หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 39 : หริณจันทร์หวนคู่สุริยัน

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 39 : หริณจันทร์หวนคู่สุริยัน

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

‘เหล่าศกุนตะประพฤติชั่ว มิกลัวบาปเข้าเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ บัดนี้ถึงเพลาศิวนาฏราชร่ายรำทั้งร้อยแปดกระบวนท่า ด้วยหวังว่าพวกเจ้าจักสำเหนียกในความผิด!’

เมื่อสิ้นเสียงกรีดแก้วหู อินทรธนูเข้าใจได้ทันทีว่าการแก้แค้นของศศินกำลังเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย

คู่ชีพิตของมันต้องการจุดไฟประลัยกัลป์ กลืนกินชาวสรุกทุกผู้คน

แววตาอินทรธนูสาดประกายเด็ดเดี่ยว “วนํรุงกำลังจะถูกผลึกเศษะถล่มเป็นจุล รีบอพยพลงเขาบัดเดี๋ยวนี้”

พริบตาที่เฉลาญ์หนุ่มตะโกนสั่ง กระบวนแห่สังสรรค์ที่ยังไม่รู้ว่าเบื้องหน้าเกิดอะไรขึ้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ ราวกับองค์วิษณุเงื้อขรรค์สะบั้นตัดเสียงอึกทึกครึกโครมทั้งมวลในคราเดียว ไม่ว่าจะเป็นชาวสรุกที่ครึกครื้น เหล่านาฏกะร่ายรำประชันจังหวะคึกคัก รวมถึงขุนนางและข้าราชการที่ยืนร่วมกระบวนแห่ล้วนหุบปากพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

ผ่านไปไม่ถึงเสี้ยวอึดใจ

บังเกิดเสียงครืดคราดคล้ายอสรพิษขนาดมหึมาเคลื่อนคลานแผ่วเบา เลื้อยเลาะไปตามแนวลำรางระบายน้ำฝน เปลวไฟในร่องลุกพึ่บร้อนแรง ก่อตัวเป็นกำแพงสูงมิดหัว สว่างไสวทั่วทั้งมหาบรรพต ตัดกับผืนฟ้ายามอาทิตย์อัสดงเด่นชัด

ชาวสรุกแหงนหน้าพร้อมกัน ภาพที่เห็นขับไล่ความสงสัยของพวกมันทันที

งูยักษ์ปานลำตาลปราดลงสู่ท้ายกระบวนซึ่งรั้งอยู่บริเวณท้ายทางดำเนิน เชื่อมต่อกับพลับพลาเปลื้องเครื่อง ทันทีที่เดียรัจฉานเลื้อนผ่าน เปลวไฟในร่องลำรางก็พวยพุ่งโดยไม่มีทีท่าว่าจะซาลง

หมู่ชาวสรุกต่างอ้าปากค้าง ตะลึงตะไลไปกับอสรพิษขนาดมหึมาเบื้องหน้า ด้วยตั้งแต่เกิดมาพวกมันหาได้พบพานอสุรกายเยี่ยงนี้มาก่อนไม่

เกล็ดพรรณรายยามต้องแสงไฟก่อเฉดรุ้งเลื่อมระยับชวนดื่มด่ำ บางคนถึงกับคุกเข่าลงกับพื้น กราบอัษฎางคประดิษฐ์โดยให้องคาพยพทั้งแปดสัมผัสธรณี

พวกมันคงนึกว่านั่นเป็นตัวแทนแห่งเทวะลงมาโปรดสัตว์ต่อหน้ามวลมนุษย์กระมัง

มีเพียงปูรณิมที่ยังครองสัมปชัญญะเอาไว้ได้ มิได้นิ่งอึ้งเช่นชาวสรุก ชายหนุ่มกระชับขรรค์พระพายในมือแน่น หรี่ตาพินิจสัตว์เลี้ยงของศศินตามสัญชาตญาณถ้วนถี่ของผู้เป็นเฉลาญ์

“นั่นมันหินดูดเหล็กของไอ้ตุ่นมิใช่ฤๅ”

