หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
กระเรียนหัวแดงฝูงหนึ่งสยายปีกบินผ่านแนวเทือกเขาสูงชัน ภูผาตั้งตระหง่านขวางพาดจากตะวันตกสู่ตะวันออก เมฆขาวสะอาดลอยลิ่วเลือนหาย
อารักษ์ฝ่ายศกุนตะรีบหลบเข้าที่กำบังภายใต้เงามืดของช่องจันทบเพชร หุบเขาเบื้องล่างที่แทรกตัวอยู่ระหว่างเทือกเขาภนุมฎองแรก เบื้องหลังของเหล่าอารักษ์เป็นราชมรรคา เส้นทางสำหรับใช้สัญจรติดต่อระหว่างสรุก กองเกวียน วัวต่าง และช้างที่สามารถไต่ระดับความสูงของผืนดินได้
ม้าและวัวส่งเสียงร้องกรีดก้องปะปนมากับเสียงหน้าไม้ที่หลุดจากแล่งราวห่าฝน ระคนด้วยเสียงผู้คนกู่ตะโกน ตามด้วยเสียงโอดโอยเจ็บปวดปริ่มจะขาดใจ ไม่กี่อึดใจก็มีเสียงโลหะกระทบกันโกร่งกร่างดังก้องดุจกังสดาลถูกกระทบ
“กองระวังหลังตรึงกำลังเอาไว้ก่อน!”
ปูรณิมตะโกนสั่งกองระวังหลังก่อนยอบตัวลงต่ำ ขณะวิ่งขึ้นไปตามเนินลาดชัน
เกวียนเล่มที่บรรทุก ‘ของสำคัญ’ ลงไปถึงก้นหุบเขาโดยปลอดภัยแล้ว ทว่ายังต้องเดินทางไปอีกหลายโยชน์กว่าจะถึงด่านและป้อมค่ายที่จะทำให้พวกมันปลอดภัยอย่างแท้จริง
หากสามารถดั้นด้นไปจนถึงละก็…
ปูรณิมเผลอกระชับมือเข้ากับสายเศวาลที่คล้องสะพายแล่งกับลำตัวของตนแน่น ประหนึ่งว่ามันเป็นยัชโญปวีต สายมงคลของเหล่าพราหมณ์ ที่ถูกคล้องจากไหล่ขวามาสะเอวซ้าย อันเป็นเครื่องรางนำพาให้มันรอดชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
เฉลาญ์หนุ่มวัยสิบแปดกระตุ้นตนเองให้ห้อตะบึงลงสู่ก้นหุบเขา ก่อนจะลองเสี่ยงผินหน้าเหลียวมองไปยังเบื้องหลัง
ภาพที่เห็นคือยอดเขาสูงตระมื่นท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงก่อความมืดครึ้มทาบทับช่องแคบระหว่าง ‘ภูเขาไม้คาน’ ที่พุ่งสูงเสียดฟ้า
แม้ฤดูร้อนกำลังย่างกราย ทว่าฤดูหนาวก็ยังเย็นเยียบเสียดกระดูก
น้ำค้างที่ร่วงหล่นจากหมู่ไม้ใบหญ้าเป็นเหตุให้ผืนดินแถบราวป่าอ่อนยวบ เมื่อหยาดรดนานเข้าก็กลายเป็นหล่มโคลน ประดาวัวและกระบือต่างต้องบุกลงไปในหลุมหล่มที่โคลนสูงถึงข้อต่อ ทุกย่างก้าวของพวกมันล้วนเสี่ยงต่อการล้มคว่ำกระดูกหัก
ระแทะ เกวียนท้องถิ่นแถบนี้ มีลักษณะค่อนข้างเล็กและนิยมเทียมวัว เนื่องจากผืนดินเป็นดินทรายและที่ราบสูง ไม่จำเป็นต้องใช้แรงในการลากจูงมากนัก อีกทั้งการนำเกวียนมาใช้ประโยชน์ของคนสรุกศกุนตะมักใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง มากกว่าจะนำมาเป็นพาหนะแบกสัมภาระ เกวียนศกุนตะจึงมีรูปร่างลักษณะสวยงามกว่าเกวียนพื้นที่อื่น ด้วยนิยมชมชอบงานศิลปะด้านการแกะสลักลวดลาย
