เจเน็ต…ดวงมณีแห่งลำน้ำโขง บทที่ 4 : รักต้องห้าม

เจเน็ต…ดวงมณีแห่งลำน้ำโขง บทที่ 4 : รักต้องห้าม

โดย :

Loading

อัตชีวประวัติของ เจเน็ต ดวงเนตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณอ่านออนไลน์ กับเรื่องราวของ “เจเน็ต” หรือ “จันทร์นวล” หญิงสาวลูกครึ่งลาว-ฝรั่งเศส ที่มีชีวิตผกพันตลอดเวลา จากชาติกำเนิดสูงส่ง เธอต้องกลายเป็นกำพร้าทั้งบิดามารดาและโชคชะตาพัดพาให้เธอต้องเดินทางไกลไปหลายประเทศ ก่อนจะมากหยั่งรากลงที่ผืนแผ่นดินไทยในบั้นปลายของชีวิต

****************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ไฉนเมฆหมอกมัวหม่นจึงโอบล้อมตัวของเธอไปหมดเช่นนี้หนอ ไม่ว่าเธอจะยกแขนขึ้นปัดป่ายออกไปจนสุดแรงแต่ก็ไม่สำเร็จ มันกลับคืบคลานเข้ามาในตัวของเธอจนเจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย

“ โอ้ย! ”

“ จันทร์ฟอง! จันทร์ฟอง! เจ้าเป็นอะไร? ”

เจ้านางบัวเงินถลาเข้ามาหาลูกด้วยความตกใจ เจ้านางยิ่งตื่นตระหนกเมื่อมองเห็นใบหน้าอันซีดเซียวจนน่าหวาดหวั่น ใบหน้าที่เคยงดงามสดใสของลูกแทบจะปราศจากสีสัน ใบหน้าเริ่มขมวดเกร็งราวกับจะบ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ได้รับ

“ ลูกเอ๋ย! เจ้าเป็นอะไรไป? ”

แต่เจ้านางก็มิได้รับการตอบสนองจากบุตรี เจ้านางจันทร์ฟองแทบจะไม่ได้ลุกจากเตียงนอนเลยนับตั้งแต่วันที่คลอดลูกน้อย มีอยู่เพียงครั้งเดียวที่เธอพยุงตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงเพื่อให้นมลูกซึ่งก็มีน้อยนัก

มารดาจึงหาแม่นมมาเลี้ยงแทน พอดีนางข้าหลวงคนหนึ่งเพิ่งคลอดบุตรชาย นางจึงยินดีรับเป็นแม่นมให้ด้วยความเต็มใจ เด็กสองคนจึงมีอู่นอนอยู่ใกล้ๆ กัน ผลัดกันดูดนมจากถันของมารดาคนเดียวกัน

แม้จะพยายามเขย่าแขนบุตรี แต่เจ้านางจันทร์ฟองก็มิได้ตอบสนอง สีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวด คิ้วขมวดเข้าหากัน แต่ดวงตายังหลับพริ้ม อีกสักครูหนึ่ง ใบหน้าของเธอจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงจนเป็นปกติ ถึงแม้ว่าความซีดเซียวจะยังคงอยู่ก็ตาม และท่ามกลางความหลับใหล ริมฝีปากที่แตกระแหงก็ค่อยๆ เผยยิ้มขึ้นมา

เจ้านางบัวเงินจึงหันไปหยิบสีผึ้งซึ่งใส่อยู่ในตลับเงินใบเล็กๆ ข้างเตียง เอานิ้วกวาดสีผึ้งเบาๆ แล้วเอามาทาริมฝีปากให้ลูก ท่านเฝ้าแต่คิดถึงริมฝีปากสดสวยของลูก แล้วก็สะท้อนถอนใจ ความป่วยไข้ทำให้ลูกเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหนอ ถึงแม้ว่าใบหน้าของลูกจะยังคงมีเค้าของความงดงามอย่างเต็มเปี่ยม จนเป็นที่ต้องตาผู้คนโดยเฉพาะบุรุษในอดีตอันไม่ไกลไปจากปัจจุบันเลย

