หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 41 : ตารการะยิบ

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 41 : ตารการะยิบ

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

ความคิดคะนึงหาไร้ที่ปลดปล่อย จากใจลามไปถึงร่างกาย ทุกวันคืนในใจคิดถึงแต่ศศิน เมื่ออีกฝ่ายจากไปแล้ว อินทรธนูจึงได้รู้ว่าทั่วทั้งกายและวิญญาณเต็มไปด้วยตราที่ศศินประทับไว้ ทั้งทักษะการใช้ธนู กู่ร้องบอกรักให้ก้องป่า ปืนผาหาดอกไม้และสมุนไพรที่มันชอบ

ท่ามกลางหมอกขาว ศศินนุ่งโจงดำสนิท ยืนอยู่ตีนเขาภนุมฎองแรก ทอดสายตาอ่อนโยนมาที่ตน

อินทรธนูรีบวิ่งไปหาคู่ชีพิตด้วยความถวิลหา พลางเพรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย ทว่ายิ่งวิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไร ก็ดูเหมือนร่างสูงยิ่งถอยห่างออกไปมากเท่านั้น ไม่ว่ามันจะวิ่งตามอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าใกล้ตัวศศินได้

ชั่วพริบตานั้นเองหางตาของศศินปรากฏโลหิตสีเข้มไหลนองเหมือนน้ำผสมผงกุมหกราด

“ฝันร้ายฤๅ”

เมื่อปูรณิมเขย่าแขนอินทรธนูเบาๆ ฝ่ายหลังก็สะดุ้งตื่นด้วยความหวาดกลัว หวังว่าตนคงไม่ได้เผลอกรีดร้องออกไป

ยามนั้นมีเพียงแสงสว่างจากดาววิบวับเหนือผืนฟ้า หริณจันทร์ไม่ได้เยี่ยมหน้าออกมาให้เห็น ลมหายใจอินทรธนูหนักหน่วงอยู่ในความอ้างว้างเงียบงัน และผืนหญ้านุ่มละมุนส่งเสียงขับลำนำแผ่วเบาอยู่ใต้ร่าง สายลมไล้เกลียงอ่อนใบบางลูบแผ่นหลัง

หมู่ดาวเคลื่อนคล้อยโคจร จันทราคืบคลานหนีหน้า

“อือ” อินทรธนูตอบ ตื่นขึ้นมาในสภาพคราบน้ำตาอาบแก้มแห้งกรัง แขนขาหนักอึ้งอ่อนระโหย

“เอ็งเป็นเช่นนี้มาหลายวันแล้วนะ ให้ยายเฒ่าลงผีปรุงยาคลายความเครียดให้สักหน่อยไหม”

“ฝ้ายร้ายหน่อยเดียว ข้ามิเป็นอันใดมาก” อินทรธนูส่ายหน้า ยันกายลุกขึ้นนั่ง ดวงตาสองคู่ประสานกันท่ามกลางความมืด “แล้วเอ็งอาการเป็นเยี่ยงไร”

“สบายมาก งูตัวกระจิริดทำอันใดข้าไม่ได้ดอก”

“ยังจะทำเป็นคุยโว” อินทรธนูอยากหัวเราะ แต่แค่ยิ้มอวัยวะภายในก็ครวญคร่ำด้วยความเจ็บปวดจึงพยายามกลั้นไว้ ก่อนคลึงขมับตัวเอง ยังคงรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย “ข้านอนไปนานเพียงใดแล้ว”

“เข้ายามสองแล้วกระมัง”

“ขอโทษนะ” อินทรธนูคว้ามือปูรณิมมาเกาะกุม “ข้ามีเรื่องติดค้างเอ็งมากมายเหลือเกิน”

ปูรณิมกลับนิ่งเงียบ เงยหน้าขึ้นมองทางช้างเผือกขึงพืดเต็มผืนฟ้า ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ อินทรธนูจึงยกมืออีกฝ่ายมาแตะศีรษะของตัวเอง ก่อนเอาหัวดุนฝ่ามือนั้นเหมือนที่ปูรณิมเคยทำกับตนบ่อยๆ

“อือ”

“เอ็งว่าชีวิตของเราจักเป็นอย่างไรต่อไป” อินทรธนูตัดสินใจชวนอีกฝ่ายคุย

“ชีวิตคนก็เหมือนความฝัน เหมือนเมฆหมอกเหนือยอดเขา ผ่านมาแลผ่านไปไร้ร่องรอย”

“ความรักกับความแค้นเล่า”

