ห้วงนทีกาล บทที่ 19 : ศิรกัลป์นาคราช

ห้วงนทีกาล บทที่ 19 : ศิรกัลป์นาคราช

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

         

แสงสว่างเจิดจ้าจากคันศรและพลังของดอกปาริชาตนั้น แม้ทำให้จดจำได้ซึ่งอดีตที่ผันผ่านหากแต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่อยู่ตรงหน้าได้ ศิรกัลป์ที่เฝ้ามองไปยังดวงหน้าของสุวรรณนเรศพลางค่อยๆ ใช้ฝ่ามือสัมผัสไปที่แก้มนวลนั้นอย่างเบามือ

ดวงตาแดงก่ำที่บัดนี้ไม่อาจกักเก็บความเศร้า หวงหา ที่มีอยู่…พลันน้ำตาแห่งความยินดีจึงไหลริน สุวรรณนเรศที่เห็นดังนั้นจึงค่อยๆ เอื้อมมือของตนไปเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนั้นเช่นกัน

แม้ไร้คำพูดใดหากแต่ทั้งสองยังคงยิ้มอย่างดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง ศิรกัลป์โผเข้ากอดสุวรรณนเรศไว้แน่นในขณะเดียวกันนั้นร่างของภุมโมที่ยังคงขยับไหวก่อนจะส่งพลังสีดำเข้าใส่ทั้งคู่ในทันที สุวรรณนเรศที่เห็นดังนั้นจึงใช่ร่างของตนเข้าปกป้องศิรกัลป์ในทันที ก่อนที่ศิรกัลป์จะเอื้อมมือไปคว้าธนูเอาไว้แล้วใช้พลังของมันยิงออกไปยังร่างของภุมโม

เมื่อลูกศรนาคราชสีดำปะทะเข้ากับพลังสีดำในร่างของภุมโมนั้นจึงสลายหายไปในที่สุด

ร่างของเด็กชายร่วงลงกระทบพื้นในทันทีหากแต่สุวรรณนเรศกลับใช้พลังของตนคว้าไว้ได้ทัน นางเร่งเข้าไปดูภุมโมหากแต่ยังคงมีลมหายใจแต่ไร้ซึ่งสติ

“ภุมโม” นางเรียกเสียงแผ่วพลันศิรกัลป์จึงเร่งเข้ามาดูทั้งสอง

อาภรณ์สีขาวที่แขนด้านซ้ายซึ่งโชกชุ่มไปด้วยโลหิตสีเข้มของสุวรรณนเรศ บัดนี้หลั่งไหลไปตามทางที่นางอุ้มภุมโมไปที่ตั่งนอนในทันที หากแต่ที่ประหลาดยิ่งกว่านั้นคือที่ต้นแขนด้านซ้ายของศิรกัลป์กลับปรากฏร่องรอยของบาดแผลเช่นกัน

“นาคะบงกช…” ศิรกัลป์กล่าวพลางปรากฏนาคะบงกชสีเงินในมือ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นละอองสีเงินเข้าช่วยเหลือภุมโม จนในที่สุดริมฝีปากที่เคยซีดเผือดกลับมาแดงระเรื่ออีกครั้ง

“ไม่เป็นกระไรแล้ว” ศิรกัลป์พึมพำพลางมองสีหน้าโล่งใจของสุวรรณนเรศ หากแต่กลับใจหายยิ่งกว่าเมื่อที่แขนของนางกลับมีเลือดไหลออกมาจนชุ่ม

เขาเอื้อมมือไปที่บาดแผลนั้นพลางใช้พลังของตนเพื่อสมาน สุวรรณนเรศที่แต่แรกไม่รู้สึกเจ็บด้วยไม่ทันสังเกต แต่เมื่อมองไปยังบาดแผลกลับรู้สึกถึงมันขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“นึกว่าเจ้าไม่รู้สึกเสียอีก” ศิรกัลป์กล่าวพลางมองไปยังใบหน้าของสุวรรณนเรศหากแต่พยายามไม่ให้ตนหลุดขำออกมา

