแค่พวกผู้คุมนรก

แม้แต่บิดาของนางก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

“แม่!”

ชายหนุ่มโผเข้าไปประคองมารดาผู้มีใบหน้าซีดเซียว ร่างกายสั่นสะท้านกำลังโอนเอนไปมาคล้ายจะหมดสติ

“ปิศาจร้ายกินนรหลุดออกจากกรงขังแล้ว…”

คำกระซิบที่หลุดลอดจากริมฝีปากบานเมืองที่กำลังสั่นระริกนั้นแผ่วเบาจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์

ปูรณิมพยายามเงี่ยหูเข้าไปใกล้ใบหน้าของมารดา ทว่าไม่อาจสอบถามเรื่องราวไปได้มากกว่านั้น ด้วยบานเมืองได้ทิ้งร่างนอนแบ็บลงบนอ้อมแขน บ่งอาการสิ้นสติสมประดี

“บานเมืองเคยบอกเอ็งแล้วมิใช่ฤๅว่าอย่ากลับมาเหยียบเรือนอัปมงคลหลังนี้อีก” หญิงสูงวัยหลุบตาต่ำ เอ่ยเสียงเย็น

“หากข้าไม่มาหาในวันนี้ มีฤๅจะรู้ว่าแม่แอบไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรมาบ้าง” ชายหนุ่มยื่นโถราคาแพงซึ่งน่าจะเป็นของบิดาออกไปเบื้องหน้า โมโหจนแทบคลั่ง “ยายเฒ่าล่อลวงให้แม่ใช้น้ำมันนี่เผาตาทั้งเป็นอย่างนั้นฤๅ”

“อัญมิเคยใช้อุบายใดกับแม่ของเต” ยายเฒ่าลงผีเอ่ยอย่างใจเย็น มองชายหนุ่มที่เริ่มโงนเงน ยืนได้ไม่มั่นคง “แต่ถ้าบานเมืองต้องการสิ่งใดฤๅลงมือทำอะไร อัญมีหน้าที่เพียงอำนวยความสะดวกให้ก็เท่านั้น”

โถเครื่องเคลือบร่วงกระทบพื้นดังเปรื่อง ทว่าสีหน้าของหญิงชราไม่มีอาการประหลาดใจแม้แต่น้อย

ปูรณิมกลอกตามองกระถางกำยานกลิ่นหวานเอียน จากนั้นเบนสายตากลับมายังแม่นมเผ่ารุ้งพรายผู้มีพระคุณ “เหตุใด…”

“พักผ่อนเป็นเพื่อนบานเมืองสักหน่อยเถิด ตื่นขึ้นมาทุกอย่างจะดีเอง” คำกระซิบของยายเฒ่าลงผีฟังดูเคร่งขรึม

ชายหนุ่มฟังไม่ออกว่านางจงใจแฝงนัยอื่นใดไว้หรือไม่ ก่อนสัมปชัญญะของตนจะสูญสิ้น

 

เชิงอรรถ : 

(1) ปัจจุบันคือหมู่เกาะเมลานีเซีย อนุภูมิภาคของโอเชียเนียในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ มีขอบเขตจากนิวกินีของอินโดนีเซียทางตะวันตกไปจนถึงหมู่เกาะฟีจีทางตะวันออก



Don`t copy text!