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ระแทะเบื้องหน้าปูรณิมเคลื่อนที่โขยกเขยกหวาดเสียว จวนเจียนจะหลุดจากเพลาอยู่รอมร่อ
เฉลาญ์หนุ่มเห็นท่าไม่ดีจึงเร่งฝีเท้าลงไปสมทบกับอารักษ์ที่ควบคุมเกวียน
ด้านหน้าระแทะมีวัวสองตัวรั้งลาก โดยมีเหล่าอารักษ์ช่วยกันดันอยู่ด้านหลัง พวกมันจะต้องเร่งไปให้ถึงเส้นทางซึ่งทอดตัวอยู่ใต้สันเขาโดยเร็วที่สุด
“ฮุย…” ผู้คุมระแทะร้องพร้อมหวดแส้ใส่หลังวัว
วัวตัวนำเชิดหัวขึ้นแล้วแผดเสียงทันที มันออกแรงฉุดแอกเต็มกำลัง แต่ระแทะกลับไม่ขยับเขยื้อน สายจูงตึงเปรี๊ยะ พร้อมลมหายใจของสัตว์เทียมยานพาหนะถูกพ่นออกมาเป็นกลุ่มควันในมวลอากาศที่หนาวเย็น
“ทุด!” อารักษ์นายหนึ่งพ่นคำผรุสวาทออกมาอย่างหยาบคาย “ข้าบอกแล้วว่าให้อ้อมไปทางตะวันตกสักหน่อย ผ่านละหาน ปะคำ เข้าโนนดินแดง มุดผ่านเทือกเขาบริเวณช่องกุ่ม ตามด้วยบ้านกุ่มแซร์ออ เพราะปลอดภัยกว่าจุดนี้แยะ”
“กองระวังหลังตรึงกำลังต่ออีกหน่อย!”
ปูรณิมตะโกน มันเห็นด้วยกับคำของอารักษ์ ทว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดแล้ว มันไม่อาจล่าช้าไปมากกว่านี้ได้
“ฤๅเราควรกลับเอาไปเก็บไว้ที่สถูลไศลดังเดิม” เฉลาญ์ผู้เยาว์กว่าปูรณิมห้อม้าเข้ามาเทียบ มันเอ่ยถึงนามลำลองของ ‘วนํรุง’ ภูเขาไฟที่มอดดับ
ปูรณิมกลับส่ายหน้า
“เราจักนำเกล็ดงูย้อนกลับไปยังศกุนตะอีกมิได้ ต้องรีบเข้าสู่พรมแดนยโศธรปุระโดยเร็วที่สุด”
เพราะทุกลมหายใจที่ล่าช้า ย่อมพรากคร่าเลือดเนื้อและชีวิต
เกล็ดงูที่มันเอ่ยถึงคือผลึกใสซึ่งเหล่าราชครูปุโรหิตเรียกขานกันว่า ‘ผลึกเศษะ’ เมื่อคนงานเหมืองสมัยปู่ย่าตาทวดเผอิญร่อนออกมาได้จำนวนหนึ่ง เพียงเท่านั้นฤทธาของมันก็สามารถระเบิดเผาผลาญผืนแผ่นดินศกุนตะให้แตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ไม่แปลกที่เหล่าพราหมณาจารย์จะหวาดผวา ต่างครางฮือเอ็ดอึงว่าเกี่ยวข้องกับตำนานการประลัยที่ปรากฏในวิษณุปุราณะ อาวุธร้ายแรงเช่นนี้จึงไม่อาจเก็บงำเอาไว้ในสรุกเล็กๆ ได้อีก
หรือเหตุเภทภัยที่เกิดต่อเนื่องนับแต่นายจำกอบถูกฆ่าบูชายัญจะเป็นสัญญาณบ่งว่ากำลังจะเข้าสู่กลียุค
เหล่าเฉลาญ์หน่วยสาลิกาต่างเห็นพ้องว่าผลึกศักดิ์สิทธิ์ที่เผอิญขุดได้จากเหมืองตีนเขาสถูลไศลไม่อาจอยู่รอดปลอดภัยบนแผ่นดินที่ราบสูงอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข่าวลือเริ่มสะพัด สีสันที่แต้มแต่งเรื่องราวย่อมล่อตาล่อกิเลสของผู้คนทั่วสารทิศ