สุวรรณนเรศมองไปยังแผลของศิรกัลป์หากแต่ไปสะดุดตาเข้ากับบาดแผลที่ต้นแขนที่บัดนี้ค่อยๆ สมานเช่นกัน นางไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ชี้ไปที่ต้นแขนซ้ายของเขา และทันทีที่ศิรกัลป์สังเกตเห็นตนเองก็รู้สึกตกตะลึง

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น…”

สุวรรณนเรศกล่าวถาม หากแต่ศิรกัลป์กลับไม่ตอบสิ่งใดด้วยยังคงตกตะลึงกับภาพที่เห็น เพื่อพิสูจน์ข้อสงสัยที่เกิดนั้นสุวรรณนเรศจึงใช้ปลายเล็บของตนกรีดลงไปกลางฝ่ามือในทันที ก่อนที่บาดแผลนั้นจะปรากฏที่กลางฝ่ามือของศิรกัลป์เช่นกัน

ราวสายฟ้าฟาดลงที่ทั้งสองอีกครั้ง เมื่อบัดนี้ไม่ใช่เพียงห้วงความทรงจำที่หวนคืนหากแต่ด้วยอำนาจและพลังบางอย่างทำให้บัดนี้ทั้งสองเชื่อมถึงกันและกัน

ราวศิรกัลป์กลับมาตั้งสติอีกครั้ง เขาใช้ฝ่ามือของตนที่เกิดบาดแผลนั้นจับไปที่มือของสุวรรณนเรศ แม้ใบหน้าจะฉายชัดซึ่งความหนักใจหากแต่แรงบีบของมือสุวรรณนเรศนั้นราวกับกำลังบอกเขาว่านางจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน

“ข้าเป็นจอมทัพสุวรรณนเรศ ไม่อาจหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่ได้”

ศิรกัลป์เองรู้แก่ใจว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่อันหนักหนาที่อยู่บนบ่านี้ได้ เขาไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งที่ผูกพวกเขาไว้นั้นแน่นหนาเพียงใด หากสงครามที่ยาวนานนี้นั้นไม่รู้ว่าวันใดปัญหาที่อยู่ภายใต้สายน้ำใสแลเมฆาบนฟ้ากว้างจะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

สุวรรณนเรศแม้กำเนิดได้ไม่นานนักหากแต่เข้าใจความหมายที่ศิรกัลป์กล่าวเป็นอย่างดี มือบางทั้งสองพลันจับไปที่สองมือของศิรกัลป์เช่นกัน

“ข้ารู้ดีภายภาคหน้าสองเราไม่อาจอยู่เคียง…” พูดได้เพียงเท่านั้นคล้ายความจริงยืนอยู่ตรงหน้าไม่อาจปิดหูปิดตาแสร้งราวกับว่าไม่มีอยู่จริง

“ท่านกลัวไปไย บัดนี้ไม่ว่ายามใดมีข้าร่วมเป็นตายไปกับท่านด้วย แม้ไม่เห็นข้าอยู่ต่อหน้าหากแต่ราวกับข้าไม่เคยจากท่านไปที่ใด”

ศิรกัลป์ไม่กล่าวสิ่งใด หากแต่จับมือของสุวรรณนเรศไว้แน่นก่อนจะค่อยๆ ก้มลงไปจุมพิตที่มือนั้นอย่างแผ่วเบา

“ข้าจะปกป้องเจ้าสุวรรณนเรศ แม้ต้องแลกด้วยสิ่งใด!”