นี่ก็ผ่านความเจ็บปวดจากการคลอดมากว่าสองสัปดาห์แล้ว แต่อาการของลูกมิได้กระเตื้องขึ้น หมอฝีมือดีๆ ที่ท่านสรรหามารักษาคนแล้วคนเล่าก็มิช่วยให้ลูกดีขึ้น เพียงแต่ประทังอาการไว้เท่านั้น

“ จอร์จ ”

เสียงเรียกสามีอย่างแผ่วเบาดังมาจากเตียงที่ร่างแบบบางนอนอยู่ ดวงตาทั้งคู่ก็ยังไม่ลืมขึ้น

“ จอร์จ… จอร์จ ”

เจ้านางบัวเงินถลันออกไปจากห้องเพื่อเรียกลูกเขย จอร์จจึงรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วเข้ามาในห้อง มือทั้งสองข้างโอบอุ้มภรรยาเข้ามาแนบอกอย่างสุดแสนรัก

“ ที่รัก อดทนหน่อยนะ ผมส่งคนไปเมืองน่าน เพราะได้ข่าวว่ามีหมอที่เป็นมิชชันนารีมาอยู่ที่นั่น อีกไม่กี่วันคงมาถึงหลวงพระบางแล้ว ผมจะให้หมอฝรั่งมาดูอาการ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง ”

เจ้านางจันทร์ฟองยิ้มตอบสามี แต่มิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา เธอค่อยๆ ยกมือขึ้นจับแขนของสามี แขนคู่นี้สินะที่ดูแลคุ้มกันภัยให้เธอมาตลอดเวลาสองปีที่ได้ร่วมชีวิตกันมา เธอยกศีรษะขึ้นมองดูสามีด้วยความรัก ในชีวิตนี้จะมีใครบ้างหนอ ยกเว้นบุพการีที่รักเธอได้มากมายเช่นนี้

จอร์จประคองภรรยาเอาไว้ในอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทั้งๆ ที่ภายในใจกำลังสิ้นหวัง อาการของเธอไม่กระเตื้องขึ้นเลยนับตั้งแต่คลอดลูกมาให้ท่านได้เชยชมอุ้มชู

นี่กี่วันแล้วนะ กว่าสองสัปดาห์แล้ว เวลาแห่งความทรมานใจช่างเชื่องช้าเหลือเกิน ในแต่ละวัน ในแต่ละชั่วโมง เขาเฝ้าแต่หวังว่าหญิงคนเดียวที่อยู่ในใจจะลุกขึ้นมาพูดคุยอย่างมีความสุข

จอร์จมองผ่านหน้าต่างห้องนอนออกไปดูฟ้ากว้างอันสดใส ผิดกับหัวใจที่หดหู่จนเกือบสิ้นความหวังใดๆ บรรดาหมอที่มารดาของภรรยาหามารักษามองดูชายหนุ่มด้วยสายตาราวกับจะบอกให้เขาเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้

“ ทำใจดีๆ ไว้นะที่รัก หมอฝรั่งเดินทางมาแล้ว ม้าเร็วเพิ่งมาส่งข่าวบอกผม ท่านออกจากเมืองเงิน มาหลายวันแล้ว ตอนนี้คงกำลังนั่งเรือล่องแม่น้ำโขงมาหลวงพระบาง เพราะเร็วกว่าทางบก อีกไม่วันก็จะถึง ”

เจ้านางจันทร์ฟองได้แต่ยิ้มรับคำบอกเล่าของสามี ครั้งนี้เธอลืมตามองดูใบหน้าขาวที่ครึ้มไปด้วยหนวดเครา เพราะเจ้าของไม่ได้เอาใจใส่ โดยปกติแล้วสามีของเธอจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ทรงผม และหนวดเคราที่ตัดโกนอยู่เป็นประจำ ความเจ็บป่วยของเธอทำให้เขาละเลยตัวเองไปจนหมดสิ้น