ครานี้มันกลับเป็นฝ่ายปากอ้าตาค้าง เมื่อเห็นหินดูดเหล็กคล้องอยู่ที่คออสรพิษ ในห้วงความคิดพลันปรากฏภาพสยดสยองของเหล่าโขลญสมิงในเทวาลัยมหาอุมาเทวี

“ไม่ได้การ”

ปูรณิมกระซิบ มือกำขรรค์พระพายแน่นขณะกระโจนลงตามขั้นกระได วิ่งย้อนกลับไปยังส่วนหัวของงูเบื้องล่าง

ส่วนอินทรธนูก็กำลังย่างเข้าหาศศินที่ยอดเขา สวนกับเหล่าชาวสรุกที่วิ่งกรีดร้องหนีตายตามหลังปูรณิมลงเขาไป

บุรุษร่างโปร่งพบว่าร่างกายของตนปวดแปลบเสียดแทงอยู่หลายจุด เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสังขารของตนมิได้หยุดพักหายใจอีกเลยนับแต่เข้าตรวจสอบเรือนร้างของนายจำกอบเมื่อเช้านี้ ซ้ำร้ายยังได้รับบาดเจ็บระหว่างการพยายามหยุดยั้งไอ้ตุ่นอยู่หลายครั้ง

จริงอยู่ที่ชาวสรุกศกุนตะเชื่อว่าชายชาตรีถูกหล่อหลอมขึ้นจากศิลา ทว่าบัดนี้แม้แต่หน้าไม้ อินทรธนูก็หมดแรงเหนี่ยวไกเสียแล้ว

นั่นทำให้ร่างโปร่งกังวลใจไม่น้อย

ชายหนุ่มเคยเข้าห้ำหั่นกับศศินครั้งหนึ่งเมื่อครั้งล่อซื้อสารพิษที่มีข่าวลือหนาหูว่าพรานโจรหวังใช้มันก่อการร้าย และเหตุการณ์นั้นทำให้อินทรธนูพึงตระหนักว่าอีกฝ่ายเป็นมือสังหารสุดอันตราย

“พญาแถนเจ้าแมนสรวง…หากเห็นว่าสิ่งที่อัญตัดสินใจกระทำนั้นถูกต้องตามครรลองแล้วไซร้ โปรดช่วยคุ้มครองกบาลอัญด้วยเทอญ”

ร่างโปร่งใช้มือยันเข่า หอบหายใจทางปากอย่างหนักหน่วง กล้ามเนื้อปวดหนึบรุนแรง

ขณะที่หางตาของมันปลายไปเห็นส่วนหางของงูยักษ์ที่ส่วนหัวเลื้อยลงไปถึงกระบวนอุรคะนาคินทร์ พาหนะของพระวิรุณซึ่งอยู่รั้งท้ายสุด ปลายนิ้วมือขวาก็ค่อยๆ ดึงมีดปีกผีเสื้อออกจากผ้าพันข้อมือ ชั่งน้ำหนักอาวุธบางเฉียบที่มันได้เป็นสินหมั้นจากนางเดือนอีกครั้ง

“เตอยากฆ่าอัญถึงเพียงนั้นเชียวฤๅ”

ฉับพลันที่อินทรธนูก้าวเหยียบบันไดหินสู่ปราสาทขั้นสุดท้าย น้ำเสียงเศร้าสร้อยของศศินก็ดังขึ้น ครานี้เป็นเสียงที่มันเปล่งออกจากริมฝีปาก

คำถามนั้นทำให้หัวใจชายหนุ่มปวดปร่า จุกเจ็บจวนเจียนจะเอ่อท้นถึงคอหอย ทำให้หยาดน้ำใสคลอเบ้าเป็นม่านบางอย่างยากจะข่มกลั้น

“ก็ดี…” ศศินเผยสีหน้าพึงใจระคนโหดเหี้ยม “อัญเองก็รอเพลานี้มานานแล้วเช่นกัน”