เสียงเข้มของศิรกัลป์กล่าวพลางมองเข้าไปในนัยน์ตาของสุวรรณนเรศ เช่นเดียวกับที่นางมองเขาด้วยสายตาที่มั่นคงไม่ต่างกัน

“ศิรกัลป์ แม้ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าภายภาคหน้าจะจบไฟแห่งสงครามนี้ได้ฤๅไม่ ท่านต้องใช้ข้า”

ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของสุวรรณนเรศ สายตามุ่งมั่นของนางมองไปยังพญานาคราชที่บัดนี้ทำได้เพียงหลับตาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ ด้วยเขานั้นพอที่จะคาดเดาความคิดของสุวรรณนเรศได้เป็นอย่างดี

“ท่านอย่าได้คิดว่าท่านเป็นฝ่ายเอาเปรียบข้าเช่นนั้น แต่นี้อาจเพื่อเผ่าพงศ์ของข้าแลท่านจะไม่ต้องมีผู้ใดต้องสูญเสียล้มตายอีก ด้วยนิสัยของท่านพ่อและท่านพี่ไม่ว่าอย่างไรต้องเห็นแก่ความปลอดภัยของข้าเป็นแน่ อีกทั้ง…”

คล้ายคำพูดติดอยู่ภายในใจมากมายที่ไม่อาจยอมรับได้ว่าการเซ่นสังเวยด้วยนาคราชนั้นเพียงเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเหล่าครุฑมิได้เกิดประโยชน์อันใด ถึงเวลาที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงด้วยทุกผู้นั้นก็รักชีวิตของตนไม่ต่างกัน

“อีกทั้งข้ายังมิเห็นประโยชน์และจุดสิ้นสุดที่ดีงามอันใดจากการเซ่นสังเวยด้วยชีวิตผู้อื่น”

นางกล่าวพลันน้ำตาไหลออกมาเป็นสายก่อนจะมองไปที่ศิรกัลป์ที่ยังคงหลับตานิ่ง ก่อนเขาจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วเช็ดน้ำตาให้สุวรรณนเรศ

“ข้านั้นเฝ้ามองนาคราชดับสิ้นบนลานบรรณาการวันแล้ววันเล่าสุวรรณนเรศ ไม่มีวันใดที่ไม่รู้สึกราวกับการเอามีดกรีดลงหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แผลสมานแต่ยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้…ด้วยต้องเฝ้ามองพวกพ้องถูกสังหารโดยมิอาจกระทำสิ่งใดได้…”

เขาพูดพลางลูบไปตามเรือนผมยาวสีดำขลับของสุวรรณนเรศด้วยดวงตาแดงก่ำ

“ข้าอาจยังคงโชคร้ายไม่พอใจเทพแห่งโชคชะตา บัดนี้เจอผู้ที่ตามหาหากแต่ไม่อาจปกป้องได้”

สุวรรณนเรศยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ด้วยรู้คำตอบของศิรกัลป์แล้วว่าเขาเองก็เห็นด้วยกับตน ราวกับกำลังพินิจใบหน้าของชายที่อยู่ตรงหน้าให้ชัดเจนอีกครั้ง นิ้วเรียวพลางสัมผัสไปที่คิ้วคมอย่างแผ่วเบาก่อนจะบรรจงเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายให้แก่ศิรกัลป์

“ศรนั้นแม้วิเศษเพียงใด อำนาจของมันอาจสะกดจิตอาฆาตของนาคราชได้ แต่อย่างไรข้าก็ไม่วางใจ…”

สุวรรณนเรศผละถอยจากศิรกัลป์เล็กน้อยพลันที่ด้านหลังจึงปรากฏรัศมีสีทองของปีกใหญ่ขึ้น นางหลับตาลงก่อนจะกำหนดจิตไปที่ปีกสีสุวรรณที่อยู่เบื้องหลัง เพียงพริบตาเดียวนั้นขนสีทองสองเส้นจึงค่อยๆ หลุดออกจากปีกใหญ่พลันถักทอเป็นรูปร่างของกำไลไปที่ข้อมือของศิรกัลป์ในทันที

“นี่มากเกินไปสุวรรณนเรศ แม้แต่วัชรขององค์อัมรินทร์ก็ไม่อาจระคายแม้ปลายขนเจ้า…”

