หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

ชาวศกุนตะเรียกคุก ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือสรุกอย่างโดดเดี่ยวแห่งนี้ว่าป้อมแดง ด้วยตัวอาคารก่อด้วยอิฐสีโลหิตของพวกญัฮกุร กลุ่มชนมอญที่ผู้เชี่ยวชาญการเผาอิฐ ทั้งชาวสรุกชัยภูมิและนครราชต่างเรียกขานกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า ‘คนดง’ ทั้งที่คำว่าญัฮกุรนั้นมีความหมายตรงตัวว่า ‘คนภูเขา’

วัยวหารธิการิน เหล่าตระลาการผู้คุมกฎการตัดสินคดีความของสรุก ได้สร้างคุกเพื่อใช้กักขังผู้กระทำผิดอาญาร้ายแรง ลักษณะของมันคล้ายหอสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผนังอิฐแดงถูกเจาะเป็นประตูทางเข้าที่มีความสูงไม่ถึงสะเอว ยามเข้าออกต้องคลานลอด ว่ากันว่าทัณฑสถานแห่งนี้เต็มไปด้วยความทรมาน ด้วยความที่เป็นอาคารผนังทึบ ช่องระบายอากาศอยู่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะลิบลิ่ว ส่วนบนเปิดโล่งไร้หลังคากันแดดและฝน

…อนึ่งมีป้อมแดงสำหรับใส่คนโทษปล้นฆ่า หนึ่งคุกมีตะรางแยกส่วนสำหรับใส่ลูกเมียอ้ายผู้ร้าย โทษเบาเป็นแต่โทษเบดเสฐ ใส่โซ่พวงละเก้าคนสิบคนใช้ทำราชการเมืองที่โทษหนักต่อวันหริณจันทร์ ห้าค่ำ แปดค่ำ สิบเอ็ดค่ำ แลสิบห้าค่ำ จึ่งใส่พวงคอละญี่สิบสามสิบคน แลเมียผู้ร้ายนั้นใส่กรวนเชือกผูกเอวต่อกันไป ผูกติดท้ายพวงคอออกมาเที่ยวขอทานกิน…

ครั้งหนึ่งป้อมแดงเคยเป็นสถานจองจำที่สะอาดสะอ้าน และจัดเป็นสิ่งปลูกสร้างที่น่าเกรงขามในรัศมีหลายโยชน์ (1) บัดนี้กลับอับชื้นและเก่าโทรม

“ท่านมหาเสนาอิ่มแล้วฤๅ” โขลญผู้เสแสร้งว่าตนจงรักภักดีต่อมหาเสนาปติถาม

“เอาไว้ก่อน” นักโทษตอบ เสียงของมันแหลมสูงและเย็นเยียบ อะไรบางอย่างในถ้อยคำทำให้ไรขนที่ต้นคอของโขลญผู้น้อยลุกชัน “เขยิบเข้ามาหาข้าอีกหน่อย”

โขลญตุ่นทำตามคำสั่ง ขยับเข้าไปหานักโทษที่ถูกล่ามตรวนมือเท้า ตรึงติดผนังทั้งสองข้าง

“เอ็งบอกว่ามีโจรบุกขนอนเก็บสมบัติหลวงอย่างนั้นฤๅ”

โขลญพยักหน้า

“มีสิ่งใดหายไปบ้าง”

“กลักใส่เพชรพลอยเพียงกลักหนึ่ง”

“เพชรนิลจินดาที่เก็บในขนอนมิน่ามีจำนวนเพียงกลักเล็กๆ เพียงกลักเดียว” นักโทษส่ายหน้า มองเห็นอาการกระสับกระส่ายในตัวโขลญหนุ่ม ญาติของบานเมืองเมียรักของมัน “เอ็งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ข้าไว้ใจได้อย่างเต็มที่”

“เอ้อ…”

