คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 29 : จ็อกๆ

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี บทที่ 29 : จ็อกๆ

โดย : พงศกร

คุณหลวงเจ้าขา…ข้ากลัวผี นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้จากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อวิญญาณของแพทย์หญิงยุคปัจจุบันเข้าไปอยู่ในร่างแม่หญิงแห่งกรุงศรีผู้บอบบางที่มีคนหมั่นไส้ทั้งเมือง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิตของแม่หญิงคนนี้ให้แข็งแกร่ง ไม่ต้องพึ่งพาผู้ชายคนไหน โดยเฉพาะคุณหลวงกำแหงฤทธิรณ หนุ่มหล่อ…อยุธยาคิ้วต์บอยคนนั้น!

โครม !

ลูกน้องของออกพระพิชิตเมืองถีบประตูกระท่อมและบุกเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว ดาราเรศเห็นบริเวณมุมห้องมีร่างผ่ายผอมของใครบางคนขดตัวซุกอยู่กับผ้าห่ม

เมื่อชายฉกรรจ์พวกนั้นกรูกันเข้าไปกระชากให้ลุกขึ้น จึงพบว่าคนที่นอนอยู่ที่มุมห้อง เป็นเพียงชาวบ้านสูงวัย หน้าตาผิวพรรณเต็มไปด้วยตุ่มน้ำใส มีแผลหนองกระจัดกระจายไปทั่วทั้งตัวของชายชรา บาดแผลที่ปรากฏตรงหน้าดูน่าสยดสยอง

“เฮ้ย”

ลูกน้องของออกพระพิชิตเมืองถึงกับผงะ ขณะที่ดาราเรศถอนใจยาวด้วยความโล่งอกที่ชายคนนั้นไม่ใช่บิดาของเธอ

“แกเป็นใคร” แม่ดวงจันทร์ร้องเสียงแหลม ขณะที่ชายคนนั้นได้แต่ครางฮือๆ “คุณหญิงแม่ นี่ไม่ใช่เจ้าคุณพ่อเจ้าค่ะ”

“เออ” คุณหญิงเนียนแค่นเสียง “แม่เห็นแล้ว ไม่ต้องย้ำ”

“เจ้าคุณพ่อหายไปไหน” แม่เดือนเองก็ไม่คิดว่าเรื่องจะพลิกผัน

“นั่นสิ ท่านเจ้าคุณอยู่ไหน” คุณหญิงเนียนร้องโวยวาย ก่อนจะหันไปทางแม่หญิงแก้ว “ก็ไหนแม่แก้ว มั่นอกมั่นใจว่าเจ้าคุณโชดึกอยู่ที่นี่”

“ก็หลานเห็นกับตาตัวเอง ว่า…” แม่แก้วกะพริบตาปริบๆ อ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรต่อไม่ออก เพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรไปแบบนี้ เธอหันมาทางดาราเรศ สายตาเต็มไปด้วยความแปลกใจ ขณะที่ดาราเรศเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน

“นี่มันอะไร” ออกพระพิชิตเมืองหันไปทางหมอพัน

“ก็บอกแล้วไง ว่าในกระท่อมมีคนป่วย เป็นโรคติดต่อ” หมอพันตอบเสียงเรียบ “คุณพระบอกลูกน้องของคุณพระด้วย…ใครที่สัมผัสโดนคนไข้ ให้กักตัวดูอาการอยู่ที่นี่ก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะเอาโรคกลับไปติดลูกเมียที่บ้านได้”

สิ้นสุดประโยคนั้นของพ่อหมอ ทุกคนพากันถอยหลังกรูดด้วยความตื่นตระหนก โดยเฉพาะลูกน้องของออกพระพิชิตเมือง ตกใจจนหน้าซีดปากสั่น

“พ่อหมอ” หนึ่งในคนที่สัมผัสโดนคนป่วยหันมาทางหมอพัน “ช่วยฉันด้วย ฉันยังไม่อยากตาย”

“ยังไม่ตาย” หมอพันส่ายหน้า “แต่ต้องกักตัวอยู่ที่นี่ สังเกตดูอาการสักสี่ห้าวัน”

“ตกลงท่านเจ้าคุณอยู่ไหน” คุณหญิงเนียนยังไม่ยอมแพ้

“ก็บอกแล้วไงว่า ท่านไม่ได้อยู่ที่นี่” หมอพันว่า

“โกหก” คุณหญิงชี้หน้า

“ถ้าไม่เชื่อก็ค้นดูอีกทีก็ได้” หมอพันรู้สึกเป็นต่อ “แต่ฉันเตือนไว้เลยนะว่า ถ้าคนของคุณพระและคุณหญิงทำข้าวของ หยูกยาของฉันแตกหักเสียหาย จะต้องรับผิดชอบ หาไม่ฉันจะถวายฎีกาพระเจ้าอยู่หัว กราบทูลท่านว่าคุณหญิงพาขุนนางมารังแกชาวบ้าน”