โดยจำเพาะผู้ที่จงเกลียดจงชังหน่วยสมิง อยากแก้แค้นเอาคืนทหารกลุ่มนี้ที่มองว่าวิถีของเผ่ารุ้งพรายไม่พึงประสงค์ กระทั่งเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยดินดำและหน้าไม้
เฉลาญ์ผู้เยาว์พยักหน้าเข้าใจในสถานการณ์ ไม่ดึงดันเสนอให้หัวหน้านำเกล็ดงูกลับไปยังสรุกศกุนตะอีก มันจ้องวัวฉุดระแทะให้ขึ้นจากหล่มโคลนลึกทีละน้อยอย่างร้อนใจ ในที่สุดยานพาหนะก็เริ่มเคลื่อนตัวได้บ้าง
จังหวะที่ระแทะเคลื่อนตัวไต่ระดับอีกครั้ง หีบขนาดย่อมซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางเกวียนส่งเสียงครืดคราดคล้ายเสียงคร่ำครวญของคนตายจากอดีตไกลโพ้น ก่อนลื่นไถลลงไปติดกับเชือกที่ผูกยึดไว้ด้านท้ายของบองเกวียน
เมื่อวัวย่ำกีบไปบนผืนดินที่แห้งแข็งได้สะดวก ยานพาหนะจึงไต่ระดับเร็วขึ้นตามไปด้วย กระนั้นมันก็ยังไม่เร็วไปกว่าคนวิ่งอยู่ดี
สายตามุ่งมั่นของปูรณิมจับจ้องภารควะ ดาวประจำเมือง เหนือสันเขาไกลลิบอย่างมีความหวัง
แสงสว่างและความมืด แปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง สอดประสานกับทุกสิ่งในธรรมชาติ มีความเกี่ยวพันกับเทวตานพเคราะห์และศาสตร์ทำนายดวงชะตา
ไม่แน่ว่าเฉลาญ์หนุ่มอาจเห็นอะไรบางอย่างจากประกายแห่งดาวพระศุกร์
ปูรณิมทิ้งเสียงการต่อสู้ไว้เบื้องหลัง แว่วเพียงเสียงครางด้วยความเจ็บปวดไปทั่วช่องจันทบเพชร ก่ออาการสังเวชเกินคณนาขึ้นในทรวง เสียงประหอกและดาบเงียบหายไปแล้ว เป็นสัญญาณบ่งให้รู้ถึงความปราชัยของหน่วยสาลิกา…
หน่วยนี้ของเฉลาญ์ตำรวจเกิดจากความไม่ไว้ใจพวกทหาร มนตรีจึงตั้งขึ้นอย่างลับๆ เพื่อพิทักษ์ศานติของชาวประชารวมถึงเพื่อต่อต้านการก่อการร้าย
เฉลาญ์หนุ่มสอดส่ายสายตาไปโดยรอบป่าสัก มะค่า แดง ประดู่ และชิงชันที่มีแต่ความทึบทึมทาบทับอยู่กับลำต้นสูงของป่าเบญจพรรณจนบดบังภูมิทัศน์ไว้สิ้น มีเพียงลำแสงสลัวจากผืนฟ้าเคลือบเฉดแดงฉานแทรกลงมาพอให้เห็นละอองดินปลิวว่อนไปมาใต้ดวงตะวันที่กำลังเคลื่อนคล้อยตกดิน
ทันใดปูรณิมก็เหลือบไปเห็นวัตถุสะท้อนลำแสงสีเงินวาววับ
บุรุษร่างหนึ่งปรากฏขึ้นโดดเด่นท่ามกลางลำแสง กังสดาลครึ่งซีกที่ร้อยสายพันรอบข้อมือสะท้อนแสงสว่างแยงตา
ปูรณิมไม่จำเป็นต้องเห็นสัญลักษณ์ที่สลักอยู่บนแผ่นกังสดาลก็รู้ได้
คงไม่ต่างจากแผ่นกังสดาลครึ่งซีกของอินทรธนูที่มันเคยเห็นเท่าใดนัก
