มหกรรมมนุษย์ บทที่ 1 : เบิกโรงมหกรรม
โดย : สีตลา สัตตสุวรรณ
มหกรรมมนุษย์ โดย สีตลา สัตตสุวรรณ กับเรื่องราวของมนุษย์ทุกคนต่างเป็นตัวละครชีวิตที่โลดแล่นไปจนกว่าจะสิ้นสุดลมหายใจและ ‘ชมนาด’ ก็คือหนึ่งในตัวละครเหล่านั้น พบกับ มหกรรมมนุษย์ นวนิยายรางวัลดีเด่น จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓ ที่ชาวอ่านเอาภูมิใจนำเสนอ และอยากให้ทุกท่านได้อ่านออนไลน์บน anowl.co และ Fb Fanpage : anowldotco
ฉันชื่อชมนาด
เป็นชื่อที่เจ้าตัวภูมิใจนัก เพราะเมื่อรวมกับสรรพนามที่พวกบ่าวใช้เรียกแทนตัวทำให้ฉันมีชื่อแสนเก๋กว่าคนรุ่นเดียวกันว่า ‘คุณชม’ แม้หลายครั้งหลายคราวเมื่อตอนเติบใหญ่ จะถูกเรียกเพี้ยนไปเป็น ‘อีชม’ หรือ ‘นังชม’ บ้างก็ตาม
หากจะถามว่าชีวิตของฉันเริ่มต้นที่ตรงไหน คงต้องย้อนไปไกลถึงบ้านหลังแรกของชีวิต บ้านที่เป็นเรือนเครื่องสับหลังใหญ่สร้างจากไม้สักทั้งหลัง ตัวเรือนยกพื้นสูง ด้านหนึ่งติดแม่น้ำนครชัยศรี และมีทางเดินไม้เชื่อมระหว่างตัวบ้านกับศาลาซึ่งปลูกยื่นไปกลางน้ำสำหรับใช้เป็นทางเข้าออก อีกด้านโอบล้อมด้วยเรือกสวนหลายขนัดอุดมด้วยผลหมากรากไม้ ที่เหลือจากการเก็บกินแล้วยังนำไปขายในตลาดผันเป็นเงินสำหรับใช้จ่ายบนเรือนได้
บ้านที่เมื่อยังเล็ก เด็กหญิงชมนาดจำได้ว่ากลางเรือนเคยมีหอยกพื้นวางตั่งเตี้ยพร้อมกาน้ำชาไว้รับแขกจนชาวบ้านละแวกนั้นเรียกติดปากว่า ‘เรือนขุนนาง’ เพราะมีลักษณะประกอบหลายอย่างละม้ายคล้ายเรือนคหบดีในสมัยนั้น เมื่อเรียกกันหนาหูเข้า ผู้เป็นบิดาจึงสั่งรื้อหอกลางนั้นออก และปรับอีกหลายส่วนของตัวบ้านจนไม่เหลือเค้าเดิม แม้ว่าสิ่งที่หายไปจะเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงผู้เป็นเจ้าของบ้านคนเก่าก็ตาม
ละเอียด หญิงวัยกลางคนร่างท้วมผิวสองสีท่าทางใจดี ผู้เป็นทั้งพี่เลี้ยง แม่นม และแม่ครัวประจำบ้านเคยเล่าให้ฟังว่า พ่อของฉันได้รับมอบเรือนหลังนี้เมื่ออายุครบบวช ตอนเข้าไปกราบคุณปู่เพื่อเรียนขออนุญาตว่าจะออกเรือนไปสร้างครอบครัวกับแม่
“คุณปู่รักพ่อของคุณชมมากเลยใช่ไหมจ๊ะ แม่เอียด”
ฉันถามอย่างเด็กไม่ประสา ละเอียดไม่ตอบด้วยคำพูดเอาแต่ส่ายหน้าลูกเดียว
