หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
แม่เล้าใช้เวลาให้ปากคำแก่พวกเฉลาญ์ในหอสังคีตจวบสว่าง ทันทีที่นางก้าวขาออกมา ด้านนอกเพิ่งจะลั่นกลองบอกเวลายามเช้าพอดี ชาวสรุกที่ตื่นเช้าเริ่มสัญจรไปมาหนาตา อากาศยังเจือความเย็นจากหมอกน้ำค้างไม่จางหาย นางเหลือบไปเห็นข้างทางมีพ่อค้าตั้งร้านแผงลอยขายอาหารเช้าจึงแวะเข้าไปนั่ง
“กินเผ็ดไหม”
เจ้าของแผงข้าวเปียกเส้นเห็นว่าสิคาลเดินไปยืนอยู่ข้างแค่สูงราวอกได้เอง เลยไม่ได้กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับ เพียงยืนตะโกนถามอยู่หน้าเตา
แม่เล้าพยักหน้า
“ปวดกบาลแย่เลยซี ลูกค้าตายคาอกเด็กหนุ่มแบบนั้น” เจ้าของแผงแสร้งเห็นอกเห็นใจ
แม่เล้าเลือกที่จะหับปากให้สนิท
เหตุการณ์ชายเจ้าสำราญสิ้นใจคาอกเด็กหนุ่มในหอสังคีตมีให้เห็นเสมอ บ้างใช้ลูกกลอนสรรพคุณเพิ่มพละกำลังบุรุษดุจอาชากระทืบโรง ยังผลให้เลือดในการสูบฉีดร้อนเร่า มากเข้าก็ถึงขั้นหน้ามืดหมดลม
ไม่นาน ข้าวเปียกเส้นกระดูกอ่อนโรยหอมแดงซอยและกระเทียมเจียวที่ไอร้อนควันฉุยก็ถูกนำมาวางเบื้องหน้า กลิ่นของมันทำให้แม่เล้าคลายความเมื่อยล้า เจริญอาหารเป็นอย่างยิ่ง
“เอ็งรู้หรือเปล่าว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นที่ขนอนคลังหลวง” ชาวสรุกผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างปลายแค่อีกด้านหนึ่งกระซิบถามเจ้าของแผง เรียกความสนใจของสตรีวัยกลางคนไม่น้อย
เจ้าของแผงทำหน้าครุ่นคิด “เอ็งหมายถึง…”
ชาวสรุกจุ่มปลายนิ้วชี้ลงน้ำแกง ก่อนขีดเขียนเป็นตัวอักขระขอมหนึ่งอักษรลงบนแคร่
“ป?” หว่างคิ้วเจ้าของแผงยับย่น
“ปรฺลย”
“การประลัย? การสิ้นสุดที่ปรากฏในวิษณุปุราณะน่ะฤๅ” เจ้าของแผงถามเสียงสั่น นึกถึงคำในคัมภีร์ที่ชาวสรุกนับถือ
องค์รุทรจักทำลายหมู่สัตว์ทั้งหมดที่เกิดจากพระองค์ให้ดับสูญ ทรงสถิตอยู่ในรัศมีทั้งเจ็ดของพระอาทิตย์ ผืนแผ่นดินแห้งผาก อานุภาวะแห่งแสงสว่างสาดส่องเบื้องล่างแลเบื้องบน แผดเผาโลกทั้งสามจนหมดสิ้น องค์รุทรคือไฟในคราวล้างโลก ก่อเกิดลมหายใจของนาคเศษะ แผดเผาผืนพิภพเป็นเถ้าถ่านธุลีดิน
ชาวสรุกผงกศีรษะ ความเงียบหนาหนักแผ่ไปทั่วทันที
“นี่เอ็งหมายความว่าอย่างไร ของแบบนี้มิใช่เอามาพูดเล่นสุ่มสี่สุ่มห้า”
“ชาวสรุกต่างฮือฮา ว่ากันว่าสิ่งที่หายไปเป็นผลึกเศษะที่ตกทอดมาตั้งแต่บรรพกาล ถือกำเนิดเมื่อครั้งวนํรุงยังคงปะทุไม่มอดดับ”