แต่เดิมเผ่ารุ้งพรายเป็นชนพื้นถิ่นป่าดง ไร้ผู้คนเหลียวแล ในเมื่อพวกมันถูกทิ้งขว้าง จึงแยกตัวจากชุมชนคนหมู่มาก ทั้งยังปฏิเสธที่จะถูกกลืนกินเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์กลุ่มใหญ่อย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นแนวความคิด คุณค่า และพฤติกรรมที่แสดงออกมาของพวกมันจึงไม่ได้เป็นไปตามขนบของวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง
“ฤๅมันจักเป็นพรานโจรโฉดชั่ว” เฉลาญ์หนุ่มพึมพำ
โจรป่ายังคงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ ไร้ทีท่าจะไล่ตาม ก่อบรรยากาศแปลกประหลาดประหนึ่งต่างฝ่ายต่างก็กำลังงำความลับบางอย่างไว้ในใจ
เมื่อสายตาปะทะสายตา แต่ละคนล้วนนิ่งงันผิดปกติ
แววตาเหนือผ้าป่านโปร่งสีตุ่นที่มันใช้คาดปากปิดบังใบหน้านั้นช่างคลับคล้ายศศิน เด็กหนุ่มที่หายสาบสูญตอนมหาเสนาปติพาหน่วยสมิงเข้าเข่นฆ่าเผ่ารุ้งพรายเมื่อสามปีก่อน
แม้ปูรณิมได้พาหน่วยสาลิการีบเร่งรุดเข้าไปยับยั้งการสังหารหมู่ กลับช่วยเหลือออกมาได้เพียงหนึ่งชีวิต นั่นคืออินทรธนู
“พวกมึงต้องการสิ่งใด”
เฉลาญ์ปูรณิมเปิดฉาก ทว่ายังคงระแวดระวัง ด้วยร่างกายของอีกฝ่ายสูงใหญ่ ท่อนบนเปล่าเปลือยอวดท่อนแขนแข็งแกร่ง แผงอกกำยำแต้มเฉดสีน้ำผึ้งเข้ม เมื่ออยู่ในเงื้อมเงาจึงดูประหนึ่งสีนิลกาฬ มีเพียงผ้าแพรที่ห่มพันท่อนล่างยาวระเข่า บางเบาจนแทบโปร่งลม
“…ต นรก ตราปฺ วฺระจนฺทฺรา ทิตฺย มานฺ เลยฺ”
โจรป่าหลุบมองปูรณิมจากใต้งอบไม้ไผ่สานทรงกรวย แววตาแฝงนัยในคำยโศธรปุระที่มันเพิ่งเอ่ย
…จักตกนรกหมกไหม้ ตราบเท่าจันทราแลอาทิตย์ยังปรากฏ
“เมื่อทุกคนในขบวนได้สมัครใจเข้ามาเป็นอารักษ์ เชื่อว่าล้วนเตรียมใจสละตนก่อนออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว”
ดุจดวงเนตรของปูรณิมมองทะลุใจบุรุษร่างสูงได้หมดจด
ในที่สุดระแทะก็เคลื่อนตามปูรณิมขึ้นมาถึงเส้นทางแห้งผากบนสันเขาที่หมาย จากจุดนี้พวกเขาสามารถเร่งความเร็วได้แล้ว แผ่นดินยโศธรปุระอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่โยชน์เท่านั้น การโจมตีของโจรป่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
เพียงแต่…
จู่ๆ โจรป่าร่างสูงก็ดึงคันธนูสีดำประหนึ่งเงาแห่งความตายออกจากหัวไหล่ พาดศรเข้ากับสาย น้าวปีกนกพร้อมเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยลูกธนูหลุดจากแล่งเต็มเหนี่ยว
“ประสาอะไรกับธนูแค่ดอกเดียว”
เฉลาญ์ผู้เยาว์ที่อยู่บนหลังม้าข้างปูรณิมพ่นลมขึ้นจมูก เมื่อเห็นศรดอกนั้นหายลับขึ้นไปในแสงอาทิตย์เหนือแนวสันเขา