สิ่งที่พี่เลี้ยงไม่ยอมบอก คือ พ่อไม่ใช่ลูกที่เกิดจากภรรยาเอกหรือเมียคุณหญิง ย่าของฉันเป็นเด็กกำพร้าหน้าตาสะสวยที่ช่วยญาติขายของในตลาด โชคร้ายที่ผู้เป็นอาติดโปปั่นจนต้องหนีเจ้าหนี้หัวซุกหัวซุน ทิ้งหลานสาวให้เคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง ด้วยความเวทนาละเอียดจึงชวนมาอยู่ด้วยกัน และมอบหน้าที่ให้เป็นลูกมือช่วยหยิบจับในโรงครัว
เมื่อรับใช้ในบ้านยังไม่ทันแตกเนื้อสาวได้นาน ก็ขยับจากเด็กก้นครัวได้เลื่อนขั้นเป็นเมียอีกคนของคุณปู่ ยิ่งตั้งท้องมีลูกชายไว้สืบสกุล จึงได้มีเรือนเป็นของตนเองปลูกแยกออกมาในรั้วเดียวกันมิให้ปะปนกับพวกบ่าว แต่ก็มีศักดิ์ศรีเป็นได้แค่เมียก้นครัวเท่านั้น ไม่อาจตีตนเสมอภรรยาเอกที่พ่อเรียกด้วยความเคารพว่า ‘คุณแม่ใหญ่’ ได้
ย่าของฉันสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ในพื้นที่ของตน ส่วนพ่อนั้นไม่ต้องพูดถึง ด้วยอายุที่ห่างจากลูกคนอื่นๆ ของปู่ โอกาสที่จะคลุกคลีตีโมงให้เกิดการกระทบกระทั่งนั้นแทบไม่มี จะมีก็แต่เหล่าคุณแม่ลำดับรองๆ ที่คอยชิงดีชิงเด่นกัน และด้วยความมากบารมีของเจ้าบ้านที่ไม่ยอมหยุดความเจ้าชู้แม้ล่วงเข้าวัยชราแล้วก็ตามนั้นเองที่คอยสร้างปัญหาภายในไม่จบสิ้น
เมื่อสิ้นบุญมารดาผู้คุ้มกะลาหัวจากโรคฝีในท้อง พ่อก็เลือกที่จะสิ้นสุดสถานะเด็กในบ้านเพื่อออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่ลังเล มีละเอียดที่รักและเอ็นดูพ่อเหมือนลูกขอตามมาดูแลด้วย
ฉันได้ฟังเรื่องของคุณปู่จากพวกบ่าวจำนวนหนึ่งที่ติดตามพ่อมาจากพระนคร อันที่จริงฉันต้องเรียกท่านว่า ‘ท่านเจ้าคุณ’ ตามที่พ่อสอนเมื่อต้องมีการลำดับญาติ ถึงไม่เข้าใจเหตุผลของพ่อนัก เพราะเด็กน้อยอย่างฉันไม่เคยมีโอกาสพบหน้า ‘ท่านเจ้าคุณ’ เลยสักครั้ง แต่ลึกๆ แล้วฉันมั่นใจว่าท่านคงเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีไม่น้อย ถึงได้ยกบ้านโอ่โถงกับที่ดินกว้างขวางสองแปลงใหญ่ให้พ่อกับแม่
ที่ดินผืนแรกเป็นโรงสีเก่าที่เจ้าของเดิมขายใช้หนี้ อีกแห่งเป็นเรือนหลังใหญ่ปลูกไว้ประดับบารมีบนที่ดินหลวงซึ่งได้รับจัดสรร แต่เจ้าของไม่เคยได้มาอาศัยเลยจนถูกปล่อยร้างไปตามเวลา
โชคดีที่ดินทั้งสองแปลงอยู่ติดแม่น้ำไกลกันแค่ชั่วฝีพายไม่กี่นาที พ่อจึงทุ่มเทแรงกายปรับปรุงโรงสีให้กลับมาดำเนินกิจการได้อีกครั้ง ไม่ถึงปีแม่ก็คลอดฉันบนเรือนใหญ่ บ้านหลังนี้จึงนับเป็นเรือนเกิดของฉันโดยแท้
