ห้วงนทีกาล บทที่ 4 : ป้องปีกปักษา

ห้วงนทีกาล บทที่ 4 : ป้องปีกปักษา

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

“ไยไม่ห้ามน้อง สดายุ!”

ท่ามกลางสายลมโหมพัดเมื่อสุวรรณนเรศสยายปีก สุรเสียงของสัมปาตีก็ดังขึ้นก่อนทำท่าจะสยายปีกติดตามผู้เป็นน้องไปในทันที

“ให้เวลานางได้เสียใจเถิดพี่ท่าน มีกำไลที่ทักจากขนปีกของข้ากับท่านอยู่ แม้นาคราชที่กำเนิดสูงอย่างโอปปาติกะก็หากระทำอันตรายนางได้”

สดายุกล่าวหากแต่ทำให้สัมปาตีใจเย็นลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ครุฑและนาคนั้นแบ่งการกำเนิดออกเป็นสี่อย่างตามวงศ์สูงต่ำแบ่งแยกโดยการถือกำเนิด โดยกำเนิดสูงที่สุดนั้นคือแบบโอปปาติกะนั้นคือเกิดแล้วเติบโตในทันทีมีเพียงครุฑและนาคในชนชั้นปกครองเท่านั้น ถัดลงมาคือแบบสังเสทชะหมายถึงกำเนิดจากเถ้าไคล รองลงมาอีกขั้นหนึ่งคือกำเนิดแบบชลาพุชะหมายถึงกำเนิดจากครรภ์ และลำดับสุดท้ายนั้นคือกำเนิดแบบอัณฑชะหมายถึงกำเนิดจากฟองไข่

“ไม่ได้ แม้พวกเราทั้งสามล้วนกำเนิดอย่างโอปปาติกะหากแต่บาดแผลของสุวรรณนเรศหาใช่เพียงการทำร้ายจากนาคราชโอปปาติกะธรรมดาเท่านั้น เจ้าไม่เห็นแผลน้องฤๅสดายุ ตั้งแต่เจ้าอุ้มนางกลับมายังฉิมพลีแผลนางหายดีอย่างรวดเร็วทั้งที่เราทั้งสองยังไม่ได้กระทำสิ่งใด”

สีหน้าหนักใจฉายชัดบนใบหน้าคมสันของสดายุก่อนจะทอดถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

“ห้วงนทีกว้างใหญ่ ไหนเลยจะหาร่างของตรัสวินพบ…” สดายุกล่าวพลางมองไปยังสัมปาตี

“สุวรรณนเรศ น้องเราหาใช่ผู้ขลาดเขลาหากแต่ถ้าวันนี้ไม่กระทำสิ่งใดทอดถอนหายใจยอมรับเพียงโชคชะตาแล้วไซร้คงเสียใจไปทั้งชีวิต หากข้าเป็นสุวรรณนเรศแม้จะหาไม่พบแม้แต่เงาหากมองย้อนกลับมาในภายหน้าก็คงไม่นึกเสียใจ”

มือเกร็งวางลงที่บ่าของผู้เป็นน้องด้วยสีหน้าที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดของสัมปาตีนั้นก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่ง ร่างของพญาปักษาสดายุจึงสยายปีกกว้างก่อนทะยานสู่ห้วงนภาติดตามสุวรรณนเรศไปในทันที

เหนือมหานทีกว้างเมื่อยามปีกใหญ่โอบรับสายลมอย่างเต็มที่ สุวรรณนเรศที่ลอยตัวอยู่เหนือห้วงน้ำที่บัดนี้นิ่งสงบมีเพียงบางระยะที่คลื่นลมทำให้บังเกิดเกลียวคลื่นเล็กๆ เป็นระลอกน้ำ พายุคลั่งเหมือนเมื่อครั้งที่สมรภูมิ ณ ลานบรรณาการหายไปจนหมดสิ้น หลงเหลือไว้เพียงความอ้างว้างโดดเดี่ยว

ทุกสรรพสิ่งเงียบเชียบด้วยพระเวทอำพรางกายที่ถูกร่ายหากแต่เพราะร่างกายที่บาดเจ็บนั้นจึงทำให้สุวรรณนเรศไม่สามารถคงพระเวทของตนได้นานเท่าใดนัก สายตาที่ทอดมองไปยังเบื้องล่างช่างแสนว่างเปล่าด้วยพื้นน้ำเย็นเฉียบที่เบื้องล่างนี้คือสถานที่สุดท้ายที่ทอดกายของผู้ที่นางอาลัยยิ่ง