“อย่าบอกนะว่ามีผู้ร้ายคิดการใหญ่โดยใช้เกล็ดงูที่ว่า” เจ้าของแผงกำด้ามตะกร้อลวกเส้นแน่น
ศกุนตะมีการสืบเชื้อสายโปญผู้ครองสรุกมาจนถึงปรัตยุตบันก็ลำดับที่สี่แล้ว
ราวสิบห้าปีก่อน ยามที่บิดาของโปญองค์ปัจจุบันขึ้นครองสรุก ได้เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ นั่นคือขบถเหมือง ว่ากันตามตรงเรื่องทั้งหมดเกิดจากการที่เสนาปติชื่อหาญยุยงให้โปญคนก่อนอนุญาตให้มันยกกองกำลังเข้าปราบชนเผ่ารุ้งพราย ทั้งที่เผ่ารุ้งพรายไม่ได้คิดก่อกบฏ แม้พวกมันจะถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานในเหมืองยิ่งกว่าวัวและกระบือก็ตาม
ความจริงคือไอ้หาญหมายมั่นปั้นมืออยากได้บานเมือง ลูกสาวนายจำกอบ มาเป็นเมีย แต่บานเมืองดันติดไข้วิปริต ไปหลงรักอีเดือนหัวหน้าเผ่ารุ้งพราย มันจึงจงเกลียดจงชังพวกผิดเพศอย่างเผ่ารุ้งพรายนัก
ในสรุกศกุนตะ สตรีเป็นเพียงทรัพย์สิน อ่อนแอ แค่เครื่องมือผ่อนคลายกามารมณ์ เป็นทรัพย์สินที่ถูกขายทอดได้ดุจปศุสัตว์ และผู้หญิงศกุนตะส่วนใหญ่ก็ยอมหมอบกราบรับวิถีนั้นเสียด้วย
ยกเว้นบานเมืองที่ป่วยไข้ เห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมต่ำทรามของเผ่ารุ้งพราย
บานเมืองแสร้งว่าตนแข็งแกร่งและเป็นอิสระ ซึ่งทั้งสองประการนั้นช่างทำให้มหาเสนาปติอย่างไอ้หาญรู้สึกเหมือนถูกอิตถีเอาโจงครอบศีรษะ มันไม่ทางยอมให้เพศหญิงศกุนตะลุกฮือขึ้นมาเอาเยี่ยงอย่างพวกรุ้งพรายและบานเมืองเด็ดขาด
เห็นทีต้องกำจัดให้สิ้นซาก!
การบังคับข่มขืนให้สตรียินยอมทอดกายนั้นเป็นความพึงใจที่มหาเสนาปติพึงใจเสมอมา
ทว่าโปญไม่ได้กระตือรือร้นตามแรงยุ ด้วยไม่เชื่ออย่างไอ้หาญว่า ‘ความจริงแท้’ ของอุดมการณ์แห่งศกุนตะนั้นต้องยึดโยงอยู่กับบรรทัดฐานสรีสระ ใช้ลึงค์กับโยนีเป็นศูนย์กลางวิถีชีวิต ไร้จิตใจและความรู้สึกข้องเกี่ยว ยังผลให้การแสดงออกซึ่งความรักที่ไม่เป็นไปตามอุดมการณ์ของศกุนตะจะถูกรังเกียจ และอาจร้ายแรงถึงขั้นถูกกำจัด
กระนั้นเผ่ารุ้งพรายก็ถูกกวาดต้อนให้ไปอยู่แถวตีนเขาไม้คาน แยกพวกมันออกจากศกุนตะ ห้ามไม่ให้เข้ามาปะปนกับชาวสรุกดุจขังไว้ในค่ายกักกันเชื้อโรค
ทว่าเมื่อสามปีก่อนเกิดเหตุไม่คาดฝัน
ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์หมุนเวียนมาบรรจบ โปญแห่งศกุนตะสิ้นลมหายใจด้วยไข้ดำพร้อมชาวสรุกอีกจำนวนไม่น้อย ปลายนิ้วของคนป่วยแต่ละรายล้วนเน่าเปื่อยเป็นสีกาฬ น่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