อินทรธนูเหวี่ยงใบมีดเป็นประกายคมปลาบเข้าจู่โจมทันที

แต่สิ่งที่น่าประหลาดคือศศินไม่ยอมโต้กลับ กระทำเพียงถอยหลังหลบหลีก

สามปีที่ผันผ่านได้เคี่ยวกรำอินทรธนูจนเปี่ยมประสบการณ์ต่อสู้ จึงรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้มิอาจควบคุมจังหวะของศศินได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มันฉุกคิดแวบหนึ่ง ก่อนถอยหลังกรูดไปหลายก้าว

เป้าหมายของเฉลาญ์หนุ่มมิได้อยู่ที่การปลิดชีวิตศศิน อินทรธนูต้องการเพียงทำลายสิ่งควบคุมอัคคีและอรสรพิษ

“มิทันไรก็ล้าเสียแล้วฤๅ เมียของอัญ”

ศศินจงใจใช้ถ้อยคำยั่วยุ ด้วยคู่ชีพิตในเผ่ารุ้งพรายล้วนมีศักดิ์เคียงกัน ไม่มีใครเป็นผัวนำหรือเป็นเมียตาม คำนั้นจึงนับได้ไม่ต่างกับคำผรุสวาท

แต่สายตาของอินทรธนูกำลังจับจ้องลำแสงสุริยาที่ส่องลอดทวารหินทั้งสิบห้าช่อง ซึ่งยามนี้มันกำลังสาดสะท้อนแผ่นหลังของปิศาจหนุ่ม ก่อภาพวูบไหวเสมือนอมนุษย์ร้ายที่คลานออกมาจากนรกผีครวญ

หริณจันทร์เผยโฉมเคียงคู่ดวงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ตั้งแต่เมื่อใด แม้แต่อินทรธนูก็ไม่ทันได้สังเกต

ผิว์หริณจันทร์หวนคู่สุริยัน

ดึกดำบรรพ์ก่อเกิดสูรยกานต์

ตำนานบุราณเกี่ยวกับโคกทลอกที่ยายเฒ่าลงผีเคยเล่าให้อินทรธนูฟังก่อนนอนอยู่บ่อยๆ ผุดวาบในสมอง

“เตรู้แล้วฤๅว่าอัญได้สิ่งใดมาจากแท่นหินในเทวาลัยมหาอุมาเทวี” น้ำเสียงศศินเปี่ยมด้วยความชั่วร้าย

อินทรธนูเงื้อปีกผีเสื้อขึ้นแล้วค้างหยุด ใบมีดสั่นระริกอย่างยากจะควบคุม

“นี่ยายเฒ่าลงผีมิได้บอกเตฤๅ…หากฝังสูรยกานต์ต่อขั้วอำนาจจิต นานวันเข้าสัมปชัญญะจักฟั่นเฟือน เหลือเพียงสัญญาวิปลาสจมดิ่งในห้วงอนธการ” น้ำเสียงของร่างโปร่งสั่นเครือ หยดน้ำใสหยาดเชื่องช้าตรงหางตา ด้วยศศินแผ่ไอคั่งแค้นออกมาเข้มข้น แทบไม่เหลือเค้าชายหนุ่มที่มันรู้จัก “เหตุใดเตจึงทำร้ายตนเองเช่นนี้”

“แล้วไฉนอัญจึงจะเลือกทำร้ายตนเองมิได้ ในเมื่อคนอย่างหมู่เราก็ถูกทำร้ายมาชั่วนาตาปีอยู่แล้ว” ศศินย้อนถาม

ริมฝีปากบางของอินทรธนูเริ่มสั่น ปิดเปลือกตาสะอื้นไห้ น้ำตาหยดหนึ่งตกกระทบกังสดาลครึ่งซีกที่มันแขวนไว้ปลายสะเอว พร้อมกับใบมีดปีกผีเสื้อคมปลาบร่วงลิ่วกระแทกพื้น

