ห้วงนทีกาล บทที่ 5 : สัตตะคีรี

ห้วงนทีกาล บทที่ 5 : สัตตะคีรี

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

รัศมีสีทองส่องประกายเรืองรองสว่างไปทั่วบริเวณยามเมื่อกระทบสายลมที่พัดผ่านกลับพริบไสวไปตามลมอย่างงดงาม ปีกคู่งามที่โอบล้อมร่างของพญานาคราชหนุ่มไว้นั้นคุ้นตาเสียจนดวงตาของสุวรรณนเรศที่กลมโตอยู่แล้วนั้นเบิกกว้างขึ้นมากกว่าเดิม

เกราะปักษาที่สร้างขึ้นจากพลังของตนนั้นเพียงมองปราดเดียวก็ทราบได้ในทันที ของวิเศษล่ำค่าสิ่งนี้สร้างจากเส้นขนของพญาครุฑที่แม้แต่ครุฑด้วยกันก็ไม่สามารถทำอันตรายใดต่อผู้ที่ถือครองได้ ดั่งเดียวกับปีกคู่ของสัมปาตีและสดายุที่แปรสภาพอยู่ในรูปแบบของกำไลที่ข้อมือสุวรรณนเรศเช่นเดียวกัน

เมื่อละอองสีทองค่อยๆ สลายไปในอากาศ ชายหนุ่มเบื้องหน้าตนเมื่อยกมือข้างหนึ่งขึ้นที่ข้อมือจึงปรากฏกำไลสีทองที่ส่องประกายเจิดจ้าอยู่

สุวรรณนเรศที่บัดนี้จับต้นชนปลายไม่ถูกหากแต่พยายามรวบรวมสติ ด้วยที่ข้อมือของศิรกัลป์กลับปรากฏกำไลสีทองที่สร้างจากขนปีกของนางถึงสองเส้น

“เหตุใดปีกของข้าจึงอยู่ที่ท่าน!”

นางตะโกนเสียงเข้มด้วยไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า

“ศิรกัลป์ คุ้นหูบ้างฤๅไม่…”

ศิรกัลป์นาคราช นามนั้นประกาศชัดออกไปเมื่อยามสุวรรณนเรศได้ยินราวถูกราดรดด้วยน้ำเย็นจัดจากศีรษะจรดปลายเท้า ความรู้สึกบางอย่างที่ทะลักออกมาภายในใจราวอัดแน่นเกินกว่าจะเก็บซ่อนไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย

“ศิรกัลป์…เจ้าคือเจ้าของนามนั้นฤๅ”

คล้ายทุกสรรพสิ่งเงียบลงในทันที…เรี่ยวแรงที่เคยมีมากมายกลับมลายหายไปจนหมดสิ้น ร่างบางที่ทรุดลงไปที่พื้นในบัดดลหากแต่ยังคงชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งอย่างยากลำบาก สายตาที่มองไปยังเบื้องหน้านั้นหากแต่สันกรามขบแน่นเข้าหากันพลางหัวเราะเบาๆ ในลำคราวกับคนไร้สติ

สุวรรณนเรศพยายามพยุงร่างให้ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก สดายุรุดเข้ามาพยุงสองแขนของนางไว้หากแต่หูทั้งสองข้างที่ไม่ได้ยินสิ่งใดอีกต่อไปของผู้เป็นน้องสาวทำได้เพียงพยายามเกาะแขนของสดายุลุกยืนขึ้นเท่านั้น

“เป็นอย่างไร”

ใบหน้างดงามกลับปรากฏเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่กลางหน้าผากก่อนจะก้มหน้าลงส่ายหน้าไปมาด้วยนางนั้นไม่สามารถได้ยินสิ่งที่สดายุกล่าวถาม อาการของสุวรรณนเรศคล้ายคนใกล้จวนเจียนจะหมดสติหากแต่เจ้าบาดาลกลับไม่กระทำสิ่งใดนอกจากนิ่งมองทั้งสองเท่านั้น

ศิรกัลป์ที่เมื่อเห็นท่าทีของสุวรรณนเรศกลับไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่สองมือกลับกำหมัดแน่น กำไลสีทองที่ข้อมือของตนนั้นเรืองรองตอบรับผู้เป็นเจ้าของตนที่เบื้องหน้าหากแต่ผู้สวมใส่กลับมองที่พื้นเช่นเดิม

“เจ้าพานางกลับไปเถิด ที่แห่งนี่หาใช่ที่ของพญาครุฑ” เขากล่าวพลางกลับหันหลังในทันที