“ฤๅไอ้เด็กเมื่อวานซืนหวนคืนสู่ศกุนตะแล้ว?” นักโทษหมายถึงโปญคนปัจจุบันผู้ครองสรุก และโปญผู้นี้มีอายุเพียงสิบสองขวบปีเท่านั้น

สรุกที่มันเอ่ยถึงคือหน่วยทางการปกครองจำนวนมากในดินแดนอุษาคเนย์ แต่ละสรุกมักมีผู้นำรั้งตำแหน่งโปญหรือมรตาญ ขึ้นอยู่กับแต่ละสรุกจะเรียกขาน โดยสรุกเหล่านี้เกิดจากการรวมตัวกันบนพื้นฐานความสัมพันธ์ด้านเครือญาติ และยิ่งผู้นำสรุกใดกล้าแกร่งกระทั่งสามารถปราบปรามควบคุมผู้นำสรุกอื่นเอาไว้ได้ ชนกลุ่มนั้นจะตั้งตนเป็นศูนย์กลางการปกครองเรียกว่า ‘ปุระ’ แล้วผู้นำจึงเปลี่ยนตำแหน่งเรียกขานตนเองด้วยคำว่า ‘กุรุง’

ทว่าโปญแห่งศกุนตะยังไม่มีอำนาจและอาจหาญถึงขั้นนั้น

“มิใช่ โปญยังคงหลบลี้อยู่ที่เมืองฝ้ายกับวงศาคณาญาติ นับแต่ท่านมหาเสนาลอบนำกองกำลังสมิงออกจัดการพวกรุ้งพรายเมื่อสามปีก่อน เพียงแต่…”

“พูด!” ริมฝีปากนักโทษที่แตกระแหงตะคอก

“ข้าได้ยินแม่บานเมืองพูดคุยกับยายเฒ่าว่าลูกชายหัวหน้าเผ่ารุ้งพรายยังมีชีวิตรอด”

“นั่นน่ะฤๅเผือกร้อนในมือเอ็ง”

“หน่วยสมิงยึดเศษใบลานจากพิราบส่งสาส์นฝ่ายศกุนตะเอาไว้ได้ ข้อความเจาะจงถึงบุรุษชื่อศศิน ข้อความที่เหลือเพียงบางส่วนบอกรายชื่อโขลญของหน่วยสมิง”

“เหตุใดสาส์นที่ได้จึงมิสมบูรณ์”

“โขลญเลินเล่อ ไม่นึกว่าในกระบอกขาพิราบจะมีกลไก เปิดไม่ระวังทำให้กรดมะนาวไหลรวมกับกรดสับปะรดเข้มข้น ทำลายใบลานที่บางเฉียบ เหลือเพียงชิ้นส่วนไม่สมบูรณ์ ใจความจึงไม่ค่อยชัดเจนนัก ทว่าสิ่งที่เห็นเด่นชัดคือผู้เขียนเป็นคนรู้จักมักคุ้นกับหน่วยสมิง เครือข่ายใต้ดินของพวกเรา เป็นอย่างดี”

“แล้วอย่างไร”

โขลญหนุ่มแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “หายนะมักบังเกิดจากน้ำมือของสตรีที่บุรุษรักจนตาบอด เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะย้อนกลับมาทำลายตำแหน่งมหาเสนาปติ”

“นี่พวกเอ็งกำลังสงสัยบานเมืองเมียข้า?” จู่ๆ น้ำเสียงของมหาเสนาปติก็เย็นชา

“หากพวกข้าต้องการใส่ไคล้ครอบครัวท่าน โขลญหน่วยสมิงทุกผู้ยินดีกรีดปากถึงกกหู” โขลญหนุ่มว่า “ท่านมหาเสนา…”

“ข้ารู้จักอิตถีของข้าดี”

“ถ้าเกิด…”