“เตมิรู้ฤๅ…” อินทรธนูยกหลังมือปาดน้ำตา “ไม่ว่าข้าจักเคาะกังสดาลเพรียกหาเตสักเท่าใด เมื่อได้หลุดเข้าเขตวิกลจริตมืดมิดแล้ว เตก็มิอาจหวนกลับมาเจอหน้าอัญได้อีก”

ไม่รู้หากมันกรีดสูรยกานต์ออกจากร่างแล้วตามสติของศศินให้กลับมาตอนนี้ จะยังทันอยู่หรือไม่

ใบหน้าของศศินผุดความอ่อนโยนขึ้นมาวูบหนึ่ง ความรู้สึกห่วงหาฉายชัดในแววตาเหลือบรุ้ง แต่ไม่นานนักเฉดสีสดใสนั้นพลันถูกความมืดมิดกินกลืน ปรายตามองหยาดน้ำตาของคนรักอย่างเย็นชา

จู่ๆ ร่างสูงก็วูบไหวปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเฉลาญ์หนุ่มไม่ถึงชั่วพริบตา ปลายนิ้วเรียวยาวแต่ดำสนิทคว้าบีบปลายคางอีกฝ่ายไว้ นัยน์ตาสะท้อนความโหดเหี้ยมออกมาเลือนราง

สายตานี้เป็นสายตาของอุปปาติกะที่อินทรธนูฝันเห็นช่วงเยาว์วัย

“อินทร์…” ศศินคล้ายข่มกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้ลึกสุดใจ แสยะยิ้มไร้ปรานี “อย่าหลงตนเองไปหน่อยเลย ตลอดสามปีที่ผันผ่านเตเอาแต่ขัดขวางแผนการของอัญมาตลอดมิใช่ฤๅ มาบัดนี้มีสิ่งใดทำให้เตหลงคิดไปว่าอัญจักยอมอยู่ใต้อาณัติของคนทรยศเผ่ารุ้งพรายอย่างเต”

ปลายนิ้วที่แข็งดุจคีมเหล็กบีบกรามคมของอินทรธนูแน่นเข้าช้าๆ จังหวะนั้นเองก็เกิดเสียงระเบิดกัมปนาทหวั่นไหวไปทั่วทั้งมหาบรรพต

ร่างอินทรธนูทรุดฮวบทันทีที่ศศินคลายมือ สันกรามปวดหนึบ ขณะแหงนหน้าเบิกตาจ้องร่างสูงด้วยความพิศวง

“ศิน!”

ร่างโปร่งโผเข้าไปคว้ามือของร่างสูงมิให้ล้ม

ศศินเซถอยหลังไปสามก้าว ไอดำสายหนึ่งพุ่งพรวดออกจากร่างดุจมวลน้ำมหาศาลที่ทะลักล้นฝายหิน ทันใดนั้นร่างสูงรู้สึกปวดศีรษะ บังเกิดภาพกระจัดกระจายไม่ปะติดปะต่อกันผุดขึ้น

มันเห็นตัวเองนอนจมกองโลหิต ร่างกายเปลือยเปล่า มียายเฒ่าลงผีทำอะไรบางอย่างที่แผ่นหลังของมัน

“เจ็บปวดเหลือเกิน…”

ศศินตัวสั่นไม่หยุด เจ็บปวดท่ามกลางความมืดที่ไร้แสงตะวัน สรรพางค์สั่นสะท้าน ในที่สุดดวงวิญญาณก็จมลงสู่ห้วงมหรรณพแห่งความประหวั่นพรั่นพรึง ผสมปนเปกับพละกำลังบางอย่างที่กำลังสั่นไหวอยู่ในอก

และบัดนี้พลังนั้นต้องการปะทุทะลวงเนื้อหนังของศศินออกสู่ภายนอก

ไม่แน่ว่าการระเบิดนั้นอาจข้องเกี่ยวกับกระแสจิตของศศิน อินทรธนูนึกพลางโผเข้าไปพยุงร่างสูง แล้วหันขวับไปยังที่มาของเสียงระเบิด

สิ่งที่ประจักษ์แก่ตาของชายหนุ่มบริเวณพลับพลาเปลื้องเครื่องนั้น บัดนี้วุ่นวายอลหม่านเหลือคณานับ

 

“วางลง!”