เธอประหวัดไปถึงเช้าของวันนั้นที่ตลาด เธอกับผู้ติดตามหญิงอีกสองสามคนพากันออกมาเดินเที่ยวเล่นและจับจ่ายใช้สอยข้าวของที่มีขายอยู่มากมายในตลาด แต่ละครั้งที่เธอมาที่นี่ เธอมักจะเห็นฝรั่งต่างชาติ… คนที่เธอเคยเห็นบนหลังช้าง… อยู่ที่นั่นเสมอ

เขามองเธออย่างไม่ละสายตา ผู้ชายคนนี้ผิดแปลกไปจากผู้คนที่เธอรู้จัก มิใช่ใบหน้าที่ผิดแผกไปจากคนลาวเท่านั้น แต่มีบางสิ่งบางอย่างในตัวเขาที่ทำให้จิตใจของเธอสั่นไหว หลายๆ ครั้ง เธอแทบจะไม่กล้าออกไปที่ตลาด ด้วยเกรงว่าจะเจอะเจอเขา แต่ทว่าทุกครั้งที่เธอออกไป เธอก็จะเจอเขาอยู่ที่นั่นและก็มีหลายครั้ง เธอก็จะมองหาเขา หากไม่เห็นเขาอยู่ตรงจุดที่เขามักจะอยู่เป็นประจำ…

จนกระทั่งในที่สุด วันหนึ่งเขากับผู้ช่วยชาวลาวเดินเข้ามาหาเธอและแนะนำตัวเองโดยผ่านล่ามชาวลาวที่มาด้วยกัน เธอจำได้ว่า เธออายจนใบหน้าเป็นสีชมพูเข้ม เธอก้มหน้าลงไม่กล้าประสานสายตากับเขา

ทำไม… มือไม้ของเธอจึงสั่นไปหมด ความกล้าหายไปจากตัว ไม่เคยมีครั้งใดในชีวิตที่เธอจะเป็นเช่นนี้

เจ้านางจันทร์ฟองจำไม่ได้ว่าเธอตอบสิ่งใดออกไป หรือมิได้ตอบก็ไม่อาจรู้ได้…

นับตั้งแต่วันนั้น เขาก็จะมาพูดคุยกับเธอทุกครั้ง เธอสังเกตเห็นว่าเขาพยายามพูดภาษาลาว แม้ว่าจะกระท่อนกระแท่น แต่ก็ทำให้เธอยิ้มได้คราวใดก็ตามที่เขาพูดผิดไปจากความหมายที่แท้จริง

เธอไม่รู้เลยว่าเธอเคยชินกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ความเขินอายค่อยๆ มลายไปที่ละน้อย จนเธอสามารถเดินคุยกับเขาได้ แม้จะยังไม่เข้าใจทั้งหมดก็ตาม

“ จันทร์ฟอง นางคนรับใช้มันมาบอกแม่ว่า ฝรั่งผิวซีดมาพูดกับเจ้าหลายครั้งแล้ว เจ้าจะว่าอย่างไร? ”

“ แม่! ”

เจ้านางจันทร์ฟองไม่รู้ว่าจะตอบสิ่งใดมากไปกว่านี้ ด้วยเกรงว่ามารดาจะลงโทษและไม่ยอมให้เธอออกจากวังหลวงอีก

“ น่ารังเกียจนัก ผู้หญิงกับผู้ชายพูดจากันตามลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย!บอกแม่มาเดี๋ยวนี้!! ”

เสียงของเจ้านางบัวเงินที่คาดคั้นบุตรีเริ่มเข้มขึ้น ถึงแม้ใบหน้าของท่านจะไม่ได้ดุดันตามเสียงที่พูดออกมาก็ตาม เจ้านางจันทร์ฟองเริ่มรู้สึกว่าจิตใจของเธอหวั่นไหวด้วยเกรงว่ามารดาจะห้ามปรามการพบปะกับเมอซิเออร์ธีโบลต์อีก

หลายเดือนที่ผ่านมาความสุภาพอ่อนโยนของบุรุษผู้นี้กินใจเธออย่างบอกไม่ถูก เธอเฝ้าแต่คิดถึงเขา เธอรู้ดีว่าตนเองรักเขาแล้ว และรู้ว่าเขามีความรู้สึกแบบเดียวกัน

เธอจะทำประการใดดี ราชสกุล “เชื้อเจ็ดตน” ไม่เคยมีผู้ใดก้าวล้ำรีตรอยที่ผู้คนในราชสกุลคงรักษาสืบต่อกันมาหลายชั่วคน!!