“เป็นไปมิได้! นางอยู่กินกับข้ามาสิบแปดปีแล้ว” นักโทษแค่นเสียง “นางเป็นสตรีจำพวกมิเคยมีปากมีเสียง จักสมคบคิดศัตรูเพื่อทำร้ายผัวตัวเองได้อย่างไรกัน มิเช่นนั้นนางคงลงมือไปตั้งนานแล้ว วางยาพิษใส่สุรา ฤๅลุกขึ้นมาปาดคอข้าในยามวิกาล”

“แต่เมื่อเช้านายจำกอบ บิดาแท้ๆ ของแม่บานเมือง ถูกเผาทั้งเป็นไปแล้วเมื่อรุ่งอรุณ”

นักโทษถึงกับเบิกตาโพลง บังเกิดความเงียบยาวนาน

“แล้วแผนที่วางไว้…” โขลญผู้เป็นญาติของเมียไอ้หาญอึกอัก

“ร่นให้เร็วขึ้น เปลี่ยนเป็นอีกสามวันที่จักถึง กำลังของหน่วยสาลิกาเริ่มหละหลวม ลดน้อยถอยลงตลอดสามปีที่ผ่านมา รีบกลับไปบอกพรรคพวกให้เตรียมการ” ครานี้มีกระแสข่มขู่ในน้ำเสียงของนักโทษ

จิตใจของโขลญหนุ่มสังกัดหน่วยสมิงกล้าแกร่งเกินคนทั่วไปยังถึงกับเหงื่อกาฬถะถั่ง อย่างไรก็ดีบัดนี้มันได้ก้าวลงเรือลำเดียวกันกับนักโทษผู้นี้เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่มันต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง หากวันหน้ามหาเสนาปติใช้กำลังทางทหารกุมอำนาจสรุกได้เบ็ดเสร็จ มันย่อมได้รับผลตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่มันอุทิศตนต่อนักโทษข้อหาก่ออาชญากรรมต่อสันติภาพ

เมื่อคิดได้เช่นนั้นมันก็รู้สึกฮึกเหิมกล้าหาญ โขลญอย่างมันมักมีอารมณ์เช่นนี้เสมอในหน้าศึกสงคราม

“มะรืนนี้มีพิธีโหมกูณฑ์ก่อนการสมโภชคเณศจตุรถี” นักโทษเปรย “พวกเฉลาญ์คงแห่แหนกันไปเทวาลัยเพื่อตรวจตราความปลอดภัยกันหมด”

ในที่สุดโขลญหนุ่มก็เข้าใจว่าเหตุใดผู้บังคับบัญชาของมันจึงต้องการร่นเวลาแหกคุกให้เร็วขึ้น

“ข้าขอให้คำมั่นว่าเอ็งจักได้รับสิ่งฉลองศรัทธาอย่างสมเกียรติที่สุดเมื่อข้าได้ขึ้นกุมอำนาจสูงสุด” นักโทษหัวเราะ ทว่าเสียงสำรวลนั้นไร้ซึ่งความรื่นรมย์

ดั่งนายว่าขี้ข้าพลอย โขลญหนุ่มพลันกระตุกมุมปากยกยิ้มไปตามน้ำ แต่ภายในใจไพล่นึกปรามาสสบเสีย

พวกโฉดเฉาเง่าโง่มักบ้าอำนาจ…คงจริงอย่างเขาว่ากระมัง

เช่นนั้นมันต้องรีบแจ้นไปแจ้งข่าวศศิน การรับค่าแรงสองทางไม่นับว่าเป็นนกสองหัว มันเรียกว่าคนฉลาดหมั่นหาลู่ทางทำมาหากินต่างหากเล่า

 

เชิงอรรถ : 

(1) 1 โยชน์ คือ 16 กิโลเมตร โดยไล่จากหน่วยเล็กไปหาใหญ่คือ 25 วาเป็น 1 อสุภะ 80 อสุภะเป็น 1 คาวุต 4 คาวุตเป็น 1 โยชน์



Don`t copy text!