พลันดวงตาทั้งสองก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง  ปีกงามสีทองอร่ามจึงค่อยๆ สลายหายไปในทันที ร่างบางในอาภรณ์สีขาวที่บัดนี้ทิ้งกายให้จมลงสู่ห้วงมหาสมุทรอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายน้ำเย็นเฉียบหากแต่สุวรรณนเรศกลับไม่รู้สึกถึงความเย็นจับขั้วหัวใจนั้นแม้แต่น้อย

เมื่อร่างของตนค่อยๆ จมลึกลงไปนั้นหากแต่นางไม่มีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ มีเพียงความเงียบที่เกิดขึ้นรอบกายเท่านั้นกลับทำให้รู้สึกสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

‘สงบเสียจริง…’

เสียงพึมพำดังก้องในใจและเปลือกตาก็ค่อยๆ หลับลงช้าๆ ก่อนจะปล่อยให้กายได้สัมผัสถึงสายน้ำอย่างแท้จริง โดยใช้พลังของตนสำรวจแทรกซึมไปตามกระแสสายน้ำหวังเพียงสัมผัสได้ถึงสิ่งที่สุวรรณนเรศตามหา

หากแต่สัมผัสได้เพียงความสงบเงียบของห้วงมหานทีเท่านั้น…

“ครุฑาไหนเลยชื่นชอบห้วงนที…ท่านถามพิกลนัก”

“พิกลฤๅ เห็นอยู่ตรงหน้าว่าเจ้าชอบน้ำ…”

 เพียงชั่วขณะหนึ่งที่ดวงจิตว่างสงบนิ่ง…เสียงหนึ่งพลันชัดเจนขึ้นในห้วงความคิด เสียงหวานใสของหญิงผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมๆ กับเสียงของชายผู้หนึ่งที่กล่าวตอบนางด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังกลั้นหัวเราะในลำคอ

สุวรรณนเรศที่ได้ยินเช่นนั้นพลันลืมตาขึ้นทันทีด้วยความตกใจเพราะเสียงของทั้งสองคนราวกังวานดังอยู่โดยรอบตัว หากแต่เมื่อได้สติกลับมานั้นจึงพบว่าร่างของตนร่วงหล่นลงมาลึกเพียงใด

รอบกายในขณะนี้นั้นเต็มไปด้วยหมู่มวลแมกไม้นานาพันธุ์ที่อยู่ลึกลงใต้มหานที สีสันแปลกตาของมันราวอัญมณีหายากไม่ต่างกับมวลบุปผาที่สวนในวิมานฉิมพลี เบื้องหน้าของนางมีลักษณะเป็นโพรงถ้ำแต่ยังไกลออกไปมากยิ่งนัก แต่เพราะด้วยสายตาที่แหลมคมของพญาครุฑนั้นแม้อยู่ลึกลงไปหากแต่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

‘ถ้ำใต้น้ำฤๅ มองจากที่ไกลๆ ยังใหญ่โตถึงเพียงนั้น…’

สุวรรณนเรศกำลังนึกแปลกใจด้วยไม่รู้นานเท่าใดที่ปล่อยให้กายลอยมาตามกระแสน้ำที่พัดพาร่างกายของนางให้ลอยละล่องไปเรื่อยไร้ซึ่งจุดหมาย หากแต่เมื่อรู้ตัวอีกครั้งลมหายใจก็ใกล้จะหมดลงเต็มที…นางจึงทำได้เพียงหยุดใจที่อยากรู้นั้นไว้ก่อนจะว่ายสู่ผิวน้ำ

ทันใดนั้นราวกับข้อเท้าถูกบางสิ่งรัดพันเอาไว้แน่นเสียจนไม่สามารถขยับได้ สุวรรณนเรศก้มมองไปยังเบื้องล่างในทันทีจึงพบกับพืชน้ำขนาดใหญ่สีเขียวมรกตรัดพันที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของตนอย่างแน่นหนา

สุวรรณนเรศพยายามดิ้นอย่างสุดแรง แต่พืชน้ำที่เท้าของตนนั้นก็ยังไม่มีทีท่าจะหลุดออกแต่อย่างใดหากแต่ยังรัดแน่นเสียยิ่งกว่าเดิม

