ห้วงนทีกาล บทที่ 6 : สัตตะคีรี 2

ห้วงนทีกาล บทที่ 6 : สัตตะคีรี 2

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

สุรเสียงกังวานก้องนั้นแสนคุ้นเคยพร้อมๆ กับแสงทิพยะสุขสว่างสาดส่องไปทั่วบริเวณ ทั้งสามหันไปยังทิศทางของเสียงในทันทีจึงพบใบหน้าที่คุ้นชินพลางรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อยามได้ยลผู้มาเยือน

“ท่านลุง!”

สุวรรณนเรศตะโกนก้องด้วยความดีใจก่อนจะผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปหาผู้ที่นางเรียกขานว่าท่านลุงในทันที เบื้องหนังคือพญาครุฑาสัมปาตีที่บัดนี้ได้แต่ส่งยิ้มไปยังผู้เป็นน้องที่ยังคงทำตัวเป็นเด็กๆ ไม่เลิกรา

“สัมปาตีไปแจ้งข่าวแก่ลุงที่เขายุคนธร (1) เมื่อนั้นปีกเกิดระคายขึ้นเลยตรงมาที่เขาวินตกะทันที”

วาจาที่แสนเมตตานั้นกล่าวพลางลูบไปที่เรือนผมและศีรษะของหลานสาวอย่างเอ็นดู สุวรรณนเรศที่เห็นว่าลูกอ้อนของตนได้ผลกับท่านลุงเสมอจึงได้แต่ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากไปทางสัมปาตีที่มองตนพลางส่ายหน้าไปมาแล้วอมยิ้มเล็กๆ

“พวกเจ้าหนา ไกลหูไกลตาลุงเสียหน่อยเป็นไม่ได้…”

“มาเถิดพระอรุณ เข้ามาหาแม่…”

บทสนทนาที่กำลังออกรสนั้นแทรกขึ้นด้วยสุรเสียงหวานของพระนางวินตาที่บัดนี้ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อยามมองไปยังลูกชายคนองค์โตและบรรดาหลานๆ ที่รายล้อมกาย

ใบหน้าคมสันปานถูกปั้นแต่งอีกทั้งร่างกายกำยำล้ำสันนั้นสง่างามเป็นอย่างมากเมื่ออยู่บนอาภรณ์สีเหลืออร่ามราวแสงแรกของดวงตะวันยามโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า แม้จะกำเนิดผิดแผกจากผู้อื่นด้วยความใจร้อนของพระนางวินตาที่กะเทาะเปลือกไข่ใบแรกออกมาก่อนเวลา ทำให้แม้จะไร้ซึ่งเนื้อกายตั้งแต่ช่วงเอวลงไปหากแต่ถูกแทนที่ด้วยรัศมีสีทองอร่ามที่ก่อตัวขึ้นคล้ายรูปร่างของขาทั้งสองข้าง

“แน่แท้ว่าเจ้าไม่อาจจดจำได้ เป็นสัตยอธิษฐานสุดท้ายไม่ผิดแน่”

เมื่อได้ฟังเหตุการณ์ต่างๆ ที่สุวรรณนเรศเล่าจนหมดสิ้น พระอรุณจึงทราบได้ในทันทีว่าเป็นคำอธิษฐานสุดท้ายก่อนดับสูญ

เขากล่าวพลางมองไปยังหลานสาวที่เมื่อทราบถึงคำตอบนั้น สายตาเหม่อลอยสับสนราวกำลังค้นหาคำตอบหากแต่ไม่สามารถจดจำสิ่งใดได้แม้แต่น้อย

“ท่านลุงกำลังจะบอกว่า นาคราชผู้นั้นจดจำอดีตชาติได้ฤๅ”

สัมปาตีกล่าวขึ้นด้วยความตกใจหากแต่มองไปที่สีหน้าหนักใจของสุวรรณนเรศที่บัดนี้แววตาส่องสะท้อนซึ่งความคิดภายในฉายชัด ความคิดสับสนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