ความรู้สึกมากมายที่บัดนี้ถาโถมเข้ามาที่ศิรกัลป์อย่างไม่อาจห้ามได้ สีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่ได้ประสงค์จะทำร้ายทั้งสองพี่น้องหากแต่สดายุกลับนึกแปลกใจเมื่อเขากลับหันหลังให้ศัตรูอย่างเช่นพวกเขา

สุวรรณนเรศที่จวนเจียนจะหมดสติด้วยจู่ๆ ก็รู้สึกหายใจติดขัดอย่างประหลาด บาดแผลที่บั้นเอวนั้นทิ้งไว้เพียงร่องรอยของเลือดเท่านั้นไม่อาจทำให้นางรู้สึกเช่นนี้ได้ สายตาที่จับจ้องไปยังแผ่นหลังของศิรกัลป์บัดนี้ราวชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง

รัศมีสีเงินที่ลอยละล่องออกจากร่างของมาณพหนุ่มก่อนขาของมนุษย์จะแปรเปลี่ยนเป็นขนดของหางใหญ่สีดังเดียวกับรัศมีทิพยะ นาคราชสีเงินที่บัดนี้ปรากฏแทนที่ชายหนุ่มร่างกำยำจึงทะยานลงสู่ห้วงมหานทีอย่างรวดเร็ว

ดวงตาทั้งสองข้างของเจ้านภาสุวรรณนเรศบัดนี้เริ่มพร่ามัวอีกครั้ง หากแต่ไม่ใช่อาการของผู้ที่ใกล้หมดสติอย่างเมื่อครู่ หยาดน้ำใสอุ่นเอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตานั้นก่อนจะไหลอาบแก้มนวลสายหนึ่ง

สดายุมองไปที่น้องสาวของตนอย่างตั้งคำถามด้วยตนเองก็งุนงงไปหมดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากแต่แววตาสับสนของสุวรรณนเรศที่ฉายชัด ก่อนฝ่ามือเรียวจะเอื้อมขึ้นมาเช็ดไปที่หยาดน้ำตาของตนอย่างตกใจ

สดายุที่กลายร่างเป็นพญาครุฑจึงยังไม่ไถ่ถามสิ่งใดหากแต่ช้อนอุ้มนำร่างของสุวรรณนเรศขึ้นสู่ห้วงนภาเช่นกัน

ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านกระทบร่างกาย น้ำตาที่ไหลอาบทั้งสองแก้มอย่างไม่ขาดสายไร้ซึ่งสาเหตุและไม่อาจบังคับให้หยุดไหลได้เช่นกัน

ดวงตาที่ว่างเปล่าของพงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศ เพียงทอดมองไปยังเบื้องหน้าที่ไร้จุดหมาย สายนทีสุดลูกหูลูกตาไร้ขอบเขตเบื้องบนคือห้วงนภาที่ทอแสงอาทิตย์ยามจับขอบฟ้า สีหน้านิ่งเฉยราวจิตวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยิ่งทำให้สดายุที่ถึงแม้อยากไถ่ถามเพียงใดก็ทำได้เพียงลูบไปที่ไหล่ของน้องสาวอย่างเบามือ

“ที่นี่เขาอัสกัณ ไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้อีก…”

เขาเขียวขจีงดงามด้วยพืชพรรณมากมายไม่อาจนับ หนึ่งในเขาทั้งเจ็ดแห่งเทือกเขาสัตบริภัณฑ์ กลิ่นกายของทิพยพลังวิเศษของเหล่าผู้เคยเฝ้าบำเพ็ญรักษานั้นคละคลุ้งในมวลอากาศรอบกายทำให้ทั้งนิ่งสงบ เยือกเย็นไปด้วยพลังของผู้ที่เคยบำเพ็ญฌาน ณ ที่แห่งนี้

ราวร่างกายไม่อาจสัมผัสสิ่งใดได้อีก ณ อาสนะกว้างใต้ร่มไม้ใหญ่ สุวรรณนเรศค่อยๆ ทิ้งร่างของตนนั่งลงอย่างเงียบงันด้วยชื่อของเจ้าบาดาลยังคงดังก้องอยู่ในหัว

“ศิรกัลป์… ”

แต่ละคำเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก พลันดวงตาที่แดงก่ำนั้นก็มีน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม มือบางเอื้อมขึ้นมาเช็ดไปที่หยาดน้ำตาก่อนจะมองไปที่หยดน้ำตาที่ติดอยู่ที่ปลายนิ้วพลางนึกฉงนสงสัยยิ่งนัก