ครอบครัวของพ่อมีธรรมเนียมปฏิบัติเคร่งครัดอย่างตระกูลที่สืบเชื้อสายยาวนาน หนึ่งในนั้นคือ การตั้งชื่อลูกหลานที่คุณแม่ใหญ่เข้มงวดให้เหล่าภรรยาทุกคนต้องปฏิบัติตาม หากเมียใดให้กำเนิดลูกหลานเป็นเด็กชาย ก็ให้ตั้งชื่อที่มีคำว่า ‘ทอง’ เป็นคำประสมหนึ่งของชื่อ
พ่อจึงได้ชื่อ ‘ทองทศ’ มาด้วยเป็นทายาทลำดับที่สิบ แต่หากเป็นหญิง ก็ให้ตั้งชื่อตามอย่างดอกไม้ไทย อย่างบรรดาพี่สาวร่วมสายเลือดของพ่อที่มีนามงดงามราวกับเป็นสวนพฤกษาของบ้านว่า พิกุล กาหลง สายหยุด หรือพุดจีบ เป็นต้น แม้บางส่วนของพ่อจะหันหลังให้แก่ครอบครัวเดิมที่จากมา แต่ฉันเพิ่งมาสังเกตได้เมื่อเจริญวัยว่าพ่อไม่เคยปฏิเสธอิทธิพลที่ได้รับจาก ‘คุณแม่ใหญ่’ เลยแม้สักอย่างเดียว
ฉันมีน้องสาวคลานตามกันมาคนหนึ่งชื่อพวงแก้ว หล่อนถือกำเนิดในปี พ.ศ.2467 เราสองพี่น้องอ่อนแก่กว่าร่วมสามปี ใครๆ ต่างเรียกน้องสาวหน้าตาน่าชังคนนี้ว่า ‘คุณแก้ว’
ฉันยังจำความวุ่นวายในวันที่คุณแก้วเกิดได้ แม่ร้องเจ็บท้องอยู่ค่อนคืน บ่าวผู้หญิงผลัดกันวิ่งเข้าออกห้องไม่ขาด หมอตำแยที่ว่าเก่งนักหนายังปาดเหงื่อเกือบเป็นลมล้มพับ จนใกล้ฟ้าสางทารกน้อยจึงได้พ้นจากตัวมารดาง่ายดายราวกับเลือกเวลาตกฟากของตัวเองได้
ท่ามกลางความดีใจของคนในบ้าน ไม่มีใครสังเกตร่องรอยความผิดหวังในแววตาของผู้เป็นพ่อที่หวังใจลึกๆ ว่าท้องนี้ต้องได้บุตรชายไว้สืบสกุล แม้เป็นบุตรสาวหน้าตาพริ้มเพราก็ไม่ทำให้พ่อสมหวังได้ มิหนำซ้ำยิ่งวิกฤติร้ายหนักขึ้นอีกเมื่อร่างกายของแม่บอบช้ำเกินไปจากการให้กำเนิดธิดา นอนซมด้วยพิษไข้กระดานไฟร่วมอาทิตย์ ทว่าทุกคนในบ้านกลับปิดปากเงียบ ไม่ยอมให้บุตรสาวคนโตเข้าไปรบกวนด้วยอ้างว่า
“คุณแม่เพิ่งคลอดน้องยังเจ็บเนื้อตัวอยู่ คุณชมให้คุณแม่พักผ่อนก่อนจะดีกว่านะเจ้าคะ”
ฉันจึงทำได้แค่แอบเฝ้ามองจากหน้าประตู คอยเงี่ยหูฟังเสียงร้องเพ้อของแม่ที่ลอยแว่วตามลมออกมาเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าแม่ยังคงอยู่ใกล้ๆ ไม่หนีหายไปไหน
วาระสุดท้ายของแม่มาถึงในสัปดาห์ที่สองหลังให้กำเนิดพวงแก้ว พ่อปลุกฉันขึ้นกลางดึก เด็กน้อยผู้ซึ่งหัดพูดคำว่าพ่อแม่ได้ไม่นานพนมมือแป้อยู่หน้าฟูก มีบ่าวไพร่รายล้อม ทว่าไร้ความเคลื่อนไหว และเงียบสนิทราวกับไม่มีใครอยู่สักคนบนเรือน