“แก…ไอ้หมอพัน” คุณหญิงเนียนชี้หน้าพ่อหมอ ปากสั่นเสียงสั่นด้วยความโกรธ

“กลับกันเถิดคุณหญิง” ออกพระพิชิตเมืองเห็นท่าไม่ค่อยดีเสียแล้ว

“กลับยังไงคุณพระ” คุณหญิงเนียนยังไม่ยอมแพ้ “ยังไม่เจอตัวสามีฉันเลยนะเจ้าคะ”

“ค้นจนทั่ว ไม่เห็นแม้เงา” ออกพระพิชิตเมืองว่า

“ก็ค้นอีกสิเจ้าคะ” คุณหญิงเนียนออกอาการไม่พอใจ “ฝีมือมีแค่นี้หรือไง”

“อ้าว คุณหญิง” ออกพระพิชิตเมืองเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้างแล้ว คุณหญิงเนียนลืมไปแล้วกระมังว่าเขาไม่ใช่ลูกน้องของเธอ “พูดแบบนี้ดูหมิ่นเจ้าพนักงานนะขอรับ และคุณหญิงอาจจะโดนข้อหาแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จอีกหนึ่งกระทง”

“ฉันไม่ได้แจ้ง” คุณหญิงปัดออกจากตัว “แม่แก้วต่างหาก ที่เป็นคนบอกว่าเจอท่านเจ้าคุณที่นี่ ถ้าจะมีใครสักคนที่พูดเท็จ ก็เป็นแม่แก้วนี่ละ ไม่ใช่ฉัน”

“อ้าวคุณหญิงป้า ทำไมมาโยนกันง่ายๆ แบบนี้ล่ะเจ้าคะ” แม่แก้วโวยวาย

“หรือไม่จริง” คุณหญิงเนียนอาละวาดไม่เลือกหน้าแล้วในตอนนั้น

“พอเถอะเจ้าค่ะ เถียงกันไปทำไมให้คนเขาหัวเราะเยาะ” แม่แก้วดูเหมือนจะมีสติดีกว่าใครๆ เธอดึงแขนมารดาของเพื่อนเอาไว้พร้อมกับบอกว่า

“กลับกันก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ มีอะไรไม่พอใจ เราค่อยไปหารือกันภายหลัง”

“แต่ว่า…” คุณหญิงเนียนรู้สึกเสียหน้า

“นั่นสิเจ้าคะคุณหญิงแม่” ดวงจันทร์เห็นด้วย “กลับเรือนไปปรึกษากันก่อน”

“ไปเจ้าค่ะ”

แม่แก้วหันมาทางดาราเรศ ทำปากขมุบขมิบเป็นทำนองว่าฝากไว้ก่อนเถอะ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับแม่หญิงดวงจันทร์และแม่หญิงเดือน ให้ช่วยกันพาตัวมารดากลับเรือน

รอจนขบวนของคุณหญิงเนียนกลับไปกันหมดแล้ว หมอพันก็สั่งให้บ่าวพาคนของออกพระพิชิตเมืองไปกักตัวในเรือนคนไข้ ก่อนจะพาดาราเรศและแหวนเดินกลับเรือนหลังใหญ่ที่บัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า เพราะบรรดาผู้ไข้ที่เจ็บป่วย ต่างพากันตกใจที่มีชายฉกรรจ์บุกมาค้นเรือน จึงพากันกลับไปหมดแล้ว

หมอพันเดินตรวจสอบความเรียบร้อยไปทุกห้อง มีเมียกับลูกเดินตามหลังไปด้วยท่าทางหวาดหวั่น หมอพันพบว่าทุกอย่างยังอยู่ดี ไม่มีอะไรแตกหักเสียหาย ดาราเรศถอนใจออกมายาวๆ ด้วยความโล่งอก แต่กระนั้นก็ยังโล่งได้ไม่เต็มที่