เมื่อการดิ้นรนไม่เป็นผลและแรงมหาศาลที่ฉุดรั้งให้ร่างของตนดำดิ่งสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็วกว่าเดิม สุวรรณนเรศก็ทราบได้ถึงอันตรายในทันทีด้วยอากาศที่เคยมีอยู่น้อยนิดนั้นกำลังจะหมดลง

เมื่อสติใกล้เลือนรางเต็มทีเสียจนไม่อาจตั้งสมาธิท่องพระเวทได้ราวกับว่ามีความคิดหนึ่งดังขึ้นในหัว

“จอมทัพแห่งพงศ์สุบรรณไยมาติดกับพระเวทอารักษ์ปากถ้ำเช่นนี้ได้…”

หาใช่ความคิดในใจอย่างที่สุวรรณนเรศเข้าใจหากแต่เป็นเพียงเสียงของใครผู้หนึ่ง

เพียงสิ้นคำพูดนั้น…กระแสน้ำรอบกายนางก็มีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงเกิดขึ้น หมุนวนรอบกายนางสุวรรณนเรศ พืชน้ำสีมรกตที่เคยรัดพันที่ข้อเท้านั้นก็สลายหายไปในทันทีก่อนความรู้สึกราวร่างกายของตนกระทบเคลื่อนผ่านสายน้ำอย่างรวดเร็ว

เพียงชั่วอึดใจจากความรู้สึกอึดอัดเสียจนหายใจไม่ออกก็พบว่าบัดนี้สามารถสูดอากาศได้อย่างเต็มปอด เสียงกระอักของน้ำที่กลืนเข้าไปหลายอึกของตนทำให้ทราบว่าบัดนี้ตนอยู่เหนือผิวน้ำ

เมื่อพยายามรวมรวมสติแล้วจึงพบว่าที่เบื้องหน้าของตนคือร่างของชายผู้หนึ่งที่บัดนี้รัศมีสีเงินลอยละล่องอยู่รอบกาย สุวรรณนเรศที่เห็นเช่นนั้นจึงทำได้เพียงผงะถอยออกห่างก่อนจะพยายามลุกขึ้นตั้งหลักอย่างรวดเร็ว

“เจ้า!”

ยังไม่ทันจะสิ้นคำพูดนั้นกริชสีทองก็ปรากฏในมือของสุวรรณนเรศในทันทีก่อนจะตรงเข้าโจมตีไปยังนาคราชหนุ่ม เขาไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่เพียงเอี่ยวตัวหลบอย่างง่ายดาย

“หากจะสังหารข้า เจ้าก็ยืนให้ตรงเสียก่อน…”

“หุบปาก!”

ราวสายลมพัดผ่านวูบหนึ่งเสียงของสุวรรณนเรศที่ควรจะอยู่เบื้องหน้าของศิรกัลป์กลับดังขึ้นที่ด้านหลังอย่างเย็นชา เสียงของกริชที่ปักลงที่บั้นเอวอย่างแรงตามด้วยโลหิตที่สาดกระเซ็นหากแต่ไม่ใช่เพียงศิรกัลป์ผู้เดียวที่บาดเจ็บ

ราวกับเพื่อยืนยันบางสิ่งให้กระจ่างชัดเจนเมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บที่บั้นเอวของตนเอง ร่างบางของสุวรรณนเรศจึงรีบถอยหลังออกมาตั้งหลักในทันที ศิรกัลป์มองไปยังสุวรรณนเรศด้วยความตกตะลึงในความเร็วของหญิงสาวก่อนจะมองไปยังกริชสีทองที่ปักคาอยู่ที่ตนแล้วแสยะยิ้มที่มุมปาก

“วันนั้นเจ้าก็เห็นกับตา เหตุใดยังต้องยืนยันอีก…”

มือบางกุมที่บริเวณบาดแผลก่อนใช้พลังของตนเพื่อห้ามเลือด กำไลที่ข้อมือของตนเมื่อสัมผัสกับหยาดโลหิตจึงเรืองแสงสีทองออกมาในทันทีหากแต่สุวรรณนเรศที่กำลังเพ่งสมาธิไปยังบาดแผลนั้นยังมิทันได้สังเกตเห็น

ศิรกัลป์ค่อยๆ ดึงกริชออกมาช้าๆ ก่อนจะมองไปยังใบหน้าและคิ้วคมที่ผูกเป็นปมเข้าหากันด้วยความเจ็บปวดของสุวรรณนเรศ

สุวรรณนเรศไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่มองไปยังเขาด้วยสายตาเย็นชา แผ่นหลังยืดตรงมองไปยังเขาด้วยความท้าทายไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

“ท่านสังหารคนของเรานาคราช”

สุรเสียงดังก้องกังวานหากแต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวด เพียงเท่านั้นดวงตาก็แดงก่ำขึ้นในทันที สุวรรณนเรศที่บัดนี้คับข้องใจเสียจนอยากกระโจนใส่คนตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอดกันไปหากแต่ไม่สามารถกระทำได้ถึงแม้จะยอมแลกด้วยชีวิตของตน และคนตรงหน้าก็เห็นแต่เป็นการจุดไฟสงครามขึ้นมาอีกครั้งเท่านั้น

“เจ้าทำเพื่อคนของเจ้า ข้าเองก็ทำเพื่อคนของข้าเช่นกัน…”

เขากล่าวออกมาหากในมือกลับเผลอกระชับกริชสีทองไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัวด้วยสายตาของตนจับจ้องไปยังสุวรรณนเรศเท่านั้น แม้อยู่ห่างกันหลายก้าวหากแต่ศิรกัลป์ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบัดนี้สุวรรณนเรศสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลเสียจนสั่นเทาไปหมดด้วยความโมโห หากแต่มองมาที่เขาด้วยสายตาเคียดแค้นยิ่งนัก

“ท่านรู้แก่ใจ ว่าหากยุติบรรณาการไม่ใช่เรื่องที่เราพงศ์สุบรรณตัดสินกันได้เพียงฝ่ายเดียว มหานครทั้งเก้าเมืองแม้ยอมรับตามข้อเสนอเพื่อชีวิตข้า หากแต่บัดนี้สมรภูมิที่สูญเสียอย่างมากมายมีเพียงก่อนหน้าที่จะมีการถวายบรรณาการและเมื่อไม่นานมานี้…”

พูดได้เพียงเท่านั้นสุวรรณนเรศจึงหยุดลงก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ละเมิดข้อตกลงกลับเป็นพวกท่านเสียเอง หากแต่กลับร้องขอซึ่งความยุติธรรมเช่นนั้นฤๅ” สุวรรณนเรศกล่าวเสียงเข้ม

“ครุฑไม่จับนาคอย่างนั้นฤๅสุวรรณนเรศ!”

เสียงหัวเราะในลำคอที่ดังขึ้นหากแต่เขากลับตอบเพียงแสนสั้น สุวรรณนเรศที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายไม่น้อยที่ข้อพิพาทระหว่างสองเผ่าพันธุ์ช่างยากหาข้อสรุปแต่ไรมาว่าฝ่ายใดผิดฝ่ายใดถูก

“เจ้ามิตอบ…แม้ข้ารู้ดีในใจเจ้าอยากสังหารข้าเพียงใดหากแต่สะกดกลั้นไว้ด้วยบนบ่าคือชีวิตของเผ่าพงศ์เจ้า ข้าเองก็เช่นกัน…”

ท่ามกลางกระแสอารมณ์ของทั้งสองนั้นจังหวะที่ศิรกัลป์ไม่ทันได้ระวังตน กริชสีทองในมือของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเชือกเส้นหนึ่งในทันทีก่อนจะผูกรัดร่างกายของเขาไว้อย่างรวดเร็ว นาคราชหนุ่มคุกเขาข้างหนึ่งลงไปที่พื้นก่อนจะพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการในทันที

สุวรรณนเรศที่เห็นดังนั้นจึงร่ายพระเวทเพื่อตรึงเชือกที่รัดศิรกัลป์ให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ที่เหนือเมฆบริเวณนั้นกลับปรากฏเงาร่างของพญาครุฑสีเขียวมรกตตัวใหญ่ ปีกสีทองส่องประกายยามกระทบแสงก่อนจะทะยานลงมาที่เขาด้วยความรวดเร็วหวังเพียงจับกุมเขากลับไปที่ฉิมพลีนคร

“สดายุ พี่ท่านอยู่ฤๅไม่”  

เสียงของน้องสาวดังขึ้นในจิตพร้อมๆ กับความรู้สึกบางอย่างที่ระคายที่ปีกทั้งสองข้าง สดายุจึงเร่งความเร็วขึ้นในทันทีหากแต่กลับถูกสุวรรณนเรศห้ามเอาไว้

