
หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 39 : หริณจันทร์หวนคู่สุริยัน
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
‘เหล่าศกุนตะประพฤติชั่ว มิกลัวบาปเข้าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ บัดนี้ถึงเพลาศิวนาฏราชร่ายรำทั้งร้อยแปดกระบวนท่า ด้วยหวังว่าพวกเจ้าจักสำเหนียกในความผิด!’
เมื่อสิ้นเสียงกรีดแก้วหู อินทรธนูเข้าใจได้ทันทีว่าการแก้แค้นของศศินกำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย
คู่ชีพิตของมันต้องการจุดไฟประลัยกัลป์ กลืนกินชาวสรุกทุกผู้คน
แววตาอินทรธนูสาดประกายเด็ดเดี่ยว “วนํรุงกำลังจะถูกผลึกเศษะถล่มเป็นจุล รีบอพยพลงเขาบัดเดี๋ยวนี้”
พริบตาที่เฉลาญ์หนุ่มตะโกนสั่ง กระบวนแห่สังสรรค์ที่ยังไม่รู้ว่าเบื้องหน้าเกิดอะไรขึ้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ ราวกับองค์วิษณุเงื้อขรรค์สะบั้นตัดเสียงอึกทึกครึกโครมทั้งมวลในคราเดียว ไม่ว่าจะเป็นชาวสรุกที่ครึกครื้น เหล่านาฏกะร่ายรำประชันจังหวะคึกคัก รวมถึงขุนนางและข้าราชการที่ยืนร่วมกระบวนแห่ล้วนหุบปากพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
ผ่านไปไม่ถึงเสี้ยวอึดใจ
บังเกิดเสียงครืดคราดคล้ายอสรพิษขนาดมหึมาเคลื่อนคลานแผ่วเบา เลื้อยเลาะไปตามแนวลำรางระบายน้ำฝน เปลวไฟในร่องลุกพึ่บร้อนแรง ก่อตัวเป็นกำแพงสูงมิดหัว สว่างไสวทั่วทั้งมหาบรรพต ตัดกับผืนฟ้ายามอาทิตย์อัสดงเด่นชัด
ชาวสรุกแหงนหน้าพร้อมกัน ภาพที่เห็นขับไล่ความสงสัยของพวกมันทันที
งูยักษ์ปานลำตาลปราดลงสู่ท้ายกระบวนซึ่งรั้งอยู่บริเวณท้ายทางดำเนิน เชื่อมต่อกับพลับพลาเปลื้องเครื่อง ทันทีที่เดียรัจฉานเลื้อนผ่าน เปลวไฟในร่องลำรางก็พวยพุ่งโดยไม่มีทีท่าว่าจะซาลง
หมู่ชาวสรุกต่างอ้าปากค้าง ตะลึงตะไลไปกับอสรพิษขนาดมหึมาเบื้องหน้า ด้วยตั้งแต่เกิดมาพวกมันหาได้พบพานอสุรกายเยี่ยงนี้มาก่อนไม่
เกล็ดพรรณรายยามต้องแสงไฟก่อเฉดรุ้งเลื่อมระยับชวนดื่มด่ำ บางคนถึงกับคุกเข่าลงกับพื้น กราบอัษฎางคประดิษฐ์โดยให้องคาพยพทั้งแปดสัมผัสธรณี
พวกมันคงนึกว่านั่นเป็นตัวแทนแห่งเทวะลงมาโปรดสัตว์ต่อหน้ามวลมนุษย์กระมัง
มีเพียงปูรณิมที่ยังครองสัมปชัญญะเอาไว้ได้ มิได้นิ่งอึ้งเช่นชาวสรุก ชายหนุ่มกระชับขรรค์พระพายในมือแน่น หรี่ตาพินิจสัตว์เลี้ยงของศศินตามสัญชาตญาณถ้วนถี่ของผู้เป็นเฉลาญ์
