หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
กาลครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้นานเนิ่น อดีตกาลอันไกลโพ้น กระทั่งปู่ย่าตาทวดชาวศกุนตะยังเชื่อว่านี่เป็นเพียงตำนานปรัมปราเกี่ยวกับเฒ่าเกิบ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น
วันหนึ่งเฒ่าเกิบกระย่องกระแย่งลงกระไดตรงหน้าชานขนาดไม่กว้างไปกว่าตัวตาเฒ่านั่งเพียงลำพัง พลางทอดสายตาขึ้นไปยังวนํรุงเหนือยอดเขา ปากปล่องภูเขาไฟนั้นเคยปะทุเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บัดนี้ได้แปรสัณฐานเป็นแอ่งคล้ายกระทะขนาดใหญ่
มันลูบไรขนที่ชูชันบนเนื้อหนังเหี่ยวย่นแถวต้นแขน ด้วยกระท่อมไผ่ขนาดย่อมประกอบด้วยการกรุฝาลำแพนแทนผนังกับส่วนบนซึ่งมุงด้วยตับจากต่างหลังคานั้น ไม่ช่วยกันลมหนาวเท่าไรนัก
ถัดจากลานนวดข้าวออกไปไม่ไกล เป็นเตาเผาที่ตาเฒ่าขุดลึกลงไปใต้ดินราวหนึ่งช่วงคนยืนตั้งแต่เมื่อครั้งยังหนุ่ม มองจากภายนอกคล้ายชามใส่แกงที่เฒ่าเกิบปั้นเองกับมือคว่ำซ้อนกัน ใบล่างเล็กกว่าใบบน
ที่มาของมันเลือนหายไปจากความทรงจำของเฒ่าเกิบเนิ่นนานมากแล้ว
กึ่งกลางโพรงมีแกนค้ำเพื่อไม่ให้ผนังเตาพังถล่ม ครั้งหนึ่งบริเวณนั้นเคยเป็นดินจอมปลวกมาก่อน เหตุที่ตาเฒ่าเลือกจุดนั้นเพราะขุดสะดวก และดินแถวจอมปลวกก็มักเป็นดินขาว เมื่อสัมผัสความร้อน ดินชนิดนี้จะไม่จับตัวกันจนหนาหนัก แม้เปลวไฟส่ายเรียดผิวดินเนิ่นนานก็ไม่หลุดร่วง
ตาเฒ่าเอื้อมมือคลำไปตามชายหลังคาโรงเก็บฟืน เดินแทรกระหว่างไม้ฟืนแห้งกองสุมกันอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตร ข้างแป้นหมุนที่ก่อเงาตะคุ่มมีหวี ไม้ไผ่แผ่นบางถูกเฉือนตัดเป็นรูปทรงกลมรี ใช้สำหรับขูดดินเครื่องปั้นภายนอกให้ราบเรียบเสมอกัน วางระเกะระกะอยู่เป็นหย่อม
หากเฒ่าเกิบตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเตาเผายังมีไฟลุก ชายชราก็มักไปด้อมมองภายในเตาสุม นัยน์ตาฝ้าฟางคำนวณอุณหภูมิจากสีดินเผาที่คุโชน คะเนว่าสีคล้ำกลายเป็นสีแดงอย่างผลหม่อน และสีลูกหม่อนนั้นได้กลายเป็นสีส้มแล้วหรือยัง
ทว่ายามนี้เตามอดแล้ว
อนธการตรงปากเตาเร่าร้องประหนึ่งรอคอยให้ตาเฒ่าประจุเครื่องปั้นเข้าไปเผาอีก
เฒ่าเกิบยิ้มพึงใจ ด้วยลักษณะพิเศษของเครื่องปั้นตนคือ เมื่อเผาออกมาแล้วจะมีสีน้ำตาลเข้มเป็นมันปลาบ ต่างจากเครื่องปั้นดินเผาของถิ่นอื่น
