เจเน็ต…ดวงมณีแห่งลำน้ำโขง บทที่ 1 : ชาติกำเนิด

เจเน็ต…ดวงมณีแห่งลำน้ำโขง บทที่ 1 : ชาติกำเนิด

โดย :

Loading

อัตชีวประวัติของ เจเน็ต ดวงเนตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณอ่านออนไลน์ กับเรื่องราวของ “เจเน็ต” หรือ “จันทร์นวล” หญิงสาวลูกครึ่งลาว-ฝรั่งเศส ที่มีชีวิตผกพันตลอดเวลา จากชาติกำเนิดสูงส่ง เธอต้องกลายเป็นกำพร้าทั้งบิดามารดาและโชคชะตาพัดพาให้เธอต้องเดินทางไกลไปหลายประเทศ ก่อนจะมากหยั่งรากลงที่ผืนแผ่นดินไทยในบั้นปลายของชีวิต

****************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2462

“อุแว้…. อุแว้… อุแว้…”

เสียงร้องของทารกแรกเกิดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของบรรยากาศโดยรอบของเมืองกาสี เมืองเล็กๆ ในเขตพระนครหลวงพระบาง

จอร์จ ธีโบลต์  ผลุดลุกขึ้นจากตั่งที่ท่านนั่งคอยอยู่อย่างกระวนกระวายใจ ท่านถอนหายใจอย่างโล่งอกกับการรอคอยมาหลายชั่วโมงจนท่านแทบจะหมดกำลังใจ ลูกน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกจะเป็นชายหรือหญิงท่านก็ไม่ว่าทั้งสิ้น ขอให้ทั้งแม่และลูกปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว

เสียงกุกกักดังขึ้นตรงประตูห้องที่ใช้เป็นห้องคลอด ใบหน้าเหี่ยวย่นของหมอตำแยโผล่ออกมาให้ท่านเห็น นางกวักมือเรียกด้วยสีหน้าไม่สู้จะดีนัก ท่านจึงเรียกผู้ช่วยชาวลาวมาแปลให้ก็ได้ความว่า

“ ท้องสาว และตัวเล็กแบบนี้คลอดยาก เจ้านางจันทร์ฟอง เสียเลือดมาก เลือดยังตกไม่หยุดเลย

แต่นายฝรั่งได้ลูกสาว หน้าตาเหมือนนายฝรั่งไม่มีผิด ”

จอร์จรีบเดินเข้าไปในห้องคลอด เตียงที่ภรรยานอนอยู่ยังไม่สู้เรียบร้อยนัก เพราะยังฉุกละหุกอยู่ หญิงรับใช้คนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ช่วยคลอดกำลังใช้ผ้าหมาดๆ เช็ดคราบต่างๆ ออกจากร่างกระจ้อยร่อย ตัวแดง แล้วจึงห่อร่างเล็กๆ ด้วยผ้าอ้อมสีขาวหม่น นางยื่นห่อผ้าให้กับนายฝรั่งโดยมิได้พูดจาอะไร

จอร์จรับทารกตัวน้อยมาอุ้มอย่างไม่มั่นใจนักว่าจะอุ้มได้หรือไม่ เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีโอกาสอุ้มทารกตัวกระจ้อยร่อยขนาดนี้ ชายหนุ่มรับห่อผ้ามาแนบไว้กับอก เพราะคิดว่าจะปลอดภัยกว่า หนูน้อยหลับตาพริ้ม ผมสีน้ำตาลแบบเดียวกับบิดาอย่างไม่ผิดเพี้ยน

“เอ! ตาจะสีเดียวกับพ่อหรือไม่หนอ?”