“พี่ท่านอย่าพึ่งเข้ามาเป็นอันขาด ข้าแลนาคราชตนนี้เชื่อมถึงกัน หากเขาเจ็บข้าก็เจ็บเช่นกัน ไม่ทราบได้ว่าเป็นพระเวทใดหากแต่ต้องหาทางแก้โดยด่วนที่สุด”

“แล้วจะให้พี่ทำอย่างไร…”

เสียงของผู้เป็นน้องขาดหายไปชั่วขณะก่อนเขาจะคุมเชิงอยู่ที่เบื้องบนอย่างเงียบๆ ด้วยรู้ดีว่าสุวรรณนเรศมีความคิดในใจแล้วเช่นกัน

“สุวรรณนเรศอย่างไร…”

ทุกสรรพรสิ่งเงียบจนเกินไปหากแต่เมื่อใช้สายตาทิพย์ของตนมองลอดผ่านกลุ่มเมฆลงมานั้นกลับเห็นน้องสาวของตนกำลังเกาะกุมไปที่บั้นเอวด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“ข้าฝากกริชไว้ที่เขาแล้ว ท่านรอสัญญาณจากข้าเพราะข้าจะจับเขากลับฉิมพลี!”

“ว่าอย่างไรนะ!”

สิ้นคำพูดนั้นร่างของนาคราชหนุ่มก็ทรุดลงไปที่พื้นในทันทีพร้อมๆ กับเชือกสีทองสายหนึ่งที่รัดไปตามร่างอย่างแน่นหนา

“สดายุ ตอนนี้!”

ร่างของพญาครุฑบินโฉบลงมาในทันทีโดยเป็นไปตามแผนการของสุวรรณนเรศ ในเมื่อนางไม่สามารถจะหาสาเหตุอันผูกติดนางและเขาด้วยเวลาอันสั้นได้ มิสู้จับนาคราชตนนี้กลับไปฉิมพลีเสียเลยหากแต่จะเป็นอย่างไรต่อไปสถานการณ์คงไม่สงบสุขไปกว่าขณะนี้เป็นแน่ อย่างน้อยจะได้ไม่ให้เขาใช้ชีวิตของนางไปข่มขู่ผู้ใดได้อีก

ศิรกัลป์ที่เห็นดังนั้นก็รู้ได้ในทันทีว่าพลาดท่าเสียแล้ว พลังรัศมีสีมรกตที่อยู่เหนือศีรษะของตนนั้นพุ่งลงมาด้วยความรวดเร็วแม้ยังไม่ทราบถึงเหตุผลที่ทั้งสองกระทำเช่นนี้ หากแต่เขาไม่อาจยินยอมให้ตนบาดเจ็บได้เช่นกัน

“เมื่อใดเจ้าจะรู้จักห่วงชีวิตตนเองบ้าง สุวรรณนเรศ…”

สิ้นคำพูดนั้นแม้รู้ดีว่าสดายุไม่มีทางที่จะโจมตีเขาจนถึงแก่สิ้นชีพหากแต่พลังของพญาสดายุที่จู่โจมเข้าหากสะท้อนกลับไปด้วยพลังของมณีนาคราชก็ไม่อาจรับรองได้ว่าตนจะไม่บาดเจ็บ…

“ข้าไม่คิดจะใช้มัน!”

เบื้องหน้าของพญาสดายุก็ปรากฏปีกสีทองขนาดใหญ่ขึ้นโอบล้อมป้องกันร่างของศิรกัลป์ไว้ในทันที สดายุที่กระเด็นออกไปราวกับถูกดีดสะท้อนด้วยพลังดั่งเดียวกัน เมื่อตั้งหลักได้กลับมองไปยังปีกสีทองนั้นอย่างตกตะลึง

“เหตุใดปีกของข้า…”

สุวรรณนเรศมองไปยังเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ตื่นตระหนกยิ่งหนัก ร่างกายที่จู่ๆ ราวกับสายฟ้าฟาดผ่านลงมาเสียจนด้านชาไร้ความรู้สึกใด รัศมีสีทองที่คุ้นตานั้นลอยละล่องออกมาจากปีกสีทองที่สยายอยู่เบื้องหน้าโอบล้อมร่างของชายหนุ่มที่บัดนี้หยัดยืนขึ้นมองมาที่ตนเช่นกัน

 



Don`t copy text!