คดีรักร้าง บทที่ 1 : ใบหย่าบนโต๊ะอาหาร
โดย : เวฬุวลี
‘คดีรักร้าง’ นวนิยายดีเด่นกลุ่มครอบครัวจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 2 ผลงานจาก ‘เวฬุวลี’ อาจารย์มหาวิทยาลัยที่เดินตามฝันในวัยเด็กสู่บทบาทใหม่กับการเป็นนักเขียน อ่านเอาขอชวนทุกคนมาอ่านกันกับนวนิยายออนไลน์ครบรส ที่จะย้ำเตือนสติของหญิงสาวผู้ถูกสามีนอกใจ แล้วคดีรักร้างจะสร้างความร้าวรานให้หัวใจแค่ไหน ต้องพิสูจน์!!
“ฉันหย่าแล้วนะ”
คำพูดนั้นออกมาจากริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพูอ่อนของศลิษา แต่น้ำหนักของเสียงนั้นหนักแน่นไม่เจือจางเหมือนกับสีที่อยู่บนริมฝีปาก จนเพื่อนทั้งสองที่ฟังอยู่ต่างรับรู้ได้ว่างานนี้ ‘ของจริง’
“บ้าน่า นี่แกไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมษา” ชนิกานต์ที่อดรนทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นมาก่อน
“‘ไม่เล่น เพิ่งไปเซ็นใบหย่ามาเมื่อเช้านี้เอง อยากจะดูไหมล่ะ”
ศลิษาไม่พูดเปล่า หล่อนหยิบใบหย่าที่เพิ่งเซ็นมาสดๆร้อนๆมาวางบนโต๊ะอาหารให้ชนิกานต์กับบัวบงกชได้เห็น จนเพื่อนทั้งสองต่างหมดคำพูดไปตามกัน
“แน่ใจแล้วเหรอษา” บัวบงกชเอ่ยถามเพื่อนอย่างเรียบๆ แม้จะรู้ดีในคำตอบ คบกันมายี่สิบปี ตั้งแต่วัยนักเรียนมัธยมใส่คอซอง จนต่างฝ่ายต่างแต่งงานมีครอบครัว และกระทั่งเพื่อนตัดสินใจจะเป็นโสดอีกครั้งในวันนี้ บัวบงกชยังไม่เคยเห็นศลิษาจะลังเลเวลาตัดสินใจเรื่องใด
“แน่ใจสิ ชีวิตคนเรามันสั้นนะบัว อีกไม่กี่เดือน เราก็จะสี่สิบกันแล้ว จะทนไปเพื่ออะไร”
“หมอนพเขานอกใจแกเหรอ” ชนิกานต์ถามขึ้นทันที
“เปล่า หมอนพเขาไม่เหมือนธีร์สามีของแกนะเดียร์”
น้ำเสียงศลิษามีแววประชด ชนิกานต์หน้าหมองลงทันใด ใครๆก็รู้กิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของสามีหล่อน แต่เมื่อชนิกานต์บอกว่า‘ทนไม่ไหว’ ธีร์ก็มักจะมาง้องอนและทำให้หล่อน ‘ทนไหว’ ทุกครั้งไป เพื่อนสนิทอย่างศลิษาและบัวบงกชจึงได้แต่รับฟังและเลิกให้คำแนะนำจนกว่าชนิกานต์จะตัดสินใจเดินออกมาจากชีวิตสมรสเอง
ใครจะไปรู้ว่าคนที่ไม่พูดอะไรเลยอย่างศลิษา กลับเลือกที่จะเดินออกมาก่อน
อาจเป็นเพราะศลิษายังมีอาชีพอยู่ หลังแต่งงาน ศลิษาเลือกที่จะกลับไปทำงานออฟฟิศเหมือนเดิม และจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูก ในขณะที่ชนิกานต์นั้นช่วยธุรกิจที่บ้านสามี และบัวบงกชเป็นแม่บ้าน การตัดสินใจของศลิษาจึงไม่ยากลำบากมากนัก เมื่อหล่อนมั่นใจว่าสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ แม้ปราศจากสามี
