เจเน็ต…ดวงมณีแห่งลำน้ำโขง บทที่ 5 : จากลาชั่วนิรันดร์
โดย :
อัตชีวประวัติของ เจเน็ต ดวงเนตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณอ่านออนไลน์ กับเรื่องราวของ “เจเน็ต” หรือ “จันทร์นวล” หญิงสาวลูกครึ่งลาว-ฝรั่งเศส ที่มีชีวิตผกพันตลอดเวลา จากชาติกำเนิดสูงส่ง เธอต้องกลายเป็นกำพร้าทั้งบิดามารดาและโชคชะตาพัดพาให้เธอต้องเดินทางไกลไปหลายประเทศ ก่อนจะมากหยั่งรากลงที่ผืนแผ่นดินไทยในบั้นปลายของชีวิต
****************************
“ จันทร์ฟอง… จันทร์ฟอง… เจ้าเป็นอะไร? ”
เจ้านางบัวเงินถลาเข้าไปหาลูกอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นร่างอันแบบบางบนเตียงกระตุกอยู่หลายครั้ง
เจ้านางบัวเงินแทบจะย้ายมาอยู่กับธิดาที่บ้านกาสี อาการของลูกไม่ดีขึ้นเลย จะรู้สึกตัวบ้างก็บางเวลาเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วลูกมักจะนอนไม่รู้สึกตัวจนน่าเป็นห่วง
นี่ก็ย่างเข้าสัปดาห์ที่สี่นับแต่ให้กำเนิดธิดาน้อย ใบหน้าซีดขาวปราศจากสีเลือดดูแล้วก็น่ากังวลนัก
แม้แต่ตัวสามีเมอซิเออร์ ธีโบลต์ก็ไม่มีกะจิตกะใจทำงาน ชายหนุ่มให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาทำหน้าที่นำเอกสารมาให้ที่บ้านและรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น
มีอยู่น้อยครั้งที่จอร์จจะมีรอยยิ้มให้ผู้ใดได้เห็น ยกเว้นในยามที่พี่เลี้ยงหรือแม่นมอุ้มเจเน็ต ลูกสาวมาให้ท่าน ชายหนุ่มอุ้มลูกเอาไว้แนบอกด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง ใบหน้าเล็กกระจิ๋วหลิวหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดของท่าน
“ เจ้าจะรู้หรือไม่หนอว่าแม่ป่วยหนัก… ”
เจ้านางบัวเงินใช้ผ้าขาวชุบน้ำอุ่นเช็ดหน้าและเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ลูกอย่างเบามือ เจ้านางจันทร์ฟองดูจะสงบลงบ้าง แต่คิ้วทั้งสองข้างยังขมวดเข้าหากัน ลูกคงจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเป็นแน่แท้
“ เมอซิเออร์ ธีโบลต์… ”
ท่านเรียกลูกเขยแบบนั้น
“ เมื่อใดหนอหมอฝรั่งจะมาถึงเสียที ? ”
“ กระผมคิดว่าคงอีกสองวันกระมัง เพราะได้ข่าวว่าตอนนี้ลงเรือล่องแม่น้ำโขงมาแล้วขอรับ ”
ทั้งแม่ยายกับลูกเขยเจรจากันอย่างสุภาพแบบนี้ตลอดมานับตั้งแต่รู้จักกัน เจ้านางบัวเงินรู้สึกเกรงๆ ลูกเขยฝรั่งคนนี้อย่างไม่เสื่อมคลาย ถึงจะแต่งงานกับจันทร์ฟองแล้ว เจ้านางบัวเงินก็ไม่สามารถพูดจากับบุตรเขยอย่างสนิทชิดเชื้อได้ แม้จะมีความรักใคร่ในบุตรเขยก็ตาม ท่านบอกกับตัวเองเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ว่า