“นั่นมันหินดูดเหล็กของไอ้ตุ่นมิใช่ฤๅ”
ครานี้มันกลับเป็นฝ่ายปากอ้าตาค้าง เมื่อเห็นหินดูดเหล็กคล้องอยู่ที่คออสรพิษ ในห้วงความคิดพลันปรากฏภาพสยดสยองของเหล่าโขลญสมิงในเทวาลัยมหาอุมาเทวี
“ไม่ได้การ”
ปูรณิมกระซิบ มือกำขรรค์พระพายแน่นขณะกระโจนลงตามขั้นกระได วิ่งย้อนกลับไปยังส่วนหัวของงูเบื้องล่าง
ส่วนอินทรธนูก็กำลังย่างเข้าหาศศินที่ยอดเขา สวนกับเหล่าชาวสรุกที่วิ่งกรีดร้องหนีตายตามหลังปูรณิมลงเขาไป
บุรุษร่างโปร่งพบว่าร่างกายของตนปวดแปลบเสียดแทงอยู่หลายจุด เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสังขารของตนมิได้หยุดพักหายใจอีกเลยนับแต่เข้าตรวจสอบเรือนร้างของนายจำกอบเมื่อเช้านี้ ซ้ำร้ายยังได้รับบาดเจ็บระหว่างการพยายามหยุดยั้งไอ้ตุ่นอยู่หลายครั้ง
จริงอยู่ที่ชาวสรุกศกุนตะเชื่อว่าชายชาตรีถูกหล่อหลอมขึ้นจากศิลา ทว่าบัดนี้แม้แต่หน้าไม้ อินทรธนูก็หมดแรงเหนี่ยวไกเสียแล้ว
นั่นทำให้ร่างโปร่งกังวลใจไม่น้อย
ชายหนุ่มเคยเข้าห้ำหั่นกับศศินครั้งหนึ่งเมื่อครั้งล่อซื้อสารพิษที่มีข่าวลือหนาหูว่าพรานโจรหวังใช้มันก่อการร้าย และเหตุการณ์นั้นทำให้อินทรธนูพึงตระหนักว่าอีกฝ่ายเป็นมือสังหารสุดอันตราย
“พญาแถนเจ้าแมนสรวง…หากเห็นว่าสิ่งที่อัญตัดสินใจกระทำนั้นถูกต้องตามครรลองแล้วไซร้ โปรดช่วยคุ้มครองกบาลอัญด้วยเทอญ”
ร่างโปร่งใช้มือยันเข่า หอบหายใจทางปากอย่างหนักหน่วง กล้ามเนื้อปวดหนึบรุนแรง
ขณะที่หางตาของมันปลายไปเห็นส่วนหางของงูยักษ์ที่ส่วนหัวเลื้อยลงไปถึงกระบวนอุรคะนาคินทร์ พาหนะของพระวิรุณซึ่งอยู่รั้งท้ายสุด ปลายนิ้วมือขวาก็ค่อยๆ ดึงมีดปีกผีเสื้อออกจากผ้าพันข้อมือ ชั่งน้ำหนักอาวุธบางเฉียบที่มันได้เป็นสินหมั้นจากนางเดือนอีกครั้ง
“เตอยากฆ่าอัญถึงเพียงนั้นเชียวฤๅ”
ฉับพลันที่อินทรธนูก้าวเหยียบบันไดหินสู่ปราสาทขั้นสุดท้าย น้ำเสียงเศร้าสร้อยของศศินก็ดังขึ้น ครานี้เป็นเสียงที่มันเปล่งออกจากริมฝีปาก
คำถามนั้นทำให้หัวใจชายหนุ่มปวดปร่า จุกเจ็บจวนเจียนจะเอ่อท้นถึงคอหอย ทำให้หยาดน้ำใสคลอเบ้าเป็นม่านบางอย่างยากจะข่มกลั้น
“ก็ดี…” ศศินเผยสีหน้าพึงใจระคนโหดเหี้ยม “อัญเองก็รอเพลานี้มานานแล้วเช่นกัน”
อินทรธนูเหวี่ยงใบมีดเป็นประกายคมปลาบเข้าจู่โจมทันที
แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือศศินไม่ยอมโต้กลับ กระทำเพียงถอยหลังหลบหลีก
สามปีที่ผันผ่านได้เคี่ยวกรำอินทรธนูจนเปี่ยมประสบการณ์ต่อสู้ จึงรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้มิอาจควบคุมจังหวะของศศินได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มันฉุกคิดแวบหนึ่ง ก่อนถอยหลังกรูดไปหลายก้าว
เป้าหมายของเฉลาญ์หนุ่มมิได้อยู่ที่การปลิดชีวิตศศิน อินทรธนูต้องการเพียงทำลายสิ่งควบคุมอัคคีและอรสรพิษ
“มิทันไรก็ล้าเสียแล้วฤๅ เมียของอัญ”
ศศินจงใจใช้ถ้อยคำยั่วยุ ด้วยคู่ชีพิตในเผ่ารุ้งพรายล้วนมีศักดิ์เคียงกัน ไม่มีใครเป็นผัวนำหรือเป็นเมียตาม คำนั้นจึงนับได้ไม่ต่างกับคำผรุสวาท
แต่สายตาของอินทรธนูกำลังจับจ้องลำแสงสุริยาที่ส่องลอดทวารหินทั้งสิบห้าช่อง ซึ่งยามนี้มันกำลังสาดสะท้อนแผ่นหลังของปิศาจหนุ่ม ก่อภาพวูบไหวเสมือนอมนุษย์ร้ายที่คลานออกมาจากนรกผีครวญ
หริณจันทร์เผยโฉมเคียงคู่ดวงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ตั้งแต่เมื่อใด แม้แต่อินทรธนูก็ไม่ทันได้สังเกต
ผิว์หริณจันทร์หวนคู่สุริยัน
ดึกดำบรรพ์ก่อเกิดสูรยกานต์
ตำนานบุราณเกี่ยวกับโคกทลอกที่ยายเฒ่าลงผีเคยเล่าให้อินทรธนูฟังก่อนนอนอยู่บ่อยๆ ผุดวาบในสมอง
“เตรู้แล้วฤๅว่าอัญได้สิ่งใดมาจากแท่นหินในเทวาลัยมหาอุมาเทวี” น้ำเสียงศศินเปี่ยมด้วยความชั่วร้าย
อินทรธนูเงื้อปีกผีเสื้อขึ้นแล้วค้างหยุด ใบมีดสั่นระริกอย่างยากจะควบคุม
“นี่ยายเฒ่าลงผีมิได้บอกเตฤๅ…หากฝังสูรยกานต์ต่อขั้วอำนาจจิต นานวันเข้าสัมปชัญญะจักฟั่นเฟือน เหลือเพียงสัญญาวิปลาสจมดิ่งในห้วงอนธการ” น้ำเสียงของร่างโปร่งสั่นเครือ หยดน้ำใสหยาดเชื่องช้าตรงหางตา ด้วยศศินแผ่ไอคั่งแค้นออกมาเข้มข้น แทบไม่เหลือเค้าชายหนุ่มที่มันรู้จัก “เหตุใดเตจึงทำร้ายตนเองเช่นนี้”
“แล้วไฉนอัญจึงจะเลือกทำร้ายตนเองมิได้ ในเมื่อคนอย่างหมู่เราก็ถูกทำร้ายมาชั่วนาตาปีอยู่แล้ว” ศศินย้อนถาม
ริมฝีปากบางของอินทรธนูเริ่มสั่น ปิดเปลือกตาสะอื้นไห้ น้ำตาหยดหนึ่งตกกระทบกังสดาลครึ่งซีกที่มันแขวนไว้ปลายสะเอว พร้อมกับใบมีดปีกผีเสื้อคมปลาบร่วงลิ่วกระแทกพื้น
