ห้วงนทีกาล บทที่ 17 : นาคะบงกช

ห้วงนทีกาล บทที่ 17 : นาคะบงกช

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

หยดน้ำกระทบหินดังเป็นจังหวะราวกับเครื่องดนตรีกำลังบรรเลงเพลงแห่งห้วงนทีอยู่ก็ไม่ปาน ร่างบางยังนอนนิ่งอยู่บนตั่งไม่ไหวติง หากแต่บัดนี้กลับมีร่างเล็กของใครผู้หนึ่งกำลังนั่งเท้าคางด้วยมือทั้งสองข้างมองไปที่สุวรรณนเรศที่ยังคงนอนอยู่บนเตียง

“เหตุใดต้องจ้องนางเช่นนั้น…”

ศิรกัลป์ที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องถามขึ้น พลันภุมโมที่กำลังเท้าคางอยู่นั้นจึงลุกขึ้นนั่งที่อาสนะข้างเตียงอย่างว่าง่าย

“กลัวนางมิตื่นฤๅ…”

ภุมโมพลันส่ายหน้าเป็นคำตอบในทันที ด้วยแน่ใจว่าองค์ศิรกัลป์นาคราชไหนเลยจะไร้หนทางช่วยเหลือหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า

“องค์ศิรกัลป์ไหนเลยไร้หนทางช่วยเหลือ หากแต่นางกลับเหมือน…”

ภุมโมหยุดชะงักลงหากแต่คิ้วคมของคนที่หลับตาอยู่นั้นคล้ายขยับเล็กๆ ศิรกัลป์ที่ยังคงยืนพิงหลังอยู่ที่ธรณีประตูนั้นจึงค่อยๆ เดินย่องเข้ามาอย่างเงียบเชียบ

“เจ้าตื่นแล้วก็ลืมตาเถิด ภุมโมเป็นห่วงเจ้าจนไม่อาจกระทำสิ่งใดได้แล้ว…”

สุวรรณนเรศที่รู้ว่าโดนจับได้เสียแล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ หากแต่อาการวิงเวียนราวโลกยังคงหมุนวนอย่างรวดเร็วยังคงอยู่นางจึงรีบหลับตาลงในทันที ศิรกัลป์ลืมไปเสียสนิทด้วยตนนั้นจุดกำยานที่ทำจากนาคะบงกช แม้ดีต่อชาวบาดาลแต่อาจไม่ดีเท่าใดนักเมื่อชาวห้วงนภาสูดดมกลิ่นเข้าไป

เขาสะบัดมือเบาครั้งหนึ่งก่อนกลิ่นจะเบาบางลง อาจพอช่วยบรรเทาอาการมึนงงได้บ้าง

“ชื่อเสียงเรียงใดกันเจ้า…” เขาถามเสียงเข้ม

“นาม สุวรรณนเรศ พงศ์สุบรรณ…” นางกล่าวออกมาตามตรงโดยไม่ปิดบังยิ่งทำให้ศิรกัลป์ตื่นตะลึงเล็กๆ ด้วยไม่คิดว่านางจะกล้าบอกนามเผ่าพงศ์มาตามตรงเช่นนี้

“เจ้าจุติเมื่อใดกัน มิรู้ดอกฤๅว่าพงศ์สุ…” ภุมโมกล่าวเตือนขึ้นหากแต่กลับถูกศิรกัลป์ห้ามเอาไว้ได้ทัน

“พงศ์สุบรรณแล้วอย่างไรกัน ข้าฤๅปีนี้ย่างเข้าสองร้อยปีไม่ขาดเกิน” สุวรรณนเรศหน้านิ่วพลางมองทางภุมโมที่ยังคงเอามือทาบอุดไปที่ปากด้วยความตื่นตกใจเมื่อได้ยินอายุที่แท้จริงของนาง

สุวรรณนเรศราวผ้าขาวบริสุทธิ์ไร้สีสันใดแต่งแต้ม ไม่มีแม้จิตสังหารอาฆาต ไม่มีแม้แต่สีหน้ากังวลวิตก ศิรกัลป์ที่พอได้ยินก็กุมขมับในทันที ด้วยบัดนี้นั้นเขาได้นำพาซึ่งความยุ่งยากมากมายที่จักติดตามมายังถ้ำบำเพ็ญที่แสนเงียบสงบเสียแล้ว

“ถึงคราวบาดาลแตกสลายเป็นแน่!”