ผู้เป็นพี่ร้อนใจเป็นอย่างยิ่งก่อนจะทิ้งกายนั่งลงข้างๆ สุวรรณนเรศ สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าแสนสับสนนั้นหากแต่รอช้าอีกไม่ได้

“อาจเพราะขนปีกของเจ้าที่อยู่กับนาคราชผู้นั้น เจ้ามิเคยสิ้นสติในสมรภูมิแม้แต่ครั้งเดียว เหตุใดปีกนั้นจึงอยู่ในมือของเขาได้”

สุวรรณนเรศที่ได้ยินคำถามจากพี่ชายหากแต่ในใจก็ยังคงสับสนเช่นกัน สองมือปัดป่ายไปมาที่ใบหน้า เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาอย่างรวดเร็วก่อนจะค่อยๆ หันหน้ามาทางสดายุ

“สดายุ พี่ยังจำที่ข้าเคยหายไปที่ลานถวายบรรณการเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้หรือไม่”

“จำได้ไม่เคยลืมเลือน ครานั้นท่านพ่อยังคงสัมผัสได้ถึงมณีประจำกายของเจ้าจึงให้ตามหา หากแต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ…รบกันอย่างหนักสิ้นชีพไปมากมายทั้งครุฑแลนาค” เขากล่าวเสียงเรียบหากแต่ยิ้มบางๆออกมาก่อนจะลูบศีรษะผู้เป็นน้องอย่างเบามือ

“จนกระทั่งตรัสวินไปพบเจ้าลอยคออยู่บนผืนน้ำกว้าง…สามร้อยปีมานี่เจ้าไม่เคยกล่าวสิ่งใดเหตุใดจึงพูดขึ้น”

สุวรรณนเรศทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าราวกับกำลังคิดทบทวนบางสิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง

“ข้าบอกท่านกับสัมปาตีว่าจดจำไม่ได้และพวกท่านก็เป็นเช่นนี้ เมื่อข้าไม่อยากกล่าวถึงก็มิเคยถามอีก แท้จริงข้านั้นบาดเจ็บอย่างหนักหากแต่มีคนผู้หนึ่งช่วยข้าเอาไว้หรือจักเรียกว่าไว้ชีวิตคงดูท่าจะเหมาะสมกว่าข้าจึงรอดมาได้…”

เมื่อฟังเช่นนั้นสดายุก็พอจะเข้าใจสิ่งที่สุวรรณนเรศต้องการจะสื่อสารในทันที เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะมองไปยังผู้เป็นน้อง

“ขนปีกพญาครุฑาแม้สายวัชระขององค์หัสดินก็ไม่อาจกระทำอันตรายให้ร่วงโรยได้โดยง่าย เพื่อตอบแทนเขาเจ้าจึงเด็ดขนตัดปีกอันสูงค่ามอบแด่ว่าที่นาคาธบดีเช่นนั้นฤๅ”

สดายุกล่าวออกมาอย่างเดือดดาลด้วยเมื่อรู้สาเหตุว่าแท้จริงแล้วนั้นเป็นน้องสาวของเขาเองที่ถวายชีพใส่พานแด่นาคราชผู้นั้น ด้วยเขาเพียงมองรัศมีสีเงินยวงเมื่อยามศิรกัลป์คืนร่างเป็นนาคราชเจ็ดเศียรก็ทราบได้ในทันทีว่าเขารั้งตำแหน่งใด

“บัดนั้นข้าคิดเพียงตอบแทนที่เขาช่วยชีวิตข้าไว้ เผื่อเอาไว้ว่าภายหน้าหากเขาต้องเป็นบรรณาการบนลานนั้นอาจไม่ต้องจบชีวิตดั่งนาคตนอื่น…หารู้ไม่ว่าเขาคือว่าที่นาคาธิบดี โอปาติกะนาคราชผู้สูงส่ง”

สุวรรณนเรศกล่าวพลางนึกถึงเกราะสีทองสุขสว่างที่ปรากฏต่อหน้าของตนก่อนจะมองไปยังร่องรอยของโลหิตสีแดงฉานที่บั้นเอวของตนอีกครั้ง

สดายุทำได้เพียงจับไปที่ไหล่บางๆ ของนางราวกับกำลังปลอบประโลมผู้เป็นน้องสาว พลันฝ่ามือของตนที่เคยปรากฏรอยแผลที่เกิดจากกริชในตอนที่ใช้มันแทงไปที่ศิรกัลป์จึงคล้ายกับมีละอองแสงสีทองจางๆล่องลอยออกมาจากปากแผล ก่อนที่มันจะสมานกันราวกับไม่เคยมีบาดแผลใด