“เตมิรู้ฤๅ…” อินทรธนูยกหลังมือปาดน้ำตา “ไม่ว่าข้าจักเคาะกังสดาลเพรียกหาเตสักเท่าใด เมื่อได้หลุดเข้าเขตวิกลจริตมืดมิดแล้ว เตก็มิอาจหวนกลับมาเจอหน้าอัญได้อีก”
ไม่รู้หากมันกรีดสูรยกานต์ออกจากร่างแล้วตามสติของศศินให้กลับมาตอนนี้ จะยังทันอยู่หรือไม่
ใบหน้าของศศินผุดความอ่อนโยนขึ้นมาวูบหนึ่ง ความรู้สึกห่วงหาฉายชัดในแววตาเหลือบรุ้ง แต่ไม่นานนักเฉดสีสดใสนั้นพลันถูกความมืดมิดกินกลืน ปรายตามองหยาดน้ำตาของคนรักอย่างเย็นชา
จู่ๆ ร่างสูงก็วูบไหวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเฉลาญ์หนุ่มไม่ถึงชั่วพริบตา ปลายนิ้วเรียวยาวแต่ดำสนิทคว้าบีบปลายคางอีกฝ่ายไว้ นัยน์ตาสะท้อนความโหดเหี้ยมออกมาเลือนราง
สายตานี้เป็นสายตาของอุปปาติกะที่อินทรธนูฝันเห็นช่วงเยาว์วัย
“อินทร์…” ศศินคล้ายข่มกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้ลึกสุดใจ แสยะยิ้มไร้ปรานี “อย่าหลงตนเองไปหน่อยเลย ตลอดสามปีที่ผันผ่านเตเอาแต่ขัดขวางแผนการของอัญมาตลอดมิใช่ฤๅ มาบัดนี้มีสิ่งใดทำให้เตหลงคิดไปว่าอัญจักยอมอยู่ใต้อาณัติของคนทรยศเผ่ารุ้งพรายอย่างเต”
ปลายนิ้วที่แข็งดุจคีมเหล็กบีบกรามคมของอินทรธนูแน่นเข้าช้าๆ จังหวะนั้นเองก็เกิดเสียงระเบิดกัมปนาทหวั่นไหวไปทั่วทั้งมหาบรรพต
ร่างอินทรธนูทรุดฮวบทันทีที่ศศินคลายมือ สันกรามปวดหนึบ ขณะแหงนหน้าเบิกตาจ้องร่างสูงด้วยความพิศวง
“ศิน!”
ร่างโปร่งโผเข้าไปคว้ามือของร่างสูงมิให้ล้ม
ศศินเซถอยหลังไปสามก้าว ไอดำสายหนึ่งพุ่งพรวดออกจากร่างดุจมวลน้ำมหาศาลที่ทะลักล้นฝายหิน ทันใดนั้นร่างสูงรู้สึกปวดศีรษะ บังเกิดภาพกระจัดกระจายไม่ปะติดปะต่อกันผุดขึ้น
มันเห็นตัวเองนอนจมกองโลหิต ร่างกายเปลือยเปล่า มียายเฒ่าลงผีทำอะไรบางอย่างที่แผ่นหลังของมัน
“เจ็บปวดเหลือเกิน…”
ศศินตัวสั่นไม่หยุด เจ็บปวดท่ามกลางความมืดที่ไร้แสงตะวัน สรรพางค์สั่นสะท้าน ในที่สุดดวงวิญญาณก็จมลงสู่ห้วงมหรรณพแห่งความประหวั่นพรั่นพรึง ผสมปนเปกับพละกำลังบางอย่างที่กำลังสั่นไหวอยู่ในอก
และบัดนี้พลังนั้นต้องการปะทุทะลวงเนื้อหนังของศศินออกสู่ภายนอก
ไม่แน่ว่าการระเบิดนั้นอาจข้องเกี่ยวกับกระแสจิตของศศิน อินทรธนูนึกพลางโผเข้าไปพยุงร่างสูง แล้วหันขวับไปยังที่มาของเสียงระเบิด
สิ่งที่ประจักษ์แก่ตาของชายหนุ่มบริเวณพลับพลาเปลื้องเครื่องนั้น บัดนี้วุ่นวายอลหม่านเหลือคณานับ
“วางลง!”