ยามนั้นโปญคนปัจจุบันอายุยังเยาว์ ทว่าสรุกก็ไม่อาจไร้ผู้ปกครองได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ชนเผ่าอื่นข่มขู่คุกคาม รวมถึงขัดขวางไม่ให้พวกวรรณะต่ำอย่างไพร่กับพวกอวรรณะทลิตลุกฮือขึ้นแข็งข้อ
เหตุนี้จึงเปิดโอกาสให้ไอ้หาญเข้าฉกฉวยแอบอ้างอำนาจ ก้าวก่ายงานบริหารราชการสรุก การณ์กลับกลายเป็นว่าเหล่าโขลญตั้งตนเป็นใหญ่ ทำให้เด็กน้อยซึ่งเป็นหน่อเนื้อเชื้อโปญแท้ๆ ไม่ได้มีอำนาจปกครอง ครั้นเด็กน้อยเติบใหญ่พอจะคิดอะไรได้บ้าง กลับถูกมหาเสนาปติครอบงำชักใยให้ลงนามเพื่อออกโองการกำจัดศัตรูทางการเมือง กล่าวได้ว่าโปญคือหุ่นเชิดและใบรับรองในสิ่งที่พวกทหารโขลญต้องการ
ในเมื่อมหาเสนาปติอาจหาญสถาปนาหน่วยสมิงเพื่ออวดศักดาบารมี เมื่อแรกก่อตั้งหน่วยสมิงมันก็จับกุมคนเข้าไปปรับทัศนคติไม่น้อย ในนั้นไม่เพียงมีชาวสรุกที่บังอาจวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของพวกโขลญหน่วยสมิง ยังมีขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้งจากโปญองค์ก่อนซึ่งไม่เห็นด้วยกับมันล้วนไม่รอด มหาเสนาปติจับกุมคนโดยไม่ได้บอกกล่าวโปญ ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ถวายฎีการ้องเรียนก็ไร้ผล ซ้ำร้ายยังถูกมหาเสนาปติย้อนเล่นงาน
นี่เองที่เป็นเหตุผลให้มหาเสนาปติพาหน่วยสมิงเข้าเข่นฆ่าชนเผ่ารุ้งพรายจนสิ้นซากเมื่อสามปีก่อน โดยอ้างว่าไข้ดำที่โปญติดมานั้นเกิดจากเผ่ารุ้งพรายวิปริตผิดเพศ
“ว่ากันว่าบุตรชายโทนของหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายยังรอดชีวิต และตอนนี้กบกานอยู่กับพวกโจรป่า” ชาวสรุกซดน้ำแกงเสียงดัง
“โจรป่าที่ชอบดักปล้นกระบวนสินค้าตามช่องเขาน่ะฤๅ” เจ้าของแผงแค่นเสียงกระซิบ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเกล็ดงูผลึกเศษะ เอ็งอย่าโยงส่งเดช”
“เอ็งมิรู้ฤๅว่าเช้าวานเกิดสิ่งใดขึ้นบนยอดภู” มันพยักพเยิดไปทางปราสาทหินบนยอดเขาวนํรุงที่เห็นอยู่ลิบๆ
เจ้าของแผงเบิกตาโพลง ใบหน้าถอดสี ก่อนกวาดตามองโดยรอบ “ข้าได้ยินว่าเป็นพิธีปุรุษเมธ ฆ่าคนบูชายัญ”
“เอ็งมิต้องตระหนกไป ตลาดร้านค้าผู้คนพลุกพล่าน ต่อให้ตะโกนโหวกเหวกก็ไม่มีใครสนใจ” ชาวสรุกแสยะยิ้ม
“เป็นฝีมือของเด็กรุ้งพรายที่รอดชีวิตนั่น?”