ติ๊ง…
เสียงกังสดาลแว่วกังวานมาแต่ไกล พร้อมคำตะโกนเอ็ดอึงแถวตีนมหาบรรพต
‘เหล่าโจรป่าชั่วช้าออกอาละวาด ดักปล้นขบวนสินค้าตามช่องเขา ทวีความรุนแรงขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน บัดนี้ทางการขอให้ลูกสรุกลูกบ้านผู้มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงสมัครเข้าร่วมกับกองกำลังอาสา ช่วยเป็นหูเป็นตาให้แก่ความผาสุกของสรุกศกุนตะทุกผู้คน’
‘ใครกัน เอะอะมะเทิ่งตั้งแต่ไก่ยังมิขัน’ เฒ่าเกิบเดินไปถามไอ้กู่ เด็กหนุ่มกำพร้าที่ยายกกเก็บมาเลี้ยงดู
‘คนของมหาเสนาปติกระมัง’ ไอ้กู่ตอบ มันหมายถึงตำแหน่งกฤตัชญวัลลภ ผู้ตรวจกำลังพล
เฒ่าเกิบยืนมองเด็กหนุ่มที่กำลังโกยแร่กองหนึ่งใส่เลียง ภาชนะทรงกลมก้นโค้งคล้ายกระทะก้นตื้น ก่อนร่อนในลำธารท้ายรางกู้แร่อย่างเบามือ
ลูกกั้นที่ขั้นรางเป็นชั้นค่อยแยกส่วนผสมหลากสีในน้ำที่ไหลผ่านไปออกจากกันตามน้ำหนัก ธาตุเหล่านี้ได้จากการขุดผิวดินทำเหมืองขนาดย่อมของชาวบ้านลงไปไม่ลึกนัก บ้างหาของแข็งสีขาวเป็นเงา บ้างร่อนให้ได้ผลึกสีส้มแดง นอกจากเอาไปเป็นส่วนผสมในการหลอมแก้วและเครื่องปั้นดินเผาแล้ว ชาวบ้านยังนำผลึกชนิดนี้ไปโรยใส่โคนพืชผักช่วยแตกหน่อทอยอด
‘สันติสุขมิได้เกิดขึ้นโดยง่าย และการธำรงรักษามันไว้ก็ยิ่งยากเป็นทบทวี’
เฒ่าเกิบถอนใจ ส่ายหน้าให้แก่ความเป็นไปของโลก
กิจวัตรของตาเฒ่าก็ไม่ต่างกัน แต่ละวันหมดไปกับการขุดดินเหนียว ย่ำนวด นั่งข้างแป้นหมุน ก่อไฟ ขนเข้า ขนออก ทำความสะอาด จากนั้นก็ขนใส่เกวียนไปขาย…
เป็นวัฏจักรเช่นนี้เอง
ทว่าไอ้กู่ไม่ได้ตอบคำ
จู่ๆ เด็กหนุ่มก็เอียงศีรษะ มุ่นหัวคิ้วอย่างงวยงง ด้วยปกติแล้วเศษโลหะหนักมักถูกกักไว้ตั้งแต่ต้นราง ขณะที่ธาตุที่บางและเบากว่าจะถูกกักไว้กลางราง และวัตถุที่เบาที่สุดจะไหลไปรวมกันอยู่ท้ายราง
บัดนี้บริเวณนั้นล้วนเต็มไปด้วยผลึกบางใสคล้ายอัญมณีทอประกายระยิบระยับ
‘สรุกศกุนตะมีดินเอียดดินขี้กะทาเหมือนวิมายปุระด้วยฤๅ’ ไอ้กู่พูดถึงดินส่าเกลือ ดินเค็มที่ปรากฏดอกขาวจากเกล็ดเค็ม
‘พี่ ข้าว่าพี่กู่ไปนั่งพักสักหน่อยไหม’ เด็กสาวเพิ่งฟื้นตัวจากไข้ทับระดูเอ่ย
เจ้าของเสียงคือจำปา อายุย่างสิบสาม เป็นลูกสาวของนางนุง หลานยายกก แก้มของเด็กหญิงยังคงยุ้ยอย่างเด็กน้อยทั้งที่ขมวดคิ้วพยายามปั้นหน้าจริงจัง