ฉันพยายามย้อนระลึกถึงใบหน้าของแม่ในขณะนั้น แต่ก็จำได้ไม่ถนัด จำได้รางๆ ว่าแม่นอนนิ่งเหมือนคนนอนหลับ ทว่าดวงหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด เมื่อก้มลงกราบบนยอดอกท่านตามที่พ่อบอก พ่อก็จับมือนุ่มของแม่ที่เย็นเฉียบยิ่งวางลงกลางกระหม่อมของฉัน เพียงเท่านั้นเสียงปล่อยโฮก็ดังระงม
ในขณะนั้นฉันยังไม่ร้องไห้ กระทั่งมือของแม่ตกลงข้างตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง เด็กหญิงตัวน้อยจึงได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกคำ เป็นคำที่ไม่เคยมีใครสอนให้รู้จักมาก่อนเลยว่า
“แม่…ตาย”
ความตายสำหรับเด็กสามขวบนั้นคือการลาจากโดยไม่พบกันอีก ความหมายนี้ละเอียดอธิบายให้เข้าใจโดยง่ายขณะอุ้มฉันกลับห้อง และกล่อมให้หลับต่อราวกับไม่มีเรื่องร้ายใดเกิดขึ้น ทั้งที่น้ำตาไหลอาบสองแก้มของละเอียดอยู่ และเจ้าตัวยังต้องสะกดเสียงสะอื้นของตัวเองไว้ไม่ให้เด็กน้อยขวัญเสีย
เช้าวันต่อมาที่ฉันวิ่งเข้าไปหาแม่ในห้อง ฟูกที่แม่เคยนอนกลับว่างเปล่า หน้าต่างทุกบานถูกเปิดโล่งให้ลมพัดระบาย และมีบ่าวสองสามคนกำลังพับเครื่องแต่งกายของแม่ลงหีบใบใหญ่ก่อนถูกยกลงจากเรือนพร้อมความทรงจำของคนในบ้านที่มีต่อมารดา ช่วงเวลานั้นเองที่คนทั้งบ้านเพิ่งได้ยินเสียงฉันร้องไห้จ้า เสียงร้องดังซ้ำแล้วซ้ำเล่านับจากนั้นอยู่แรมเดือน
พ่ออันตรธานไปจากชีวิตช่วงนั้นได้อย่างไรเกินวิสัยที่ฉันจะหยั่งรู้ พวกบ่าวแอบคุยกันว่านายผู้ชายเก็บตัวทั้งวันอยู่แต่ในโรงสี อาศัยเป็นที่ทำงานและหลับนอน จะกลับขึ้นเรือนก็ชั่วประเดี๋ยวราวกับท่านลืมไปแล้วว่ายังมีบุตรสาวที่ต้องดูแล เคราะห์ดีลูกจ้างโรงสีก็เพิ่งคลอดลูกอ่อนได้ไม่นาน จึงพอมีน้ำนมเหลือเจือจานให้พวงแก้วอาศัยประทังชีวิตไปได้
ห้วงแห่งความอาดูรของพ่อก่อให้เกิดผลดีและร้ายต่อชีวิต ผลดีที่ว่ายังประโยชน์ให้กิจการที่กำลังดำเนินไปได้ด้วยดียิ่งดีทบเท่าทวีคูณ พ่ออุทิศชีวิตทั้งหมดให้โรงสีจนได้กำไรมากพอมากว้านซื้อที่ดินผืนงามเป็นสมบัติอีกหลายแปลง ที่ดินเหล่านี้ต่อมาบางแห่งกลายเป็นตลาดสด และย่านการค้าซึ่งขายได้ราคาสูงลิ่วผิดจากมูลค่าเมื่อตอนได้มา