“ เขาเป็นฝรั่งต่างชาติ ไม่เหมือนคนลาว… จะให้พูดจากระไรได้ ข้าพูดไม่เป็นหรอก… ”
ทั้งสองคนนั่งกันอยู่คนละข้างของขอบเตียง ต่างก็จับมือของเจ้าจันทร์ฟองไว้ มือข้างหนึ่งของจอร์จลูบผมของภรรยาอย่างแผ่วเบา สองปีที่ผ่านมาไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่ทั้งสองสามีภรรยาจะกลายเป็นอื่น ตรงกันข้าม นับวันความรักของทั้งสองก็ยิ่งงอกงามราวกับดอกไม้ต้นไม้ที่ได้รับน้ำจากฟ้าในฤดูฝน
ความรักของครอบครัวเล็กๆ นี้แผ่ไปถึงบิดามารดาและญาติมิตรที่อยู่ใกล้ชิด จนกระทั่งจอร์จแทบจะไม่รู้สึกตัวว่าผิดแผกไปจากคนลาวโดยทั่วไป
ความคิดคำนึงของทั้งสองคนหยุดชะงักเมื่อเจ้านางจันทร์ฟองกระตุกถี่ๆขึ้นมาอีก ครั้งนี้… ใบหน้าอันขาวซีดบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เสียงแผ่วๆ ดังลอดออกมาให้ได้ยิน
“ จอร์จ… จอร์จ… ลูกของเรา… ”
สิ้นเสียงร่างทั้งร่างกระตุกอีกเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็แน่นิ่งไป เจ้านางบัวเงินส่งเสียงกรีด ฝ่ายจอร์จรีบเข้าไปสวมกอดภรรยา
“ จันทร์ฟอง… ตื่น…ตื่น… ”
พูดพลางเขย่าร่างของภรรยาไปมา ไม่มีความรักใดๆ ยื้อชีวิตของเจ้านางจันทร์ฟองได้อีกแล้ว ชีวิตอันแสนสั้นได้ลาจากสามีสุดที่รักกับลูกน้อยไปอย่างไม่มีวันกลับ
เจ้านางบัวเงินแทบจะเบือนหน้าหนีภาพของสามีซบหน้าลงบนใบหน้าอันซีดขาวของภรรยา น้ำตาหลั่งริน…
จอร์จรู้สึกว่าโลกกำลังจะถล่มทลาย ดวงตาดูมืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใด หัวใจร้องไห้ให้กับการสูญเสียดวงใจดวงนี้ไปชั่วนิรันดร์
อีกนาน… กว่าจอร์จจะรู้สึกตัว เขาค่อยๆ วางร่างของภรรยาลง แล้วลุกขึ้นไปอุ้มลูกน้อยด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งใช้กอดภรรยาไว้แนบอก ราวกับว่าสามชีวิตจะหล่อหลอมเป็นชีวิตเดียว เจ้านางบัวเงินเบือนหน้าหนี เธอไม่อาจมองภาพที่อยู่เบื้องหน้าได้อีก
เจ้าสีลาผู้บิดารีบขึ้นไปวัดพูสี เมื่อได้ข่าวการจากไปของธิดา ท่านขึ้นไปปรึกษาหลวงเจ้าพ่อ ญาติผู้ใหญ่ของราชสกุล “เชื้อเจ็ดตน” เกี่ยวกับพิธีกรรมที่ควรจะกระทำเพื่อให้เจ้านางจันทร์ฟองจากไปอย่างสงบ หลวงเจ้าพ่อบอกกับท่านว่า
“ เราจัดพิธีแต่งงานให้ เราก็จะจัดพิธีศพให้หลานของเราเช่นกัน เจ้ารีบกลับไปที่บ้านจันทร์ฟองจัดการห่อร่างของนางด้วยผ้าดิบสีขาว ให้คนทำแคร่หามศพ จัดการเรื่องอื่นๆ ให้เรียบร้อย แล้วแห่ศพมาที่นี่ เราจะจัดการทางนี้รอเจ้า ”
เจ้าสีลาเดินลงมาจากวัดพูสีด้วยดวงใจที่หนักอึ้ง ท่านไม่อยากเห็นลูกรักในสภาพเช่นนี้เลย เทพยดาเบื้องบนคงดลบันดาลให้บุพการีต้องมาทำศพลูกของตัวเอง ท่านคงเคยทำบาปหนาเอาไว้จึงต้องมาชดใช้กรรมในชาตินี้