กู่เงยหน้ามองขอบฟ้าเหนือต้นการบูรที่ยายกกปลูกไว้หลายต้นด้านทิศตะวันออก ‘มิเร็วไปฤๅ ยังเหลือดินอีกตั้งแยะ’
ขณะจำปากำลังเกาศีรษะ ยืนละล้าละลังอยู่นั้นเอง
‘ไอ้กู่…ข้าว่าจะไปหาทหารโขลญของมหาเสนาปติ’ จงทะลุกลางปล้อง
เด็กหนุ่มผู้นี้อายุสิบหก นับว่าเป็นเกลอสนิทของไอ้กู่ ทั้งยังร้างบิดามารดาไม่ต่างกัน มันกำลังย่ำตัดลานนวดข้าวตรงเข้าไปยังลำธารท้ายรางกู้แร่
‘ทหาร?’ สีหน้าของเด็กหญิงเคร่งขึ้น ‘เอ็งจะไปยุ่งกับคนพวกนั้นทำไม วันๆ หาแต่เรื่องมาให้คนบ้าร้องแรกแหกกระเชอตามไปก็เท่านั้น’
‘พวกมันบอกว่าจะออกค่าอาวุธให้ทุกคนก่อน เราไม่มีเหรียญก็ไม่เป็นไร ไอ้จงมันยิงธนูแม่น แถมวันก่อนมันยังสู้กับหมาป่าตั้งสองตัวด้วยพลองเล่มเดียว…’ กู่เปรยถึงการต่อสู้กับศฤคาล หวังว่าจะช่วยเพื่อนที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของตนได้
‘ที่แท้ก็อยากอาสาจับโจร ทำดีไปพวกศกุนตะก็บ่เคยเห็นหัว ข้าไม่อยากเถียงเรื่องนี้กับพวกเอ็งอีก ปัญหาของเรามิได้อยู่ที่เหรียญศรีวัตสะ และคำตอบของข้าก็คือไม่! พี่ก็ได้ยินคนเหมืองพูดกันแล้วนี่ มหาเสนาปติมิได้อยากจับโจร เพียงต้องเกณฑ์ขี้ข้าไปใช้ส่วนตัวในครัวเรือนก็เท่านั้น’
ที่แท้ก็ไอ้จงนี่เองที่เป็นคนหาเหามาใส่กบาลไอ้กู่
เด็กหญิงนึกถึงกระท่อมชายป่าแถวตะเข็บเขตแดน แม้บ้านของครอบครัวจำปาจะใกล้เคียงกับคำว่าเพิงหมาแหงนกรุไผ่ขัดแตะต่างผนัง ทว่ากระท่อมน้อยหลังนั้นกลับมีแต่ความอบอุ่น ต่างกับเพิงพักคนงานเหมืองที่เธอและชาวทลิตคนอื่นๆ ต่างถูกเกณฑ์มาใช้แรงงาน
แม้ชนชั้นไม่ได้แบ่งแยกเข้มข้นอย่างภารตะ ทว่าพวกมันก็ถูกหยามน้ำหน้าไม่ต่างกับวัวและกระบือ สมกับคำว่า ‘ทลิต’ อันหมายถึงชนชั้นที่ไม่ควรไปจับต้องสุงสิง
‘พวกมันมองเราทำไม เราไม่ได้อยากมาอยู่สักหน่อย’ ครั้งหนึ่งไอ้จงเคยถาม เมื่อเห็นสายตาผู้คนในละแวกมองมายังพวกมันทั้งสามคน
ตอนนั้นกู่ทำได้เพียงยืนกำฝ่ามือเปียกชุ่ม มันไม่เคยหลงลืมความรู้สึกนั้น แต่ก็ไม่อยากให้ตนเองจดจำได้เสียมากกว่า เพราะยิ่งมันยอมรับสภาพได้เร็วเท่าไร มันจะยิ่งคลายกำมือออกให้สายลมเป่ารดให้เย็นลงได้เร็วขึ้นเท่านั้น
นอกจากทลิตด้วยกันเอง พวกศกุนตะวรรณะอื่นๆ ไม่ค่อยพูดคุยกับอมนุษย์อย่างพวกมัน เฒ่าเกิบกับยายกกก็ได้แต่พร่ำสั่งไม่ให้ประดาเด็กหนุ่มออกไปไหน สั่งโดยไม่ยอมปริปากอธิบาย
เหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ทำให้ไอ้กู่รู้ซึ้ง