สีหน้าอ่อนแรงฉายชัดขึ้นครั้งหนึ่ง ด้วยขนทุกเส้นนั้นราวเกิดจากพลังทิพยของพญาครุฑาจึงเป็นของสูงค่าที่ไม่ใช่ว่าผู้ใดจะได้ไปโดยง่าย สุวรรณนเรศเก็บปีกที่สยายกว้างก่อนเดินตรงไปที่จับที่มือศิรกัลป์ที่สวมกำไลสีทองอันเกิดจากปีกของนาง

“ดั่งท่านว่าก็เพียงนาคาบงกชดอกหนึ่งเท่านั้น กำไลปีกปักษานี่ก็เช่นกัน…ไม่เพียงมันจะปกป้องท่านจากครุฑทั้งปวง ยังสามารถสะกดพลังของจิตอาฆาตเพื่อท่านจักถือคันศรนั้นอย่างมั่นคง”

สุวรรณนเรศกล่าวพลางจับมือของศิรกัลป์ไว้แน่น เพียงพินิจใบหน้านั้นใกล้ๆ จึงพบว่าบัดนี้สีหน้าของนางไม่สู้ดีนักด้วยเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นที่หน้าผากและที่ฝ่ามือนั้น ศิรกัลป์ยังคงใช้มือของตนซับให้นางอย่างทะนุถนอมพลางประคองให้นั่งลงที่ตั่ง

สุวรรณนเรศรู้ดีว่าบัดนี้สติใกล้ดับลงเต็มที ด้วยมณีประจำกายที่ยังสมานไม่ดีอีกทั้งนางยังฝืนใช้พลังเมื่อครั้งชำระล้างจิตอาฆาตที่ทะลักออกมาจากร่างของภุมโม

“อย่าให้ข้าหลับนะ”

สุวรรณนเรศกล่าวเสียงแผ่วเบาพลางจ้องมองดวงหน้าของศิรกัลป์อย่างไม่วางตา ด้วยกลัวว่าเมื่อหากนางตื่นขึ้นมาจะไม่ได้พบหน้าเขาอีก ศิรกัลป์ไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ลูบเส้นผมที่ตกลงมาปรกที่ใบหน้าของนางก่อนจะเพ่งพินิจใบหน้านั้นด้วยดวงตาที่แสนอ่อนโยน

รัศมีสีเงินพลันล่องลอยไปทั่วบริเวณโอบล้อมร่างของทั้งสองครู่หนึ่ง งดงามราวความฝันเมื่อสุวรรณนเรศได้เห็นรัศมีทิพยของศิรกัลป์อีกครั้งราวภาพจำสุดท้ายก่อนนางจะหมดสติ ณ ลานบรรณาการ

“ข้าจึงชมชอบรัศมีระยิบระยับดั่งดารานับพันนี้เสียจริง ช่างแสนงดงาม…”

ริมฝีบางแย้มยิ้มออกมาอย่างงดงามหากแต่เมื่อรัศมีสีเงินค่อยๆ สลายหายไปนั้น รอบกายของทั้งสองก็หาใช่ผนังถ้ำใต้บาดาลอีกต่อไป

สายลมพัดเอื่อยกระทบใบหน้าของสุวรรณนเรศอย่างแผ่วเบาเคล้าคลอไปกับเสียงคลื่นสาดซัดกระทบฝั่งที่ดังเป็นจังหวะราวเครื่องดนตรีเร้าบรรเลง

แสงสีส้มแดงพลันจับจองที่ขอบฟ้ารามราตรีอีกครั้ง เสียงควบกุบกับของรถม้าและสารถีแห่งรุ่งอรุณวนมาอีกครั้ง

“งดงามยิ่งนักยามอาทิตย์ขึ้น ความหวังแรกยามรุ่งอรุณมาเยือนเหตุใดเราสองจึงสิ้นหวังเช่นนี้…”

