
หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 37 : มหาเสนาปติ
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
เมื่อทวารบานหนาประหนึ่งคูหานิรภัยของโรงอากรขนอนหลวงเปิดออก เผยให้ไอ้หาญมองเห็นหีบและชั้นเก็บสมบัติที่มันโหยหามาตลอดระหว่างถูกจองจำในป้อมแดง ยามนี้คูหาเบื้องหน้าสลัวรางไม่ต่างกับอุโมงค์ลึก
ที่แท้นกสาลิกาเหนือคาคบก็ขันคูบ่งสัญญาณการมาถึงของมัน
“เอ็งหลบมุมอยู่ที่นี่เอง ปล่อยให้ข้าเดินหาเสียทั่ว” มหาเสนาปติเป็นฝ่ายพูดก่อน แสงมัวทำให้มันเห็นบานเมืองยืนอยู่ห่างมากกว่าความเป็นจริง สีหน้าของนางจึงอ่านยาก
“ในที่สุดพี่ก็กลับมาหาฉัน”
บานเมืองแสร้งเคลื่อนกายเข้าไปใกล้แสงสว่างจากภายนอก เพราะนางรู้ว่าการขยับส่วนสัดเช่นนั้น จะทำให้ไอ้หาญเห็นเรือนร่างของนางวับแวม และทำให้บานเมืองเป็นฝ่ายกุมอำนาจ
บานเมืองอยากปลุกเร้าสันดานเพศผู้แท้ไร้สิ่งใดเจือปนของมัน อยากให้ไอ้หาญเสียศูนย์ดุจเล็งศรคลาดจากแนว
“เหตุใดเอ็งมิเคยเฉียดกรายไปเยี่ยมพี่เลย”
มหาเสนาปติกระแอม สายตาละจากภาพตรงหน้าหลุบต่ำจ้องปลายเท้าตัวเองแวบหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าจริงจังดังเดิม
“พี่สั่งฉันเองมิใช่ฤๅ ว่าไม่อยากให้ฉันก้าวเท้าออกจากเรือนนี้ไปไหน”
บานเมืองบิดริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่า อาการลังเลในน้ำเสียงตนทำให้คำตอบฟังดูแผ่วเบากว่าความเป็นจริง จากนั้นจดจ่อกับการลูบคลำทรัพย์สมบัติที่ไอ้หาญครอบครอง ทรัพย์สินของคนดีที่ไม่ว่าโขลญคลางหน้าไหนก็ไม่สามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้
“ฉันจึงทำได้เพียงขับขานอยู่ในกรง รอวันพี่กลับมา”
“ดี” ไอ้หาญยิ้ม “ดีมาก”
บานเมืองสังเกตเห็นประกายตาของมันเรืองรองด้วยความชอบใจและผยองที่หาได้ในตัวของ ‘บุรุษแท้’ เท่านั้น
ไม่มีความรู้สึกใดดีไปกว่าความเพลิดเพลินเมื่อแผนที่วางไว้อย่างดีดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ความรู้สึกที่แทรกเข้ามาทำให้ท้องไส้ของบานเมืองปั่นป่วน อาการกระหายอยากพรากลมหายใจของไอ้หาญผุดวาบขึ้นมา มันดิบเถื่อนและชั่วแล่น
แต่ที่น่าขันคือไอ้หาญเป็นฝ่ายใจเร็วเสียเอง
หางตาข้างขวาของมันกระตุกสั่น คล้ายมีกระแสอสนีวิ่งพล่านไปตามเส้นเลือดในกายมัน รับรู้ได้ถึงแรงกระตุ้นเร่าให้เข้าไปซุกปลายจมูกเข้ากับซอกคอของเมียรัก เพื่อดูว่าเนื้อหนังสตรียังรสชาติเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นเมื่อสามปีก่อนหรือไม่