ยามนั้นไอ้จงหกล้มกลางตลาด คนพวกนั้นเพียงชำเลืองมองด้วยสายตาหยามเหยียด หากเดือนเป็นแผลหรือเกิดฟกช้ำ มดหมอยังไม่ใคร่อยากรักษา ส่ายหน้าด้วยความรังเกียจที่ชนในวรรณะอย่างมันช่างไร้ซึ่งความเกรงอกเกรงใจ
กู่คำรามฮึดฮัดในลำคอ ก่อนหันไปยกถาดเลียงขึ้นจากน้ำ
‘ช่วยพี่หน่อย’ เด็กหนุ่มปรับเสียงให้อ่อนโยนลง เสเปลี่ยนเรื่อง ‘อาการไข้เป็นอย่างไรบ้าง ยังหนาวสั่นปวดหลังอยู่ฤๅไม่’
แทนที่จะตอบของกู่ เด็กหญิงกลับมองเฒ่าเกิบที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ไม่ไกลอย่างอับจนหนทาง จากนั้นทอดถอนใจ นั่งลงข้างอีกฝ่ายและเริ่มแยกสินแร่
กู่และจำปาต่างสวมถุงมือหนังวัว ทำงานว่องไวทว่าระมัดระวัง
การร่อนแร่เต็มไปด้วยเศษของมีคม รวมถึงเข็มแหลมจากอดีตกาลไกลโพ้นที่ว่ากันว่าต้องคำสาป เพราะผู้ใดถูกเข็มเหล่านี้ตำนิ้ว จำนวนไม่น้อยมักล้มตายด้วยอาการลึกลับ
จงยืนกอดอก สูดลมหายใจเสียงดัง
‘ผู้ชายคนนั้นบอกว่าถ้าหมู่เราเข้าร่วมหน่วยโขลญ ทุกคนจะได้เหรียญมากพอซื้อข้าวปลาอาหารสี่ปี…’
‘ยายกกกับตาเกิบมีให้เรากินเหลือเฟือ’ จำปาสวนทันควัน
‘งั้นก็มิต้องใช้เงินที่ได้ซื้อข้าวปลา ข้าจะเก็บไว้ซื้อของกำนัลแด่ท่านเฉลาญ์เพื่อซื้อตำแหน่ง’
‘เฉลาญ์?’ เสียงจำปากระด้างขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินคำเรียกผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เด็กหญิงรู้ดีว่าคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างไอ้จงกำลังคิดการใหญ่ เพราะอย่างไรเสียการใช้เงินซื้อตำแหน่งข้าราชการปลายแถว ก็ดีกว่ามานั่งจมปลักอยู่ในเหมือง ‘ที่แท้ก็เรื่องพรรค์นั้น เอ็งลืมคำพูดของพ่อแม่แลโคตรเหง้าก่อนตายแล้วฤๅไร’
‘มิเคยลืม!’ ไอ้จงทำหน้าเบ้ หน่วยตาเริ่มเอ่อคลอ บุ้ยใบ้ไปทางกะลาสำหรับใส่แร่ ‘แต่ข้ามิอยากนั่งข้างพรกไปทั้งชีวิต!’
จำปากัดริมฝีปากบางเนิ่นนานก่อนเอ่ยคำอีกครั้ง ครานี้พยายามอย่างสุดกำลังที่จะข่มเสียงให้ฟังดูอ่อนโยนเข้าไว้
‘เอ็งก็รู้ว่าคนวรรณะอื่นเป็นอย่างไร ถ้าพวกมันรู้ความจริง มิแคล้วเห็นเอ็งกับข้าเป็นแค่วัชพืช แค่กากขยะไร้ค่า เอ็งไม่มีทางมีความสุข…’
‘นั่งทนมือทนตีนของพวกมันอยู่แบบนี้พวกเราก็ไม่มีทางมีความสุข!’ ไอ้จงตะโกน ‘สิ่งที่ส่วนกำลังราบกำลังประกาศจะทำให้เรามีโอกาสแทรกซึมแล้วก่อ…’
‘เอ็งจะไม่มีวันได้เติบใหญ่’ จำปาตะคอก ‘พอกันที!’