อุ้มเพียงแค่นี้ ก็รักลูกอย่างสุดหัวใจ จอร์จกอดลูกแน่นขึ้น พลางพูดว่า

“ เจ้าเป็นดวงใจของพ่อ ลูกเอ๋ย! ”

เมื่อนึกขึ้นได้ จอร์จ จึงก้มลงดูภรรยาที่ยังนอนหลับตาอยู่อย่างอ่อนแรง เจ้านางจันทร์ฟองใบหน้าซีดขาวจนน่าตกใจ เธอเผยเปลือกตาขึ้นมา แล้วยิ้มให้สามีอย่างอ่อนเพลีย ท่านรีบยื่นลูกให้ภรรยากอด  ตัวเองนั่งลงตรงขอบเตียงด้วย

“ ลูกของเราเป็นผู้หญิงผมจะให้ชื่อว่า ‘เจเน็ต’ เหมือนยายของผมนะที่รัก ”

เจ้านางพยักหน้าช้าๆ ใบหน้าเริ่มมีรอยยิ้ม แต่แล้วก็ต้องหลับตาลงเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการคลอด แล้วก็หลับไป ตัวท่านเองปล่อยให้หมอตำแยกับผู้ช่วยจัดการกันต่อไป ส่วนเจเน็ตนั้นพี่เลี้ยงรับไปอุ้มไว้ เพื่อนำไปวางในอู่ข้างเตียง

เมื่อจอร์จเดินออกมาจากห้องคลอด ผู้ช่วยชาวลาวบอกกับนายของตนว่า

“ ท่านขอรับ นายหญิงอ่อนเพลียมาก จนหมอตำแยบอกกับกระผมว่าควรหาแม่นมให้กับคุณหนู ”

“ ต้องทำอย่างนั้นเลยหรือ? ก็ดีเหมือนกัน จันทร์ฟองจะได้พักผ่อนบ้าง หน้าตาของเธอซีดเซียวจนผมเป็นห่วง คุณคำปันช่วยไปตามหมอมาด่วนเลยนะ จะได้รักษาได้ทันที ”

ผู้ช่วยจึงรีบออกไปจากบ้าน เพื่อไปตามหมอมารักษานายหญิงของตน ทางฝ่ายจอร์จนั้น เดินกลับไปนั่งบนตั่งหน้าห้องคลอดดังเดิม ความคิดของท่านล่องลอยไปไกล

….นับตั้งแต่เดินทางมาจากประเทศฝรั่งเศส เส้นทางช่างระหกระเหินยิ่งนักจนท่านแทบท้อถอยอยู่หลายครั้ง เมื่อลงเรือมาจากเมืองท่ามาร์เซย์ เรือที่ท่านเดินทางฝ่าลมฝ่าคลื่นในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจนถึงคลองสุเอซ ผ่านทะเลแดงจนกระทั่งถึงช่องแคบฮอร์มุสเพื่อเข้ามหาสมุทรอินเดีย

เรือพาจอร์จอ้อมคาบสมุทรอินเดีย เข้าสู่อ่าวเบงกอล กว่าจะมาถึงช่องแคบมะละกา เรือต้องฝ่าลมมรสุมจนแทบจะพลิกคว่ำหลายครั้ง

ขึ้นบกที่สิงคโปร์และพักอยู่ที่นั่นหลายวันเพื่อรอเรือที่จะมุ่งไปสู่อินโดจีน กว่าเรือลำที่ท่านรอจะมาถึงเวลาก็ผ่านไปแล้วสามสัปดาห์ มิหนำซ้ำยังเป็นเรือลำเล็กกว่าเรือที่ท่านขึ้นมาจากฝรั่งเศส เรือฝ่าลมฝ่าคลื่นในอ่าวไทยไปถึงไซ่ง่อนก็นานนับสัปดาห์ และยังต้องเลียบฝั่งเวียตนามขึ้นเหนือไปฮานอยอีกเล่า มันช่างห่างไกลและลำบากยิ่งนัก!

แต่ในที่สุดเขาก็ได้มาถึงกรุงฮานอย เมืองหลวงของฝรั่งเศสในอินโดจีน (เวียตนาม ลาว และกัมพูชา) ท่านผู้สำเร็จราชการแห่งอินโดจีนได้ส่งท่านมาประจำอยู่หลวงพระบางของลาวที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน

ครั้งนี้จอร์จต้องขี่ช้างข้ามภูเขาใหญ่น้อยอีกหลายวันจนกระทั่งถึงที่หมาย

เขาเคยเห็นช้างแต่เพียงในรูปเท่านั้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นช้างตัวจริง มิหนำซ้ำยังได้ขึ้นขี่มันอีกด้วย