ชาวสรุกไม่ได้ผงกศีรษะหรือส่ายหน้า “มีชาวสรุกหลายคนเห็นชายแปลกหน้าป้วนเปี้ยนอยู่แถววนํรุงก่อนเกิดเหตุ ไม่แน่ว่าอาจเป็นบุตรชายหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายที่ยังรอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
มิใช่ไอ้สิคาลที่เพิ่งตายคาอกเด็กหนุ่มหอสังคีตดอกฤๅ แม่เล้าคิดพลางเคี้ยวข้าวเปียกเส้น
เพราะตอนที่มันก้าวเท้าเข้าประตูมา เนื้อตัวของมันส่งกลิ่นน้ำมันประหลาด ไม่แน่ว่าอดีตโขลญคลางผู้นี้อาจเกี่ยวข้องกับการเผานายจำกอบทั้งเป็นเหนือยอดวนํรุงก็ได้
“พิธีปุรุษเมธ การฆ่าคนบูชายัญมิต่างอันใดกับวิชามาร”
“เด็กนั่นต้องการล้างแคนแทนเผ่ารุ้งพรายอย่างไรเล่า” ชาวสรุกผลักชามดินเผาอันว่างเปล่าให้เจ้าของแผง
“แล้วเอ็งว่าหน่วยสมิงรู้เรื่องนี้ฤๅยัง”
คราวนี้ชาวสรุกส่ายหน้า “มิแน่ว่าชาวศกุนตะที่เห็นดีเห็นงามว่าการอยู่กินระหว่างหญิงหญิงชายชายอย่างพวกรุ้งพรายกำลังวางแผนลุกฮือ ใช้ไอ้เด็กที่เหลือรอดผู้เดียวนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งการปฏิวัติ!”
“ด้วยเหตุใด”
“นี่เอ็งมิรู้ฤๅ นัยน์ตาเผ่ารุ้งพรายสามารถมองทะลวงแผ่นหินได้แจ่มแจ้งในคืนหริณจันทร์ โดยมิต้องอาศัยแสงตะคันสักกระผีก” ชาวสรุกถอนหายใจ “ผู้มีอาวุธร้ายฝังอยู่ในกายถึงเพียงนั้น ใครมิเอาเข้าพวกย่อมโง่เง่าเต่าตุ่น”
แม่เล้าพินิจบุรุษชาวสรุกที่กำลังกระซิบกระซาบกับเจ้าของแผงด้วยหางตา ก่อนบุ้ยใบ้ให้ฝ่ายหลังมารับเหรียญศรีวัตสะค่าข้าวเปียกเส้น
เมื่อถอยห่างจากแคร่สูงที่นางยืนกินมื้อเช้ามาตั้งแต่เมื่อครู่ พลันรู้สึกถึงลางร้ายที่กำลังรอชาวศกุนตะอยู่เบื้องหน้า แม้นางไม่อาจหยั่งถึงอิทธิพลของหนุ่มน้อยเผ่ารุ้งพรายที่รอดชีวิตได้ลึกซึ้งนัก ที่แน่ๆ หากแรงจูงใจของการก่อเหตุในครั้งนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของมัน แม้จะรุนแรงสักเท่าไรก็ไม่อาจนับว่าเป็นการก่อการร้าย กลับกันหากเป้าหมายของไอ้หนุ่มผู้รอดชีวิตคือความต้องการที่จะสั่งสอนชาวศกุนตะให้ตาสว่าง
นั่นละคือการก่อการร้ายขนานแท้
สมรภูมินี้แม่เล้ารับหน้าที่ผู้นั่งโห่ร้องส่งกำลังใจอยู่ขอบสนาม เพราะนางหมั่นไส้เหล่าผู้ชายชาวศกุนตะเหลือเกิน ปากหาว่าวิถีเผ่ารุ้งพรายนั้นวิปริต ตัวเองกลับดอดลูกเมียมาพลอดรักกับเด็กหนุ่มหอสังคีตไม่ว่างเว้น
และที่สำคัญ การนั่งดูผู้ชายอกสามศอกถูกย่ำยีนั้น ช่างเป็นงานอันมีเกียรติเสียนี่กระไร