สองมือที่บัดนี้เผลอกำแน่นอย่างไม่รู้ตัวด้วยนางนั้นปะติดปะต่อเหตุการณ์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่เรื่องที่ว่าเหตุใดทั้งที่รู้เต็มอกว่าขนของพญาครุฑสำคัญเพียงไหน เหตุใดนางจึงยินยอมมอบมันให้เขา ยิ่งคิดยิ่งยากนักที่จะหาคำตอบ…

ยิ่งเรื่องในอตีดชาตินางยิ่งไร้ซึ่งคำตอบไปกันใหญ่!

เมื่อมองอากัปกิริยาเหม่อลอยของผู้เป็นน้อง สดายุจึงใช้ต้นแขนของตนด้านหนึ่งกระทุ้งเบาๆ ไปที่สัมปาตีในทันที

“ไยต้องกังวลไปเจ้าสุวรรณนเรศ แค่นาคราชองค์หนึ่งจับมาถามก็รู้แล้ว…” สัมปาตีกล่าวทีเล่นทีจริง

สดายุและสุวรรณนเรศที่ได้ยินดังนั้นจึงทำได้เพียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออันแห้งผากในทันทีก่อนจะสบตากันอย่างออกพิรุธ

“อย่างไร ทำแล้วฤๅ!”

พญาสัมปาตีกล่าวออกมาอย่างตกใจ หากแต่กลับได้คำตอบเป็นเพียงรอยยิ้มของสุวรรณนเรศเท่านั้น

“น้องสาวท่านอย่างไรจับนาคราชโอปปาติกะ ไม่เพียงเท่านั้น…ให้พี่เล่าฤๅเจ้าจักสารภาพเองสุวรรณนเรศ” สดายุกล่าวพลางมองไปยังสุวรรณนเรศที่ได้แต่มองค้อนเขาตาเขียว

“ลองดูแล้วเพียงเพราะข้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ผูกติดข้ากับเขาคือสิ่งใด ไม่อาจปล่อยให้เขานำมาข่มขู่เราได้อีก หากแต่จับไม่ได้เพราะเขามีกำไลปักษาของข้าปกป้อง…”

“เจ้าพูดอีกที!”

น้ำเสียงฟังคล้ายลมจะจับเสียให้ได้ สัมปาตีที่ได้ยินดังนั้นถึงกับกุมขมับในทันทีก่อนจะมองไปยังสดายุที่บัดนี้ผายมือไปที่สุวรรณนเรศเช่นกัน

พระอรุณยังคงขบคิดอย่างหนักด้วยต้องการหาวิธีในการช่วยเหลือสุวรรณนเรศให้หลุดพ้นจากสัตยอธิษฐานสุดท้าย สายตาจึงไปหยุดอยู่ที่ละอองสีทองสายหนึ่งมองคล้ายละอองจากพืชพรรณทั่วไปบนเขาวินตกะหากแต่ราวกับว่ามันกำลังวนเวียนรอบๆ พวกเขา

พระอรุณเมื่อเห็นดังนั้นจึงยื่นมือออกไปด้านหน้าคล้ายกับว่ามันทราบได้ถึงเจตจำนงของเขาจากนั้นละอองเล็กๆ สายนั้นจึงตรงมาที่กึ่งกลางฝ่ามือของเขาก่อนจะสลายหายไปช้าๆ

ราวรับรู้ได้ถึงพลังบางสิ่งจากใครผู้หนึ่ง นัยน์ตาสีเข้มของพระอรุณบัดนี้จึงแปรเปลี่ยนเป็นสีทองสุวรรณ เขามองไปที่หลานๆ ของตนในทันทีพลางกล่าวบางสิ่ง

“สุวรรณนเรศ เจ้ากลับไปเขายุคนธรกับลุง…”