ภุมโมพึมพำ หากแต่สุวรรณนเรศที่ยังคงอ่อนเพลียอยู่นั้นจึงค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งก่อนจะเผลอหลับไปในที่สุด

“ภุมโม เจ้ามีเรื่องต้องคุยกับเรา เหตุใดจู่ๆ ธิดาองค์เล็กของพญาสุบรรณจึงใช้มณีประจำกายช่วยเจ้าไว้ ณ ลานถวายบรรณาการ” ศิรกัลป์บัดนี้สีหน้าหนักใจฉายชัดขึ้น…คิ้วคมที่ขมวดเป็นปมทั้งสองข้างหากแต่กลับได้คำตอบเป็นเพียงภุมโมที่หลบตาลงมองที่พื้นเท่านั้น

“นางเหมือน…” ภุมโมพึมพำราวกับกำลังชั่งใจ

“นางเหมือนคนที่ข้าเคยรู้จักเช่นเดียวกับท่าน…” เด็กชายตอบเสียงเรียบหากแต่ศิรกัลป์กลับแปลกใจกับคำว่า ‘เช่นเดียวกับท่าน’ เสียมากกว่า

“เช่นเดียวอย่างไร…”

ภุมโมไม่ตอบหากแต่เปลี่ยนเรื่องไปมา แม้จะดูราวกับเด็กอายุไม่มากนักหากแต่ถ้านับตามความเป็นจริงแล้วนั้นภุมโมนับว่าเห็นโลกมามากกว่าศิรกัลป์เสียอีก เมื่อเลือกที่จะไม่กล่าวเขาจึงไม่คิดคาดคั้นหากแต่ตนนั้นยังมีเรื่องที่ต้องจัดการเช่นกัน

เจ็ดวันให้หลังจากที่ศิรกัลป์นำสุวรรณนเรศที่ไร้สติกลับมายังถ้ำของตนที่ใต้บาดาล แม้ได้สติคืนกลับมาหากแต่ไร้เรี่ยวแรงเป็นอย่างมากจนบางครั้งไม่อาจขยับได้ ศิรกัลป์ที่จนปัญญาหากแต่นำนางกลับไปในสภาพเช่นนี้ไม่แน่ว่าอาจเป็นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างครุฑกับนาคอีกเป็นแน่

โอสถทิพย์มากมายรวมถึงพลังทิพยแห่งนาคราชแม้จะทำให้โอสถนั้นวิเศษขึ้นในทันตา แต่ด้วยเพราะนางเป็นครุฑทำให้ได้ผลไม่ดีเท่าใดนัก

“ด้วยเจ้าเป็นครุฑข้าไม่อาจซ่อมแซมมณีประจำกายของเจ้าได้ มีเพียงครุฑวงศ์สูงด้วยกันหรือไม่ต้องเป็นเจ้าที่บำเพ็ญด้วยตนเอง รู้ฤๅไม่…”

ศิรกัลป์กล่าวพลางวาดมือไปที่เบื้องหน้าของสุวรรณนเรศครั้งหนึ่ง ความรู้สึกเย็นวาบแทรกผ่านร่างกายอย่างรวดเร็วทำให้รู้สึกสบายขึ้นในทันที ด้วยปกตินางนั้นไม่อาจดำรงอยู่ใต้บาดาลได้เป็นเวลานาน

ดวงตากลมโตบัดนี้เพ่งพินิจไปยังใบหน้าของนาคราชหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าไม่วางตา ด้วยนาคราชที่เรียนในตำราช่างต่างกับผู้ที่อยู่ต่อหน้านางราวฟ้ากับนภาสูง

ดวงเนตรคมเข้มดังห้วงลึกสุดของมหานทีเพ่งพินิจมายังนางด้วยความตั้งมั่น จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้าคมสะอาดสะอ้าน เส้นผมดำขลับยามลมพัดผ่านนั้นคล้ายยามวสันต์โปรยปรายหอบนำกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาสัมผัสที่ปลายจมูกนาง

ราวกับว่าหูทั้งสองข้างดับลงไปชั่วขณะหนึ่ง ความรู้สึกบางอย่างคล้ายเคยพบกันที่ใดมาก่อน หากแต่เพียงความคิดนี้แล่นผ่านมาภายในดวงใจราวกับเจ็บปวดขึ้นในทันที