“แล้วเจ้าคุณพ่อของฉันไปอยู่เสียที่ไหนเจ้าคะพ่อหมอ” หญิงสาวกระซิบถามหมอพัน

“ฉันก็ไม่รู้” หมอพันตอบ สีหน้าดูหนักใจ

“อ้าว” ดาราเรศร้องเสียงหลง “มันยังไงกันเจ้าคะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันมาก” หมอพันเล่า “ก่อนที่พวกคุณหญิงเนียนจะมาไม่นาน มีผู้ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบร้อนมาบอกฉันว่าให้พาเจ้าคุณไปหลบในห้องยา แล้วเอาคนป่วยเป็นสุกใสไปสลับตัวไว้ในกระท่อมแทน ฉันยังงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เห็นท่าทางของพ่อหนุ่มนนั้นดูร้อนอกร้อนใจ เลยตกลงทำตามที่เขาบอก พาคนไข้ไปสลับตัว พาท่านเจ้าคุณไปซ่อนเสร็จเรียบร้อย ยังไม่ทันจะได้เดินกลับไปที่ท่าน้ำ พวกคุณหญิงเนียนก็บุกมาถึงแล้ว ฉันยังใจเต้นไม่หาย คิดว่าวันนี้เจ้าคุณคงจะโดนจับตัวกลับไปแน่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าอย่างไร พวกนั้นไปค้นที่ห้องยาถึงไม่เจอตัวเจ้าคุณ…แม่เห็นหรือไม่ว่าใครมาเอาตัวท่านเจ้าคุณไป”

ประโยคหลังเขาหันไปถามสตรีวัยกลางคนที่จูงลูกสองคนยืนอยู่ใกล้ๆ

“ไม่เห็นเลยจ้ะพี่” เมียของเขาตอบ “ตอนที่พวกนั้นขึ้นมาค้นเรือน วุ่นวายอลหม่านมาก ฉันมัวเป็นห่วงแม่สารภีกับพ่อโหมด เลยไม่ทันได้สังเกตว่าอะไรเป็นอะไร”

“พวกนั้นโวยวายเช่นนี้ แปลว่ายังไม่ได้ตัวเจ้าคุณพ่อไป…ท่านน่าจะยังปลอดภัยอยู่” ดาราเรศสันนิษฐาน “ว่าแต่คนที่มาแจ้งข่าวพ่อหมอเป็นใครกันจ๊ะ”

“ไม่รู้จัก” หมอพันส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “หนุ่มๆ หน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ แต่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ยังไม่ทันได้ถามชื่อเสียงเรียงนามด้วยซ้ำก็หายไปแล้ว”

“แล้วเราจะทำยังไงกันดี” ดาราเรศพึมพำกับตัวเองมากกว่าอยากจะได้คำตอบ

“ฉันว่ารออีกสักพักดีไหม” หมอพันเองก็คิดอะไรไม่ออก “อยุธยากว้างใหญ่ จะออกตามหาก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน ไม่แน่นะ อีกสักพักท่านเจ้าคุณอาจจะกลับมาเองก็ได้…แม่หญิงไม่ต้องห่วง ถ้าท่านเจ้าคุณกลับมา ฉันจะให้คนไปส่งข่าว”

“ขอบใจพ่อหมอมากนะจ๊ะ”

เป็นสิ่งเดียวที่ดาราเรศจะตอบได้ในยามนั้น…

 

กลับถึงเรือนด้วยความหนักใจ สีหน้าท่าทางของดาราเรศจึงดูไม่สดใสเท่าที่ควร บรรดาบ่าวเรือนใหญ่ที่คุณหญิงแป้นส่งมาสืบข่าวเห็นดังนั้น จึงกลับไปรายงานเจ้านายด้วยอาการร่าเริง

จะว่าไปออกญาโชดึกราชเศรษฐีไม่ใช่พ่อจริงๆของดาราเรศสักหน่อย แต่ตลอดเวลาที่เธออยู่ในร่างแม่หญิงดารา เธอเริ่มผูกพันกับทุกคนที่แม่หญิงดารารู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ที่แม่หญิงเข็ม แม่หญิงมีนา นังแหวน โดยเฉพาะท่านเจ้าคุณโชดึกฯ นอกจากหน้าตาจะคล้ายกับพ่อแท้ๆของดาราเรศแล้ว ท่านยังมีบุคลิกและอะไรอีกหลายอย่างคล้ายพ่อของเธอเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ดาราเรศจึงเป็นห่วงเมื่อท่านเจ้าคุณหายตัวไปแบบไร้ร่องรอยเช่นนี้

คุณหญิงแป้น แม่บัวและแม่ใจไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เรือนหมอพัน พวกเธอจึงคิดไปว่าแม่หญิงดารากำลังหนักใจเรื่องที่ผีกุมารที่ตนเลี้ยง ถูกจับไปถ่วงน้ำ เลยไม่แจ่มใสอย่างที่ควรจะเป็น