สิ้นคำนั้นของพระอรุณทั้งสามพี่น้องมองสบตากันไปมาในทันที ด้วยรู้แน่แก่ใจแล้วว่าท่านลุงของพวกเขานั้นจะต้องคิดวิธีช่วยเหลือสุวรรณนเรศได้แล้วเป็นแน่แท้

เจ้าน้องสาวจอมแก่นที่บัดนี้มองไปยังพี่ชายเหตุเพราะสดายุนั้นถูกห้ามมิให้ไปยังเขายุคนธรด้วยเหตุผลเมื่อครั้งอดีตที่เคยมีข้อพิพาทกับพระสุริยเทพ

เมื่อครั้งที่สดายุพึ่งแรกจุติได้ไปเยี่ยมพระอรุณที่เขายุคนธร เข้าใจผิดว่าสีแดงสุกปลั่งของพระสุริยเทพคือผลไม้สุกจึงพยายามเข้าไปจิกกินทำให้พระองค์ท่านพิโรธอย่างหนัก สุริยเทพจึงใช้เพลิงของตนเพื่อเผาร่างของสดายุหากแต่เป็นองค์สัมปาตีที่ใช้ปีกของตนป้องร่างของน้องชายเอาไว้ทำให้ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

นับแต่นั้นแม้สัมปาตีจะหายดีราวมิเคยถูกแผดเผาหากแต่กับสดายุเองนั้นราวภาพความทรงจำยังคงแจ่มชัดในใจ เมื่อยยามที่พี่ชายของตนเจ็บปวดเจียนตายอย่างแสนสาหัส…เขายุคนธรจึงคล้ายยาขมสำหรับเจ้าเวหาสดายุที่มิเคยกริ่งเกรงสิ่งใด

“ข้าไปกับท่านลุงไยต้องกังวล สถานการณ์เช่นนี้หากจอมทัพหายไปนานๆ ไพร่พลจะหวาดหวั่นเอาได้เพียงเรื่องข้าป่านนี้คงลือกันไปถึงไหนต่อไหน มิสู้พวกท่านกลับไปรอที่ฉิมพลี…”

คำพูดแม้เด็ดเดี่ยวเพียงใดเพียงแต่เหล่าพงศ์สุบรรณกลับถูกสั่งสอนมาเช่นนั้นทั้งสิ้น แม้ดวงตาจะหวาดหวั่นอยู่บ้างแต่เมื่อบนบ่าคือภาระที่ไม่อาจวางลงสุวรรณนเรศจึงยิ้มออกมาทั้งๆ ที่ดวงตาพยายามไม่สั่นไหว สิ้นคำนั้นสดายุจึงคว้าร่างของผู้เป็นน้องเข้ามากอดไว้แน่น

“เจ้าจงจำไว้ สิ่งหนึ่งจะไม่มีวันเปลี่ยน ข้าแลสัมปาตีเป็นพี่ชายของเจ้า…พี่ชายที่จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าเป็นอันขาด” สดายุกล่าวเสียงหนักแน่นพลันดวงตากลมโตของสุวรรณนเรศก็เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาอุ่นๆ

“ข้ารู้…”

แม้ไม่อาจกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้เพียงความรู้สึกวูบหนึ่งจู่ๆ ก็ปะทุออกมาอย่างยากอธิบาย เมื่อยามปีกสีทองของพงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศสยายกว้างรับสายลมที่เบื้องบนท้องนภากว้างใหญ่ หยาดน้ำใสไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมด้วยนางนั้นเห็นจริงในคำพูดของสดายุทุกประการ

สัมปาตีแม้พูดจาน้อยกว่าเพราะความเป็นพี่องค์โตกลับเป็นนางและสดายุที่มีเรื่องถกเถียงกันได้ทั้งวี่วันไม่หยุด แต่ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นใครที่อยู่กลางสมรภูมิที่โหดร้ายแค่ไหน ทั้งสามพี่น้องก็ไม่เคยทิ้งใครไว้เบื้องหลังแม้เพียงครั้งเดียว

