คดีรักร้าง บทที่ 4 : เจ้าบ่าวของเธอ คือ สามีของฉัน
โดย : เวฬุวลี
‘คดีรักร้าง’ นวนิยายดีเด่นกลุ่มครอบครัวจากโครงการช่องวันอ่านเอาปี 2 ผลงานจาก ‘เวฬุวลี’ อาจารย์มหาวิทยาลัยที่เดินตามฝันในวัยเด็กสู่บทบาทใหม่กับการเป็นนักเขียน อ่านเอาขอชวนทุกคนมาอ่านกันกับนวนิยายออนไลน์ครบรส ที่จะย้ำเตือนสติของหญิงสาวผู้ถูกสามีนอกใจ แล้วคดีรักร้างจะสร้างความร้าวรานให้หัวใจแค่ไหน ต้องพิสูจน์!!
บัวบงกชจ้องหน้าอรนลิน ผู้ที่เป็นเจ้าสาวในงาน หญิงสาวที่เคยบอกว่าจะมาซื้อบ้านของหล่อน
ตอนนี้บัวบงกชรู้แล้วว่าเป้าหมายของอรนลินไม่ใช่แค่บ้าน แต่เป็นสามีของหล่อนต่างหาก
บัวบงกชหันไปมองปรเมศวร์และอรนลินสลับกันไปมา สีหน้าและแววตาของทั้งคู่นั้นทำให้บัวบงกชมั่นใจว่าทั้งสองคนรู้เป็นอย่างดีว่าการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นโดยที่หล่อนยังเป็นภรรยาของเจ้าบ่าวอยู่
“เธอรู้ใช่ไหม… ผู้ชายคนนี้มีเมียแล้ว แล้วทำไม… ทำไมเธอถึงยอมแต่งกับเขา”
อรนลินไม่สนใจจะตอบคำถามของบัวบงกช หญิงสาวแค่หันไปพยักหน้าให้คนของครอบครัวหล่อนมาจัดการดึงตัวบัวบงกชออกไป บัวบงกชยังพยายามดิ้นและโวยวาย
“รู้ว่าเขามีเมียแล้ว ก็ยังจะเอา หน้าด้าน!”
อรนลินหันมามองหล่อนด้วยความโกรธ หญิงสาวเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีและเชื่อว่าตนเองนั้นมีดีกว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าในทุกทาง
“เขาไม่ได้รักเธอแล้ว รู้เอาไว้ด้วย”
จากนั้นอรนลินก็คว้าแขนสามีของบัวบงกชที่ขณะนี้ก็คือเจ้าบ่าวของหล่อน บัวบงกชนิ่งอึ้งน้ำตาคลอ ปรเมศวร์ก้มหน้า ไม่ยอมสบตาเธอ
“ไม่จริงใช่ไหมเมศ! คุณพูดสิว่าไม่จริง”
ปรเมศวร์นิ่งเงียบ สามีของหล่อนปกติก็เป็นคนที่ไม่ได้พูดอะไรมากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ความเงียบของเขาทำให้บัวบงกชเจ็บปวดเกินทน
“เมื่อเช้า คุณเพิ่งบอกว่าคุณรักบัว… คุณลืมแล้วเหรอ”
บัวบงกชพูดต่อไม่ไหว หล่อนพยายามกดเสียงสะอื้นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่กำลังหยดลงมา แต่สามีที่กลายมาเป็นเจ้าบ่าวของคนอื่นก็ยังไม่ยอมพูดอะไรกับเธอสักคำ อรนลินดึงปรเมศวร์ไปอีกทาง บัวบงกชได้แต่มองตามหลังสามีผ่านม่านน้ำตา ไม่อยากเชื่อว่าชายที่เคยบอกรักหล่อนอย่างอ่อนหวานเมื่อเช้านี้ จะกลายเป็นคนเดียวกันกับคนที่ตัดขาดหล่อนอย่างสิ้นเยื่อขาดใยในวันนี้
————————————
“แล้วฉันถูกดึง… ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าถูกลากมากกว่าออกมาจากบ้านหลังนั้น มีคนคอยตามประกบ ไม่ยอมให้ฉันคลาดสายตาไปไหน จนกระทั่งงานแต่งเลิก ฉันถึงได้ขับรถกลับกรุงเทพฯได้ พวกนั้นยังเอาโทรศัพท์มือถือฉันไปดู เพื่อให้มั่นใจว่าฉันจะไม่ถ่ายรูป หรือถ่ายคลิปอะไรออกไป”