บานเมืองกัดริมฝีปากล่างเมื่อนึกถึงพิษของยายเฒ่าลงผีที่เตรียมไว้ให้ไอ้หาญดื่ม ก่อนจะพูด
“กลับเรือนมาเหนื่อยๆ ฉันว่าพี่ไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นก่อนดีฤๅไม่ ประเดี๋ยวฉันจะเตรียมน้ำตะไคร้หอมเหยาะน้ำผึ้งป่าใส่ไว้รอ”
แรงดึงดูดของบานเมืองร้อนฉ่าไปทั่วเส้นประสาทของไอ้หาญ แล่นปราดจนบุรุษอกสามศอกอย่างมันยังอดกลัวไม่ได้
ชายชาติทหารหายใจหอบขณะไล้มือคลำไปตามขอบกระดูกสะบักของบานเมือง ริมฝีปากกดลงตรงรอยบุ๋มที่คออย่างตะกละตะกลาม มิหนำซ้ำสะโพกของมันยังเบียดแนบสะโพกของบานเมืองด้วยความหื่นกระหาย
“เอาอย่างนั้นก็ได้” มหาเสนาปติอิดออด
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า ผู้ตายไปแล้วที่ไม่ยอมปล่อยสิ่งที่พวกมันยึดจับ
จังหวะนั้นเกิดเสียงหับประตูดังฉับ ไอ้หาญทำท่าจะเดินไปดูแต่ถูกบานเมืองรั้งตัวไว้ก่อน
“คงเป็นลมตีน่ะจ้ะ”
บานเมืองทำทีเป็นสะดุ้ง ชะเง้อมองไปยังทางออก ทว่าในใจลึกๆ รู้ดีว่านั่นเป็นฝีมือยายเฒ่าลงผีตามที่พวกนางนัดแนะ
เมื่อบานเมืองหันมาหาไอ้หาญอีกครั้ง ฝ่ายหลังก็ยืนนิ่งแล้ว ไอ้หาญกำลังหรี่ตาเพ่งฝ่าแสงสลัวไปยังตู้ขาหมู
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะอ่านคำถามบนสีหน้ามหาเสนาปติ
มันคงกำลังสงสัยว่าขรรค์พระพายหายไปไหน เหตุดังไรจึงเหลือแต่แท่นวางคร่ำทอง
“พี่เป็นอันใดไป จู่ๆ ทำไมถึง…”
ทรวงอกของบานเมืองร้อนรุ่มขณะกระถดร่างหนี อาการหวาดหวั่นปะทะกับความรู้สึกกระดากอายที่ถูกกระชากหน้ากากเร็วกว่าที่คาด
“มึงเอาขรรค์พระพายของกูไปไว้ที่ใด” ไอ้หาญตะคอกก่อนพุ่งเข้าหาบานเมือง จิกปลายนิ้วลงไปในเนื้อแขนของนางแน่นพลางส่ายหน้า “นั่นมันศาสตราวุธสำคัญของผู้ที่จะขึ้นครองสรุกในภายหน้าเทียว แต่มึง…”
“ทุด!” บานเมืองถ่มใส่หน้าไอ้หาญ แค่นหัวเราะเยาะเสียงต่ำ “น้ำหน้าอย่างมึงมิคู่ควรกับของพรรค์นั้นดอก”
“บอกมา มึงเอาขรรค์พระพายของกูไปให้ผู้ใด” มหาเสนาปติกระชากแขนบานเมือง ตวาด
“สิบแปดปีแล้วซีที่กูยอมเสียสละอิสรภาพให้มึงไปอย่างไร้ประโยชน์” นัยน์ตาของบานเมืองเบิกกว้าง ไม่ยอมตอบคำถามของไอ้หาญ “กูน่าจะฆ่ามึงตั้งแต่คืนแรกที่ไอ้ประโคนบังคับกูให้ร่วมหอกับเศษเดนมนุษย์อย่างมึง”
คราวนี้ไอ้หาญถึงกับตกตะลึง มันน่าจะเชื่อคำพูดของไอ้ตุ่นตั้งนานแล้ว
“ที่ผ่านมา…มึงมิเคยรักกูเลยอย่างนั้นฤๅ”