เมื่อไปถึงบ้านของลูกที่กาสี ก็พบภรรยากำลังอาบน้ำแต่งตัวให้ลูกรัก
แม้ใบหน้าจะซีดเซียว แต่ความงดงามก็ยังคงอยู่ถึงจะปราศจากชีวิตแล้วก็ตาม จอร์จอุ้มลูกน้อยนั่งอยู่ใกล้ๆ ดวงตาเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย นานๆ ครั้งเมื่อรู้สึกตัวก็จะอุ้มลูกขึ้นมาแนบอก ใบหน้าซบกับศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อย ท่านรำพันอยู่ในใจว่า
“จันทร์ฟองที่รักคุณจะจากผมกับลูกไปแบบนี้ได้อย่างไร ? ชีวิตของผมต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ? ผมมองไม่เห็นเส้นทางนั้นเลย… ”
ตลอดพิธีศพ จอร์จทำทุกอย่างตามแต่จะมีคนบอกให้เขาทำ ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าตลอดพิธีศพได้ทำอะไรลงไปบ้าง
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูหม่นมัวไปหมด ราวกับว่าเมฆหมอกทึบเคลื่อนลงมาปกคลุมวัดพูสีอย่างหนาแน่น
จอร์จรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูก จำได้เพียงอย่างเดียวว่าท่านให้ทำพิธีตามประเพณีลาว และขออัฐิส่วนหนึ่งของภรรยาสุดที่รักกลับมาไว้ในบ้านที่กาสี ส่วนอัฐิที่เหลือนั้น หลวงเจ้าพ่อเก็บใส่กู่เอาไว้ด้านหลังของวัดพูสี ที่นี่จะเป็นที่พักผ่อนของเธอชั่วนิรันดร
จอร์จนำอัฐิของภรรยามาวางไว้บนแท่นสูงในห้องทำงานของเขา เธอจะอยู่กับเขาตลอดไปไม่ว่าจะหลับหรือตื่น
ในระยะแรกหลังจากที่เจ้านางจันทร์ฟองจากไป เจ้านางบัวเงินผู้เป็นมารดาทำหน้าที่จัดการทุกอย่างในบ้านกาสีแทนบุตรเขยซึ่งยังคงเศร้าโศกอยู่ เธอจัดญาติสนิทมาอยู่ด้วย เพื่อทำหน้าที่ดูแลหนูน้อยจันทร์นวล หรือเจเน็ตตามที่บิดาเรียก นอกจากนี้ก็ยังมีคนรับใช้อีกหลายคนเข้ามาช่วยงานในบ้าน ตลอดจนอาหารการกินให้แก่ เมอซิเออร์ ธีโบลต์ผู้เป็นลูกเขย
ตลอดเวลาจอร์จเก็บตัวอยู่ในห้องทำงาน หรือมิฉะนั้นก็ไปยังสำนักงานอาณานิคม แต่เขาไม่เคยลืมลูกน้อยผู้น่าสงสาร
“ อายุของเจ้ายังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำไป แม่เจ้าก็จากไป มีแต่พ่อคนนี้ที่จะทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ให้กับเจ้าเอง”
วันเวลาค่อยๆ ช่วยให้ความโศกเศร้าทุเลาลงไปบ้าง จอร์จบอกกับตัวเองว่า หากล้มไปอีกคน ลูกรักจะอยู่ได้อย่างไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้จอร์จก็หันมาจัดการกับตัวเอง เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปตามครรลองของมัน นับวันหนูน้อยเจเน็ตก็ยิ่งน่ารัก ดวงตาสีน้ำตาลกลมโต แก้มยุ้ย ปากเล็กๆ ยิ้มรับบิดาอยู่เสมอเมื่อท่านเข้ามาใกล้ ลูกช่างน่ารักเป็นหนักหนา เขาไม่เคยลืมบุญคุณของเจ้านางบัวเงินที่เข้ามาช่วยดูแลหลานในยามที่มีภารกิจที่สำนักงานอาณานิคม