“หรือว่าแกมีคนใหม่” บัวบงกชคาดเดาเหตุผลไปอีกทาง
“ก็เปล่าอีกนั่นแหละ”
“แล้วทำไมล่ะ อยู่ ๆ แกหย่าทำไม” บัวบงกชงงงัน หล่อนนึกไม่ออกว่าจะมีสาเหตุใดร้ายแรงจนถึงขนาดทำให้ทั้งคู่ต้องเลิกร้างกัน ศลิษาแต่งงานกับนายแพทย์นพนัยหลังคู่ของหล่อนกับปรเมศวร์ประมาณหนึ่งปี เท่ากับตอนนี้ทั้งคู่อยู่กันมาสิบสี่ปีแล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่าทั้งคู่จะลุกขึ้นมาหย่ากันตอนนี้
“ไม่ใช่อยู่ๆหรอก” ศลิษาพยายามอธิบาย “มันนานแล้วล่ะ… ที่ฉันรู้สึกไม่เหมือนเดิม ไม่รู้มันเริ่มมาจากตรงไหน ตอนแรกๆฉันก็พยายามปรับ พยายามจูน แต่ดูเหมือนหมอนพเขาไม่ได้คิดว่ามีอะไรที่เป็นปัญหา มันก็เลยเหมือนฉันพยายามอยู่คนเดียว ฉันเลยเริ่มเซ็ง แล้วก็เลิกพยายามไป”
แววตาของศลิษามีรอยเศร้าจางๆเมื่อเอ่ยถึงอดีตคู่ชีวิต “พอต่างคนต่างพูดกันน้อยลง วันหนึ่ง เราก็ไม่รู้สึกว่าเราเป็นสามีภรรยากันอีกแล้ว เหมือนเป็นแค่พ่อแม่ของลูก หรืออาจจะเป็นแค่..คนที่อยู่ร่วมบ้านกันเท่านั้นเอง”
บัวบงกชและชนิกานต์ต่างเงียบงันทั้งคู่ ในใจของหญิงสาวทั้งสองต่างก็กำลังหวนคิดไปถึงคู่ของตนว่าตอนนี้เป็นแค่ ‘คนร่วมบ้าน’ กันหรือไม่
“นั่นแหละ ฉันก็เลยชวนหมอนพไปหย่า หิวแล้ว กินอะไรดี” ศลิษาเปลี่ยนประเด็นกระทันทันจนเพื่อนทั้งสองตามไม่ทัน หล่อนหยิบเอาเมนูของร้านอาหารมาดู เหมือนเรื่องการหย่าเป็นแค่ออเดิร์ฟก่อนมื้ออาหาร
“แล้วลูกล่ะ น้องต้นน้ำจะทำยังไง” บัวบงกชเอ่ยถึงพยานรักวัยหกขวบของศลิษากับอดีตสามี
ศลิษายิ้มเหมือนเดาได้ถูกว่าหล่อนจะต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “ไม่ต้องทำยังไง หมอนพกับฉันแค่เลิกเป็นผัวเมียกัน แต่เขากับฉันไม่ได้เลิกเป็นพ่อแม่ของต้นน้ำเสียหน่อย”
แล้วศลิษาก็จบบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคู่ที่จบลงของหล่อนเพียงแค่นั้น บัวบงกชกับชนิกานต์ไม่กล้าถามอะไรต่ออีก แต่บัวบงกชยังคงครุ่นคิดถึงคำของศลิษาตั้งแต่ร่ำลาเพื่อนทั้งสองออกมาจากร้านอาหารจนขับรถกลับถึงบ้านในตอนนี้