ภาวินท์ฟังอย่างเงียบๆ สิ่งที่บัวบงกชเจอมานับว่าหนักหนาสาหัสพอดู หล่อนไปเจอว่าสามีมีหญิงอื่นไม่พอ ยังไปเห็นสามีและผู้หญิงคนใหม่แต่งงานกันต่อหน้าต่อตา
“ฉันกลับไปที่บ้าน… ยังเห็นเค้กที่ฉันทำให้เขา เห็นรูปแต่งงาน เห็นบ้านที่เราเคยอยู่ด้วยกัน…”
บัวบงกชน้ำตาไหลเมื่อนึกย้อนไปถึงในคืนนั้น คืนที่เธอแทบจะไร้สติ
เธอเขวี้ยงชีสเค้กที่เธอทำให้สามีลงถังขยะ รูปของความรักหวานชื่นเมื่อสิบห้าปีก่อนก็ถูกฉีกทิ้งแหว่งวิ่น พอๆกับชุดนอนสีดำที่เธอสวมเพื่อเอาใจเขาเมื่อคืน
บัวบงกชทรุดลงนั่งมองซากปรักหักพังทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า และแน่นอนว่าสิ่งที่พังทลายมากที่สุด ก็คือตัวเธอเอง ความรัก ความเชื่อใจ ความมั่นใจว่าสามีคือผู้ชายที่เธอจะอยู่ด้วยไปจนตลอดชีวิต สิ้นสลายไปในพริบตา
“ฉันเหมือนคนตาบอดเลยคุณว่าไหม… ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นคนเดียวที่ไม่รู้ว่าเขาคบกับผู้หญิงคนนั้นมานานจนถึงขั้นแต่งงานกัน ทั้งที่เพื่อนร่วมงาน กับแม่ของเมศ รู้เรื่องนี้กันทุกคน ไม่มีใครคิดจะบอกฉัน พวกเขายินดีกับสองคนนั่นด้วยซ้ำ”
บัวบงกชสะอื้น หล่อนมองภาพความมั่นใจของตนเองในอดีตเหมือนผงธุลีที่บังตา “ฉันมั่นใจมาก ฉันเชื่อว่าเมศรักฉัน ไม่มีวันที่จะนอกใจฉัน ฉันนี่มันโคตรโง่เลยคุณว่าไหม”
ภาวินท์ไม่ตอบหล่อน เขาเพียงแต่ยื่นกระดาษให้หญิงสาวใช้ซับน้ำตา รอจนหล่อนสงบสติอารมณ์ลงได้ เขาจึงถามต่อ
“คุณว่า… คุณรู้จักกับผู้หญิงงั้นเหรอ เขาคือใคร”
“อรนลิน” แววตาของบัวบงกชเจ็บแค้นเมื่อพูดถึงชื่อนี้ “อรนลิน วสันต์วาณิช”
ภาวินท์เงียบไปอึดใจ นามสกุลนั้นถึงไม่ใช่คนดังระดับประเทศ แต่ก็เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ระดับจังหวัดที่เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับวสันต์บุรี ก็ต้องมีข่าวของครอบครัวนี้เสมอ
“ลูกสาวคนเล็กของตระกูลวสันต์วาณิช”
“ค่ะ” บัวบงกชพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ ฉันเคยไปปรึกษาทนายมาแล้วสองสามคน แต่ไม่มีใครรับทำคดี พอรู้ว่าคนที่แย่งสามีฉันไปเป็นใคร”
“คุณเจอของแข็งเข้าแล้วล่ะ ถ้าพ่อของผู้หญิงคนนั้นคือ อัคระ วสันต์วาณิช เขาคงไม่ยอมให้ลูกตกไปเป็นเมียน้อยใคร เขาจะต้องมาบีบให้คุณเซ็นใบหย่าแน่ๆ”
บัวบงกชแค่นหัวเราะ สิ่งที่ภาวินท์คาดคิด ไม่ผิดไปจากความจริงเลย “ใช่ค่ะ หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้น สามีของฉันก็มาที่บ้าน เพื่อตกลงหย่ากับฉัน…”
——————————
ปรเมศวร์วางซองจดหมายไว้ที่โต๊ะด้านหน้าของบัวบงกช หญิงสาวมองหน้าสามีอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่เขาเองก็หลบสายตาของหล่อน
“อะไร?”