จอร์จรู้สึกประหลาดใจในความใหญ่โตและความสง่าผ่าเผยของสัตว์ชนิดนี้ การเยื้องย่างทำอย่างเชื่องช้าด้วยความมั่นใจในแต่ละก้าวที่ขาของมันเดินฝ่าป่าทึบและขุนเขาสลับซับซ้อนจนถึงจุดหมายปลายทาง

หลวงพระบางนครหลวงอันเก่าแก่ของอาณาจักรล้านช้างไม่ได้ใหญ่โตดั่งที่เคยคิดไว้ นี่คือนครหลวงโบราณของชาวลาว และจะเป็นบ้านใหม่ของตนในขณะนี้

ความสงบเงียบของหลวงพระบางสร้างความสบายใจให้ได้ระดับหนึ่ง แต่ในฐานะชาวต่างชาติที่เข้ามาในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลฝรั่งเศส ภาระอันหนักอึ้งในการปกครองอาณานิคม   อินโดจีนที่มีลาวรวมอยู่ด้วยเป็นสิ่งที่จอร์จสำนึกอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย

ขบวนของชายหนุ่มผ่านทางเดินอัดด้วยดินอย่างแน่นหนา เข้าไปใกล้พระราชวังของเจ้ามหาชีวิตทุกขณะ สองข้างทางใกล้กับพระราชวังมีคนยืนดูอยู่ประปราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านหน้าของพระราชวัง มีกลุ่มคนชายหญิงแต่งตัวแบบพื้นเมืองอยู่กลุ่มหนึ่ง ท่าทางจะมิใช่ชาวบ้านธรรมดา เมื่อดูจากการแต่งกายของพวกเขา เสื้อที่สวมใส่มีผ้ายาวพาดอยู่บนบ่าข้างหนึ่ง ส่วนท่อนล่างดูเหมือนกระโปรงแคบยาวจรดข้อเท้ามีสีสันสดสวยเข้ากับเสื้อท่อนบน

หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มมีรูปร่างสูงโปร่งกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้วยกัน พวกเขาคงมายืนดูขบวนของคนต่างชาติเป็นแน่แท้

สายตาประสบกับตาคมของหญิงสาวคนนั้น จอร์จมองดูเธอด้วยความสนใจจนต้องเหลียวหลังเมื่อช้างตัวที่นั่งอยู่เดินเลยไปแล้ว เขาจึงเพิ่งรู้สึกตัว หันศีรษะกลับไปมองข้างหน้า

เมื่อขบวนมาถึงที่ทำการอาณานิคมฝรั่งเศสในลาว ชายหนุ่มก็ลงจากหลังช้างเพื่อเข้าไปคำนับข้าหลวงฝรั่งเศสประจำลาว ตำแหน่งซึ่งเดียวกับที่เขาเดินทางมารับหน้าที่แทนต่อไป

ท่านข้าหลวงยืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อผู้ช่วยชาวลาวเข้ามาบอกกับท่านว่า ขบวนของเมอซิเออร์ จอร์จ ธีโบลต์ ผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้ว

ทั้งสองคนจับมือกันเขย่าเพื่อทักทาย ก่อนที่ท่านข้าหลวงจะกล่าวว่า

“ เชิญ เชิญ เมอซิเออร์ ธีโบลต์ ”

พูดไม่ทันขาดคำ จอร์จ ก็รีบพูดขึ้นว่า

“เรียกผมจอร์จเถอะครับ ”

“ ครับๆ จอร์จ คุณคงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมิใช่น้อย กรุงฮานอยกับหลวงพระบางอยู่ห่างกันมากทีเดียว ผมคิดว่าคุณไปพักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้เราค่อยมาพูดจากัน ”

ท่านตบบ่าจอร์จด้วยความเอ็นดูผู้ที่อ่อนวัยกว่าที่ต้องมาผจญภัยในดินแดนอันห่างไกลแบบนี้ จอร์จกล่าวว่า

“ ขอรับ ท่านผู้สำเร็จราชการที่กรุงฮานอย ฝากสาส์นมาถึงท่านด้วย ”