หล่อนกับสามีของหล่อนเป็นแค่ ‘คนร่วมบ้าน’ กันหรือเปล่า อาจจะเป็นน้อยกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ ในเมื่อปรเมศวร์รับราชการอยู่ที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก และหล่อนเลือกที่จะอยู่ที่กรุงเทพฯกับลูก บัวบงกชได้เจอและร่วมบ้านกับเขาจริงๆก็เพียงแค่เย็นวันศุกร์ไปจนถึงบ่ายของวันอาทิตย์เท่านั้น ยังดีหน่อยที่จังหวัดที่ปรเมศวร์เลือกไปทำงานอยู่ใกล้ในระยะทางขับรถไม่เกินสองชั่วโมงจากกรุงเทพฯ บัวบงกชเลยยังได้เจอหน้าเขาเกือบทุกสุดสัปดาห์
บัวบงกชยังเคยล้อเขาเล่นเสียด้วยซ้ำว่าเขากับหล่อนเป็นคู่รักวันหยุด
แล้ววันธรรมดาเล่า… ปรเมศวร์จะครองตัวเป็นโสด เสมือนว่าไม่มีลูกเมียรออยู่ที่บ้านหรือเปล่า ในเมื่อเขาเองเพิ่งอายุสี่สิบต้น หน้าตาที่เคยอ่อนใสในวัยหนุ่มก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมาก เพียงแต่ภูมิฐานมากขึ้น และยังมีหน้าที่การงานที่มั่นคง จากตำแหน่งข้าราชการเล็กๆ เขาไต่เต้าจนได้เป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดในวัยที่ยังน้อยกว่าคนที่ตำแหน่งเดียวกันมาก หล่อนเองที่อยู่กับเขามานาน ยังรู้สึกว่าปรเมศวร์เป็นชายที่ครบครันอย่างที่ผู้หญิงสักคนใฝ่ฝันหา
ความรุ่มร้อนในใจทำให้บัวบงกชตัดสินใจกดสายไปหาสามีในเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอยู่ไม่กี่ครั้ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะรับสาย
“ฮัลโหล”
บัวบงกชชะงัก เพราะเสียงที่มาตามสายนั้นไม่ใช่เสียงของสามีหล่อน หากเป็นเสียงของผู้หญิงที่หล่อนไม่คุ้นหูมาก่อน
“นี่โทรศัพท์ของรองฯเมศหรือเปล่าคะ” บัวบงกชถามตามชื่อที่เพื่อนร่วมงานเรียกปรเมศวร์ บางทีเขาก็ทำงานจนดึกดื่น บัวบงกชเดาว่าปรเมศวร์น่าจะยังอยู่ที่ทำงาน และคนที่รับอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงานหญิงสักคน
เสียงหวานใสเงียบไป เหมือนมีเสียงส่งโทรศัพท์ไปให้กับอีกคน แล้วเสียงที่บัวบงกชคุ้นเคยก็ดังขึ้นมาตามสาย
“บัว ทำไมโทรมาค่ำจัง”
“บัวเพิ่งกลับมาจากข้างนอก ไปทานข้าวกับษาแล้วก็เดียร์มานะคะ แล้ว…เมื่อกี้ใครเหรอคะ?”
“อ้อ พี่นิภาไง บัวจำได้ไหม ตอนนี้พี่เขามาเป็นผู้ช่วยโครงการผม เมื่อกี้เขารับ เพราะผมคุยกับผู้ว่าฯอยู่ เราเพิ่งประชุมเสร็จ กำลังจะออกไปทานข้าวกัน”
ชื่อนั้นเป็นชื่อเพื่อนร่วมงานของปรเมศวร์ที่เขาเคยแนะนำให้หล่อนรู้จัก ในเมื่อไม่มีอะไรต้องถามต่อ บัวบงกชเลยเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วอาทิตย์นี้ คุณจะกลับบ้านไหมคะ”
“กลับสิ กลับ… เอ่อ ผมต้องไปแล้ว แค่นี้นะบัว คิดถึงคุณนะ”