ทว่าผลร้ายที่เกิดก็สาหัสไม่แพ้กัน เมื่อขาดพ่อและแม่ในคราวเดียว กล้าอ่อนอย่างฉันได้รับการเลี้ยงดูจากบ่าวประหนึ่งเจ้านายลูกน้อง หากประสงค์สิ่งใดเพียงชี้นิ้วบัญชาก็ต้องสรรหามาให้ตามต้องการ เมื่อถูกขัดใจ ก็แค่แหกปากร้อง จะต้องมีสักคนที่ทนเฉยไม่ได้แล่นไปรายงานนายผู้ชายที่สุดท้ายก็มักตัดความรำคาญด้วยข้ออ้างที่ทึกทักเอาว่า “เป็นเพราะชมนาดขาดแม่” จำต้องยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของเด็กหญิงเสียทุกครั้งไป
ฉันจึงถูกบ่มเพาะเลี้ยงดูให้เป็นดังบ่อทรายที่ถมเทน้ำเท่าใดก็ไม่มีวันท่วมท้นล้นเต็มได้ หารู้ไม่ว่าการเลี้ยงดูเยี่ยงนั้นได้หยั่งรากลึกลงในกมลสันดาน และสร้างนิสัยบางอย่างที่ทำให้ชีวิตของเด็กหญิงชมนาดแทบพังภินท์ในอีกหลายสิบปีต่อมา
พ่อสร่างจากอาการหัวใจสลาย และขนข้าวของกลับเรือนอย่างถาวรหลังแม่จากไปกว่าสามปีเศษ ทว่าท่านไม่ได้กลับมาตัวเปล่า แต่พาหญิงสาวแปลกหน้า และเด็กชายผิวเข้มท่าทางแก่นซนเข้ามาร่วมอาศัยใต้ชายคาเดียวกัน ฉันได้ยินพ่อเรียกหล่อนว่า ‘แม่จวง’
แม่จวงเป็นหญิงร่างอวบ ทรวดทรงองค์เอวเว้าโค้งเด่นชัด ใบหน้ารูปไข่ล้อมด้วยผมหยักศกเป็นลอนธรรมชาติยาวแค่หู รูปโฉมโนมพรรณไม่ใช่สาวชาวบ้านที่ตรากตรำทำงานกลางแดด เพราะเนินไหล่ที่พ้นจากเสื้อคอจีนแขนกุดสีเหลืองนั้นขาวเนียนแบบสาวอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเป็นอาจิณ
หล่อนเดินนำบ่าวผู้ชายจากโรงสีที่พากันยกหีบไม้นับสิบขึ้นเรือนโดยมีนายเด็กตัวดำผลุบเข้าห้องนั้นโผล่ห้องนี้ สำรวจตรวจตราประหนึ่งเป็นเจ้าบ้านจนหญิงสาวต้องร้องปราม
“ดำ อย่าเล่นซนนัก น้าเวียนหัว”
นั่นแหละเจ้าตัวดีที่ชื่อ ‘ดำ’ ตามรูปกายถึงได้ยอมหยุด แต่ไม่วายหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่กลุ่มของฉัน และพวกลูกบ่าวที่ล้อมวงนั่งเล่นกันอยู่ไม่ห่างลับหลังผู้เป็นน้าของตัว
พ่อสั่งเปิดห้องนอนใหญ่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องของพ่อกับแม่ ข้าวของนางจวงถูกยกหายเข้าไปหลังประตูห้องนั้น มิหนำซ้ำพวกบ่าวยังจัดแจงขนของที่มีอยู่น้อยนิดติดห้องมาวางกองไว้ข้างหน้าแล้วยกตู้เตียงชุดใหม่เข้าไปแทนที่