“เจ้าทำราวกับจะไม่ได้เจอน้องอีก…” สัมปาตีกล่าว

สดายุที่ในดวงใจไหววูบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหากแต่ไม่กล่าวสิ่งใด เขาทำได้เพียงมองไปยังท้องนภากว้างที่บัดนี้ละอองทิพยของสุวรรณนเรศค่อยๆ สลายหายไปช้าๆ

“กลับฉิมพลีกันเถิดองค์พี่ มีการให้ต้องสะสางอีกมาก…”

 

ด้วยแรงสยายของปีกกว้างสีทองสุวรรณเมื่อยามกระพือพัดพลิ้วไปตามสายลมนั้นจึงกำเนิดแรงลมมหาศาล ผ่านชั้นเมฆาสีขาวนวลสูงขึ้นไปเหนือยอดเขายุคนธรจึงปรากฏปราสาทงามหลังใหญ่สีดั่งเดียวกับเมฆยามจับต้องแสงของพระอรุณ

แสงสีนวลคือทิพยรัศมีของพระอรุณหากแต่ยามสะท้อนกับรัตนมณีช่างแสนระยิบระยับจับตา สุวรรณนเรศที่ร่อนลง ณ มหาปราสาทนั้นได้แต่ยืนเงยหน้ามองอย่างไม่วางตาก่อนจะเดินตามผู้เป็นลุงเข้าไปด้านใน

เมื่อเข้ามาด้านในนั้นไม่ว่ากี่ครั้งนางก็ไม่เคยแม้แต่จะละสายตาจากแสงสีแดงสุกปลั่งที่ใจกลางมหาปราสาทได้แม้เพียงครั้ง รัศมีเมื่อยามสุริยาและจันทราเทพผู้เป็นดั่งเจ้าของมหาวิมานนั้นอาบย้อมไปทั่วร่างบางของสุวรรณนเรศราวกับกำลังกล่าวทักทายแขกเมื่อยามมาเยือน

“ขอบพระทัยองค์สุริยะเทพและองค์จันทราเทพเจ้าค่ะ…”

นางกล่าวพลางก้มศีรษะลงช้าๆ เมื่อได้รับอนุญาตแล้วนั้นสุวรรณนเรศจึงเดินตามผู้เป็นลุงเข้าไป ณ ด้านหนึ่งของตำหนักสีทองกว้าง ลัดผ่านสวนกว้างเขียวขจีที่บัดนี้ได้ยินเสียงของสัตว์วิเศษชนิดหนึ่งดังแว่วมาแต่ไกล

ท้องนภาสีทองอร่ามไร้เมฆบดบัง เสียงควบกุบกับดังขึ้นเป็นจังหวะตามสายลม เพียงชั่วอึดใจจึงปรากฏร่างของอาชาสวรรค์สีขาวนวลทั้งเจ็ดตัว เมื่อยามว่างเว้นจากราชกิจลากเลื่อนรถม้าของพระสุริยเทพเมื่อยามอาทิตย์ขึ้นและตกแล้วไซร้ พระอรุณผู้เป็นดั่งสารถีจึงมักปล่อยให้พวกมันได้เที่ยวเล่นในเขตเขายุคนธรอย่างอิสรเสรี

“แสนรู้จริงหนาเมื่อยามใดมีหญิงงามมาเยือน…”

เสียงตอบรับของเจ้าเจ็ดตนนั้นดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน อดไม่ได้ที่จะทำให้พระอรุณหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นพร้อมๆ กับรอยยิ้มที่ฉายชัดบนใบหน้าของสุวรรณนเรศในทันที เมื่อลอบสังเกตสีหน้าของหลานสาวแล้วนั้นยังคงมีร่องรอยของความกังวลอย่างชัดเจน แม้ริมฝีปากบางจะยังคงยิ้มแย้มออกมาก็ตาม