ดาราเรศเห็นแล้วว่ามีคนจากเรือนใหญ่มสอดแนม หากเธอไม่มีเวลาจะต่อกรกับพวกของคุณหญิงแป้น เพราะกำลังครุ่นคิดอย่างหนักหน่วงว่าใครเป็นคนพาตัวท่านเจ้าคุณไปจากเรือนหมอพัน พาไปไหน และพาไปด้วยเหตุผลอะไร คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก เพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านเกินไป ดาราเรศจึงลงครัวเตรียมอาหารเย็นให้สามีกินตอนที่เขากลับมา

ทุกครั้งที่เธอกังวล ไม่สบายใจ เครียดจากากรทำงาน ดาราเรศพบว่า Cooking Therapy หรือการเข้าครัวทำอาหารอร่อยๆช่วยบำบัดได้ดี

วันนี้เธอเลือกทำหมี่กรอบ เพราะไม่อยากฟุ้งซ่าน

หมี่กรอบมีเครื่องประกอบหลายอย่าง เมื่อจะทำต้องใช้สมาธิและความตั้งใจ ดังนั้น จึงเหมาะกับช่วงเวลาที่เธอกำลังเต็มไปด้วยความสับสน

ดาราเรศใช้ให้บ่าวคนหนึ่งไปซื้อเส้นหมี่มาจากป่าจีน และบ่าวอีกสองคนลงไปที่สวน ช่วยกันเก็บส้มซ่าจากต้น ครั้งแรกที่ดาราเรศเห็นต้นส้มซ่าในสวนเธอรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะในปัจจุบันที่เธอจากมา ส้มซ่านั้นจัดว่าหายากทีเดียว เคล็ดลับการทำหมี่กรอบจะให้อร่อยจะต้องใช้น้ำและผิวของส้มซ่าหั่นละเอียด บางครั้งพอไม่มีส้มซ่า แม่ครัวในปัจจุบันหลายคนเลือกใช้มะกรูดมะนาวแทน ซึ่งในความเห็นของดาเรศ เธอคิดว่านั่นไม่ใช่หมี่กรอบสูตรดั้งเดิม เพราะไม่เหมือนกันทั้งกลิ่นหอมและรสสัมผัส ส้มซ่ามีรสชาติอยู่ตรงกลางระหว่างมะนาวกับส้ม ให้รสเปรี้ยวและหวานผสมกันอย่างลงตัว เมื่อนำมาปรุงเป็นน้ำเชื้อสำหรับคลุกหมี่ จะเกิดความลงตัวเป็นที่สุด

บรรดาบ่าวไพร่จ้องมองดาราเรศใช้น้ำส้มซ่าผสมกับน้ำมะนาว น้ำกระเทียมดอง น้ำปลา และน้ำตาลลงไปเคี่ยวในกะทะ เมื่อน้ำเดือด และเปลี่ยนจากฟองขนาดใหญ่เป็นฟองเล็กๆ ดาราเรศชิมแล้วได้รสหวานเปรี้ยวตามที่ต้องการ ก็ราไฟให้อ่อนลง พร้อมๆกับที่กรุ่นหอมของน้ำเชื้อสำหรับคลุกหมี่กรอบหอมฟุ้งไปทั่วทั้งเรือน

บรรดาบ่าวไพร่กลืนน้ำลายลงคอกันคนละหลายเอื๊อก หากกรรมวิธีทำหมี่กรอบยังไม่เสร็จง่ายๆ ดาราเรศหันไปสั่งแหวนให้นำเส้นหมี่ขาวมาให้ตรวจดูว่าได้ที่แล้วหรือยัง ดาราเรศเอาเส้นหมี่ขาวไปแช่ในน้ำ จากนั้นนำขึ้นมาสะเด็ดน้ำ เอาไปผึ่งให้พอหมาดๆ จากนั้นก็คลุมเส้นหมี่ด้วยด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำ เพื่อไม่ให้เส้นแห้งจนเกินไป เวลาทอดเส้นจะได้รัดตัวกรอบเป็นเส้นเล็กๆ