พอพูดจบ จอร์จก็หันไปเปิดกระเป๋าหนังที่หิ้วมาด้วย แล้วหยิบสาส์นฉบับนั้นมายื่นให้ และถือโอกาสนี้กล่าวลาเพื่อไปยังที่พักซึ่งได้จัดเตรียมไว้ด้านหลังของอาคารบริหารอาณานิคม

ความคิดของท่านสะดุดลงอย่างฉับพลัน เมื่อหญิงรับใช้มาบอกให้ท่านกลับเข้าไปในห้องอีก ท่านจึงรีบลุกขึ้นจากตั่ง ก้าวขายาวๆ เข้าไปในห้องอย่างไม่รอช้า

เจ้านางจันทร์ฟองลืมตาขึ้นดูสามี เมื่อได้ยินเสียงเดินเข้ามาในห้อง แม้จะยังอ่อนเพลียจากการคลอดลูกที่เอาพลังในร่างกายไปจนเกือบหมด แต่เธอก็ยิ้มให้กับสามีสุดที่รักอย่างมีความสุข ในที่สุด ลูกน้อยซึ่งเป็นโซ่ทองคล้องดวงใจก็ลืมตาดูโลก

จอร์จทรุดตัวลงนั่งข้างเตียงซึ่งตอนนี้ปูผ้าใหม่สีขาวหม่นเรียบร้อยแล้ว ข้าวของภาชนะที่ช่วยทำคลอดถูกเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน จะมีกลิ่นยาสมุนไพรบ้างก็ไม่ทำให้ท่านรู้สึกรำคาญใจใดๆ

“ ที่รัก ขอบคุณที่ให้ลูกสาวกับผม หน้าตาของลูกเหมือนผมกับเหมือนยายของผมมากกว่าคุณนะ ผมก็เลยให้ชื่อเขาว่า ‘เจเน็ต’ เหมือนยายของผม ส่วนชื่อลาวคุณจะให้ชื่อว่าอะไร ? ”

ท่านพูดกับภรรยาด้วยความตื่นเต้นแบบพ่อคนใหม่

“ ฉันจะเรียกลูกว่า ‘จันทร์นวล’ ค่ะ เขาเกิดวันเดือนเพ็ญ ชื่อนี้เหมาะกับหน้าตาจิ้มลิ้มของลูกนะคะ ”

“ อึม ! ก็เพราะดีนะ แปลว่าอะไรรึ? ”

“ จันทร์นวล แปลว่าจันทร์กระจ่างคะ ”

จอร์จรู้ภาษาลาวพอสมควร พอที่จะติดต่อกับคนลาวได้บ้าง เพราะให้ครูมาสอนตั้งแต่แรกเริ่มที่มาทำงานในดินแดนนี้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจมากนัก

สำหรับเขาแล้ว ภาษาลาวช่างแตกต่างไปจากภาษาฝรั่งเศสที่คุ้นชิน แล้วก็ยังมีเสียงขึ้นๆ ลงๆ อีกเล่า ซึ่งทำให้งงอยู่หลายครั้ง มิหนำซ้ำแต่ละครั้งที่พูดเสียงผิดก็มักจะสร้างความครื้นเครงมาให้ผู้ฟังชาวลาวจนแทบจะทำให้ท้อใจ

“ลูกสาวของเราแก้มยุ้ยน่ารักออกอย่างนี้ ผมหลงรักลูกไปเรียบร้อยแล้ว”

จอร์จพูดแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ก่อนจะโน้มตัวลงกอดภรรยาด้วยความรักใคร่ มือข้างหนึ่งลูบผมดำเป็นมันที่ยังชื้นอยู่ด้วยเหงื่อจากการคลอด

ดวงตาคมของเจ้านางจันทร์ฟองมีประกายแวววับทั้งๆ ที่อ่อนเพลียจนแทบทนไม่ไหว เธอกอดสามีเอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกตื้นตันในความรักที่เขามีให้กับเธอ นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ความรักที่เขามีให้ไม่เคยเสื่อมคลายลงเลย เจ้านางจันทร์ฟองเฝ้าคิดว่า