ทุกอย่างเงียบกริบปานการโฉบของเหยี่ยวรุ้ง ก่อนที่ศรจะย้อนตกลงมาจากฟากฟ้า พุ่งดิ่งเฉือนเชือกท้ายระแทะสะบั้นขาด
เมื่อไร้สิ่งผูกยึด หีบไม้ก็ไหลลงไปทางด้านหลังของบองเกวียน
อารักษ์ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงสองนายต่างผวาเข้าไป หมายคว้าป้องกันไม่ให้หีบตกกระแทกพื้น
แต่สายไปเสียแล้ว
หีบหนาหนักลิ่วพ้นบองเกวียนทับร่างอารักษ์ผู้หนึ่งซึ่งยืนขวางทางมัน กระดูกเชิงกรานลั่นหักทันที ตามด้วยเสียงโหยหวนกรีดก้องทั่วทั้งราวป่า
เฉลาญ์ผู้เยาว์รีบร้อนกระโจนลงจากหลังม้า วิ่งเข้าไปสมทบปูรณิมและอารักษ์ที่กำลังช่วยกันยกหีบใบนั้นให้พ้นร่างผู้เคราะห์ร้าย
ดุจคุณความดีส่งให้นารายณ์ปกปักรักษา ท้ายที่สุดพวกมันก็ยกหีบขึ้นได้แล้วลากร่างอารักษ์ออกมาจากข้างใต้ ทว่าหีบใบนี้หนักเกินกว่าจะยกกลับคืนใส่บองเกวียน
ชั่วพริบตานั้นเองอารักษ์ที่กำลังยกหีบไว้มุมหนึ่งเกิดก้าวพลาด หีบไม้หลุดร่วงสู่พื้นอีกครั้งในแนวตะแคง แรงกระทุ้งส่งส่วนฝาให้เลื่อนเปิด เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบื้องหน้า
ปูรณิมหันขวับไปมอง รู้อยู่แก่ใจว่าจะพบกับสิ่งใด
พวกโจรป่ากำลังห้อตรงเข้ามาสมทบ ด้วยกลุ่มโจรป่าก่อนหน้าถูกอารักษ์ฆ่าตายไปไม่น้อย
ผีซ้ำด้ำพลอยแท้ๆ
ปูรณิมทำได้เพียงยืนนิ่ง ไม่มีทางให้มันหนีไปไหนได้อีกแล้ว
ชั่วพริบตานั้นเองเฉลาญ์ผู้เยาว์ก็เผลออุทานแผ่วเบา แต่ไม่ใช่เพราะภาวะคับขันที่ตนกำลังเผชิญ
“นี่มันมิใช่หีบใส่ผลึกนี่” มันเอ่ยเสียงสั่น ชี้นิ้วไปยังภาชนะคล้ายเหยือกสองหูที่ถูกบรรจุเอาไว้ในหีบแน่นขนัด “มีแต่กุนติกาดินเผาทั้งนั้น”
อารักษ์ทรุดฮวบลงคุกเข่า “แล้วผลึกศักดิ์สิทธิ์เล่า…มันหายไปได้อย่างไร”
เฉลาญ์เยาว์วัยหันขวับไปหาปูรณิม ก่อนจ้องลึกเข้าไปในดวงตา ปรากฏว่านัยน์ตาอีกฝ่ายมิได้ฉายแววแปลกใจแม้แต่น้อย “เจ้ารู้อยู่แล้ว…”
ปูรณิมไม่ได้ตอบคำ ผินหน้ากลับไปมองกลุ่มโจรป่าราวสิบคนที่กำลังตะบึงเข้ามาหา
ใช่ กองเกวียนของเขาเป็นเพียงอุบายหลอกล่อพวกก่อการร้าย กระบวนขนผลึกศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงได้ออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนแล้วโดยใช้ฬ่อลากระแทะ ห่อผลึกไว้ด้วยผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ ก่อนซุกไว้ในกองฟางอีกชั้นหนึ่ง
จากนั้นปูรณิมเบือนหน้าจับจ้องไปยังขบถดำร่างสูงที่ยืนอยู่บนไหล่เขาเขม็ง
พวกมันอาจได้เลือดเนื้อและชีวิตของเขาไปในวันนี้ แต่มันจะไม่มีวันได้ผลึกศักดิ์สิทธิ์ไปไว้ในมืออย่างแน่นอน
ไม่มีวัน!