“ แม่จ๋า เราพบกันในที่เปิดเผยเสมอ ไม่เคยซ่อนเร้นจากสายตาผู้ใดเลย ถ้าลูกไม่พบเขาในตลาด ก็มักจะพบกันที่เชิงบันไดวัดพูสี ตรงหน้าวังนี่เอง”

“ เขาจะจริงจังกับเจ้ารึ ”

คำถามนี้ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว เธอมิได้เฉยเมยกับสิ่งที่มารดาถาม หากแต่เธอเฝ้าคิดถึงมันอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มิอาจหาคำตอบได้

คนต่างชาติต่างภาษาคงต้องกลับบ้านเมืองของเขาไม่ช้าก็เร็ว แต่ “เขา” จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ทั้งเขาและเธอจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางคนต่างชาติได้ยาวนานเพียงใด

“ เจ้าชอบเขาใช่หรือไม่ ”

เจ้านางจันทร์ฟองได้แต่นิ่งเงียบ มิได้ตอบมารดาแต่ประการใดได้แต่ก้มหน้า

“ แม่คงต้องบอกเจ้าพ่อของเจ้า ”

บุตรีเหลือบตามขึ้นมองมารดาด้วยสายตาหวาดหวั่น ทั้งรักและเห็นใจลูกน้อย แต่เจ้านางบัวเงินจะทำนิ่งเฉยในเรื่องนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

“ แม่บอกเจ้าพ่อ แล้วลูกจะทำอย่างไรถ้าเจ้าพ่อขัดขวาง เมอซิเออร์ ธีโบลต์เคยบอกลูกว่าจะมาคุยกับแม่และเจ้าพ่อ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเลย จะให้เขาเดินเข้าวังก็คงไม่ค่อยเหมาะ เพราะเขาเป็นถึงข้าหลวงฝรั่งเศส และยังเป็นเรื่องส่วนตัว ”

“ เอาเถอะ ถึงอย่างไรแม่ก็ต้องบอกพ่อของเจ้า ท่านอาจมีทางออกก็ได้ ”

วันนั้นทั้งวัน เจ้านางจันทร์ฟองไม่สามารถข่มใจให้สงบได้ เธอไม่ออกไปหาเขาในวันนี้ เพราะเธอคงจะปฏิบัติตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างไรดีเมื่อมาพบกัน จะบอกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่มารดาพูดคุยเอาไว้เธอก็ยังไม่กล้า เธอจึงบอกกับตัวเองว่า

“ เราปล่อยเรื่องนี้ให้เขาจัดการดีกว่า ถ้าหากเขาจริงจังกับเรา เขาก็ต้องหาทางออกได้เอง… ”

 

จอร์จไม่เคยใช้ตำแหน่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขารักเธอในฐานะผู้ชายที่รักผู้หญิงคนหนึ่ง

ชายหนุ่มคิดว่าเรื่องราวแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส เพราะท่านคงจัดการได้ง่ายกว่า

แต่… ที่นี่… ที่ซึ่งขนบประเพณีต่างกันอย่างสิ้นเชิง ท่านจะทำประการใดดี

ทว่า… จอร์จไม่ต้องคิดอยู่นาน เมื่อวันหนึ่งบิดาของผู้หญิงที่ท่านรักอุตส่าห์มาหาถึงที่ทำการอาณานิคมฝรั่งเศส เขายอมรับว่าตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี พร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะสู่ขอเจ้านางจันทร์ฟองอย่างถูกต้องตามประเพณี