“ไม่! กูไม่เคยรักใครนอกจากอีเดือน อีเดือนคนที่มึงฆ่าทิ้งอย่างกับหมูกับกับหมา”
มหาเสนาปติเกลียดน้ำเสียงตำหนิติเตียนของสตรีที่สุด ยิ่งกว่านั้นมันยังเกลียดความผิดหวัง เพราะความผิดหวังมักเกิดขึ้นเมื่อมันคาดหวังบางอย่างจากคนที่มันรักเท่านั้น และไอ้หาญไม่เคยคาดหวังสิ่งใดจากใครมานานมากแล้ว
ไอ้หาญหอบหายใจ ขบกรามแน่น ผู้ที่หับประตูเมื่อครู่คงเป็นอีแก่ลงผีนั่นแน่นอน
“มึงเลยวางแผนจะขังกูเอาไว้ในห้องเก็บของอย่างนั้นซี”
“ไม่…” บานเมืองส่ายหน้า “กูมิยอมขังมึงให้นั่งนอนสุขสบายอยู่ในนี้เฉยๆ เหมือนตอนอยู่ในป้อมแดงนั่นดอก”
ไอ้หาญเงื้อมือฟาดลงบนปรางนวลเต็มฝ่ามือ สีหน้าของมันเหี้ยมเกรียม แลดูมืดมิดขาดสติ
แรงสะบัดพาร่างบานเมืองทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ขอบตาของนางแดงก่ำ ไม่ต่างกับขอบปากที่มีเลือดไหลซิบ บานเมืองคำรามอย่างโกรธแค้น คลานคว้าข้อเท้าทั้งสองข้างของมหาเสนาปติ แล้วกรีดข่วนเต็มแรง
ไม่รู้เหตุใดกรงเล็บของสตรีถึงได้คมนัก แรงขูดผสมแรงกดขีดเปิดผิวหนังเป็นแผลยาวจนข้อเท้าโชกเลือด
ไอ้หาญเลือดขึ้นหน้า หมายตาจะคว้าหัวไหล่บานเมืองกระชากขึ้นมาตบสั่งสอนอีกสักฉาด ทว่ากรงเล็บของนางหนีบแน่นยิ่งกว่าเหล็กปากคีบ
สะบัดข้อเท้าเตะเท่าไรก็ไม่คลาย
ฉับพลันบานเมืองออกแรงกระชากข้อเท้าของไอ้หาญจนมันหงายหลัง ประหนึ่งรอจังหวะนี้มานานเนิ่น เหมือนไอ้หาญรู้ตัว พยายามเอี้ยวไม่ให้ท้ายทอยกระทบพื้น
แต่สายไปเสียแล้ว
ขมับขวาของมันฟาดเข้ากับเหลี่ยมตู้ก่อนครูดลงไปนอนกับพื้น เนื้อไม้ผุพังคร่ำคร่าแตกเป็นเศษเสี้ยนแหลมคมเสียบติดหางคิ้วไอ้หาญหลายเส้น
ชายชาติทหารผู้รั้งตำแหน่งเหนือคนหมู่มากเบิกตาโพลง คาดไม่ถึงว่าสารรูปสะบักสะบอมเช่นนี้ สตรีที่น่าจะอยู่แต่ใต้ตีนมันกลับคิดต่อสู้
“มึงจะทำอันใด”
“นี่คือวิถีต่อสู้ของเดียรัจฉานอย่างกู” บานเมืองเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ ก่อนจะปลดแท่งไม้คล้ายสลักเดือยที่สอดอยู่กับร่องยึด “กูกะจุดที่มึงจะล้มได้แม่นเทียว”
ยังไม่ทันที่ไอ้หาญจะได้พินิจพื้นกระดานห้องเก็บสมบัติของมัน ทันใดนั้นไม้แป้นเนื้อแข็งก็ดีดผลุบลงไปเบื้องล่าง พาร่างมหาเสนาปติลอยลิ่วสู่หลุมลึก
“ปัดโธ่โว้ย!” ไอ้หาญแหงนหน้ามองช่องเหนือศีรษะที่สูงขึ้นไปราวสามช่วงตัวคน ฝ่าเท้ากระแทกผืนดินอ่อนนุ่มทว่าเจ็บแปลบ “นี่มึงกำลังล้อเล่นอันใดกับกู อีแพศยาผิดเพศ!”