แล้วปรเมศวร์วางสายไป บัวบงกชอมยิ้มกับคำสุดท้าย แล้วก็นึกขันตนเองที่ใจอ่อนไหวไปตามเรื่องของเพื่อน ศลิษาหย่า ชนิกานต์โดนสามีนอกใจ ไม่ได้แปลว่าชีวิตคู่ของปรเมศวร์กับหล่อนจะอับปางลงไปด้วยเสียหน่อย
————————–
เมื่อรู้ว่าปรเมศวร์จะกลับมาเย็นวันศุกร์ บัวบงกชเลยตระเตรียมของที่จะต้อนรับสามีตั้งแต่กลางสัปดาห์ เสาร์นี้เป็นวันที่พิเศษกว่าทุกวันเพราะเป็นวันครบรอบแต่งงานสิบห้าปีของหล่อนกับเขา แต่บัวบงกชก็เชื่อแน่ว่าปรเมศวร์คงจำไม่ได้เหมือนเคย และเวลาที่หล่อนแกล้งเตือนเขา ปรเมศวร์ก็จะยิ้มและบอกเหมือนทุกปีว่า ‘ก็เราแต่งงานกันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องมีวันไหนที่มาฉลองเป็นพิเศษเลย’
หลังจากส่งปณตลูกชายของหล่อนไปโรงเรียนแล้ว บัวบงกชก็ขลุกอยู่ในครัวทั้งวัน เพื่อทำชีสเค้กแบบที่ปรเมศวร์ชอบ หล่อนทำชีสเค้กให้เขาทานบ่อยสมัยยังเป็นคนรักกัน แต่พอแต่งงานและมีภาระหน้าที่เพิ่มขึ้น ก็ไม่เคยได้ทำอีกเลย
เสียงรถยนต์มาจอดอยู่หน้าบ้านทำให้บัวบงกชชะโงกหน้าไปมองจากหน้าต่าง รถสปอร์ตหรูแบบที่หล่อนเองก็เรียกชื่อยี่ห้อไม่ถูกจอดอยู่หน้าบ้าน ความหรูหราของรถนั้นยังไม่เท่ากับสตรีผู้ที่ก้าวขาลงมาจากรถ ผู้ซึ่งดูดี และดู ‘แพง’ ไปทั้งตัว
เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวชัด บัวบงกชก็ทึ่งกับผิวขาวจัดราวกับไข่มุกเกรดดีที่ดูเหมือนว่าในชีวิตนี้หล่อนคงไม่เคยต้องเผชิญกับแสงแดดกลางแจ้ง วัยของหล่อนน่าจะเด็กกว่าบัวบงกชหลายปี อาจจะยี่สิบปลายหรือสามสิบต้น
และที่น่าตื่นเต้น คือ ผู้หญิงคนนั้นเดินมากดออดหน้าบ้านของหล่อนด้วยนี่สิ บัวบงกชนึกไม่ออกเลยว่าผู้หญิงที่ดู ‘คุณหนู’ ขนาดนั้นจะมีธุระอะไรกับหล่อน
บัวบงกชเงอะงะ เช็ดมือที่เปื้อนแป้งเค้กออกก่อนไปเปิดประตูต้อนรับหญิงสาว
“สวัสดีค่ะ มีธุระอะไรหรือคะ”
หญิงสาวกวาดตามองทั่วร่างของบัวบงกช ถ้าเป็นคนอื่น บัวบงกชคงเคืองว่าอีกฝั่งกำลังเสียมารยาท แต่ผู้หญิงคนนี้ดูดีเกินกว่าที่บัวบงกชจะเอ่ยคำต่อว่า
“เห็นว่าจะขายบ้าน…ใช่ไหมคะ”
ลูกค้าที่สนใจซื้อบ้านนั่นเอง บัวบงกชยิ้มต้อนรับ แม้จะสงสัยอยู่เหมือนกันว่าหล่อนกับปรเมศวร์บอกกับคนวงในไม่กี่คนว่ากำลังจะขายบ้านที่กรุงเทพฯ และก็ไม่ได้โพสต์ประกาศลงในสื่อโซเชียล ไม่รู้ว่าลูกค้าคนนี้ไปได้ข้อมูลมาจากที่ไหน
“ใช่ค่ะ เชิญเข้ามาดูได้เลยค่ะ คุณ…”
“อรนลินค่ะ”