“เจ็บฤๅ…”

ศิรกัลป์กล่าวถามด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ คล้ายกับว่าสุวรรณนเรศจะวิงเวียนขึ้นมาอีกครั้ง มือข้างหนึ่งเกาะกุมที่ด้านซ้ายของหน้าอกพลางมองไปที่เขาอย่างตั้งคำถาม

“เหตุใดจึงช่วยข้าฤๅ นาคราช…” สุวรรณนเรศกล่าวถาม หากแต่กลับได้ยินเสียงเสียงถอนหายใจเบาๆ ของศิรกัลป์เท่านั้น

“ศิรกัลป์ นามข้าศิรกัลป์”

เขากล่าวพลางจับจ้องไปยังนัยน์ตาของสุวรรณนเรศ พลันคิ้วคมขมวดสองข้างเป็นปมเข้าหากัน

“แล้วท่านจะโมโหไปไย…”

สุวรรณนเรศกล่าวพลางใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างคลายปมที่หว่างคิ้วนั้นออก หากแต่กลับเป็นดวงตาของศิรกัลป์ที่เบิกโตขึ้นมองไปที่นาง ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนในทันที

“คำก็นาคราช สองคำก็นาคราช ข้าไหนเลยเคยแบ่งแยกกัน…” ศิรกัลป์พึมพำพลางเดินจากไปในทันทีทิ้งให้สุวรรณนเรศและภุมโมมองตามแผ่นหลังที่หายไปอย่างรวดเร็ว

“องค์ศิรกัลป์ของเจ้าโกรธข้าฤๅภุมโม”

“เห็นทีมิน่าจักโกรธหนา”

ทั้งสองต่างมองหน้ากันพลางหันมองไปยังทิศทางที่ศิรกัลป์จากไป หากแต่นานสองนานก็ยังคงไม่กลับมา สุวรรณนเรศยังนอนนิ่งอยู่บนตั่งเตียงหากแต่อาการวิงเวียนราวโลกหมุนวนอย่างรวดเร็วหายไปช้าๆ นางจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอีกครั้งเพื่อลองบำเพ็ญซ่อมแซมมณีที่ปริแตก

พลันที่เหนือศีรษะจึงปรากฏอัญมณีสีทองสุกปลั่งขึ้นในทันที รัศมีพลังแห่งสุวรรณนเรศนั้นส่องแสงสว่างไสวไปทั่วถ้ำ

“นี่ฤๅรัศมีแห่งโอปปาติกะครุฑ”

ภุมโมสัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคย หากแต่สองเท้านั้นกลับวิ่งออกไปยังบริเวณสระบัวด้านนอกห้องในทันที ท่ามกลางดอกบัวสีเงินหลายสิบดอกที่เบ่งบานอยู่ในสระนั้นพลันแสงสว่างสีทองสายหนึ่งจึงบังเกิดขึ้นช้าๆ

คลื่นน้ำภายในสระสั่นไหวขึ้นเป็นจังหวะ ก่อนละอองแสงสีทองนั้นจะพุ่งกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ เสียงดังสนั่นทำให้ศิรกัลป์ที่รับรู้ได้ถึงพลังนั้นรุดกลับมาที่ถ้ำในทันที

รัศมีสีทองที่สว่างไสวไปทั่วนั้น หากแต่ดวงตาของสุวรรณนเรศยังคงตั้งมั่นไม่ไหวติงแม้แต่น้อย ศิรกัลป์มองไปยังมณีประจำกายของนางจึงพบว่าบัดนี้รอยร้าวที่เคยเกิดขึ้นค่อยๆ สมานเข้าหากันอย่างช้าๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่น่าประหลาดใจยิ่งคือนาคะบงกชสีทองที่เบ่งบานชูช่ออยู่กึ่งกลางสระนั้นเอง

แม้มณีประจำกายจะยังคงมีร่องรอยปริแตกอยู่บ้างหากแต่เหลือไม่มากนัก สุวรรณนเรศที่สูญเสียพลังไปอย่างมากทำให้ร่างบางคล้ายโอนเอนไปมาไม่มั่นคง ทำให้ศิรกัลป์จำต้องพุ่งตัวเข้าไปรับไว้ได้ทัน

“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่…”