“ไม่ต่างกับแสงตะวันแลจันทรา แผ่รัศมีเป็นแขนงสาขาอย่างไร้สุ้มเสียง ทั้งสองความรู้สึกล้วนร้อนแรง ลึกลับ แลอันตรายในคราวเดียวกัน ยามรู้สึกนั้นแสนง่าย แต่ยากเหลือเกินเมื่อต้องการปล่อยวาง” ปูรณิมถอนใจยาว พ่นสายลมเย็นยามค่ำคืน

“ดีจริง ได้ยินถ้อยคำสำบัดสำนวนเจื้อยแจ้วเป็นวักเป็นวนเช่นนี้แล้วข้าก็เบาใจ ทีแรกก็นึกกะโหลกเอ็งจะกระกระเทือนหนัก เห็นร่วงลงจากหลังคาพลับพลาอย่างนั้น” ร่างโปร่งยิ้มละไม “แล้ว…”

“ยามนี้ประตูหัวใจของเอ็งยังเปิดอยู่ฤๅไม่” คราวนี้ปูรณิมไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้เอ่ยต่อ

รอยยิ้มของอินทรธนูพลันแข็งทื่อ นิ่งเงียบมองปูรณิมครู่หนึ่งแล้วกล่าว

“หัวใจข้าได้ตายไปเสียแล้ว”

ปูรณิมผงกศีรษะ นัยน์ตาหม่นแสงลง ความหวังเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา แต่แล้วก็มอดดับเหมือนดาวตกที่ลาลับ “เอ็งต้องการไปใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาไม้คานจริงฤๅ”

“ข้าไม่เหลือสิ่งใดในโลกหล้าให้อาลัยอีกต่อไปแล้ว”

ผีเสื้อรัตติกาลบินผ่านหน้าชายหนุ่มทั้งสอง ปีกอันสวยสดของมันดูอ่อนแรงเต็มทน จวนเจียนจะขาดอากาศหายใจ มันโผลงมาเกาะบนเข่าขวาของอินทรธนู ไม่แน่ว่าความตายอันยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายของมันอาจเป็นชั่วกษณะนั้น

ความมืดรอบกายเคลื่อนไหวเฉื่อยตามแรงลม

ปูรณิมจับไหล่ทั้งสองข้างของปูรณิมแน่น เชยคางอินทรธนูให้ละสายตาจากผีเสื้อไปหาตน “ไม่ไปไม่ได้ฤๅ”

อินทรธนูรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องทำเช่นนี้ จึงรั้งตัวอีกฝ่ายเข้ามากอด

“ไอ้หมาน้อยเอ๋ย ไอ้หมาน้อยขี้แย”

“ขี้แยอะไรเล่า” ปูรณิมสูดน้ำมูก ผลักอีกฝ่ายออก

“ประเดี๋ยวข้าก็มาเยี่ยมเอ็งบ่อยๆ นั่นละน่า” อินทรธนูเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย “อีกอย่างยายเฒ่าลงผีของข้าก็อยู่ที่นี่ จะให้ข้าไม่แวะมาเลยก็กระไรอยู่”

“เอาอย่างนั้นก็ได้” ปูรณิมยิ้ม เอาหัวซุกไหล่อินทรธนูแล้วหลับตาลง

“ข้ายังหวังเสมอว่าอยากไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องถูกขังในความเป็นหญิงความเป็นชายไปตลอดชีวิต” เมื่ออินทรธนูพูดจบ ก็หมดเรี่ยวแรงจะเอ่ยต่อ ได้แต่เงยหน้ามองหมู่ดาวเหนือศีรษะเงียบงัน

เหล่าดารกะกำลังเปล่งแสงระยิบระยับเบื้องหน้าชายหนุ่มทั้งสองยิ่งมองก็ยิ่งเลือนราง คลับคล้ายแสงดาวเปลี่ยนผ่านเป็นม่านหมอกประดับเกล็ดอัญมณีสุกใสลอยห่างออกไปแสนไกล

อินทรธนูเห็นหมู่ดาวดุจดั่งเงาของศศินที่โดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่ว่าอย่างไรร่างสูงก็ไม่ยอมหันหลังกลับ

“เอ็งเคยเห็นเหยี่ยวบนท้องฟ้าฤๅไม่” อินทรธนูถาม ใบหน้ายังคงแหงนมองออกไปไกล

“ถามอันใดแปลกๆ”