บัวบงกชมีรอยยิ้มนิดหนึ่งเมื่อได้ยินชื่อของหญิงสาว “บัวบงกชค่ะ เรียกสั้นๆว่าบัวก็ได้ เราสองคนชื่อความหมายเหมือนกันเลยนะคะ บังเอิญจัง”
อรนลินมีแววตาที่หล่อนอธิบายไม่ถูก เย็นชา ห่างเหิน แต่ก็ดูเหมือนมีบางอย่างที่ล้ำลึกไปกว่านั้นซ่อนอยู่ “ค่ะ บังเอิญดี…”
————————–
อรนลินก้าวเข้ามาในบ้านของบัวบงกช เมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมของบ้านสองชั้นในหมู่บ้านชนชั้นกลางทั่วไปแล้ว ความหรูหราของอรนลินดูเป็นสิ่งแปลกปลอมราวกับมาจากคนละโลก
“บ้านนี้มีสองห้องนอน สามห้องน้ำนะคะ ซื้อมาได้เกือบสิบหกปีได้แล้ว แต่สภาพยังดูดีอยู่ บัวกับสามีเราดูแลกันอย่างดี คุณอรนลินชมห้องรับแขกก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวบัวพาไปดูด้านบน”
อรนลินกวาดตามองรอบห้องรับแขกขนาดกะทัดรัดของหล่อน สายตาของหญิงสาวเหมือนจะหยุดที่รูปครอบครัวของบัวบงกชเป็นพิเศษ โดยเฉพาะรูปแต่งงานของหล่อนกับปรเมศวร์
“นี่สามีคุณหรือคะ?”
บัวบงกชอดขันกับคำถามนั้นไม่ได้ ใส่ชุดแต่งงานขนาดนั้น คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
“ใช่ค่ะ”
“สามีคุณอยู่ไหมคะ?”
“ไม่อยู่ค่ะ เมศ เอ่อ สามีฉันชื่อปรเมศวร์นะคะ เขารับราชการอยู่ที่ต่างจังหวัด”
“คงไม่ค่อยได้เจอกันสินะคะ”
บัวบงกชชักแปลกใจ แทนที่ลูกค้าสาวจะสนใจไถ่ถามเรื่องบ้าน กลับมาถามเรื่องหล่อนกับสามีเสียนี่ “ก็เจอกันอยู่ทุกอาทิตย์นะคะ คุณจะขึ้นไปดูข้างบนไหมคะ?”
อรนลินพยักหน้ารับ บัวบงกชเลยเดินนำหญิงสาวมาถึงที่หน้าห้องนอนชั้นบน
“นี่เป็นห้องนอนของฉันกับสามีนะคะ ส่วนนั่นเป็นห้องของปณต ลูกชายของฉัน”
หญิงสาวผู้เป็นแขกนิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยปาก “ขอดูข้างในห้องหน่อยได้ไหมคะ”
“เอ่อ พอดีบัวยังไม่ได้เก็บห้องเรียบร้อยดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอดูแป๊บเดียวเท่านั้น”
เมื่อแขกออกตัวแบบนั้น เจ้าบ้านอย่างหล่อนเลยต้องเปิดประตูห้องนอนให้หญิงสาวเข้าไปกวาดตามองรอบๆรวมถึงมองไปยังเตียงนอนของหล่อนกับสามีที่มีผ้าคลุมไว้อยู่
อรนลินไม่ได้พูดอะไรสักคำเมื่อเดินออกมาจากห้อง แล้วก็ไม่ได้ขอดูห้องของปณตต่อ บัวบงกชกำลังจะพาหล่อนลงไปด้านล่าง แต่หญิงสาวก็ถามขึ้นมาก่อน
“แล้วห้องนั้น ห้องอะไรเหรอคะ”
หล่อนชี้ไปที่ห้องที่อยู่ถัดจากห้องนอนของปณต บัวบงกชเลยไปเปิดประตูให้หล่อนได้เห็น “ห้องทำงานของสามีฉันค่ะ”
อรนลินชะโงกหน้าเข้าไปมอง ชะงักเมื่อเห็นโซฟาเบดที่มีหมอนและผ้าห่มที่ถูกพับไว้อยู่ด้านบน