เสียงตะโกนของปูรณิมดังแทรกบรรยากาศเอ็ดอึง เล็งหน้าไม้ในมือไปยังบุรุษผิวเข้มผู้หนึ่งที่ดึงหินดูดเหล็กไปจากคออสรพิษ กัดฟันกรอด

“มึงก็ชอบพอไอ้หนุ่มรุ้งพรายนั่นมิใช่ฤๅ เหตุใดไม่เข้าร่วมกับเปลี่ยนแปลงกับพวกข้าเล่า” ปาสคะเมาโน้มน้าว ใบหน้าเหี้ยมเกรียม

ปูรณิมกลับส่ายหน้า

“ในเมื่อมิยอมรับโอกาสที่พวกข้าหยิบยื่นให้ สุดท้ายแล้วลมหายใจของเอ็งย่อมยากจะรักษา”

ยังไม่ทันสิ้นคำไอ้ปาสคะเมา ปูรณิมรู้สึกถึงปลายศรหน้าไม้แล่นฉิวเรียดใบหูซ้ายของตนไป

สิ่งเดียวที่ช่วยมันได้คือการเคลื่อนไหวไวว่อง ขณะที่ฝ่ายนั้นคว้าเครื่องยิงขนาดเท่าฝ่ามือออกมา แม้กระนั้นการขยับหลอกล่อก็ไม่หนักแน่นพอ ปูรณิมแสดงออกมาเกินไปว่าตนสังเกตได้ถึงการมีอยู่ของโจรป่าปาสคะเมาอีกนายหนึ่ง ยืนคุมอยู่ท้ายกระบวนอุรคะนาคินทร์

การฝึกฝนอย่างมีแบบแผนจากหน่วยสาลิกาล้วนไม่ได้ความในสถานการณ์จริง แต่นั่นก็มีประโยชน์ในเสี้ยวภาวะเฉียดตายที่ปาสคะเมาชักหน้าไม้จู่โจมมัน

หนทางที่มันจะเอาชนะการยิ่งต่อสู้ซึ่งหน้าเช่นนี้คือ หากปูรณิมมิได้เป็นฝ่ายลั่นไกออกไปก่อน นั่นหมายความว่ามันต้องเป็นฝ่ายหาที่กำบังและรักษาลูกศรเอาไว้

เฉลาญ์หนุ่มวูบหมอบแนบกายลงกับพื้น ทำให้ศรที่พลาดเป้าลอยลิ่วปักฉึกลงบนต้นแขนผู้อยู่ในกระบวนแห่นายหนึ่งทันที

เหล่าสตรีต่างกรีดร้องหมอบคลานลงกับพื้น

ปูรณิมอาศัยจังหวะกลิ้งหลบเข้าพลับพลาเปลื้องเครื่อง แนบสีข้างเข้าหลังเสาศิลาแลงแน่น เท่าที่มันนับคะเนตามเสียงของลูกศร จนถึงยามนี้ก็แปดดอกเข้าไปแล้ว มันจึงต้องรอให้ห่าศรสงบลงก่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้

ไม่มีทางรู้เลยว่าไอ้ปาสคะเมามีลูกศรสำรองในครอบครองกี่ดอก

เสียงหวีดหวิวอันเกิดจากลูกศรพุ่งฝ่าอากาศหายไปในชั่วอึดใจ ปูรณิมจึงเหวี่ยงหน้าไม้ยิ่งใส่โจรป่าที่ยืนคุมเชิงอยู่ท้ายกระบวนจนฝ่ายหลังล้มตึงแดดิ้นก่อนสิ้นใจ

เฉลาญ์หนุ่มพยายามคืบคลานเข้าไปใกล้ไอ้ปาสคะเมาที่มีหินดูดเหล็กในมือ ทุกฝีก้าวต้องยอบต่ำเข้าไว้