“คุณดูเองเถอะ”
ปรเมศวร์ตอบแค่นั้น บัวบงกชเลยต้องเป็นฝ่ายที่หยิบซองจดหมายนั้นเปิดออกดู แล้วจึงเห็นว่าข้างในมีเช็คเงินสดที่กรอกตัวเลขจำนวนหนึ่งแสนบาท
บัวบงกชหัวเราะอย่างขมขื่น สามีเพิ่งมาปรากฏตัวหลังจากเหตุการณ์ผ่านไป ไม่พูดจาขอโทษหล่อนสักคำ แต่กลับเอาเงินมาฟาดหัว
“ค่าหย่าเหรอคะ? บ้านที่ร่ำรวยขนาดนั้นมีเงินซื้อลูกเขยคนหนึ่งได้แค่นี้เองเหรอ”
“คุณจะได้เงินอีกก้อน ถ้าคุณไปที่เขตตามนัดหมาย” ข้อเสนอที่แสนใจดำหลุดออกมาจากปากของคนที่หล่อนเคยเรียกว่าเป็นสามี
บัวบงกชมองเช็คเงินสดในมือ หล่อนนึกถึงระยะเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมา นึกถึงครั้งแรกที่หล่อนพบกับเขา นึกถึงตอนแรกรัก จนกระทั่งตัดสินใจร่วมชีวิตและมีลูก
นึกถึงตอนที่หล่อนอดทนพยายามทำดีต่อแม่ของเขา แม้ว่าจะถูกพูดจากระทบกระเทียบอยู่ตลอด นึกถึงตอนที่หล่อนตัดสินใจเสียสละออกจากงาน เพื่อดูแลลูกที่ป่วยให้ดีที่สุด นึกถึงหล่อนที่พยายามอย่างหนักที่จะทำหน้าที่ทั้งเมียและแม่ที่ดี
ทั้งหมดที่หล่อนทำในระยะเวลาสิบห้าปี มีค่าเพียงเงินหนึ่งแสนบาท…
บัวบงกชขยำเช็คในมือก่อนจะเขวี้ยงมันออกไปให้พ้นสายตา ปรเมศวร์มองการกระทำของภรรยาอย่างโมโห เมื่อรู้แน่ว่าหล่อนไม่ยอมที่จะทำตามเขาโดยง่าย
“ผมพยายามแล้วนะบัว ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว! อย่างบ้านหลังนี้ ผมก็ให้บริษัทของลินช่วยซื้อต่อ เพื่อจะได้เอาเงินก้อนหนึ่งมาให้คุณกับณตได้ไปตั้งตัว”
บัวบงกชนิ่งงัน นี่เองเป็นสาเหตุที่เขาพยายามจะขายบ้าน และรบเร้าให้หล่อนไปซื้อคอนโดอยู่กับลูก เขาวางแผนที่จะ ‘กำจัด’ หล่อนนั่นเอง
“คุณว่าไงนะ… คุณให้ผู้หญิงคนนั้นมาซื้อบ้านนี้เหรอ! คุณมันชั่วที่สุดเลยเมศ ไปอยู่กับชู้ยังไม่พอ คุณยังจะยกบ้านให้มันด้วยเหรอ!”
“ไม่ได้ยกให้ฟรีๆ คุณก็รู้ว่าบ้านหลังนี้ยังผ่อนไม่หมด แล้วถ้าเราหย่ากันแล้วใครผ่อนต่อ คุณเหรอบัว? คุณไม่มีรายได้ จะเอาเงินที่ไหนมาผ่อน ลินเขายื่นมือมาช่วยผม แล้วก็ช่วยคุณด้วย”
“ช่วยเหรอ? เลิกพูดจาเหมือนผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่พระเสียทีเถอะ อรนลินไม่ใช่แม่พระ แต่เป็นแค่คนเลวที่รวย เงินไม่กี่ล้านนั่นก็เป็นแค่เศษเงินที่เขาโปรยทานเพื่อซื้อทั้งบ้านแล้วก็ตัวคุณ!”
“พอเถอะบัว! คุณก็รู้ว่าเราสองคนเหมือนต่างคนต่างอยู่กันอยู่แล้ว คุณอยู่กรุงเทพฯกับลูก ผมทำงานอยู่ต่างจังหวัด มันไม่มีทางที่จะเป็นครอบครัวได้หรอก ถึงไม่มีลิน สักวันผมก็ต้องหย่ากับคุณ!”