นาคราชหนุ่มพึมพำ…เพียงพินิจไปยังหญิงสาวที่บัดนี้หลับตานิ่งอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างไม่รู้ประสาด้วยนางนั้นไม่แม้แต่ตื่นกลัวว่าจะถูกทำร้ายแม้แต่น้อย เขาประคองร่างของสุวรรณนเรศให้นอนลงอย่างทะนุถนอมด้วยไม่ประสงค์จะเอาเปรียบนางอีกต่อไป

“เหตุใดจึงหลับไปอีก”

ภุมโมวิ่งตรงเข้ามาดูสุวรรณนเรศ หากแต่ใช้มือน้อยๆ จับที่ฝ่ามือนางเพื่อตรวจดูเช่นกัน

“อาการก็ดีขึ้นบ้างแล้ว…”

“พลังทิพยของนางแบกรับมิไหว หากแต่ข้าเกิดข้อสงสัยหนึ่งว่าเหตุใดนาคะบงกชสีทองดอกนั้นจึงเบ่งบานอีกครั้ง ภุมโมข้าว่าถึงเวลาที่เจ้าต้องตอบคำถามข้าแล้ว…”

 

ค่ำคืนดึกสงัดหากแต่เสียงคลื่นราวดนตรีขับกล่อมบรรเลงมาตามสายลม ศิรกัลป์นาคราชที่บัดนี้ยังคงนั่งนิ่งบนโขดหินกว้างพลางมองนิ่งไปยังผืนสมุทรไกลสุดลูกหูลูกตา ความคิดในหัวบัดนี้วนเวียนเพียงคำตอบของภุมโม และอีกสิ่งนั้นคือเสียงของเหล่าทหารแดนครุฑที่บัดนี้ดูวนเวียนหนาตาอย่างเห็นได้ชัดเจน

แน่แท้ว่าเหตุผลนั้นคงหนีไม่พ้นเหตุที่ธิดาพญาสุบรรณหายตัวไปนั่นเอง

เสียงถอนหายใจดังเป็นระยะ ด้วยเพราะตนมิอาจหักใจส่งนางขึ้นมาจากบาดาลด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอเช่นนั้นได้ ด้วยเพราะนางสละพลังชีวิตของตนเพื่อช่วยเหลือภุมโมจนมณีประจำกายปริแตกอาจเป็นช่องให้ทางฝ่ายฉิมพลีเปิดศึกกับนาคได้อีก

“หากจะโยนปัญหาก็คล้ายจะไม่พ้นตัว ข้าหนาข้า”

แม้จะยังทะเลาะกับใจตนไม่จบสิ้น เพียงแต่กิจที่จะกระทำเบื้องหน้านั้นก็สำคัญยิ่ง พลันดวงเนตรทั้งสองก็หลับตาลงช้าๆ ก่อนจะตั้งสมาธิไปยังลานหินเบื้องหน้าอีกครั้ง รัศมีสีเงินยวงสว่างไสวไปทั่วบริเวณก่อนพลังทิพยของศิรกัลป์นั้นจะค่อยๆ ดึงนำรัศมีพลังสีดำบางอย่างออกมาจากลานหิน

จิตอาฆาตของนาคราชที่ดับสิ้นบนลานนั้นมีมากมายไม่อาจนับ แม้ผู้ที่ปล่อยวางได้เท่านั้นจึงสามารถหลุดพ้นตามแสงนำทางของศิรกัลป์ได้

หากแต่มิใช่ทุกผู้ที่จะปล่อยวาง…

“นาคราชโอปปาติกะ ไยเลยจะเข้าใจผู้ที่ต้องดับดิ้นบนลานนั้นอย่างทุกข์ทรมาน”

คล้ายเสียงกังวานก้องดังขึ้นก่อนจะก่อตัวเป็นเงาร่างสีดำทมิฬขนาดใหญ่ ศิรกัลป์ยังคงหลับตานิ่งอยู่ในท่าขัดสมาธิไม่ไหวติงแต่อย่างใด

“หากแต่ไม่อาจให้เจ้าใช้เป็นเหตุผลในการทำร้ายผู้อื่น…”

“ก็เพียงนางครุฑน้อยตนหนึ่ง ไหนเลยจะกระทำมิได้ โทสะและความเจ็บปวดทรมานที่ข้าได้รับไหนเลยผู้ใดจักเข้าใจได้เพียงเศษเสี้ยว”