ไม่มีใครอธิบายให้เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเข้าใจ จะมีก็แต่ละเอียดที่พอคาดเดาความคิดได้รีบโบกมือให้นายน้อยหลบความวุ่นวายลงไปเล่นใต้ถุนเรือน ดีกว่ายืนเคว้งมองข้าวของของแม่ถูกยกลงจากเรือนหายไป
กว่านายผู้ชายจะแนะนำผู้มาอยู่ใหม่ก็ล่วงเข้าเวลาอาหารเย็น นางจวงเปลี่ยนผ้าอาบน้ำแต่งตัว กลิ่นกายหอมฟุ้งขึ้นมาร่วมวงด้วยไม่เหมือนคนที่ขลุกอยู่ในครัวตลอดทั้งบ่าย เมื่อได้จังหวะพ่อจึงเป็นฝ่ายเริ่มกล่าวก่อนว่า
“คุณชม คุณแก้ว นี่แม่จวง แม่จวงจะมาอยู่ด้วยกันกับเราที่นี่”
ประโยคเรียบง่าย แต่ยากเกินกว่าที่เด็กทั้งสองจะเข้าใจ พ่อทิ้งจังหวะให้เด็กน้อยทำความเคารพ มีเพียงฉันที่ยังวางเฉย วาดช้อนตักข้าวใส่ปาก และเคี้ยวเนิบนาบทำเป็นไม่ได้ยินจนผู้เป็นพ่อต้องเปลี่ยนเสียงเข้มออกคำสั่ง
“หยุดกินครู่หนึ่งก่อนแล้วไหว้แม่จวงเสีย”
เสียงตะคอกทำให้ฉันตกใจปล่อยช้อนในมือร่วง ถึงกระนั้นตัวฉันก็ยังดื้อไม่ยอมทำตามได้แต่สะบัดหน้าหนีเม้มริมฝีปากแน่น ทำจมูกยู่ย่นอย่างเดียวกับที่ชอบทำใส่บ่าวไพร่เมื่อถูกขัดใจ
“คุณพี่เจ้าคะ” คนที่พ่อสั่งให้ไหว้แทรกขึ้น หล่อนไม่ได้ห้ามด้วยวาจา แต่วางมือลงบนตักของพ่อเพื่อบรรเทาอารมณ์ขุ่นเคือง
“อย่าดุแกเลยค่ะ เด็กๆ ก็อย่างนี้ คงยังไม่คุ้นกัน” หล่อนหันมาทางฉัน “ชื่อชมนาดใช่ไหมคะ หนูคนเล็กคงเป็นแม่ดอกพวงแก้ว ชื่องามเป็นดอกไม้กันทุกคนเลย ชื่อน้าจวงก็เป็นดอกไม้เหมือนกัน เคยได้ยินไหมคะ…
คิดแล้วสรงน้ำชำระกาย ขมิ้นผงละลายเป็นค่อนขัน
ลูบไล้ขัดสีฉวีวรรณ ทรงกระแจะจวงจันทร์กลิ่นเกลา”
นางจวงเล่าเป็นเรื่องราวผ่านสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร ยิ่งเห็นใบหน้าฉงนชวนสงสัยของคุณแก้วปรากฏขึ้น ก็เข้าทางให้ได้ขยายความต่อเพื่อผูกมิตร
“หลวิชัย คาวี ตอนนางคันธมาลีแต่งตัวขึ้นเฝ้าไงคะ”
รอบตัวเด็กหญิงทั้งสองมีแต่พวกบ่าว จะมีปัญญาพูดจาอย่างนางจวงนั้นหามีไม่ พวงแก้วจึงทวนคำที่ได้ยินทีละพยางค์ด้วยความสนอกสนใจตามอย่างเด็กกำลังหัดพูด
“กระ-แจะ-จวง-จัน”
พ่อกลั้นเสียงหัวเราะชอบใจไว้ไม่อยู่ ลืมกิริยาแข็งกร้าวของลูกสาวคนโตที่เพิ่งทำให้ลุแก่โทสะไปก่อนหน้า
“ถ้าคุณชอบ น้าจวงมีนิทานเล่าให้ฟังอีกเป็นกุรุสเลย”