เสียงตะโกนของปูรณิมดังแทรกบรรยากาศเอ็ดอึง เล็งหน้าไม้ในมือไปยังบุรุษผิวเข้มผู้หนึ่งที่ดึงหินดูดเหล็กไปจากคออสรพิษ กัดฟันกรอด
“มึงก็ชอบพอไอ้หนุ่มรุ้งพรายนั่นมิใช่ฤๅ เหตุใดไม่เข้าร่วมกับเปลี่ยนแปลงกับพวกข้าเล่า” ปาสคะเมาโน้มน้าว ใบหน้าเหี้ยมเกรียม
ปูรณิมกลับส่ายหน้า
“ในเมื่อมิยอมรับโอกาสที่พวกข้าหยิบยื่นให้ สุดท้ายแล้วลมหายใจของเอ็งย่อมยากจะรักษา”
ยังไม่ทันสิ้นคำไอ้ปาสคะเมา ปูรณิมรู้สึกถึงปลายศรหน้าไม้แล่นฉิวเรียดใบหูซ้ายของตนไป
สิ่งเดียวที่ช่วยมันได้คือการเคลื่อนไหวไวว่อง ขณะที่ฝ่ายนั้นคว้าเครื่องยิงขนาดเท่าฝ่ามือออกมา แม้กระนั้นการขยับหลอกล่อก็ไม่หนักแน่นพอ ปูรณิมแสดงออกมาเกินไปว่าตนสังเกตได้ถึงการมีอยู่ของโจรป่าปาสคะเมาอีกนายหนึ่ง ยืนคุมอยู่ท้ายกระบวนอุรคะนาคินทร์
การฝึกฝนอย่างมีแบบแผนจากหน่วยสาลิกาล้วนไม่ได้ความในสถานการณ์จริง แต่นั่นก็มีประโยชน์ในเสี้ยวภาวะเฉียดตายที่ปาสคะเมาชักหน้าไม้จู่โจมมัน
หนทางที่มันจะเอาชนะการยิ่งต่อสู้ซึ่งหน้าเช่นนี้คือ หากปูรณิมมิได้เป็นฝ่ายลั่นไกออกไปก่อน นั่นหมายความว่ามันต้องเป็นฝ่ายหาที่กำบังและรักษาลูกศรเอาไว้
เฉลาญ์หนุ่มวูบหมอบแนบกายลงกับพื้น ทำให้ศรที่พลาดเป้าลอยลิ่วปักฉึกลงบนต้นแขนผู้อยู่ในกระบวนแห่นายหนึ่งทันที
เหล่าสตรีต่างกรีดร้องหมอบคลานลงกับพื้น
ปูรณิมอาศัยจังหวะกลิ้งหลบเข้าพลับพลาเปลื้องเครื่อง แนบสีข้างเข้าหลังเสาศิลาแลงแน่น เท่าที่มันนับคะเนตามเสียงของลูกศร จนถึงยามนี้ก็แปดดอกเข้าไปแล้ว มันจึงต้องรอให้ห่าศรสงบลงก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่มีทางรู้เลยว่าไอ้ปาสคะเมามีลูกศรสำรองในครอบครองกี่ดอก
เสียงหวีดหวิวอันเกิดจากลูกศรพุ่งฝ่าอากาศหายไปในชั่วอึดใจ ปูรณิมจึงเหวี่ยงหน้าไม้ยิ่งใส่โจรป่าที่ยืนคุมเชิงอยู่ท้ายกระบวนจนฝ่ายหลังล้มตึงแดดิ้นก่อนสิ้นใจ
เฉลาญ์หนุ่มพยายามคืบคลานเข้าไปใกล้ไอ้ปาสคะเมาที่มีหินดูดเหล็กในมือ ทุกฝีก้าวต้องยอบต่ำเข้าไว้
แต่เหมือนฝ่ายหลังจะรู้ทัน โจรป่าไม่รอช้า บิดหินดูดเหล็กในมือ กลไกคลายออกดังกริ๊ก แบ่งหินดูดเหล็กออกเป็นสองส่วน แล้วขว้างส่วนหนึ่งสุดแรงเกิดไปให้ปาสคะเมาอีกนายหนึ่งซึ่งยืนอยู่หน้าสุด ข้างกระบวนหงส์อันเป็นกระบวนสัตว์พาหนะลำดับแรก
“อย่า!” ปูรณิมกรีดร้อง
เมื่อจับต้นชนปลายย่อมพออนุมานได้ว่าอีกฝ่ายหมายตาจะทำสิ่งใด
ฝีเท้าปาสคะเมาช้าลงเล็กน้อย มันเงี่ยหูฟังคำร้องขอของปูรณิม เสียงอ้อนวอนนี้ไพเราะกว่าเสียงประโคมดนตรีในหอสังคีตเหลือคณา และมันควรดื่มด่ำกับห้วงเวลานี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่รอช้า ไอ้ปาสคะเมาเป่าปากหวีดหวิว ส่งสัญญาณให้อีกนายที่อยู่หัวกระบวนแตะหินดูดเหล็กเข้ากับแผ่นโลหะใต้สัตว์พาหนะองค์เทพพร้อมกัน
หลังผ่านไปไม่กี่อึดใจ เครื่องจักสานสัตว์เทพพาหนะหน้าสุดและหลังสุดก็ระเบิดขึ้นพร้อมกัน
อุรคะนาคินทร์และหงส์ก่อลูกไฟเจิดจ้ากระหนาบปิดหัวและท้ายของกระบวน ตามด้วยเสียงกึกก้องปานอสนีบาตแล่นผ่านวนํรุง
ลูกไฟใหญ่ยักษ์ที่กระเด็นออกจากเครื่องจักสานขนาดใหญ่แลดูคล้ายกระจุกเกสรบุษยะสีรุ้ง ก่อนพวยพุ่งเป็นก้านบัวแตกกระจายทั่วสารทิศประหนึ่งดอกไม้สีเพลิง
เพียงพริบตาเปลวอัคคีเพริศแพร้วสุดเปรียบปานก็กลืนกินทุกสิ่งอย่างที่ขวางทางมัน…
รวมถึงลมหายใจของชาวสรุก
กระแสลมรุนแรงกระจายออกรอบทิศในเวลาไม่ถึงเสี้ยวกษณะ พาร่างที่ยังมีชีวิตปลิดปลิวเป็นวงกว้าง
