
ห้วงนทีกาล บทที่ 18 : เพียงใจปรารถนาชั่วกาล
โดย : สิปัณฑ์
สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co
ปิ่นปักสีเงินทอประกายราวกับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้น ศิรกัลป์มองไปยังแผ่นหลังของสุวรรณนเรศที่บัดนี้ค่อยๆ หันหลังกลับในทันที พลันปีกกว้างสีทองจึงสยายออกอย่างรวดเร็ว
พลังสีดำสายหนึ่งพุ่งตรงมาที่ร่างของนาคราชอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว หากแต่เป็นสุวรรณนเรศที่ปกป้องเขาไว้ได้ทันการ เมื่อทั้งสองกลับมาตั้งหลักได้นั้นกลับพบว่าบัดนี้ผู้ที่โจมตีใส่พวกเขานั้นคือภุมโมที่บัดนี้ดวงตาทั้งสองข้างเป็นดำสนิท
“พลังนี้…” ศิรกัลป์พึมพำ ด้วยคล้ายกับจิตอาฆาตสุดท้ายของนาคราชที่เขาพึ่งผนึกไว้ไม่นาน
ร่างของภุมโมที่เมื่อโจมตีใส่พวกเขานั้นกลับค่อยๆ ลอยตัวสูงขั้นในทันที ก่อนจะรัศมีสีดำเรืองรองขึ้นมาอย่างน่ากลัว
“เหตุใดภุมโมจึงเป็นเช่นนั้น” สุวรรณนเรศกล่าวพลางใช้รัศมีพลังของตนต้านไปยังรัศมีสีดำที่โจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับศิรกัลป์ที่บัดนี้กำลังเร่งสำรวจหาต้นสายปลายเหตุในทันที
“อาจเพราะจิตสุดท้ายที่มีแรงอาฆาตมหาศาลของเหล่านาคที่ดับสิ้นบนลานบรรณาการ แฝงอยู่ในร่างของภุมโมนับตั้งแต่วันที่เขาช่วยเจ้า หรือเพราะ…”
เขากล่าวพลางใช้พลังนำผนึกนาคราชสีดำออกมา หากแต่บัดนี้มันกลับเรืองรองรัศมีสีดำออกมาเช่นกัน ก่อนจะค่อยๆ สลายเข้าไปรวมกับร่างของภุมโมที่ลอยตัวอยู่เบื้องหน้า
“องค์ศิรกัลป์นาคราช แม้ท่านหมายช่วยเหลือเหล่าจิตสุดท้ายที่ยังคงมิอาจปล่อยวาง แต่แท้จริงแล้วนั้นท่านเคยถามหรือไม่ว่าพวกเราต้องการสิ่งใด”
แม้จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงของภุมโมหากแต่ไม่ใช่เขาแม้แต่น้อย ร่างเล็กของเด็กชายทะยานเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของถ้ำในทันที ก่อนศิรกัลป์ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลฉกรรจ์ที่ฝ่ามือนั้นจะเร่งตามเข้าไป
เมื่อตามติดภุมโมเข้ามายังลานกว้างที่ลึกสุดในถ้ำหากช้าไปเพียงเสี้ยววินาที เมื่อนั้นร่างของภุมโมจึงปล่อยพลังออกมาเพื่อปลดปล่อยเหล่าดวงจิตอาฆาตที่ถูกผนึกเอาไว้โดยศิรกัลป์ก่อนจะกลายร่างเป็นเงาสีดำรูปร่างคล้ายพญานาคน้อยใหญ่มากมาย
เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป สองแขนจึงกางออกก่อนจะร่ายพระเวทเพื่อสร้างอาณาเขตจำกัดมิให้จิตอาฆาตเหล่านี้เล็ดลอดออกไปสร้างอันตรายกับผู้ใดได้อีก สุวรรณนเรศที่ทะยานตามเข้ามานั้นไม่สามารถข้ามผ่านเขตอาคมของศิรกัลป์เข้าไปได้
“ศิรกัลป์!” สุวรรณนเรศตะโกนสุดเสียงเมื่อมองไปยังภายในที่ร่างของนาคราชหนุ่มถูกโอบล้อมไปด้วยดวงจิตสีดำมากมาย
ศิรกัลป์แม้ไม่มั่นใจนักว่าจะใช้พลังของตนผนึกดวงจิตเหล่านี้ได้อีกหรือไม่ หากแต่ไม่อาจปล่อยให้สุวรรณนเรศได้รับอันตรายไปด้วย
“หากข้าไม่อาจผนึกดวงจิตเหล่านี้ได้ สุวรรณนเรศเจ้าจงใช้ร่างพญาครุฑของเจ้าแหวกน้ำขึ้นไปแล้วจงสร้างเขตอาคมครอบทับที่แห่งนี้เอาไว้แล้วบดขยี้เสีย ด้วยพลังแห่งมณีพงศ์สุบรรณมิใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย”
“แล้วท่านกับภุมโมเล่า…”