ศิรกัลป์พึมพำพลันจุมพิตที่หน้าผากของสุวรรณนเรศอย่างแผ่วเบา สุวรรณนเรศมองทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้า หากแม้ความหวังริบหรี่เพียงใดสำหรับนางยังคงเป็นคนหวังเสมอ

“ข้ารู้ไม่อาจหวังแต่ยังคงหวัง ศิรกัลป์ข้าไม่อาจให้ท่านขึ้นชื่อได้ว่าทรยศต่อเผ่าพงศ์ ไม่ว่าท่านจะกระทำสิ่งใดอย่าได้เห็นแก่ข้านะ…”

สติใกล้หลุดลอยและดวงตาใกล้ปิดลงเต็มที ด้วยสุวรรณนเรศรู้แน่แก่ใจว่าเหตุใดศิรกัลป์จึงนำตนขึ้นมาจากบาดาล

“ข้ารักเจ้าสุวรรณนเรศ…”

แผ่วเบาราวเสียงกระซิบหากแต่ดวงตาที่ปิดสนิทของสุวรรณนเรศไม่อาจได้ยินเสียงใดได้อีก ราวรัศมีสีเงินที่เปล่งประกายไปทั่วบริเวณก่อนที่หว่างคิ้วของสุวรรณนเรศจะปรากฏรัศมีสีสุวรรณเช่นกัน คล้ายรัตนมณีสีทองเล็กๆ ดวงหนึ่งล่องลอยออกมาจากกึ่งกลางหน้าผาก

ความทรงจำระหว่างสุวรรณนเรศและศิรกัลป์ที่ถูกบรรจุอยู่ในรัตนมณีสีทองประไพพลันล่องลอยไปยังฝ่ามือของศิรกัลป์ในทันที เขาบรรจงวางนางลงที่เหนือมหานทีอย่างทะนุถนอมด้วยไม่อาจทนมองนางนอนนิ่งบนพื้นแข็งเย็นเฉียบของพื้นหินได้

“ข้าเองก็เช่นกันสุวรรณนเรศ ข้าไม่อาจทนเห็นสีหน้าเจ้าที่เป็นทุกข์ หากทุกคืนวันต้องตอกย้ำว่าเจ้าทรยศเผ่าพงศ์เช่นกัน…”

เขาส่งสายตาแสนอาวรณ์ หากจำต้องปล่อยให้ยอดดวงใจล่องลอยไปยังที่ของนางอย่างแท้จริง

ราวเหล่าปักษาผู้มีสายตาแหลมคมรอคอยการกลับมาของสุวรรณนเรศเป็นทุนเดิม เพียงร่างของนางลอยละล่องไปไม่ไกลนักเสียงร้องของเหล่าสกุณาฟังคล้ายทะยานบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ร่างของพญาครุฑาสีขาวปีกใหญ่ยามต้องแสงตะวันด้วยทิพยเนตรแห่งพงศ์เวชไชยยันต์เมื่อมองเห็นร่างบางของสุวรรณนเรศที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ตรัสวินจึงทะยานลงมายังเบื้องล่างอย่างรวดเร็วพลันโอบอุ้มร่างบางขึ้นมาไว้ในอ้อมอกในทันที

แรงมหาศาลของสายลมที่เกิดจากปีกของพญาตรัสวินนั้นรุนแรงเสียจนพัดเอาน้ำในบริเวณนั้นแหวกออกจนถึงก้นมหาสมุทรในทันที คงเพราะความยินดีที่ได้พบสุวรรณนเรศอีกครา

ศิรกัลป์ยังคงมองสุวรรณนเรศที่ไร้สติในอ้อมแขนของตรัสวินนั้นราวกับว่าเรี่ยวแรงที่จะยืนพลันสลายหายไปหมดสิ้น หากแต่ยังคงยิ้มส่งนางด้วยความเต็มใจ

“บางสิ่งลืมเลือนจนหมดสิ้น เจ้าจะได้มิต้องเจ็บปวดเพราะมันอีก…จงลืมข้าเสียสุวรรณนเรศ”

 



Don`t copy text!