สุวรรณนเรศรู้สึกถึงสายตาของพระอรุณที่จับจ้องมาที่ตนจึงทำได้เพียงยิ้มกว้างขึ้นเพื่อพยายามลบร่องรอยของบางสิ่ง

“เจ้ามิต้องกระทำในสิ่งที่ตนมิอยากทำดอกสุวรรณนเรศ ที่นี่มิใช่ฉิมพลีนคร มีเพียงตัวข้าที่เป็นลุงของเจ้า แลเจ้าที่เป็นหลานสาวข้าเท่านั้น”

สุวรรณนเรศที่ได้ยินดังนั้นจึงหลบตามองลงที่พื้นหญ้าในทันทีก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กๆ

“ดูอย่างอาชาสวรรค์เหล่านั้นอย่างไร ทุกผู้ล้วนมีหน้าที่ของตนหากแต่บางเพลาก็จักต้องเป็นตนเองเสียบ้าง”

“ข้าก็ยังเป็นข้า…” นางตอบเสียงแผ่ว

“เป็นเจ้าแบบที่ควรเป็น หรือเป็นเจ้าแบบที่เจ้าเป็นกันเล่า มาเถิด…”

สิ้นสุรเสียงนั้นของพระอรุณพลันแสงสว่างของรัศมีรอบๆ กายก็เจิดจ้าขึ้นในทันที รอบกายที่เคยเป็นสวนกว้างจึงปรากฏคล้ายวิหารแก้วขนาดไม่ใหญ่นักหากแต่วิจิตรไปด้วยรัตนมณีหายากเรืองรองรัศมี ยามเสียงทวารประตูเปิดออกนั้นไพเราะราวเสียงของระฆังแก้วยามกระทบสายลมเมื่อยามพัดผ่านเพียงพระอรุณสะบัดข้อมือเล็กๆ เท่านั้น

“วิหารตำราพระเวทแห่งองค์พระเทพบิดรหรือเจ้าคะ” นางกล่าวอย่างตกตะลึงด้วยได้เห็นกับตาตนเป็นครั้งแรก

“พ่อเจ้าเล่าให้ฟังเช่นนั้นฤๅ”

พระอรุณกล่าวพลางยิ้มด้วยความเอ็นดู เพราะนอกเหนือจากตนและผู้เป็นน้องชายแล้วนั้นหามีผู้ใดล้วนรู้ว่าบัดนี้วิหารตำราพระเวทสถิตอยู่ ณ เขายุคนธรแห่งนี้

“สรรพวิชาต่างๆ รวมถึงพระเวทคาถามากมายถูกรวบรวมไว้ ณ ที่วิหารแห่งนี้รวมถึง…” เขาชั่งใจครู่หนึ่งหากแต่ด้วยความรู้สึกบางอย่าง พระองค์จึงหมั่นใจอย่างยิ่งว่าต้องมีพระเวทบทใดบทหนึ่งช่วยเหลือพระนัดดาของตนได้

“รวบถึงพระเวทต้องห้ามต่างๆ นับแต่บรรพกาลที่แม้แต่ข้าก็มิมีสิทธิ์ได้อ่านหากมิใช่ผู้ที่ต้องการจักใช้มันจริงๆ”

“ผู้ที่ต้องการใช้ อย่างไรฤๅเจ้าคะ” สุวรรณนเรศถามย้ำ

“ลุงตอบเจ้าหาได้ไม่สุวรรณนเรศ ทุกสรรพสิ่งขึ้นอยู่ที่ตัวเจ้าเอง ถามใจเจ้าอีกครั้งว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ใจเจ้าปรารถนาอย่างแท้จริง…”

 

เชิงอรรถ :

(1) เขายุคนธร นามแห่งเขาทั้งเจ็ดของเทือกเขาสัตบริภัณฑ์



Don`t copy text!