แม้รู้คำตอบดีแก่ใจตนหากแต่ไม่อาจยอมรับได้ ศิรกัลป์ไม่กล่าวสิ่งใดแม้เพียงคำพูดหากแต่ทำได้เพียงยิ้มบางๆ ให้สุวรรณนเรศ ความรู้สึกผิดมากมายถาโถมเข้ามาอย่างไม่อาจบรรยาย แต่เดิมแม้โอปปาติกะนาคไม่อาจผูกเวรกับเหล่าพญาครุฑได้หากแต่เขาเองก็มิได้ชมชอบครุฑเป็นทุนเดิม
แม้จะยอมช่วยสุวรรณนเรศหากแต่แรกเป็นเพราะนางช่วยชีวิตภุมโมไว้เช่นกัน
‘ข้าเองก็เห็นแก่เผ่าพงศ์ตนไม่ต่างจากนาคตนอื่น ไหนเลยควรค่าให้เจ้ากล่าวเช่นนั้น’ เขาพึมพำในใจพลางมองไปยังสีหน้าร้อนใจของสุวรรณนเรศที่มองมาที่ตน
“ต้องขออภัยเจ้าแล้ว พงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศ”
เขากล่าวพลันหลับตาลงช้าๆ ก่อนรัศมีสีเงินยวงจะทวีรัศมีขึ้นอย่างเจิดจ้า สุวรรณนเรศใช้รัศมีพลังของตนเพื่อเข้าไปยังเขตอาคมของศิรกัลป์หากแต่ไม่เป็นผล บัดนั้นความตั้งใจของทั้งสองราวได้ตอบรับจากพลังบางสิ่งเมื่อปิ่นบงกชที่มวยผมของสุวรรณนเรศกลับเรืองแสงสีเงินออกมาอย่างเจิดจ้าเช่นเดียวกับปทุมมาสีทองที่กลางสระบงกช
“ดั่งท่านว่าหากแม้พลังแห่งพงศ์สุบรรณข้าสามารถกระทำได้ถึงเพียงนั้น เพียงจิตอาฆาตเหตุใดจะผนึกมิได้!”
เสียงหวานใสของสุวรรณนเรศดังขึ้นอยู่เบื้องหน้าตน ด้วยดวงเนตรทั้งสองที่เคยปิดสนิทพลันลืมตาขึ้นช้าๆ หากแต่บัดนี้กลับพบร่างของสุวรรณนเรศที่สยายปีกสีทองสุวรรณอยู่เบื้องหน้าตน
“พงศ์สุบรรณหนา…พงศ์สุบรรณ”
ศิรกัลป์จะยื่นมือของตนไปยังเบื้องหน้าในทันที ก่อนที่สุวรรณนเรศจะเอื้อมไปจับไว้อย่างมั่นคง
พลันรัศมีพลังของทั้งสองจึงเรืองรองขึ้นจนถึงขีดสุด ดวงตาสีเข้มของสุวรรณนเรศบัดนี้กลับกลายเป็นสีทองประกาย นางปล่อยมือจากศิรกัลป์ก่อนจะทะยานสูงขึ้นไปเหนือศีรษะของเขาในทันที ปีกกว้างสยายออกพร้อมๆ กับทิพยรัศมีค่อยๆ ชำระล้างให้พลังสีดำของจิตสุดท้ายสลายๆ หายไปในที่สุด
ด้วยพลังแห่งศิรกัลป์ที่เบื้องหน้ากลับค่อยๆ ปรากฏแสงสว่างไสวอีกครั้ง บงกชสีทองพลันส่องแสงสว่างอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับนาคะบงกชสีเงินของศิรกัลป์ ภายใต้แสงสว่างเจิดจ้านั้นคล้ายเสียงคำรามของพญานาคราชสององค์ดังขึ้นจนก้องกังวานไปทั่วถ้ำก่อนจะค่อยๆ สงบลงช้าๆ
เมื่อแสงสว่างค่อยๆ สลายหายไปในกลับปรากฏคันศรหนึ่งอยู่เบื้องหน้าขององค์นาคราชพลันดูดกลืนจิตสุดท้ายที่หลงเหลือภายในถ้ำนั้นลงไปที่คันศรจนหมดสิ้น ลักษณะคล้ายนาคราชสองตนสีทองสุวรรณและสีนิลรัดพันเกี้ยวกันโค้งราวพระจันทร์เสี้ยว
คันศรนั้นจึงล่องลอยมาศิรกัลป์ในทันที เขารับคันศรนั้นมาไว้ในมือพร้อมๆ กับที่ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาอย่างไม่อาจควบคุม สุวรรณนเรศที่เก็บปีกแลร่อนลงมายังบริเวณที่ศิรกัลป์อยู่นั้นกลับมองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือเขาอย่างตกตะลึง
“คันศรของผู้ใดกัน…” นางกล่าวพลางเอื้อมมือไปสัมผัสที่เศียรของนาคราชสีทองก่อนรัศมีพลังบางอย่างจะปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางเศียรของนาคราชในทันที
รัศมีสีแดงดั่งแก้วประพาฬที่ล่องลอยออกมาจากเศียรของนาคราชสีทองสุวรรณนั้นค่อยๆ ส่งกลิ่นหอมประหลาดล่องลอยไปทั่วบริเวณ ความทรงจำของใครผู้หนึ่งจึงไหลทะลักเข้ามาภายในร่างของศิรกัลป์และสุวรรณนเรศ
“ปัทเนตรฟังเรา ด้วยข้านั้นมิอาจยืนอยู่ ณ ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง หากแต่ที่เจ้าช่วยชีวิตเราในครั้งนี้นั้นข้าจึงจะประธานดอกปาริชาตนอกฤดูแก่เจ้า”