“พี่ท่านไปเขาวินตกะ (1) กับข้า…”

สิ้นคำนั้นของสุวรรณนเรศปีกสีทองก็สยายออกในทันที สดายุที่กำลังจะเอ่ยถามหากแต่ช้าเกินไปจึงทำได้เพียงทะยานร่างตามน้องสาวไปอีกครั้ง

 

รัศมีสีทองสุวรรณเมื่อยามกระทบกับแสงของดวงอาทิตย์นั้นลู่ไปตามสายลมอย่างงดงาม ผู้พำนักอยู่ ณ เทือกเขาวินตกะเมื่อยามมองไปยังแสงสะท้อนงดงามนั้นจึงคลี่ยิ้มบางออกในทันทีด้วยทราบแล้วว่าบัดนี้พระนัดดาแห่งตนกำลังเดินทางตรงมายังสถานที่แห่งนี้

ภูเขาเขียวขจีงดงามเพียงใดแม้เย็นกายหากแต่ภายในใจของสุวรรณนเรศร้อนดั่งไฟผลาญ เมื่อร่อนลงที่พื้นดินนั้นราวละอองทิพยของต้นไม้ใบหญ้าโดนรอบกระเจิดกระเจิงไปตามสายลมที่นางเป็นผู้พัดพามาด้วย

“มาแล้วฤๅ…”

เสียงกังวานใสจากสตรีดังก้องขึ้นในจิตทันที คิ้วงามของสุวรรณนเรศที่ขมวดเป็นปมอยู่นั้นจึงคลายออกช้าๆ ด้วยไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่ผู้เป็นท่านย่าของตนจะทราบแล้วว่าสดายุกับตนได้มาถึงเขาวินตกะ

“เข้ามาเถิดหลานรัก ประเดี๋ยวพี่ชายของเจ้าก็ตามมาถึง”

เพียงสิ้นคำของผู้เป็นย่านั้นร่างกำยำของพญาสดายุก็ร่อนลงข้างๆ ตนในทันที ปีกใหญ่พลันสะบัดขึ้นราวเสียงกังวานของแก้วกังสดาลใสก่อนจะสลายหายไปที่กึ่งกลางหลัง

“อีกนิดจะเหยียบข้าแล้ว” สุวรรณนเรศกล่าว

สดายุมองไปที่น้องสาวพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นจึงใช้นิ้วดีดไปที่กึ่งกลางหน้าผากของน้องสาวเต็มแรง

“ข้าเจ็บนะ สดายุ!”

“โทษฐานที่เจ้าบินไปบินมาไม่เคยบอกข้าก่อน หากเป็นองค์พี่สัมปาตีป่านนี้เจ้าลงไปกองที่พื้นแล้วพงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศ”

เขาตั้งใจเรียกชื่อเต็มของผู้เป็นน้องก่อนจะเดินนำไปยังพลับพลาแก้วหลังงามในทันที แม้จะทำปากขมุบขมิบไปมาหากแต่ไม่มีแม้เสียงใดลอดผ่านริมฝีปากบางแม้แต่น้อย ด้วยรู้ดีเต็มอกว่าสิ่งที่ตนกระทำนั้นผิด

เขตพลังสีขาวคล้ายม่านบางกั้นระหว่างสดายุและสุวรรณนเรศที่เดินตรงเข้ามาภายในพลับพลาที่ขนาดไม่ใหญ่นักหากมองจากภายนอก หากแต่เมื่อยามก้าวเท้าข้ามผ่านเขตอาคมสีขาวนั้นเข้ามากลับพบว่าขนาดของภายในนั้นกว้างใหญ่อย่างมาก

สัมผัสที่แสนนุ่มนวลที่ปลายฝ่าเท้านั้นคล้ายผ้าเนื้อดีหากแต่เมื่อเพ่งพินิจนั้นกลับเป็นพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม หยาดน้ำค้างเย็นใสกระจ่างราวกับอัญมณียามเมื่อกระทบกับแสงยามอรุณรุ่งนั้นงดงามเสียจนสุวรรณนเรศอดไม่ได้ที่จะหยุดยืนมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