ปัญหาที่เกิดขึ้นกลับเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเมื่อเจ้ามหาชีวิตผู้เป็นพระญาติชั้นสูงสุดปฏิเสธอย่างไม่ใยดี มิหนำซ้ำยังห้ามปรามเจ้าสีลาผู้เป็นพระอนุชาจัดพิธีหมั้นหมายและแต่งงานพระธิดาภายในวังหลวง

ผู้ที่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกลับเป็นผู้ที่คาดไม่ถึง

หลวงเจ้าพ่อแห่งวัดพูสีรับรู้เรื่องราวจากพระจันทร ซึ่งเพิ่งอุปสมบทใหม่ ท่านจึงให้เด็กวัดไปบอกเจ้าสีลากับเจ้านางบัวเงินผู้เป็นภริยาให้มาหา

หลังจากที่ได้ซักถามเรื่องราวอย่างละเอียดจากพระจันทร ท่านก็รู้สึกเห็นใจหนุ่มสาวทั้งสองคน ตัวท่านเองถูกอัธยาศัยเมอซิเออร์ ธีโบลต์ ซึ่งขึ้นมาที่วัดอย่างสม่ำเสมอ และเห็นใจเจ้านางจันทร์ฟองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เด็กลูกวัดลงจากวัดพูสีและข้ามถนนไปที่ประตูวัง เมื่อได้รับอนุญาตจากยามเฝ้าประตูวังแล้ว เขาก็เดินมุ่งตรงไปยังคุ้มของเจ้าสีลากับเจ้านางบัวเงินทันที เมื่อได้พบกับบุคคลที่ต้องการแล้ว เขาก็บอกว่า

“ หลวงเจ้าพ่ออยากพบขอรับ ถ้าเจ้าทั้งสองไปได้ ตอนนี้ก็ยิ่งดีขอรับ เพราะหลวงเจ้าพ่อกำลังรออยู่พอดี แต่ถ้าไปไม่ได้ หลวงเจ้าพ่อขอเจ้าทั้งสององค์บอกวันเวลานัดมาขอรับ ”

“ เออ! ข้าว่างอยู่พอดี เอ็งขึ้นวัดไปเรียนท่านว่าข้าแต่งตัวแล้วจะตามขึ้นไป”

ทั้งสองสามีภรรยาขมีขมันแต่งตัว แล้วเดินออกจากพระราชวังข้ามถนนขึ้นบันไดไปวัดพูสี เมื่อเดินเข้าไปในกุฎิของหลวงเจ้าพ่อก็พบว่าท่านนั่งรออยู่พอดี เมื่อกราบไหว้เสร็จแล้ว เจ้าสีลาก็พูดขึ้นว่า

“ หลวงเจ้าพ่อมีธุระประการใดให้ข้าเจ้าทำขอรับ? ”

“ ไม่มีอะไรให้ทำดอก เพียงแต่จะบอกว่า อาตมารู้เรื่องราวของข้าหลวงฝรั่งเศสกับเจ้านางจันทร์ฟองแล้ว เจ้าสีลาคงลำบากใจใช่หรือไม่ เพราะเจ้ามหาชีวิตไม่ทรงอนุญาตให้จัดพิธีในวัง?”

“ ขอรับหลวงเจ้าพ่อ ”

“ อาตมาจะเป็นคนจัดให้เอง ก็รู้ว่าฝรั่งไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่อาตมาจะทำหน้าที่รับรองการแต่งงานครั้งนี้เท่านั้นไม่เอาศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เจ้าจันทร์ฟองมันก็เป็นหลาน อาตมาจะอยู่เฉยเมยได้อย่างไรกัน ”

“ ขอขอบพระคุณหลวงเจ้าพ่อเป็นอย่างสูงขอรับ ”