“เปล่าเลย กูเตรียมความสำราญไว้ให้มึงโดยจำเพาะมาตั้งแต่วันที่กูส่งไอ้ประโคนไร้สติให้สิคาลแบกขึ้นเขาเผาบูชายัญแล้วละ” เสียงหัวเราะคิกคักของบานเมืองสะท้อนก้องไปมาทั่วทั้งหลุม
“อย่าให้กูออกไปได้นะมึง”
ไอ้หาญพยายามสอดส่ายสายตามองไปรอบผนังที่โอบล้อม เนื้องจากยามนี้ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนคล้อย มิหนำซ้ำยายเฒ่าลงผียังหับบานประตูจากภายนอก ลึกลงมาใต้ดินจึงมืดมาก
ทหารหนุ่มลองยกปลายนิ้วค่อยๆ ไล่แตะผนังบ่อครู่หนึ่ง ถึงได้รู้ว่าเป็นก้อนอิฐที่ทับซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบ ยิ่งกว่านั้นมันยังสัมผัสเหมือนน้ำคร่ำหรือไม่ก็เมือกเลือดลื่นๆ
หากมันเกาะเหยียบตามช่องว่างของอิฐพวกนี้ไต่ขึ้นไปยังปากบ่อละก็…
“ชักสนุกแล้วซี” บานเมืองพ่นลมขึ้นจมูก “วิญญาณพยาบาทจะหลงเหลือในโลกนี้ได้ต้องมีเงื่อนไขสามประการ สถานที่ปิดสนิท น้ำ แลระยะเพลาจนถึงกษณะที่สิ้นใจ…”
ไอ้หาญไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเมียสติวิปลาส แต่ก็อดไม่ได้ที่จะลองใช้ปลายเท้าดุนเขี่ยเนื้อดินดู
แม้พื้นดินที่มันตกลงมาจะชื้นอยู่บ้าง แต่ยังไม่มีน้ำผุด นั่นหมายความว่าตำแหน่งของเรือนมันไม่ใช่บริเวณที่ลุ่มต่ำ ไม่มีกรวดถูกน้ำพัดไหลมารวมกัน อันเป็นลักษณะของดินดานช่วยเก็บน้ำ
ไอ้หาญจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีน้ำผุดน้ำซึมจนท่วมคอหอยมัน
“กูหมายถึงการหมดลมหายใจ…ตายอย่างเชื่องช้าในสถานที่ถูกปิดล้อมและมีน้ำ” บานเมืองเอื้อนเหมือนครวญโคลง มุมปากผุดรอยยิ้มน้อยๆ คล้ายเยาะหยันไอ้หาญตลอดเวลา “จิตอาฆาตพยาบาทของมึงจักสิงสถิตอยู่ที่ก้นหลุมแห่งนี้ชั่วกัปชั่วกัลป์”
“หุบปาก” ไอ้หาญตะโกนสวนอย่างเหลืออด
พอดวงตาเริ่มชินกับความมืด มันก็เริ่มเห็นตะไคร่น้ำซึ่งปกคลุมผนังด้านในบ่ออย่างชัดเจน แต่เมื่อเพ่งจ้องนานเข้า ลวดลายของอิฐกลับกลายเป็นภาพใบหน้าบูดเบี้ยวของคนใกล้ตายที่กำลังร่ำร้องอย่างทุกข์ทรมาน เหล่าดวงวิญญาณเผ่ารุ้งพรายนับไม่ถ้วนลอยล่องกระเพื่อมไหว คล้ายเมือกลื่นของเทาเขียวเส้นยาวน่าสะอิดสะเอียน
สิ่งที่มีก่อนอันดับแรกคือความสุขุม
ไอ้หาญบอกคุณสมบัติของทหารให้ตัวเองฟัง
“คิดว่าของพรรค์นี้จะขังกูได้งั้นฤๅ”
ไร้เสียงตอบรับจากปากบ่อ ไอ้หาญจึงยกมือขวาเกี่ยวขอบอิฐที่โผล่ออกมาจากผนัง หวังค่อยๆ ไต่ขึ้นไปหาแสงสว่างทีละน้อย
จู่ๆ ปลายเท้าของมันก็ลื่นหลุด รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างท่วมท้นบริเวณปลายนิ้วกับฝ่าเท้า
“โอ๊ย!”
มันเป่าปลายนิ้ว อนุมานได้ว่าเล็บตนคงหลุดติดอยู่ตามซอกอิฐไม่น้อย และเมื่อมันลองคลำดูที่เท้า มีเหล็กแหลมแท่งหนึ่งเสียบทะลุหลังเท้า ความรวดร้าวที่ไอ้หาญไม่ทันเตรียมตัวรับมือมาก่อนทำให้มันต้องเอนกายพิงผนังด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่รู้ว่าบานเมืองวางเหล็กแหลมไว้ที่ใดในบ่ออีกบ้าง
ไอ้หาญกัดฟันทนความเจ็บปวด เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
“สบายดีฤๅผัวเจ้าขา”
เสียงฉอเลาะของบานเมืองเร่งทหารหนุ่มให้พาตัวเองออกไปจากบ่อนี่ให้ได้ อย่างน้อยก็เพื่อกรีดปากอีบานเมืองให้ฉีกยาวถึงใบหู
ในเสี้ยวพริบตาที่มันสังหรณ์ร้าย อะไรบางอย่างก็ถูกสาดผ่านความมืดลงมาราดรดศีรษะ
“เวยเอ๊ย! มึงสาดอะไรลงมาใส่หัวกู”
สิ่งที่ตอบกลับมาคือความเงียบ
เมื่อเผชิญสถานการณ์ไม่อาจบงการและควบคุมได้ ไอ้หาญพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิต
ขณะที่มันพยายามเกาะเกี่ยวปีนป่ายขึ้นไปอีกครั้ง ปลายเท้าซ้ายผลุบสอดเข้า ‘ฟ้าทับเหว’ กับดักหนูรูปร่างคล้ายปั้นจั่นตอกเสา ประกอบด้วยฐานไม้ทรงสี่เหลี่ยมแกะเป็นเบ้ารับตัวกระแทกอันเกิดจากแผ่นไม้หนาและหนัก ด้านบนมีแท่งไม้ฝังตั้งฉากสอดทะลุคานไม้ที่พาดบนเสาไม้สองข้างที่ติดบนฐาน