‘แค่เพราะว่าเอ็งขี้ขลาด ก็มิได้หมายความว่าไอ้จงคนนี้จะเป็นคนตาขาว ไม่แน่ว่าในภายภาคหน้าข้าอาจได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นคนสำคัญก็ได้ และตอนนั้นข้าก็จะกดหัวพวกมันให้จมอยู่ใต้ตีนเรา เอ็งคอยดูก็แล้วกัน’
เฒ่าเกิบถึงกับอ้าปากค้าง ส่วนจำปานั้นสะดุ้งผงะราวถูกตบ ท้ายที่สุดจึงเค้นคำพูดออกมาจนได้
‘เอ็งไม่เข้าใจ…’ จำปาทำหน้าเบ้
ไอ้กู่กลับลุกพรวดขึ้น เตะพรกใส่ผลึกบางใสคล้ายจินดาล้ำค่าคว่ำกระจาย
‘นั่นพี่จะไปไหน’ เดือนมองหัวไหล่ของไอ้กู่ที่กระเพื่อมไหวด้วยไอโกรธ
‘ไม่ต้องทำข้าวเผื่อข้า ข้าไม่อยากเห็นหน้าคนวรรณะเดียวกันเอาแต่ทะเลาะกันแบบนี้’
เด็กหนุ่มห้อตะบึงจนหายลับ ทิ้งไว้เพียงสายตาของเฒ่าเกิบที่เบิกตะลึง
จำปายืนนิ่ง ทำได้เพียงจ้องร่างกายผ่ายผอมของไอ้กู่ที่ค่อยๆ ลับสายตาไปอยู่อย่างนั้น
รอยยิ้มของบิดามารดาที่ผนึกแน่นในความทรงจำท้นเอ่อขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำตา มันเป็นภาพและคำพูดครั้งสุดท้ายก่อนที่บิดามารดาถูกวรรณะที่เหนือกว่าใช้แรงงานจนตายคาเหมือง
‘ภายหน้าจำปาต้องดูแลพี่ชายให้ดี เขากำพร้าไม่มีใคร’ มารดาเอื้อมมือมาลูบศีรษะของเด็กหญิงเมื่อนานมากแล้ว
‘ไอ้กู่มิใช่เด็กน้อยแล้ว ปล่อยไว้สักพักอารมณ์คงเย็นลง’ เฒ่าเกิบปลอบเด็กสาว
จำปาหลุดจากภวังค์ พยักหน้า ทว่ารอยยิ้มของเธอช่างแห้งแล้ง
ชายชราถูปลายนิ้วมือเข้ากับผ้าพันท่อนล่างระชายเหนือเข่าตามความเคยชิน จากนั้นค่อยๆ ก้มลงหยิบผลึกใสใส่คืนพรก
‘เดี๋ยวตาช่วย…’
จู่ๆ สายฟ้าขนาดเล็กก็ปะทุแปลบปลาบเป็นสายเชื่อมระหว่างผลึกปริศนาเข้ากับปลายนิ้วชายชรา เส้นแสงโชติช่วงหงิกงอเปล่งวาบออกตามรูขุมขนบนเนื้อหนังอันเหี่ยวย่น ประหนึ่งเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณกำลังกระชากตนเองให้เป็นอิสระจากร่างที่มันถูกพันธนาการอยู่
เฒ่าเกิบไม่ได้กรีดร้อง เพียงค้างอยู่ในท่าโก้งโค้งแข็งทื่อ
ชั่วพริบตาหลังจากนั้นร่างพ่อเฒ่าก็เริ่มชักกระตุก นัยน์ตาที่มีหยาดน้ำคลอเบ้าเหม่อลอยจ้องตรงไปยังขอบฟ้าอรุโณทัย ประหนึ่งกำลังวิงวอนขอความเมตตาจากองค์รุทร เทวะผู้ทำลายล้าง
เสียงนกแสกที่เกาะอยู่บนต้นหางนกยูงช่วยดึงสติของเด็กหญิง
จำปาเข้าไปเขย่าร่างชายสูงวัยหวังให้อีกฝ่ายฟื้นคืนสติ
ทันทีที่สายฟ้าเลือนหายไปจากปลายนิ้วของเฒ่าเกิบ ชายชราก็แหงนหงายล้มตึงลงไปทางด้านหลัง ลำแสงที่เคยสว่างวาบกลับหายวับไปในอากาศธาตุ เหลือเพียงไอควันบางเบาที่ม้วนตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือร่างแน่นิ่งของชายสูงวัย
หลังไอ้จงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากของเด็กหนุ่มพลันหยักยก ด้วยเห็นความหวังอยู่เรื่อเรือง
‘ผลึกเศษะอย่างนั้นฤๅ’
ทว่าความหวังของหนุ่มพังทลายลงทันที เมื่อเห็นผู้ตรวจกำลังพลวิ่งหน้าตื่นเข้ามา เพราะนั่นหมายความว่าเกล็ดงูผลึกเศษะในตำนานกำลังจะถูกนำไปถวายแด่โปญผู้ครองสรุก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