แต่เหมือนฝ่ายหลังจะรู้ทัน โจรป่าไม่รอช้า บิดหินดูดเหล็กในมือ กลไกคลายออกดังกริ๊ก แบ่งหินดูดเหล็กออกเป็นสองส่วน แล้วขว้างส่วนหนึ่งสุดแรงเกิดไปให้ปาสคะเมาอีกนายหนึ่งซึ่งยืนอยู่หน้าสุด ข้างกระบวนหงส์อันเป็นกระบวนสัตว์พาหนะลำดับแรก

“อย่า!” ปูรณิมกรีดร้อง

เมื่อจับต้นชนปลายย่อมพออนุมานได้ว่าอีกฝ่ายหมายตาจะทำสิ่งใด

ฝีเท้าปาสคะเมาช้าลงเล็กน้อย มันเงี่ยหูฟังคำร้องขอของปูรณิม เสียงอ้อนวอนนี้ไพเราะกว่าเสียงประโคมดนตรีในหอสังคีตเหลือคณา และมันควรดื่มด่ำกับห้วงเวลานี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไม่รอช้า ไอ้ปาสคะเมาเป่าปากหวีดหวิว ส่งสัญญาณให้อีกนายที่อยู่หัวกระบวนแตะหินดูดเหล็กเข้ากับแผ่นโลหะใต้สัตว์พาหนะองค์เทพพร้อมกัน

หลังผ่านไปไม่กี่อึดใจ เครื่องจักสานสัตว์เทพพาหนะหน้าสุดและหลังสุดก็ระเบิดขึ้นพร้อมกัน

อุรคะนาคินทร์และหงส์ก่อลูกไฟเจิดจ้ากระหนาบปิดหัวและท้ายของกระบวน ตามด้วยเสียงกึกก้องปานอสนีบาตแล่นผ่านวนํรุง

ลูกไฟใหญ่ยักษ์ที่กระเด็นออกจากเครื่องจักสานขนาดใหญ่แลดูคล้ายกระจุกเกสรบุษยะสีรุ้ง ก่อนพวยพุ่งเป็นก้านบัวแตกกระจายทั่วสารทิศประหนึ่งดอกไม้สีเพลิง

เพียงพริบตาเปลวอัคคีเพริศแพร้วสุดเปรียบปานก็กลืนกินทุกสิ่งอย่างที่ขวางทางมัน…

รวมถึงลมหายใจของชาวสรุก

กระแสลมรุนแรงกระจายออกรอบทิศในเวลาไม่ถึงเสี้ยวกษณะ พาร่างที่ยังมีชีวิตปลิดปลิวเป็นวงกว้าง

แม้แต่ปูรณิมที่อยู่รอบนอกก็ไม่อาจหนีรัศมีของวาโย โลหิตสีแดงสดทะลักจากรูจมูกของมันทันทีที่ร่างปลิวกระแทกเสาของพลับพลา

หลังการระเบิดยุติ เครื่องจักสานได้กลายเป็นคบเพลิงยักษ์ ลุกไหม้รุนแรง

“ศิน!”

ขณะที่ปูรณิมกำลังสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง ได้ยินเสียงอินทรธนูร้องตะโกนอยู่หน้าเทวาลัย จังหวะนั้นมันเห็นไอดำกลุ่มใหญ่พุ่งออกจากตัวของศศิน พร้อมเสียงกรีดร้องของอสรพิษที่ถูกสะเก็ดผลึกเศษะ

แต่กระนั้นมันก็ยังดันทุรังขวางพาด ไม่ยอมให้ผู้ใดเล็ดลอดลงไปจากมหาบรรพตได้แม้แต่นายเดียว

ปูรณิมยกหลังมือปาดเลือดที่ปลายจมูก มุมปากแย้มยิ้ม เพราะในที่สุดมันก็คิดหนทางที่ดีที่สุดออก

เฉลาญ์หนุ่มถอดขรรค์พระพายออกจากฝัก ก่อนย่างสามขุมเข้าหางูยักษ์ด้วยความหวังอันเรื่อเรือง

 



Don`t copy text!