“รุ้งพรายก็เหมือนเหยี่ยวบนเวหา ต้องสยายปีกออก มิว่าจะล้มหายตายจาก บาดเจ็บ ร้าวระทม ห้าวหาญ ปลื้มปีติฤๅเศร้าใจ ทุกสิ่งล้วนเป็นทิวทัศน์ที่กำหนดไว้ตามเส้นทางของเหยี่ยวแล้ว ต่อให้ถูกหักปีก ถูกตัดแขนขา โลหิตแลน้ำตาไหลอาบ รุ้งพรายก็ยังเป็นรุ้งพรายอยู่วันยังค่ำ มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น”

หลังจากปูรณิมนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยว่า “อินทร์ หากมีชาติหน้า เอ็งจะยังจำข้าได้ฤๅไม่”

“ได้ซี ได้แน่นอน”

ดวงตาอินทรธนูสุกใสราวกับดวงดาว ก่อประกายเย็นส่องทางให้ปูรณิม ช่วยกรุยขวากหนามที่ทำให้ชายหนุ่มอย่างมันสามารถเอาชนะภูตผีปีศาจแห่งอคติทั้งปวง พามันไปยังโลกที่งดงามและดีงาม

“เอ้อ…” เหมือนอินทรธนูเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “พูดถึงยายเฒ่าลงผีก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้ว่าข้าควรถามเอ็งดีฤๅไม่…”

“เรื่องใด”

“มหาเสนาปติแหกป้อมแดงออกมาแล้วมิใช่ฤๅ”

“อ้อ” ปูรณิมพยักหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น “หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”

“โลกใบนี้กว้างใหญ่ จักไปควานหาตัวมันได้อย่างไร” อินทรธนูนิ่วหน้า

“อีกไม่กี่วันแคนดงคงไปอัญเชิญโปญผู้เยาว์กลับมาครองสรุก การดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นหน้าที่ของเฉลาญ์หน่วยสาลิกา ไม่แน่ว่าคงต้องวางแนวทางกันใหม่ มิให้มีโขลญวิปลาสเช่นนั้นอีก”

“หมายความว่าเอ็งจะเอาขรรค์พระพายไปทูลถวายคืนโปญ?” อินทรธนูยกหัวคิ้ว

“ยิ่งกว่านั้นแม่กับยายเฒ่าลงผีก็ช่วยกันขนสมบัติพัสถานของพ่อออกจากห้องเก็บของของพ่อ คงตั้งใจจะคืนให้โรงอากรขนอนหลวงทั้งหมด”

“ที่แม่บานเมืองมิยอมย้ายไปอยู่เรือนร้างของนายจำกอบก็…”

“แม่ปิดตายเรือนของพ่อแล้ว ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้โดยเด็ดขาด” ปูรณิมถอนใจ

การที่บานเมืองตัดสินใจขังตนเองไว้ในเรือนมหาเสนาปติเช่นนั้นคงเป็นการลงทัณฑ์ตนเองอย่างหนึ่ง

ปูรณิมจึงไม่ยอมปริปากบอกใครว่าเป็นบานเมืองเองที่ร่วมมือกับสิคาลสังหารนายจำกอบ โดยที่นางเป็นผู้วางยา ส่งร่างไร้สติของนายจำกอบให้สิคาลจัดการ แน่นอนว่ามารดาของมันีความผิดฐานผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีฆ่าคนตาย

ถึงอย่างนั้นมันก็จะไม่พูด

บานเมืองเจ็บปวดมามากพอแล้ว

แม้ไม่ได้ถูกจับเข้าตรุ แต่นางก็ถูกขังอยู่ในเรือนมหาเสนาปติตลอดมา…และตลอดไป

“ถอนหายใจอีกแล้วไอ้หมาน้อย” อินทรธนูเอื้อมมือไปบีบจมูกอีกฝ่าย “วางระบบจัดระเบียบใหม่ ประเดี๋ยวอะไรๆ ก็ดีเอง ที่สำคัญปลูกฝังให้เด็กน้อยศกุนตะเห็นคนทุกคนให้เท่ากัน เพียงเท่านี้โลกใบนี้ก็น่าอยู่ขึ้นอีกอักโข”

“รู้แล้วละน่า” ปูรณิมยิ้มแหย

จังหวะนั้นพอดีกับสายลมเย็นรำเพยมา ฝนดาวตกร่วงหล่นหนาตา ประหนึ่งว่าสายฝนอัญมณีกำลังร่วงหล่นลงมาใส่ชายหนุ่มทั้งสอง ดุจกลีบไม้ดอกปลิวว่อนในอากาศ

อินทรธนูและปูรณิมนั่งนิ่งดื่มด่ำท้องนภา ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน คล้ายเพลาหยุดอยู่เช่นนั้นชั่วกาล



Don`t copy text!