ทันทีที่เท้าไอ้หาญสอดเข้าไป น้ำหนักของมันจึงกดลงตรงกลางกับดัก ทำให้ปิ่นที่เป็นกลไกหลุดออก ปล่อยแผ่นไม้ทับหลังเท้าของมันอัดเข้ากับฐานเกิดเสียงกระดูกแตกดังสนั่น
“ทรมานฤๅไม่ หากร้องขอให้กูไว้ชีวิต มึงอาจจะรอด…” ถ้อยคำของบานเมืองอ่อนหวานยิ่ง
“กูออกไปได้เมื่อไร กูจะฉีกปากมึงเป็นอย่างแรก”
ไอ้หาญสูดลมหายใจลึก ความเกรี้ยวกราดทำให้มันลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ ขณะที่มันฝืนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น มันกลับวิงเวียนหน้ามืด
แน่นอนว่านี่คืออาการของคนเลือดไหลไม่หยุด
“ในที่สุด…” บานเมืองโผล่หน้าเหนือปากบ่อ ก้มลงมองที่ก้นหลุม
ไอ้หาญเงยหน้าช้าๆ ใช้นัยน์ตาพร่ามัวจ้องบานเมือง
“กูอยู่กับความเจ็บปวดมาทั้งชีวิต แค่นี้ยังไม่ถึงครึ่งที่กูกับพวกรุ้งพรายเคยเผชิญมาด้วยซ้ำ” ริมฝีปากบากที่บิดเบี้ยวของบานเมืองขยับพูด พลางสาดของเหลวราดศีรษะไอ้หาญอีกคำรบ
เกิดเสียงซ่าคล้ายน้ำตกกัดกร่อนหินผาพร้อมกลิ่นเนื้อไหม้
“อ๊าก…” ไอ้หาญดิ้นเร่า เนื้อหนังบางส่วนของมันเริ่มแหว่งวิ่น
“กะอีแค่น้ำมะนาว ทำเป็นสะดีดสะดิ้งไปได้” บานเมืองหัวเราะ “แต่นี่มิใช่น้ำมะนาวธรรมดาอย่างที่เอ็งหวังดอกหนา กูให้ยายเฒ่าใส่โน่นนิดผสมนี่หน่อยลงไป มึงจะได้ตายช้าๆ อย่างไรเล่า”
เมื่อได้ยินคำพูดนางปิศาจอันน่ากลัวจับใจ ไอ้หาญก็ลืมความเจ็บปวดไปหมดสิ้น
“มึงเคยอวดกูว่ายามศึกสงครามสามารถอดข้าวอดน้ำได้เป็นสิบวันมิใช่ฤๅ…เกรงว่าเมื่อถึงวันที่สิบเอ็ด แม้แต่กระดูกของมึงก็ไม่เหลือให้เห็นอีกต่อไป ชาติหน้าฉันใด…ผู้ชายอย่างมึงอย่าเกิดมาเป็นมนุษย์อีกเลย”
บานเมืองค่อยๆ เทของเหลวรสเปรี้ยวกลิ่นฉุนลงไปยังก้นบ่ออีกครั้ง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 37 : มหาเสนาปติ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 36 : ยั่วเสลี่ยง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 35 : ปม
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 34 : ภาดา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 33 : ลั่นเภรี
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 32 : กระบถ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 31 : งูซวง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 30 : คาหกาบาต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 29 : ผีเสื้อ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 28 : งำ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 27 : คำมั่น
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 26 : จุมพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 25 : รังสีอำมหิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 24 : ข้าวจี่
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 23 : มล้าง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 22 : สุดสวาสดิ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 21 : สมิง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 20 : พาโลโสเก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 19 : ส่วย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 18 : ภูเตศวร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 17 : ศาลิครามศิลา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 16 : โหมกูณฑ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 15 : ความหวัง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 14 : เชื้อไข้
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 13 : รุ้งพราย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 12 : พรานโจร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