ชั่วพริบตานั้นเอง เสียงสังข์แตรของหน่วยสาลิกาก็แว่วมาพร้อมกับดวงอาทิตย์ใกล้จมมิดขอบฟ้า ช่วยผ่อนคลายกำปั้นที่ถูกกำแน่นจนชื้นเหงื่อของเฉลาญ์หนุ่มลงไปได้อักโข จิตใจสงบลงเล็กน้อย แม้มือข้างนั้นจะยังสั่นอยู่ก็ตาม
“พระองค์เป็นเทพแห่งโยคีทั้งหลาย เป็นเทวะสูงสุด ร่ายรำสำแดงความน่าเกรงขาม อันเป็นความจริงเพียงหนึ่งเดียวเหนือฟากฟ้าใสกระจ่าง เทวตาผู้มายา ผู้ทำให้จักรวาลเคลื่อนไหว ปลดปล่อยผู้มืดบอดจากความโง่เขลา เริงระบำหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว วิษณุกลับกลายเป็นซีกซ้ายของรุทร ตาณฑวะกดพระบาทโยกภูเขา สะบัดมวยพระเกศาต้องหมู่ดาวกระจัดพลัดพราย ช่วยไผทด้วยกาลมหากาล (1)”
ริมฝีปากของปูรณิมขยับเพียงนิด สวดท่อนหนึ่งจากคัมภีร์กุรมะปุราณะ เพื่ออำนวยอวยชัยให้เกิดสิริมงคล
เสียงเอ็ดตะโรทั้งหลายพลันเงียบลงทีละนิดอย่างไม่มีใครได้ทันตั้งตัว หลงเหลือแต่สัญญาณสังข์แตรที่หวีดหวิว
จันทรกลาสีเงินยวงโผล่พ้นทิวเขา ผิวน้ำที่อยู่ห่างออกไปกระเพื่อมเป็นระลอก เสียงสัญญาณนั้นสะท้อนอยู่เนิ่นนาน
ขณะที่พวกโจรป่ากำลังมึนงง ปูรณิมพลันใช้สองนิ้วสอดเข้าใต้ลิ้น เป่าปากก่อเสียงหวีดหวิวดังกังวาน
“อัญได้ในสิ่งที่อัญต้องการจากฬ่อเทียมระแทะก่อนหน้านี้แล้ว เพลานี้เพียงถือโอกาสแวะมาดูหน้าเกลอเก่าก็เท่านั้น” โจรป่าร่างสูงยืนอยู่บนไหล่เขา จ้องลึกเข้าไปในดวงตาปูรณิม จากนั้นค่อยๆ ปลดผ้าป่านโพกหน้า มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงทักทายเฉลาญ์หนุ่ม
“ศศิน!” นัยน์ตาปูรณิมเบิกโพลง
“อีกบ่นานเราจักได้เจอกันอีก”
ศศินก้มมองปูรณิมครู่หนึ่ง ก่อนผลุบหายเข้าไปในป่าทึบ ปล่อยให้พวกโจรป่าหน้าโง่กลายเป็นเป้าของเหล่าเฉลาญ์อยู่ตรงนั้น
เพียงชั่วพริบตาสถานการณ์กลับพลิกผันอีกครั้ง ปูรณิมคว้าหน้าไม้ซึ่งถูกฝังเอาไว้ในช่องใต้หีบบรรจุกุนติกาที่ร่วงตะแคง เกิดเสียงฉึกครั้งหนึ่ง โจรป่าผู้อยู่ใกล้มันที่สุดล้มตึงกลายเป็นศพคาที่
“หน่วยสาลิกา!” โจรป่าผู้อยู่หน้าสุดร้องหน้าเผือด เอ่ยชื่อหน่วยของทางการศกุนตะที่เพิ่งกรูเข้ามาสมทบอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“สายไปเสียแล้ว…” เฉลาญ์หนุ่มเอ่ยเสียงเย็น
“ถอย!” โจรป่าตะโกน
ยังไม่ทันสิ้นคำ โจรป่าผู้พูดก็ชะตาขาด ศรพุ่งจากสุมทุมทะลวงแผ่นหลังทะลุด้านหน้าส่งโลหิตทะลัก
หน่วยสาลิกาเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจเงาผีวูบวาบ
“บัดนี้พวกเจ้ามีทางเลือกสองทาง” ปูรณิมตะโกนบอก น้ำเสียงเฉียบขาด “หนึ่งคือยอมจำนน และสอง…คือหนทางแห่งความตาย!”
ฉึก!
ศรดอกหนึ่งพุ่งเสียบอกด้านซ้ายใต้ไหปลาร้าของปูรณิมอย่างเหมาะเหม็ง
และนั่นคือของต่างหน้าจากศศิน
เชิงอรรถ :
(1) ผู้ทำลาย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