“ ช่างน่าประหลาดนักที่คนแปลกหน้าสองคน จากดินแดนที่แสนห่างไกลจะเจอะเจอหน้ากันและรักกันในที่สุด ขอพระคุ้มครองครอบครัวเล็กๆ ของเราทั้งสองด้วยเถิด ”

จอร์จค่อยๆ วางร่างของภรรยาลงบนฟูก เมื่อเห็นว่าเธอหลับตาลง แล้วค่อยๆ ก้าวโหย่งออกไปจากห้องด้วยเกรงว่าภรรยาจะตื่น ท่านมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานซึ่งอยู่อีกซีกหนึ่งของบ้านหลังใหญ่

ตอนที่เข้ามาอยู่ใหม่ๆ เขายังไม่เคยชินกับบ้านแบบตะวันออกนัก เพราะดูโล่งไปหมดจะหาความเป็นส่วนตัวได้ก็มีเพียงห้องนอนกับห้องทำงานเท่านั้น

นอกเหนือไปจากนี้แล้วกลายเป็นชานเรือนกว้าง ครึ่งหนึ่งของชานเรือนอยู่ใต้หลังคาสูง มีตั่งเตี้ยวางอยู่บนเสื่อขนาดใหญ่ และมีโต๊ะขนาดใหญ่เล็กอีกสามตัววางไว้ ตัวที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่หน้าตั่ง

ส่วนอีกสองตัวเล็กวางอยู่ด้านข้างของตั่งตัวยาว มีหมอนอิงลวดลายงดงามแบบชาวลาววางอยู่สามสี่ใบ ส่วนชานอีกครึ่งหนึ่งไม่มีหลังคาปิด อยู่ต่ำกว่าชานที่มีหลังคาปิดเล็กน้อย บริเวณนี้จอร์จและภรรยายกกระถางดอกไม้มาวางตั้งตรงมุมเสา ทำให้ชานกว้างดูเย็นตาลง

เมื่อเปิดประตูห้องทำงานและก้าวเข้าไปในห้อง เขางับบานประตูปิดเอาไว้ เพื่อบอกให้ผู้คนในบ้านรู้ว่าต้องการความเป็นส่วนตัว ยกเว้นในกรณีที่มีเรื่องด่วนเท่านั้นที่จะมีผู้ใดกล้าเคาะประตูเพื่อขออนุญาตเข้าไปพบ

จอร์จตรงไปนั่งเก้าอี้แล้วเปิดลิ้นชักโต๊ะดึงเอากระดาษขาวออกมาปึกหนึ่ง ท่านนั่งคิดสักครู่หนึ่งแล้วจึงเขียนถึงพี่สาวคนเดียวของท่านว่า

 

“คุณพี่ที่รักและคิดถึง

กระผมรีบส่งข่าวมาเพื่อแจ้งให้คุณพี่ทราบว่า เจ้านางจันทร์ฟองคลอดลูกแล้วขอรับ

หลานของคุณพี่เป็นผู้หญิง หน้าตาเหมือนมาทางพวกเรามากกว่าทางแม่ ผม ตา ใบหน้า ถอดแบบมาจากผมและคุณยายมากจนผมตั้งชื่อลูกว่า ‘เจเน็ต’ ตามชื่อของคุณยาย

ตอนนี้ที่นี่อากาศค่อนข้างร้อนแบบเมืองร้อนทั่วๆ ไป ตอนค่ำอากาศเย็นลงบ้างทำให้ไม่อึดอัดนัก ผมจึงไม่เคยคิดชวนคุณพี่มาเยี่ยมผมกับครอบครัวที่นี่เลย เพราะการเดินทางแสนลำบาก

อย่างที่ผมเล่าให้คุณพี่ฟังในจดหมายฉบับแรกที่ผมมาถึงหลวงพระบาง ถึงแม้เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว แต่การเดินทางก็ยังไม่ดีขึ้น ป่าเขาลำเนาไพรที่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางสร้างความยากลำบากมากขึ้น ที่นี่ไม่มีเส้นทางแบบฝรั่งเศส ช้างจึงเป็นพาหนะสำคัญเพราะมันขึ้นเขาได้ แม้แต่ม้าเองก็ทำได้ยาก เราจึงใช้ม้าภายในเมืองกับทางราบเท่านั้น