แม้แต่ปูรณิมที่อยู่รอบนอกก็ไม่อาจหนีรัศมีของวาโย โลหิตสีแดงสดทะลักจากรูจมูกของมันทันทีที่ร่างปลิวกระแทกเสาของพลับพลา
หลังการระเบิดยุติ เครื่องจักสานได้กลายเป็นคบเพลิงยักษ์ ลุกไหม้รุนแรง
“ศิน!”
ขณะที่ปูรณิมกำลังสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง ได้ยินเสียงอินทรธนูร้องตะโกนอยู่หน้าเทวาลัย จังหวะนั้นมันเห็นไอดำกลุ่มใหญ่พุ่งออกจากตัวของศศิน พร้อมเสียงกรีดร้องของอสรพิษที่ถูกสะเก็ดผลึกเศษะ
แต่กระนั้นมันก็ยังดันทุรังขวางพาด ไม่ยอมให้ผู้ใดเล็ดลอดลงไปจากมหาบรรพตได้แม้แต่นายเดียว
ปูรณิมยกหลังมือปาดเลือดที่ปลายจมูก มุมปากแย้มยิ้ม เพราะในที่สุดมันก็คิดหนทางที่ดีที่สุดออก
เฉลาญ์หนุ่มถอดขรรค์พระพายออกจากฝัก ก่อนย่างสามขุมเข้าหางูยักษ์ด้วยความหวังอันเรื่อเรือง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทส่งท้าย : สวรรคาโรหณบรรพ (จบบริบูรณ์)
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 41 : ตารการะยิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 40 : ทัดเทียม
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 39 : หริณจันทร์หวนคู่สุริยัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 38 : ศกุนตโลปาขยาน
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 37 : มหาเสนาปติ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 36 : ยั่วเสลี่ยง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 35 : ปม
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 34 : ภาดา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 33 : ลั่นเภรี
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 32 : กระบถ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 31 : งูซวง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 30 : คาหกาบาต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 29 : ผีเสื้อ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 28 : งำ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 27 : คำมั่น
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 26 : จุมพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 25 : รังสีอำมหิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 24 : ข้าวจี่
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 23 : มล้าง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 22 : สุดสวาสดิ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 21 : สมิง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 20 : พาโลโสเก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 19 : ส่วย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 18 : ภูเตศวร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 17 : ศาลิครามศิลา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 16 : โหมกูณฑ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 15 : ความหวัง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 14 : เชื้อไข้
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 13 : รุ้งพราย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 12 : พรานโจร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