มีอยู่หลายครั้งที่จอร์จต้องเดินทางไปประชุมกับผู้สำเร็จราชการอาณานิคมอินโดจีน ณ กรุงฮานอย แต่ลูกน้อยก็ยังมีคนดูแลเอาใจใส่
ชายหนุ่มจำได้ว่า ครั้งหนึ่งเจ้านางบัวเงินมาบอกว่า เมื่อเจ้านางจันทร์ฟองจากไปได้ไม่กี่วัน เจ้ามหาชีวิตทรงรับทราบเกี่ยวกับการจากไปของหลานที่พระองค์ทรงเคยรักใคร่เอ็นดู แต่พระองค์มิได้มีรับสั่งประการใด เพียงแต่พยักพระพักตร์รับรู้เท่านั้น ความรังเกียจหลานเขยต่างชาติต่างภาษายังคงมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย
จอร์จเฝ้าคิดอยู่ตลอดเวลาถึงวิธีการจัดการกับชีวิตของตัวเองและลูกน้อย เมื่อปราศจากภรรยาสุดที่รักไปแล้ว การดำเนินชีวิตคงจะขลุกขลักพอสมควร
ครอบครัวที่ไร้แม่บ้านเปรียบได้กับการเดินคลำทางด้วยไม่รู้ว่าจะไปทางทิศใด ถึงแม้ว่าเขาจะโชคดีที่มีเจ้านางบัวเงินมารดาของภรรยาเข้ามาช่วยดูแลอย่างแข็งขัน ด้วยความเวทนาหลานสาวที่กำพร้ามารดาเมื่อมีอายุยังไม่ครบหนึ่งเดือน ตัวเขาเองเป็นถึงบิดาต้องรับหน้าที่ส่วนนี้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หรืออย่างน้อยที่สุดก็ขอให้ลูกรักมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมแม้จะปราศจากมารดาก็ตาม
ผู้คนที่เห็นและรู้จักจอร์จต่างพากันเห็นพ้องต้องกันถึงบุรุษที่ทำงานหนักเพื่อดูแลดินแดนลาวที่ตัวเองรับผิดชอบ และยังทำหน้าที่พ่อของลูกที่ยังแบเบาะอยู่
หนูน้อยจันทร์นวลหรือเจเน็ต โตวันโตคืนเลี้ยงง่ายไม่งอแง ไม่ว่าใครจะสับเปลี่ยนกันเข้ามาดูแล หนูน้อยก็ยังยิ้มแย้มให้อุ้มอย่างง่ายดาย
เมื่อเติบโตขึ้นราวๆ สี่เดือน เจ้ายายก็เริ่มให้อาหารเสริมอ่อนๆ แม้จะยังกินนมจากแม่นมคนเดิมก็ตาม จอร์จหลงใหลลูกน้อยซึ่งนับวันลูกก็ยิ่งน่ารักน่าชัง อ้วนท้วนแข็งแรง และมีหน้าตาคล้ายคลึงกับเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน จนใครๆ มักเรียกหนูน้อยว่าลูกฝรั่ง
จอร์จปล่อยให้เจ้านางบัวเงินช่วยจัดการภายในบ้านโดยส่งคนมาช่วยหลายคน เมื่อลูกน้อยเริ่มหัดพูด เขาเป็นผู้เดียวที่ต้องรับผิดชอบด้านการหัดพูดภาษาฝรั่งเศส
เจ้านางจันทร์นวลจึงพูดอือๆ อาๆ ทั้งภาษาลาวและภาษาฝรั่งเศสปนกันไป มีอยู่หลายครั้งที่เจ้านางบัวเงินอุ้มหลานตัวน้อยเข้าวัง แต่มิได้นำไปเข้าเฝ้าเจ้ามหาชีวิต เพียงแต่นำหลานไปยังคุ้มส่วนตัวภายในพระราชวัง แต่ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่ท่านจะให้หลานค้างคืนในวังหลวง