ความอึดอัดขัดใจทำให้ฉันไม่ตักอาหารเข้าปากอีก นึกเคืองน้องสาวเสียด้วยซ้ำที่หลงไปกับนิทานหลอกเด็กของนางจวง ยิ่งพ่อที่แต่ก่อนไม่เคยขัดใจยังขึ้นเสียงใส่ราวกับเป็นบ่าว อยากจะหลบไปเสียให้พ้นจากตรงนั้น แต่ก็ยังนึกเกรงท่าทีขึงขังของพ่ออยู่
ฉันรอจนทุกคนอิ่มข้าวแล้วจึงลุกหนี กระแทกเท้าปึงปังเข้าห้องไปโดยไม่ใส่ใจจะช่วยเก็บสำรับจานชามอย่างที่เคยทำทุกวัน ละเอียดขยับตัวจะลุกตาม แต่ก็ชะงักค้างด้วยคำสั่งห้าม
“ปล่อยไปไม่ต้องตาม” พ่อไม่พูดเปล่า แต่ยังตำหนิลูกสาวต่อว่า
“ลูกคนนี้ขาดการอบรม ไม่มีสัมมาคารวะ คงต้องอาศัยน้องช่วยสั่งสอนแทนพี่อีกแรง”
พวกบ่าวคงพยักพเยิดเห็นพ้องกับนายใหญ่ คนบนบ้านมัวชื่นชมบารมีนางจวงจนลืมใส่ใจฤทธิ์เดชของนายน้อยที่เจอกันมาจนชิน
คืนแรกของนางจวงในบ้านทำฉันนอนไม่หลับเพราะความหิว ดีว่าแม่เอียดแอบคดข้าวใส่ถ้วย ตั้งกระทะทอดเนื้อซึ่งเป็นอาหารโปรด จัดเป็นสำรับรอให้ปลอดคนก่อนค่อยยกเข้าไปประเคนถึงในห้อง
“คุณชมเจ้าขา” เสียงแม่เอียดลอยแหวกความมืดสนิทเข้ามาเป็นดังเสียงสวรรค์ แต่คนถูกเรียกไม่ยอมขานรับ แค่ขยับหันมาดูให้รู้ว่าใครแล้วเล่นแง่นอนรอให้ผู้สูงวัยกว่าง้องอนเช่นเคย
“เอียดรู้นะว่าคุณยังไม่หลับ บ่าวยกสำรับมาให้ มีแต่ของชอบคุณชมทั้งนั้น หรือจะรอให้คุณแก้วเธอตื่นขึ้นมาแย่งก็ตามใจ”
ต่อให้ใจแข็งปานใด ฉันก็ไม่อาจทนกลิ่นเย้ายวน และความปั่นป่วนในท้องว่างเปล่าที่กำลังร้องครวญครางอยู่ได้ รีบคลานข้ามพวงแก้วซึ่งหลับสนิทไม่รู้เรื่องแล้วเลิกมุ้งออกมานั่งคุกเข่าหน้าสำรับอาหาร ใช้ช้อนพุ้ยข้าวคำโตใส่ปาก และฉีกเนื้อกินแกล้มกันอย่างไม่กลัวติดคอ
“หิวมากเลยสิเจ้าคะ” ขณะเคี้ยวข้าวที่อีกฝ่ายอุตส่าห์นำมาให้ แต่เด็กหญิงยังมีหน้าใช้วาจายอกย้อนใส่ว่า
“เห็นแล้วยังมีหน้ามาถาม”
เป็นคนอื่นคงเบือนหนีอย่างอิดหนาระอาใจ แต่ละเอียดมีแก่ใจลูบหัวนายน้อยป้อยๆ ด้วยทั้งรัก และสงสารจนอดปลอบไม่ได้ว่า
“โถ แม่คุณของบ่าว ตัวเล็กเพียงนี้ก็ต้องมีแม่เลี้ยงกับเขาเสียแล้ว”
ความที่รู้จักมาตั้งแต่รุ่นแม่คอยอุปถัมภ์เกื้อกูลกันมา ละเอียดจึงคาดหวังจากพ่อมากกว่าลูกชายคนอื่นของท่านเจ้าคุณว่าจะไม่เจริญรอยตามความมากเมียอย่างผู้เป็นพ่อและบุรุษเพศยุคเดียวกัน
ฉันสวมกอดแม่นมแน่นเป็นการตอบแทน ใช้เวลาเนิ่นนานซุกอกกว้างของหญิงสูงวัยเพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นอันเป็นหลักยึดเหนี่ยวเดียวที่คุ้มครองตั้งแต่จำความได้