ดวงตาของศิรกัลป์พลันลืมขึ้นในทันทีก่อนจะมองไปยังจิตอาฆาตของนาคตนนั้น พลันแบฝ่ามืออกช้าๆ ก่อนจะดึงนำดวงจิตดวงนั้นมาไว้ในมือกลายเป็นนาคราชสีดำลักษณะคล้ายรูปปั้นที่ทำจากโลหะขนาดเท่าฝ่ามือ

“ข้ารู้ว่าการผนึกนั้นไม่อาจทำให้ใจเจ้าปล่อยวางได้ หากแต่ไม่อาจปล่อยให้เจ้าก่อกรรมทำร้ายผู้อื่นได้อีก เมื่อใดที่ใจเจ้าปล่อยวางได้เมื่อนั้นผู้ที่ปลดปล่อยเจ้าได้มีเพียงตัวเจ้าเองเท่านั้น…”

กล่าวจบร่างของนาคราชหนุ่มก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นพญานาคเจ็ดเศียรในทันที วรกายสีเงินยวงยามกระทบแสงจันทร์นั้นงดงามอย่างยิ่ง เกล็ดเลื่อมประภัสระยิบระยับราวกับดวงดารานับร้อยนับพันทะยานกลับสู่ห้วงบาดาลอีกครั้ง

เสียงคำรามของพญานาคราชราวเสียงสัญญาณว่าศิรกัลป์กลับมาแล้ว สุวรรณนเรศที่นั่งพักอยู่ริมหน้าต่างพลางมองเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ที่แหวกว่ายหลบพญานาคเจ็ดเศียรกันอย่างรวดเร็ว

ยามเมื่อคืนร่างเป็นมาณพหนุ่มเช่นเดิมจึงปรากฏรอยยิ้มบางๆ ฉายชัดขึ้นบนใบหน้าของศิรกัลป์ก่อนจะตรงเข้ามายังสุวรรณนเรศที่ราวกับกำลังรอคอยเขาอยู่

“วันนี้เป็นเช่นไร…”

“ดีขึ้นมากแล้ว ข้าเองมีเรื่องอยากพูดกับท่าน”

ท่าทางอ้ำอึ้งของสุวรรณนเรศราวกับกำลังชั่งใจครู่หนึ่ง ด้วยนางไม่แน่ใจนักว่าควรกล่าวออกไปดีหรือไม่

“ว่ามาเถิด…”

“นาคะบงกช ข้ารู้ว่ามันล้ำค่ายิ่งสำหรับชาวบาดาล แต่สำหรับข้าชาวฉิมพลีแม้สามารถบำรุงให้ร่างกายแข็งแรงได้หากแต่ไม่สามารถใช้เพิ่มพูนทิพยพลังได้เช่นพวกท่าน เกรงว่า…”

“เกรงว่าจะใช้กับเจ้าแล้วจะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ เช่นนั้นฤๅ” ศิรกัลป์ตัดบทพลันพยายามหุบยิ้มในทันที

“น่าตลกมากฤๅ บัวดอกหนึ่งแลกมาด้วยพวกท่านต้องบำเพ็ญยาวนานเท่าใดกัน” นางกล่าวหน้านิ่วพลันคิ้วผูกเป็นปม

“จะไม่หัวเราะได้อย่างไร คำพูดเหล่านี้ล้วนออกจากปากคนที่ใช้พลังชีวิตของตนช่วยคนแปลกหน้า”

เมื่อจนปัญญาจะต้องต่อปากต่อคำกับจอมนาคาแล้วไซร้ สุวรรณนเรศจึงทำได้เพียงกอดอกแล้วยักไหล่พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง

“อย่าทำเป็นได้ใจไปหน่อยเลยจอมครุฑา ข้ามิได้ช่วยเจ้าโดยมิหวังผลดอก…หากปล่อยเจ้าขึ้นไปทั้งที่สภาพมณีประจำองค์รุ่งริ่งเพียงนั้นมิวายต้องได้รบกันอีกครา”

คำพูดฟังคล้ายมีอารมณ์ขันอยู่บ้าง หากแต่สุวรรณนเรศกลับเห็นจริงในข้อนี้ แม้ไม่อาจบอกพระบิดาได้ว่ามาที่ใด แต่ถ้าหากนางเร่งซ่อมดวงมณีให้กลับมาสมบูรณ์ได้ภายในเร็ววันยังอาจอ้างได้ว่านางหนีออกมาเที่ยวเล่นก็คงไม่เดือดร้อนถึงผู้ใด