เมอซิเออร์ ธีโบลต์เป็นผู้ไม่ยินยอมในเรื่องนี้ ชายหนุ่มยืนยันว่าลูกต้องอยู่กับบิดาทุกคืน หากคืนใดต้องไปราชการนอกเขตหลวงพระบาง เขาก็จะขอให้เจ้านางบัวเงินมาอยู่ดูแลหลานที่บ้านกาสี แต่ไม่ยินยอมให้ลูกน้อยไปค้างคืนที่อื่น
นับวัน เจ้าจันทร์นวลก็ยิ่งน่ารัก หนูน้อยส่อแววว่าจะเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตางดงามเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมากกว่านี้ ทั้งสีของดวงตาและเส้นผมสีน้ำตาลทำให้หนูน้อยดูแตกต่างไปจากเด็กอื่นๆ ในหลวงพระบาง
เจ้ายายบัวเงินหลงหลานจนออกนอกหน้า และมักมาที่บ้านกาสีทุกวันแทบจะไม่เว้น แม้แต่เจ้าสีลาผู้เป็นตาก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เจ้าจันทรผู้เป็นลุงก็เช่นกัน แม้จะยังครองผ้าเหลืองของพระภิกษุอยู่ก็ตาม
“ ปาป๊ะ… ปาป๊า… ”
หนูน้อยจันทร์นวลเรียกบิดาตะกุกตะกัก แล้วรีบเดินเตาะแตะรี่เข้าหาบิดาเมื่อมองเห็นบิดาเดินขึ้นบันไดบ้าน
จันทร์นวลโผเข้าหาบิดา ซุกหน้าอยู่กับอก จอร์จกอดลูกน้อยเอาไว้แน่น แล้วก็อุ้มลูกเดินเข้าไปในบ้าน ลูกพูดฉอเลาะกับบิดาแม้จะยังไม่ชัดเจน แต่ผู้ฟังก็พอจับความได้ ชายหนุ่มยิ้มกับลูกด้วยแววตาอ่อนโยน ส่วนหนูน้อยจ้องตาบิดาเขม็ง แล้วพูดว่า
“ ปาป๊า ปาป๊า กินข้าวได้แย้วค่ะ ”
“ ไป เราไปด้วยกัน ”
ทั้งสองเจรจาภาษาฝรั่งเศสกัน หนูน้อยพูดได้บ้างเป็นบางคำ สมองของหนูน้อยคงสั่งไว้ว่ากับบิดาต้องพูดภาษานี้ ส่วนกับคนอื่นต้องพูดภาษาลาว แต่เมื่อพูดออกไปแล้วทั้งสองภาษาก็ปนเปกันไป สร้างความขบขันให้แก่ผู้ฟังอยู่เสมอ
จอร์จอุ้มลูกเข้าไปในห้องซึ่งจัดไว้เป็นห้องอาหาร คนรับใช้จัดสำรับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารลาวที่ท่านรับประทานได้ การกินง่ายอยู่ง่ายของเขานำความสบายใจมาสู่ผู้คนภายในบ้านเป็นอย่างยิ่ง
จอร์จพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมลาวมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะด้านข้าวปลาอาหารซึ่งนับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับการดำรงชีวิตประจำวันแม้ว่าน้ำหนักตัวจะลดลงบ้าง แต่ก็มิได้ป่วยไข้ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างเรียบร้อย เขาบอกกับสุดที่รักในใจว่า
“ จันทร์ฟอง ผมจะไม่ไปไหนอีกแล้ว ดินแดนนี้คือเรือนตายของผม ผมจะอยู่กับคุณที่นี่ตลอดไป ”
วันคืนผ่านไปหลายปี จนเจ้านางจันทร์นวลหรือเจเน็ตมีอายุได้สี่ขวบแล้ว
เวลานี้หนูน้อยพูดจาได้อย่างคล่องแคล่วทั้งสองภาษา อายุที่เพิ่มขึ้นของลูกน้อย สร้างความกังวลใจมาสู่ผู้เป็นบิดา