กรรมวิธีทอดหมี่ก็ต้องใจเย็น ค่อยๆทอดทีละน้อย ทอดจนเส้นหมี่พองลอยขึ้นก็พลิกกลับด้าน ทอดจนหมดฟอง จากนั้นก็ตักขึ้นไปพักจนหายร้อน ระหว่างรอให้เส้นหมี่หายร้อนก็เตรียมเครื่องประกอบอื่นๆ เช่น ทอดเต้าหู้ กุ้งและหมู เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมก็ถึงเวลาที่จะตั้งกะทะอีกครั้ง นำเส้นหมี่ เครื่องประกอบต่างๆ และน้ำเชื้อที่เตรียมไว้มาผัดคลุกเข้าด้วยกัน เมื่อได้ที่ เข้ากันดี ดาราเรศก็ราไฟ นำหมี่กรอบที่คลุกเรียบร้อยขึ้นมาจัดใส่จาน โรยด้วยกระเทียมดอง และผิวส้มซ่าที่หั่นฝอย คลุกเคล้าให้เข้ากัน

กลิ่นอาหารหอมกรุ่นลอยไปถึงเรือนใหญ่ แม่บัวกลืนน้ำลายเอื๊อก พยายามชะเง้อมองว่ามื้อเย็นวันนี้พี่สะใภ้ทำอะไร

“หอมจัง…เรือนเล็กทำอะไรกันนะ ท่าทางน่าอร่อย”

“แม่บัว” คุณหญิงแป้นเอ็ด “ยังไม่เข็ดอีกหรือ”

“คุณหญิงแม่อยากรู้เรื่องเรือนเล็กอีกไหมเจ้าคะ” แม่บัวทำตาลอย ขยับทำท่าจะลุกขึ้นตามกลิ่นหอมของอาหารไป “ลูกจะไปสืบให้”

“ไม่ต้อง พวกบ่าวมันสืบมาละเอียดแล้ว” คุณหญิงแป้นเอ็ด

“แต่” ท้องแม่บัวร้องจ็อก “ลูกหิว”

แก๊งค์เรือนใหญ่มัวแต่วางแผนกำจัดแม่หญิงดาราจนเลยเวลาอาหาร บ่าวไพร่ที่มีหน้าที่เตรียมอาหารก็ถูกสั่งให้ไปสอดแนมเรือนเล็ก มื้อเย็นของเรือนใหญ่วันนี้จึงมีเพียงข้าวต้มและปลานึ่งเท่านั้น

“อี๋” แม่บัวทำหน้าเบ้ “ปลานึ่งอีกแล้วเหรอ…ลูกกินจะหน้าจะเป็นปลาแล้วนะเจ้าคะคุณหญิงแม่”

“กินๆเข้าไปเถอะ” คุณหญิงแป้นเอ็ด “จะอะไรกันนักหนา”

“ไปขอข้าวเรือนเล็กกินสักหน่อยไม่ได้เหรอเจ้าคะ” แม่บัวอิดออด “นะเจ้าคะ นะเจ้าคะ ไม่ได้อยากกินเลยสักนิด ลูกแค่อยากจะไปสืบข่าวให้เท่านั้น”

“ไม่ ข้าวเรือนเราอร่อยที่สุด ไม่จำเป็นต้องไปกินข้าวเรือนคนอื่น” คุณหญิงแป้นเสียงแข็ง ทั้งที่ตัวเองก็ท้องร้องเหมือนกัน “จ็อก…”

“อุ๊ย” แม่ใจทำตาโต “คุณหญิงแม่ท้องร้อง”

“หล่อนหูฝาด ท้องใครร้องยะ” คุณหญิงแป้นเอ็ด

“ท้องคุณหญิงแม่ไง” แม่บัวชี้มารดา

“ไม่ใช่” คุณหญิงแป้นปฏิเสธ

“ใช่” แม่ใจเถียง “ฉันได้ยิน”

“ไม่ใช่” กลิ่นอาหารจากเรือนเล็กหอมยั่วยวน จนคุณหญิงแป้นต้องยกมือขึ้นกุมท้องตัวเอง แต่ดูเหมือนท้องของเธอจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย “จ็อกๆ”

“พี่ใจไม่ได้หูฝาด” แม่บัวหัวเราะ “ลูกก็ได้ยิน…แน่ะ ร้องอีกแล้ว”

“บอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ…พวกหล่อนรีบกินๆให้อิ่ม แล้วจะได้เข้านอน…อย่าเรื่องมาก” คุณหญิงแป้นหน้าแดงก่ำ

เธอส่งเสียงเอ็ดลูกสาวและลูกสะใภ้ ก่อนจะปรายหางตาเหลือบมองข้าวต้มเล็กเละๆในชาม กับปลาทอดตัวเล็กๆในจานตรงหน้า ก่อนจะเริ่มลงมือกินให้ทุกคนเห็นเป็นตัวอย่าง !

 



Don`t copy text!