“ฟังเจ้าพูดเข้า อย่างไรเสียก็คงมิพ้นเผ่าพงศ์แลสงคราม”

เมื่อแลเห็นสีหน้าเศร้าใจของสุวรรณนเรศกลับทำให้ศิรกัลป์รู้สึกผิดขึ้นมาที่พูดเช่นนั้นออกไป เขาแลซ้ายมองขวาหากแต่ไม่พบภุมโมอยู่แถวนั้นก่อนจะยื่นมือออกไปที่เบื้องหน้าสุวรรณนเรศ

“ฟังเจ้าพูดเข้า…เพียงบำเพ็ญจะนานเท่าใดกัน ข้าเป็นถึงว่าที่จอมนาคราช”

เพียงสิ้นคำเท่านั้น ที่กลางฝ่ามือของศิรกัลป์จึงปรากฏดอกบัวสีเงินดอกหนึ่ง ละอองเกสรที่ลอยละล่องออกมานั้นยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานอย่างไม่อาจหาพืชพรรณใดในฉิมพลีมาเทียบเทียม กลีบดอกบางใสราวแก้วมณีหากแต่แข็งแกร่งไม่อาจโรยราได้โดยง่าย

ดวงตาที่เป็นประกายของสุวรรณนเรศที่จับจ้องไปยังดอกนาคะบงกชในมือของเขานั้น จึงทำให้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าได้อย่างง่ายดายอย่างไม่รู้ตัว

จากดอกบัวงามจึงปรากฏแสงสว่างจ้าขึ้นครู่หนึ่ง เมื่อจางหายไปแล้วนั้นกลับหลงเหลือไว้เพียงปิ่นสีเงินที่แสนงดงามเท่านั้น

ปลายด้านหนึ่งแหลมคมราวอาวุธที่แข็งแกร่ง หากแต่ปลายอีกด้านหนึ่งคือดอกไม้สีเงินที่กำลังแย้มบานดั่งเช่นคนเราที่ไม่อาจมีเพียงด้านที่แข็งแกร่งเท่านั้น หากต้องมีด้านที่อ่อนโยนด้วยเช่นกัน

สุวรรณนเรศที่ไม่อาจเก็บซ่อนร้อยยิ้มได้อีกต่อไปจึงเผลอยิ้มออกมาในทันที พลันมองไปที่ศิรกัลป์ก็เห็นว่ากำลังมองนางยิ้มแล้วยิ้มตามนางเช่นกัน

“สีหน้าเช่นนี้ค่อยดีขึ้นเสียหน่อย”

ศิรกัลป์กล่าวพลางเอื้อมมือไปเหนือศีรษะของสุวรรณนเรศช้าๆ ด้วยความขี้เล่นเป็นนิสัย สุวรรณนเรศทำทีราวกับจะขยับศีรษะหนีหากแต่กลับมองไปที่ศิรกัลป์ไม่วางตา พลางมองด้วยสายตาแสนทะเล้นแต่ท้ายสุดก็ยอมก้มศีรษะให้เขาปักปิ่นดอกบัวสีเงินนั้นที่มวยผมด้านหลัง

“วันนี้ข้าเองก็พึ่งจะรู้แจ้ง ชาวบาดาลใช้ประโยชน์จากนาคะบงกชเช่นนี้เอง”

น้ำเสียงที่ฟังดูชัดเจนว่าเจตนานั้นคือกำลังหยอกล้อคนตรงหน้า หากแต่มือบางเอื้อมขึ้นไปสัมผัสที่ปิ่นนั้นเบาๆ เพื่อจัดแจงให้เข้าที่เข้าทาง ศิรกัลป์ที่พึ่งจะรู้ตัวว่ากระทำสิ่งใดไปจึงทำได้เพียงพยายามเก็บสีหน้าตนเท่านั้น หากแต่ไม่ทันการเสียแล้ว

“นาคะบงกชแล้วอย่างไร หากว่าเจ้าเอ่ยว่าอยากได้หมดทั้งสระบงกช…ข้าก็หาได้ต่อว่าแม้เพียงนิด!”

 



Don`t copy text!