เมื่อจอร์จนึกถึงการศึกษาของลูก หลวงพระบางยังไม่มีโรงเรียนสำหรับเด็กหญิง ส่วนเด็กชายสามารถเรียนในวัดได้ เขาจะจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ลูกน้อยจะเติบโตโดยไม่ร่ำเรียนคงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน…วิธีใดจึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
โรงเรียนประถมและมัธยมที่สำนักงานอาณานิคมฝรั่งเศสมีโครงการสร้างขึ้นนั้น จำเป็นต้องรอจนกว่าจะมีครูพร้อมก่อน
ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอินโดจีนมีจำนวนพอสมควร โดยเฉพาะที่กรุงฮานอยและไซ่ง่อน เนื่องจากเป็นศูนย์กลางการปกครองอาณานิคมอินโดจีน แต่ที่ลาวนั้นจำนวนคนต่างชาติมีน้อยกว่าน้อย บุคคลเหล่านี้ถ้าหากไม่มาประจำการในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลฝรั่งเศสดังเช่นตัวท่าน ก็จะมาในฐานะทหารซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก หรือมิฉะนั้นก็จะเป็นพวกพ่อค้าวานิชที่สนใจในกิจการป่าไม้
ดังนั้น การหากำลังคนมาทำหน้าที่สอนจึงต้องพึ่งพาบุคคลอื่น เป็นต้นว่าพวกมิชชันนารี ทางสำนักงานอาณานิคมหวังพึ่งพวกมิชชันนารีที่เดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในแผ่นดินลาว ซึ่งคงต้องใช้เวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไปจึงจะได้รูปร่างที่แน่นอน ตัวเมอซิเออร์ ธีโบลต์มีความหวังว่า การสร้างโรงเรียนจะดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมายดังที่ตั้งใจไว้แต่แรก
เขาเคยปรึกษาหมอจอห์น ดอดด์ ซึ่งเป็นทั้งนายแพทย์และมิชชันนารี เมื่อครั้งที่คุณหมอท่านนี้เดินทางมาเพื่อจะรักษาเจ้านางจันทร์ฟอง ครั้งนั้นหมอดอดด์เดินทางมาไม่ทันการเพราะเจ้านางจันทร์ฟองเสียชีวิตไปก่อนเพียงไม่กี่วัน
หมอดอดด์ได้แนะนำว่า การตั้งโรงเรียนต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยรับนักเรียนที่สนใจมาสอนกันที่บ้านของมิชชันนารีก่อน
คุณหมอยกตัวอย่างมิชชันนารีคนหนึ่งกับภรรยาของท่าน ที่เปิดห้องเรียนเล็กๆ รับสอนก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ขยายตัวขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งสามารถตั้งโรงเรียนขึ้นได้ในที่สุด นายแพทย์ดอดด์สัญญาว่าจะส่งมิชชันนารีจากเมืองน่านและเมืองล้านนาอื่นๆ มาช่วยก่อตั้งคริสตจักรที่หลวงพระบาง เพื่อเป็นรากฐานของการศึกษาตามแบบอย่างคริสเตียนต่อไป