“ฉันเกลียดขี้หน้ามันแม่เอียด” เสียงแผ่วเบาลอดผ่านไรฟันทำเอาคนได้ยินตกใจรีบก้มหน้าลงถาม
“พุทโธ่ แม่คุณ ตัวแค่นี้รู้จักโกรธรู้จักเกลียดแล้วหรือเจ้าคะ”
คนถูกถามเบือนหน้าหนีไม่ยอมตอบ แม่เอียดเองก็จนปัญญาจะสั่งสอน จำต้องตัดบทไปว่า
“เอ้า เกลียดก็เกลียด เกลียดก็ต่างคนต่างอยู่ เราไม่ยุ่งเขา เขาไม่ยุ่งเรา ดีไหมเจ้าคะ” แม่เอียดลูบผม และปลอมประโลมเสียงแผ่วเบาก่อนส่งเข้านอนว่า
“คุณเกลียดแม่จวงน่ะไม่เป็นไรดอก แต่อย่าให้แม่จวงเกลียดคุณเป็นอันขาดเลยเชียว”
คงจะดีหากตอนนั้นฉันได้เรียนรู้สักนิดว่าระหว่างรักและเกลียดนั้น ใช่ว่าไม่รักแล้วจำเป็นต้องเกลียดเสมอไป หรือใช่ว่าไม่เกลียดแล้วจำเป็นจะต้องรักกัน ที่ออกปากว่าเกลียด แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงไม่ยอมรับก็เป็นได้
คืนนั้นทั้งคืน เด็กหญิงชมนาดเฝ้าแต่พร่ำอธิษฐานไปทั่วเท่าที่เด็กเจ็ดขวบจะพอนึกไปตามอารมณ์พลุ่งพล่านที่โลดแล่นอยู่ในใจได้ว่า
‘ขอให้ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วไม่มีนางจวง ขอให้ไม่เจอนางจวงอีกตลอดไป’
น่าเสียดายนางจวงไม่ได้หายตัวไปตามพรที่ขอเลย ตรงกันข้ามแม่เลี้ยงไม่ได้พาเฉพาะนายดำ หลานชายกำพร้าที่ติดสอยห้อยตามกันมาแต่แรกเท่านั้น ทว่านางจวงกลับหอบญาติสนิท และคนใกล้ชิดจำนวนหนึ่งเข้ามาเป็นบริวารภายในบ้านด้วย แบ่งสรรหน้าที่กันอย่างลงตัว พวกผู้หญิงอยู่รับใช้งานบนเรือน ส่วนพวกผู้ชายก็ส่งเข้าโรงสีเพื่อช่วยงานพ่อ
“รกคนดีกว่ารกหญ้า” เป็นคำอธิบายจากปากพ่อที่ปิดความสงสัยของเหล่าข้าเก่าซึ่งอาจนึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา บ้านหลังใหญ่ในความทรงจำช่วงนั้นจึงอุ่นหนาฝาคั่งด้วยผู้อาศัยแบ่งข้าเก่าข้าใหม่กันชัดเจน
ปลายปีนั้น นางจวงให้กำเนิดเด็กชายร่างพ่วงพีผิวขาวอมชมพู พ่อตั้งชื่อให้ว่า ‘ทองโตอุ่น’ ตามแบบแผนของคุณแม่ใหญ่ทุกประการ ส่วนเด็กชายผิวดำหลานชายนางจวงที่ชื่อ ‘ดำ’ ตามลักษณะเด่นของตัวก็กลายเป็นคนในบ้านเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
ฉันไม่อาจรู้ได้เลย เพราะความอคติไม่ยอมลงให้นางจวงนี่เองที่ทำให้ทุกชีวิตรอบตัวเปลี่ยนแปลงอย่างน่าใจหายจนสายเกินเยียวยาในเวลาต่อมา