บัวบงกชน้ำตาไหล เจ็บร้าวไปทั้งใจกับคำพูดนั้น “ที่บัวยอมห่างจากคุณ… เพราะบัวเชื่อไงคะว่าสามีที่บัวรัก จะตั้งหน้าตั้งตาทำงาน แล้วก็กลับมาหาลูกหาเมีย นี่บัวคิดผิดเหรอ… บัวผิดงั้นเหรอที่เชื่อใจคุณ”
ปรเมศวร์ไม่ยอมตอบหล่อน เขาเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เหมือนกับทุกครั้งที่เขาไม่ต้องการจะต่อบทสนทนากับหล่อนอีก
บัวบงกชน้ำตาไหล หล่อนรู้ว่าพูดอะไรในตอนนี้สามีก็คงไม่ฟัง ในเมื่อเขาเองได้เลือกแล้วว่าทางไหนเป็นทางที่เขาจะเดินต่อ และเส้นทางนั้นก็ไม่มีหล่อนอยู่ร่วมด้วย
แต่เขาจะไป โดยเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากหล่อนไม่ได้ นั่นทำให้บัวบงกชดึงดันที่จะเอ่ยต่อ
“บัวไม่ขาย บัวจะอยู่ที่นี่กับลูก บัวไม่ขายบ้านนี้ให้กับใคร”
“หมายความว่ายังไงที่จะไม่ขาย?” ปรเมศวร์หันมาหาหล่อน “ลืมไปแล้วเหรอว่าบ้านนี้เป็นชื่อผม”
“แต่ถ้าเราหย่ากัน เราก็ต้องแบ่งบ้านนี้กันคนละครึ่ง”
ปรเมศวร์มีสีหน้าที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน เขากำลังสงสาร ไม่ใช่สิ เขากำลังสมเพชหล่อนต่างหาก “ผิดแล้วบัว บ้านนี้เป็นของผมมาตั้งแต่ต้น คุณไม่มีสิทธิ์”
——————————
ภาวินท์แทรกเมื่อบัวบงกชเล่าถึงตรงนี้ “ช่วยบอกรายละเอียดเรื่องการซื้อบ้านหลังนั้นทีได้ไหมครับ”
“ตอนเราตัดสินใจจะแต่งงานกัน ฉันกับเขาก็ไปหาซื้อบ้านเพื่อเป็นเรือนหอ เราวางเงินดาวน์ จากนั้นขอสินเชื่อกับธนาคารเพื่อผ่อนต่อ แต่ในโฉนดมีชื่อเมศคนเดียว เพราะเขาเป็นข้าราชการ ขอสินเชื่อบ้านแบบดอกเบี้ยต่ำได้”
“แปลว่าซื้อมาก่อนจดทะเบียนสมรส”
“ค่ะ แต่ทั้งฉันและเมศก็ช่วยกันผ่อน ถึงตอนหลังพอฉันไม่มีรายได้แล้ว เมศจะผ่อนคนเดียว แต่เงินที่ฉันลงไปก็เป็นล้านเหมือนกัน”
ภาวินท์ถอนหายใจ ก่อนบอกความจริงกับหญิงสาว “สามีคุณพูดถูกแล้ว บ้านหลังนั้นเป็นของเขา”
บัวบงกชยังพยายามค้าน “ทั้งที่ฉันช่วยผ่อนนี่นะคะ”
“ครับ กฎหมายแยกระหว่างสินส่วนตัวกับสินสมรส ถ้าบ้านเป็นทรัพย์สินที่ได้มาก่อนจดทะเบียน และในโฉนดเป็นชื่อสามีคุณคนเดียว ก็เป็นสินส่วนตัวของเขา ถึงต่อมาคุณจะผ่อนด้วยกันกับเขา แต่คุณก็ไม่ได้เป็นเจ้าของร่วม”
บัวบงกชนิ่งงัน หล่อนนึกย้อนไปถึงตัวหล่อนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในวันที่ปรเมศวร์พาหล่อนไปดูเรือนหอร่วมกัน หล่อนมีแต่ความสุขของหญิงสาวที่กำลังจะเข้าสู่ประตูวิวาห์กับชายคนรัก เรื่องใครเป็นเจ้าของบ้านเป็นแค่เรื่อง ‘เล็กน้อย’ สำหรับหล่อน ในเมื่อหล่อนเชื่อว่าสามีภรรยาคือคนคนเดียวกันอยู่แล้ว หล่อนไม่เฉลียวใจว่าหล่อนกับเขาจะต้องมีวันเลิกรากัน และไม่เคยคิดสักนิดว่าการตัดสินใจในหนนั้นจะทำให้เขามาเอาเปรียบหล่อนได้ในสิบกว่าปีให้หลัง