อย่างไรก็ดี ในขณะนี้ จอร์จจำต้องมีทางออกให้กับหนูน้อยเจเน็ต ครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ยังหาทางออกไม่ได้ ตัวเขาเองนั้นไม่อาจปลีกตัวมาสอนลูกได้ กว่าจะกลับถึงเคหะที่กาสี ก็เป็นเวลารับประทานอาหารเย็นและเจเน็ตก็ถึงเวลาเข้านอนแล้ว
มิหนำซ้ำในวันสุดสัปดาห์หลายๆ ครั้งชายหนุ่มยังมีภาระกิจอื่นๆ ที่ต้องทำเป็นต้นว่า การเดินทางไปสำรวจดินแดนที่อยู่รายล้อมนครหลวงพระบาง การดูแลเส้นทางการค้าที่ติดต่อกับดินแดนอื่น ฯลฯ ดังนั้นจอร์จจึงทิ้งเรื่องการเรียนของลูกน้อยเอาไว้ชั่วคราว จนกว่าจะคิดหาทางออกได้
แล้ววันหนึ่ง จอร์จก็ได้รับจดหมายจากพี่สาวของท่านที่เมืองมาร์เซย์ จดหมายฉบับนี้ทำให้เขาต้องคิดหนักไปกว่าเดิมอีก
“ จอร์จ น้องรัก
พี่ได้รับจดหมายจากเจ้าแล้ว จดหมายฉบับนี้กินเวลาเดินทางนานกว่าฉบับอื่นๆที่พี่ได้รับจากเจ้า มันคงไปกองรวมกับเอกสารและจดหมายอื่นๆ ที่กรุงฮานอยใช่ไหม ? และกว่าเรือจะไปรับก็ใช้เวลา แล้วเวลาเดินทางกลับมาที่นี่อีกเล่า ! แต่ก็ไม่เป็นไร ขอให้พี่รู้ว่าเจ้ากับหลานเจเน็ตสุขสบายดีพี่ก็พอใจแล้ว
พี่เพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนที่นี่ งานที่รับผิดชอบจึงมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
โรงเรียนของเราที่นี่มีจำนวนนักเรียนมากขึ้นกว่าเดิม เจ้าคงจำได้ใช่ไหมว่าพวกเราพี่น้องเรียนโรงเรียนเล็กๆ มาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เจ้าคงจำโรงเรียนที่เราเคยเรียนไม่ได้แล้ว เพราะมันขยายออกใหญ่โตกว่าเดิม
สำหรับโรงเรียนที่พี่ดูแลอยู่ แม้จะขยายขึ้นแต่เราก็มีครูเพียงพอกับจำนวนนักเรียน ทางโรงเรียนจึงไม่มีปัญหาทางด้านนี้
อีกอย่างหนึ่ง การที่โรงเรียนเป็นโรงเรียนหญิงล้วน การดูแลจึงดูจะง่ายขึ้นกว่าโรงเรียนผสมชายหญิง
หนูเจเน็ตเป็นอย่างไรบ้าง? ปีนี้คงสี่ขวบแล้วสินะ เจ้าจะจัดการกับลูกอย่างไร? อีกไม่นานเขาคงต้องเข้าโรงเรียนแล้วใช่ไหม? แล้วเจ้าจะทำอย่างไร? จะมีเวลาสอนหนังสือให้ลูกหรือ? คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
พี่อยากจะขอเสนอว่า ให้เจ้าส่งเจเน็ตมาให้พี่ดูแลได้ไหม? พี่จะได้เอาหลานเข้าโรงเรียนด้วย เจ้าจะยินยอมให้ลูกอยู่ห่างจากเจ้าได้ไหม?
คิดให้ดีก่อนตัดสินใจปฏิเสธพี่นะ ตัวพี่เองอยากเห็นหลานที่น่าสงสารคนนี้ใจแทบขาด
ถ้าเจ้ายอมส่งหลานมาที่นี่ พี่สัญญาด้วยเกียรติว่าจะรักและดูแลหลานให้ดีที่สุดเท่าที่พี่จะทำให้เจ้าได้ ลองคิดดูให้ดี…
ญาติพี่น้องและลูกหลานทุกคนทางนี้สุขสบายดี พวกเขาคิดถึงเจ้ากันทุกคน และทุกคนก็อยากเห็นเจเน็ต สมาชิกของครอบครัวที่พวกเขายังไม่เคยเห็น
ขอพระผู้เป็นเจ้าปกป้องรักษาเจ้ากับเจเน็ตด้วยเถิด
จาก
พี่สาวของเจ้า ”