สิ้นคำพูดนั้น ที่กึ่งกลางหน้าผากของปัทเนตรจึงปรากฏจุดแต้มสีแดงขึ้นจุดหนึ่ง
“แม้ยามใดที่เจ้าปรารถนาจักใช้ดอกปาริชาต ไม่ว่าเนิ่นนานเพียงใดมันจะไม่มีวันโรยราและตามติดเจ้าเช่นนี้เรื่อยไป ขอจงโชคดี”
“ขอบพระทัยองค์ทิพย์สุคนธาเจ้าค่ะ…”
ปัทเนตรก้มศีรษะลงในทันที พลันแสงสีแดงราวอัคคีจึงปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าตนสายหนึ่งแล้วจึงนำพาร่างของเทพธิดากลับสู่มหาวิมานแดนฟ้าในทันที
เพียงสิ้นความทรงจำนั้น ราวกับร่างของศิรกัลป์และสุวรรณนเรศโอบล้อมไปด้วยกลิ่นแห่งปาริชาต คำถามมากมายที่เคยเกิดขึ้นในใจของทั้งสองราวถูกได้รับการแก้ไขว่าเหตุใดทั้งสองยังต้องมาเกี่ยวข้องกันเช่นนี้
“เจ้าปรารถนาอย่างรู้เช่นนั้นฤๅ” ศิรกัลป์ถาม หากแต่ลุ้นระทึกไปกับคำตอบที่จะออกจากริมฝีปากสุวรรณนเรศอย่างมาก
สุวรรณนเรศไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่สิ่งที่หลั่งไหลมาพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกปราริชาตนั้น ไม่ใช่เพียงความทรงจำหากแต่เป็นความรู้สึกของคนสองคนที่ห่วงหาซึ่งกันและกันอย่างที่สุด
“ปรารถนาเช่นท่าน อุรกาฬ…”
พลันริมฝีปากของศิรกัลป์จึงประทับลงที่ริมฝีปากของสุวรรณนเรศในทันที ด้วยพลังของทั้งดอกปาริชาตและคันศรนาคราชที่เกิดจากปัทเนตรและอุรกาฬที่ได้กลับมาพบพานกันอีกครั้ง เพียงชั่วพริบตาสัตย์สาบานสุดท้ายที่ให้ไว้แก่กันจึงผูกติดทั้งสองไว้ด้วยกันชั่วกาล
“เพียงตลอดกาลนี้ศิรกัลป์ ข้าขอผูกติดเพียงท่านชั่วกาล!”
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 18 : เพียงใจปรารถนาชั่วกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 17 : นาคะบงกช
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 16 : ห้วงคะนึงที่ขาดหาย
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 15 : หวนคืนสู่สมรภูมิ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 14 : สิ้นพันธะแห่งกาล 2
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 13 : สิ้นพันธะแห่งกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 12 : ผลิบาลยามต้องแสงอรุณ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 11 : บางสิ่งมิอาจเปลี่ยนแปลง
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 10 : ยืนหยัด
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 9 : เหนือเกศบาดาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 8 : มหามนตร์แห่งกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 7 : ประกายแสงแก้วประพาฬ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 6 : สัตตะคีรี 2
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 5 : สัตตะคีรี
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 4 : ป้องปีกปักษา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 3 : แสงระยับ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 2 : สุดปลายหัตถา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 1 : พงศ์สุบรรณ สุวรรณนเรศ
- READ ห้วงนทีกาล : บทนำ