คุณพี่กลายเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนไปแล้ว การงานคงมากขึ้นตามตัว กระผมหวังว่าคุณพี่จะสนุกกับงานนะขอรับ

กระผมขอจบสั้นๆ แค่นี้ก่อน ขอพระผู้เป็นเจ้าปกป้องคุณพี่ที่รักของกระผมด้วยเถิด

                                                                  ด้วยความคิดถึง

                                                                        จอร์จ ”

 

เขาจบจดหมายลงอย่างสั้นๆ เพียงเพื่อให้พี่สาวรู้ว่ามีหลานแล้ว หลังจากนั้นจึงพับใส่ซองเตรียมไว้กับจดหมายและเอกสารของอาณานิคมอื่นๆ ที่ต้องส่งไปยังที่ทำการผู้สำเร็จราชการในกรุงฮานอยนครหลวงของอินโดจีนของฝรั่งเศส เพื่อนำไปรวมกับจดหมายและเอกสารอื่นๆ ที่จะส่งไปฝรั่งเศส หลังจากนั้นจึงเตรียมตัวพักผ่อน ในช่วงแรกๆ ที่ภรรยาเพิ่งคลอด เขาสั่งให้จัดที่นอนใหม่ในห้องนอนอีกห้องหนึ่ง เพื่อให้ภรรยามีโอกาสพักผ่อนอย่างเต็มที่…

 

เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้านางบัวเงินพระมารดาของภรรยาก็เดินทางมาจากพระราชวังหลวงพร้อมกับนางกำนัลอีกจำนวนหนึ่ง

ฝ่ายคนรับใช้ชายที่ตามมาเบื้องหลังบ้างก็แบกหีบห่อขนาดต่างๆ บ้างก็หามข้าวของที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

เมื่อไปถึงบ้านพักของเจ้านางจันทร์ฟอง พระธิดา เจ้านางบัวเงินก็รีบเดินตรงเข้าไปในห้องที่พระธิดานอนพักผ่อน ข้างๆ เตียงมีอู่น้อยตั้งอยู่ อู่น้อยนี้เป็นของพระราชทานจากเจ้าอุปราชซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเจ้านางจันทร์ฟอง เพราะมีอายุไล่เลี่ยกันและวิ่งเล่นกันมาจนเติบใหญ่

“ แม่อยากเอาเจ้ากลับไปดูแลที่วังหลวง…จันทร์ฟอง แต่จะทำอย่างใดได้เล่า?”

พระธิดาซึ่งนอนอยู่บนเตียง ยิ้มให้กับมารดาอย่างอ่อนเพลียเพราะยังไม่ฟื้นเต็มที่

“ เจ้าแม่ก็รู้ว่าเจ้ามหาชีวิตไม่ทรงโปรดหลานเขยที่เป็นต่างชาติ เพียงเพราะพระองค์ไม่อาจขัดขวางการแต่งงาน ก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทรงยอมรับเมื่อหลานเกิดมา ”

เจ้านางบัวเงินถอนหายใจอย่างผิดหวัง แท้ที่จริงพระธิดาเป็นที่หมายปองของหนุ่มน้อยใหญ่หลายคนซึ่งมีหน้าที่และฐานะเหมาะสม แต่กลับเป็นหนุ่มต่างชาติที่ไม่มีผู้ใดรู้จักต่างหาก แล้วจะทำประการใดดี เมื่อทางวังหลวงประกาศเป็นการภายในว่าไม่ยอมรับหนุ่มต่างชาติผู้นี้ เจ้ามหาชีวิตถึงกับตรัสว่า

“ พวกฝรั่งมันเข้ามายึดแผ่นดินลาว จนพวกเรากลายเป็นข้าของมัน แล้วจะให้เรารับมันเข้ามาในครอบครัวได้อย่างไร  นับแต่นี้ต่อไป เราขอสั่งมิให้จันทร์ฟองกับผัวของมันเข้ามาในวังอย่างเด็ดขาด! ยกเว้นผัวของมันมีราชการเท่านั้น ”

 



Don`t copy text!