“บางที สามีฉันทำงานดึกๆก็จะนอนห้องนี้แทนค่ะ”
อีกครั้งที่อรนลินมีแววตาที่ยากจะอธิบาย หญิงสาวไม่พูดอะไรจนกระทั่งบัวบงกชพาหล่อนลงมาที่ชั้นล่างอีกครั้ง และบอกราคาขายที่ปรเมศวร์ตั้งไว้
“ไม่ทราบว่าคุณอรนลินสนใจไหมคะ… ราคานี้ก็ยังพอต่อรองได้นะคะ”
อรนลินเชิดหน้าขึ้นน้อยๆเมื่อตอบกลับมา “ราคาไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉันหรอกค่ะ บ้านนี้ดีนะคะ.. แต่การตกแต่งดูโบราณมาก เชย ดูไม่มีเทสต์เอาซะเลย ถ้าฉันเข้ามา คงต้องปรับปรุงขนานใหญ่”
บัวบงกชอดรู้สึกเสียหน้าไม่ได้ การตกแต่งบ้านเป็นฝีมือหล่อนเสียส่วนใหญ่ เพราะหล่อนไม่ได้ทำงานนอกบ้าน แขกที่เคยมาเยือนก็มีแต่ชม ไม่เห็นมีใครจะพูดว่าดูโบราณ น้ำเสียงของหล่อนเลยแข็งขึ้นเมื่อตอบกลับ
“บัวเป็นคนแต่งเองล่ะค่ะ อยากให้คนที่อยู่รู้สึกอบอุ่น บ้านบางหลังก็ดูสวยเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารงานออกแบบ แต่หยิบจับอะไรต้องระวัง จนคนไม่อยากอยู่เลยก็มี”
ก็เหมือนคนที่สวยหรูดูแพงที่ยืนอยู่นี่ไง บัวบงกชเชื่อว่าอรนลินเป็นผู้หญิงที่ดูดีก็จริง แต่ใครที่อยู่ใกล้คงจะต้องเกร็งไม่น้อย
“แล้วที่เชยๆแบบนี้… ‘คน’อยากจะอยู่เหรอคะ”
อรนลินย้อนถาม บัวบงกชไม่รู้จะตอบคำถามนั้นว่าอย่างไร อรนลินก็ไม่ได้คาดคั้น เหมือนหล่อนจะได้คำตอบที่หล่อนต้องการแล้ว
“ไว้เดี๋ยวฉันจะติดต่อมาอีกทีแล้วกันนะคะ”
อรนลินทำท่าจะผละออกไป แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นชีสเค้กที่วางไว้บนเคาน์เตอร์ครัวเสียก่อน บัวบงกชมองตามสายตาของหญิงสาวแล้วอธิบาย
“สามีชอบทานชีสเค้กนะคะ บัวเลยเตรียมไว้ให้เขา” แววตาของบัวบงกชมีประกายแห่งความสุขเมื่อเอ่ยต่อ “วันเสาร์นี้เป็นวันครบรอบแต่งงานสิบห้าปีของเรานะคะ”
ถ้าเป็นหญิงสาวคนอื่นคงชื่นชมกับความใส่ใจที่ภรรยามีให้กับสามี แต่อรนลินกลับนิ่งไป ก่อนจะปริปากพูดสิ่งที่บัวบงกชไม่คาดคิด “สิบห้าปี ก็นานนะคะ… แต่อะไรๆมันก็เปลี่ยนไปได้ทั้งนั้น บางที สามีคุณอาจจะไม่ชอบชีสเค้กแล้วก็ได้”
บัวบงกชชักจะไม่พอใจลูกค้าสาวคนนี้อย่างจริงจัง วิจารณ์เรื่องบ้านยังไม่พอ นี่หญิงสาวจะมาออกความเห็นเรื่องสามีของหล่อนอีกหรือ “ไม่หรอกค่ะ เค้กนี่อร่อยนะคะ คุณอรนลินอยากลองชิมไหมคะ มีชิ้นที่บัวทำเผื่อๆไว้อยู่”
“ไม่ล่ะค่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาดุจเดิม “ฉันไม่ชอบของหวาน มันเลี่ยน!”