“ฉันนี่… ไม่รู้อะไรเลยจริงๆใช่ไหมคะ… ”
ภาวินท์พยายามปลอบเมื่อเห็นน้ำตาหล่อนอีกรอบ “ยังมีทรัพย์สินอื่นๆที่เราสามารถเรียกร้องได้ในฐานะสินสมรส คุณอยู่กับเขามาสิบห้าปี ยังไงก็ต้องมีทรัพย์สินที่เกิดขึ้นระหว่างสมรสแน่ๆ”
บัวบงกชยังไม่สามารถทำใจได้ ทรัพย์สินอื่นใดที่หล่อนมี ก็ไม่มีคุณค่าเท่ากับบ้านที่หล่อนอยู่ร่วมกับสามีและลูกมาสิบกว่าปี “แต่บ้านนั้น เป็นที่ของฉัน ฉันเป็นคนเลือกสี เลือกเฟอร์นิเจอร์แทบทุกชิ้น… ฉันเลี้ยงลูกจนโตที่บ้านหลังนั้น แล้วอยู่ๆผู้หญิงคนนั้นก็มาเอาไปหมด… รู้ไหมคะ เขาพูดว่ายังไงตอนที่เขามาดู เขาบอกว่ามันเชย ไร้รสนิยม เขาจะทุบทิ้งทำลายให้หมด เขาเกลียดบ้านหลังนั้น เขาไม่อยากให้มีร่องรอยของฉันกับลูกอยู่ในบ้านหลังนั้นอีก”
ภาวินท์มีแววตาเห็นใจหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างมาก อีกครั้งที่เขาถอดบทบาทของทนายความออก และพยายามสวมบทบาทของเพื่อนแทน “คุณบัวบงกชครับ… สิ่งที่ผมอยากให้คุณเข้าใจก็คือ ผมในฐานะทนายความ คงจะทำให้ครอบครัวของคุณเป็นแบบเดิมอีกไม่ได้ กฎหมายไม่สามารถบังคับให้ใครรักกัน หรือเลิกกันได้ แต่อย่างน้อย… สิ่งที่กฎหมายให้กับคุณได้ในฐานะภรรยาที่มีทะเบียนสมรสก็คือความยุติธรรม ถ้าคุณฟ้องหย่าเขา ผมเชื่อว่าคุณจะได้สิ่งที่คุณควรได้รับจากชีวิตคู่ครั้งนี้”
บัวบงกชมองหน้าทนายหนุ่มที่ดูจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเธอในยามนี้
“แต่ก่อนอื่น ผมต้องถามคุณก่อนว่าคุณต้องการหย่ากับสามีคุณแน่หรือเปล่า? ในคดีที่โจทก์กับจำเลยเคยเป็นคนที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน มีหลายครั้งมากที่คนฟ้อง หรือคนถูกฟ้อง จะลังเลหรือเปลี่ยนใจกลับไปอยู่ร่วมกันอีก”
บัวบงกชนิ่งไป ในก้นบึ้งของหัวใจหล่อน ปรเมศวร์คือผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่หล่อนรัก ต่อให้แค้นแสนแค้นเขาในวันนี้ แต่เสี้ยวหนึ่งในใจหล่อนก็ยังหวังว่าเขาจะคิดได้และกลับมาช่วยกันซ่อมแซมครอบครัวที่แตกสลายให้ดีดังเดิม
“คุณยังไม่แน่ใจ…” ภาวินท์สรุปจากท่าทีของหญิงสาว และหล่อนก็พยักหน้ายอมรับ
“ฉันไม่รู้ว่าฉันจะอธิบายให้ลูกฟังยังไง ลูกชายฉันรักพ่อมาก… ฉันยังไม่อยากหย่า แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางยอม ฉันรู้ว่าเขาทำอะไรได้อีกมาก เพื่อบีบให้ฉันหย่ากับสามี”
“งั้นคุณก็อาจจะใช้กฎหมายเพื่อให้ปรามไม่ให้เขามายุ่งกับสามีคุณ”
“อะไรนะคะ?”
ภาวินท์เดินไปหยิบหนังสือกฎหมายเล่มโตจากชั้นวางหนังสือข้างโต๊ะทำงาน ก่อนจะเปิดวางและชี้ให้หล่อนดูในกฎหมายข้อหนึ่งในนั้น
“ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 มีเขียนไว้ว่า… ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวก็ได้”