ท่ามกลางหมู่มวลพฤกษานั้นกลับปรากฏร่างของหญิงผู้หนึ่งในชุดอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ไร้เครื่องประดับสูงค่าใดมีเพียงปิ่นไม้อันหนึ่งปักไว้ที่มวยผมที่รวบไว้ต่ำๆ ที่ท้ายทอย รอยยิ้มบางที่แต่งแต้มอยู่บนริมฝีปากบางราวกลีบผกานั้นกำลังแย้มยิ้มเมื่อมองไปยังหลานทั้งสองที่เดินตรงมายังตนเอง

“เป็นย่าจักดีดหน้าผากเจ้าจอมแสบให้แรงกว่านั้นเชียว”

เสียงไพเราะเอื้อนเอ่ยเพียงเท่านั้นรอยยิ้มจึงปรากฏบนใบหน้าของสดายุในทันทีก่อนจะมองไปยังสุวรรณนเรศที่บัดนี้กำลังคุกเข่าอยู่ข้างตนเช่นกัน

“น่าน้อยใจเสียจริง ข้าเป็นหลานชังของท่านเสียแล้ว”

เมื่อได้ยินหลานสาวตัดพ้อเช่นนั้นพระนางวินตาก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาในทันที เพียงปลายนิ้วเรียวนั้นชี้ไปยังตำแหน่งบั้นเอวที่ยังคงทิ้งร่องรอยของโลหิต หากแต่เมื่อสัมผัสกับพลังบริสุทธิ์ของพระนางจึงราวกับเสื้อผ้าชิ้นใหม่ไร้ซึ่งร่องรอยแห่งบาดแผลใด

“พวกเจ้ามาด้วยเหตุนั้นมิใช่ฤๅ…”

ทั้งสองจ้องมองไปยังพระนางวินตาในทันที หากแต่ดวงเนตรที่ปิดลงช้าๆ นั้นพลันรอบกายจึงปรากฏรัศมีสีทองเรืองรองขึ้นโดยรอบ รัศมีนั้นโอบล้อมไปยังร่างของสุวรรณนเรศในทันทีเพียงชั่วอึดใจจึงค่อยๆ สลายหายไปช้าๆ

“ท่านย่า เป็นไปได้ฤๅไม่ที่ครุฑกับนาคจะเชื่อมถึงกันได้ด้วยพระเวทบางอย่างหรือบางสิ่ง…”

สีหน้าหนักใจแสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อยามดวงเนตรของพระนางวินตาลืมขึ้นช้าๆ คิ้วงามผูกเป็นปมที่หว่างคิ้วนั้นก่อนจะทอดถอนหายใจออกมาช้าๆ

ไร้คำพูดใดจากปากของพระนางวินตาหากแต่พระองค์กลับมองไปที่พระนัดดาด้วยสีหน้าคิดหนัก นางนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งหากแต่เรียกให้สดายุและสุวรรณนเรศนั่งลงที่ข้างตน

“หนักหนาฤๅท่านย่า…” สดายุกล่าวถาม

“สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่วนเวียนอยู่ภายใต้สังสารวัฏ พบเจอ…พรากจาก วนเวียนไปไม่รู้จบสิ้น”

สุรเสียงกังวานก้องหากแต่มือเรียวบางนั้นกลับสัมผัสไปที่บนไหล่ของสุวรรณนเรศอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังปลอบประโลมดวงใจที่สับสนไปหมดของนางให้นิ่งสงบมากขึ้น

“ข้าไม่เข้าใจ ข้ามีกำไลของสัมปาตีและสดายุที่ไม่ว่าพระเวทของนาคาตนใดก็ไร้ผล” สุวรรณนเรศกล่าวหากแต่พระนางกลับทอดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

“สัตย์สาบานใดเมื่อได้เอ่ยแล้วไซร้คงอยู่ชั่วกาล มีเพียงจิตสุดท้ายก่อนดับสิ้นเท่านั้นจึงมีพลังถึงเพียงนี้…”

สิ้นคำของผู้เป็นย่า สุวรรณนเรศยิ่งสับสนเข้าไปทุกขณะด้วยไม่อาจหาคำอธิบายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

“สุวรรณนเรศ เจ้าแลพญานาคาศิรกัลป์ ไม่ว่าชาติใดชาติหนึ่งต้องเคยพบพานกันมาก่อน!”

เสียงเข้มดังกังวานขึ้นจากเบื้องหน้าของบานประตูสูงใหญ่ แสงสีขาวกระจ่างที่สาดส่องไปทั่วบริเวณเพียงร่างของคนผู้นั้นล่องลอยเข้ามายังภายใต้ชายคาสถาน

 

เชิงอรรถ : 

(1) เขาวินตกะ หนึ่งในเทือกเขาของเขาสัตบริภัณฑ์



Don`t copy text!