พิธีแต่งงานของจอร์จกับเจ้านางจันทร์ฟองจัดขึ้นที่กุฎิของเจ้าอาวาสนั่นเอง

…หลังจากที่ตระเตรียมงานกันหนึ่งเดือน…

ท่านผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศสที่ฮานอยกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานการแต่งงานของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ฝรั่งเศสกับเชื้อพระวงศ์ของเจ้ามหาชีวิตลาว

ทางฝ่ายลาวกลับมีคนมาร่วมงานเพียงไม่กี่คน ด้วยเกรงพระบารมีของเจ้ามหาชีวิตที่ยังทรงคุกรุ่นอยู่ เจ้าสีลาฝ่ายบิดาและเจ้านางบัวเงินฝ่ายมารดาของเจ้าสาวดูจะเป็นผู้ใหญ่เพียงสองคนในงานนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพระญาติในระดับเดียวกับเจ้านางจันทร์ฟองซึ่งเป็นเจ้าสาว แม้กระนั้นพิธีแต่งงานก็ดำเนินไปอย่างเรียบร้อย  ปราศจากอุปสรรคใดๆ อาจจะเป็นเพราะบารมีของหลวงเจ้าพ่อที่ช่วยให้มีพิธีแต่งงานในครั้งนี้

เจ้าสาวสวยที่สุดเท่าที่ความงดงามของหญิงสาวจะพึงมี พระมารดาใช้ผ้าไหมทองแบบโบราณที่ท่านทอเก็บไว้เพื่องานนี้ของธิดา

ลวดลายทองละเอียดทอประกายระยิบระยับอยู่บนเรือนร่างอันบางระหงของเจ้าสาว เครื่องประดับศีรษะทำด้วยทองตีแผ่ราวกับดอกไม้ไหว สร้อยคอ สายสะพาย กำไลแขนและข้อเท้าทำจากทอง ลวดลายละเอียดยิบด้วยฝีมือของช่างทองหลวง

เมื่อพระมารดาจูงมือเจ้านางจันทร์ฟองเข้ามาในกุฎิของหลวงเจ้าพ่อ บรรยากาศโดยรอบดูใสกระจ่างขึ้นมาทันที ความงดงามของเจ้าสาวในวาระอันศักดิ์สิทธิ์สร้างความชื่นมื่นมาสู่ผู้คนที่มาร่วมงานจนเต็มกุฎิและยังเลยออกไปด้านนอกของกุฎิด้วย

เมอซิเออร์ธีโบลต์ สวมใส่เสื้อผ้าอย่างเต็มยศเท่าที่ตำแหน่งหน้าที่จะพึงมี

ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่เคยรักใครมาก่อนจนกระทั่งมาพบผู้หญิงที่ท่านฝังใจตั้งแต่พบกันครั้งแรก จอร์จได้แต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า

“ ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอำนวยพระพรครอบครัวใหม่ของข้าพเจ้าด้วยเถิด ”

เจ้าสีลาได้สร้างเรือนหลังใหญ่ให้ธิดาที่อำเภอกาสีในเขตหลวงพระบาง เพื่อให้ครอบครัวใหม่มีบ้านเรือนเป็นของตนเอง อีกทั้งยังส่งคนรับใช้มาให้อีกหลายคน

ส่วนตัวเจ้าสีลาไม่ได้มาเยือนครอบครัวใหม่บ่อยนัก แต่ก็ได้ฝากความห่วงใยผ่านเจ้านางบัวเงินผู้เป็นภรรยาซึ่งมาที่บ้านในอำเภอกาสีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเหลือธิดาของท่านตามแต่ที่เจ้านางจันทร์ฟองจะขอมา

ครอบครัวใหม่ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างสุขสมรื่นรมย์ จอร์จได้ปฏิบัติตามคำสัญญาที่เคยมีให้กับบิดาของภรรยาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังพยายามปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับชีวิตใหม่ที่จะอยู่ตลอดไป

ไม่มีสิ่งใดอีกแล้วที่สร้างสิ่งจรรโลงใจให้กับท่านเท่ากับครอบครัวใหม่ที่เขากับภรรยากำลังสร้างให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ทั้งสองจะทำได้



Don`t copy text!