ชะตารัก…กิตะซะว่า บทที่ 3 : วันยุ่งๆ ของเรา
โดย : ปุณรสา
ชะตารัก…กิตะซะว่า โดย ปุณรสา เมื่อผู้เป็นลุงเสียชีวิตลงและทิ้งคาเฟ่ขนมหวานแสนอร่อยที่เป็นความทรงจำแสนงดงามของคุณลุงและคุณป้าไว้ เขาจะขายร้านและพาคุณป้ากลับเมืองไทยหรือปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น หรือบางทีคำตอบที่อยากได้อาจจะมาพร้อมกับหญิงสาวคนนั้
***************************
-3-
เขาเห็นหญิงสาวกำลังเดินผ่านหน้าเขาไป
‘จะทำยังไงดี’
เธอจำหน้าเขาได้แน่ๆ ก็เจอกันในระยะประชิดอย่างนี้ ถ้าวันหลังต้องเจอกันอีก เธอคนนี้ต้องรู้ว่าเขานั้นมาแอบส่องเธอก่อน แล้วเธอคนนั้นจะคิดกับเขาอย่างไร
‘หรือทักเธอไปเลย เข้าไปทำความรู้จักกับเธอ’
ก็ในเมื่อเขาไม่ชอบการที่นิคมมาจับคู่ให้เขา ทำไมเขาไม่ลองทำความรู้จักกับเธอด้วยตัวเอง ในเมื่อเธอก็ดูเป็นคนน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือหน้าตา ชายหนุ่มรู้สึกใจสั่นระทึกเมื่อคิดว่าต้องเข้าไปทักกับหญิงสาว
ชายหนุ่มรีบเดินตามหญิงสาวไป เธอกำลังเดินไปที่สถานีรถไฟ เมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็พูดว่า
“ซึมิมะเซน คนไทยหรือเปล่าครับ”
ได้ผล…ปารีณาหยุดชะงัก และหันหน้ามาทางเขา ใบหน้าที่นูนโด่งและขาวนวลนั่น…ช่างน่ามองเสียจริงๆ
“เออ…ค่ะ” ปารีณาทำหน้างง มองชายหนุ่มอย่างหวาดระแวงนิดๆ
ชายหนุ่มสูงขาว ผมหยักศกเล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า หน้าตาเข้มด้วยคิ้วหนาและจมูกที่โด่งเป็นสัน หากไม่ได้ทักเธอด้วยภาษาไทย เธอคงไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไทย แต่พอรู้ว่าเขาเป็นคนไทย เธอเลยสังเกตเห็นใบหน้าและสายตาที่อ่อนโยนของเขา เมื่อเห็นว่าเขามาคนเดียว ไม่ได้ดูมีประสงค์ร้ายอะไร ปารีณาเลยหยุดพูดคุยด้วย
“พอดีผมหลงน่ะครับ อยากกลับไปชิโมกิตะซะว่า ไม่ทราบต้องนั่งรถไฟสายอะไรครับ” ชายหนุ่มรู้สึกผิดที่ต้องพูดโกหก แต่ถ้าไม่เริ่มด้วยมุกนี้…ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มสนทนากับเธออย่างไร
“อ๋อ ฉันจะเข้าเมืองไปต่อรถไฟใต้ดินที่ชิบูยะ คุณต้องนั่งรถไฟสายเดียวกับฉันอยู่แล้ว ตามฉันมาก็ได้ค่ะ เพราะชิโมกิตะซะว่าอยู่ห่างจากที่นี่ไม่เกิน 15 นาที”
ว่าแล้วปารีณาก็เดินนำหน้าไป ออกจะรู้สึกงงหน่อยๆ ที่ชายหนุ่มคนนั้นรู้ว่าเธอคือคนไทย เพราะแต่ไหนแต่ไร ไม่ค่อยมีคนทักเธอว่าเป็นคนไทยสักเท่าไร ปารีณาแอบมองพระที่ใส่อยู่ ก็อยู่ในเสื้อเชิ้ตลินินของเธอ หรือมีกิริยาใด หรือเสื้อผ้าของเธอ หญิงสาวก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่ด้วยความที่มีธุระรออยู่ข้างหน้า เธอเลยไม่คิดสนใจเท่าไร
คีรีแอบอมยิ้มก่อนจะรีบเดินตามเธอที่จ้ำอ้าวอย่างเร็วไปทางสถานีรถไฟ กว่าจะเดินทันเธอ ก็เกือบถึงด้านหน้าของสถานีแล้ว
“คุณจะไปธุระในเมืองเหรอครับ” ชายหนุ่มพยายามชวนคุย
‘เอ๊ะ…เขาพูดเหมือนรู้ว่าเราพักเมืองนี้’ เขาแค่เจอเธอที่ร้านกาแฟ จะรู้ได้อย่างไรว่าเธอไปทำธุระ เพราะเธออาจกำลังกลับที่พักในเมือง แต่เมื่อกี้ที่เธอพูดกับเขา อาจเหมือนคนอยู่เมืองนี้ก็เป็นไปได้
“ใช่ค่ะ” เธอพูดสั้นๆ “แล้วคุณไปทำอะไรที่ชิโมกิตะซะว่าคะ”
“ผมพักที่นั่นครับ คุณป้าไม่ค่อยสบาย เลยมาอยู่ที่ร้านกาแฟที่นั่น”
ปารีณาพยักหน้าแบบไม่ให้เสียมารยาท เพราะเธอไม่ได้อยากรับรู้อะไรมากนัก หญิงสาวเดินนำมายืนรอที่ชานชาลาของสถานี เพียงครู่รถไฟก็มาเทียบ เธอเดินนำเข้าไปในรถไฟและหาที่นั่ง ส่วนเขาก็นั่งลงข้างๆ เธอ ชายหนุ่มรู้สึกโชคดี…จะได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอได้สะดวก
แต่สำหรับหญิงสาว เธอรู้สึก ‘ซวยละ’ เพราะอีก 5 นาทีกว่ารถไฟจะออก และต้องนั่งรถไฟไปกับตานี่อีกตั้ง 15 นาที ปารีณารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำเป็นไม่สนใจชายหนุ่ม
“ผมเพิ่งมาที่นี่ครับ ภาษาญี่ปุ่นนี่แทบไม่ได้เลย…”
หญิงสาวเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมองหน้าชายหนุ่ม คิดในใจว่า ‘ยังจะพูดอีกเหรอ ฉันจ้องดูโทรศัพท์ตัวเองซะแบบนี้’
แต่เนื่องจากคีรีนั่งติดกับเธอ ทำให้ไม่เห็นสีหน้าของหญิงสาว เขาเลยยังคงพูดต่อไป “…ร้านกาแฟปิดไปหลายวันเพราะคุณลุงเสียชีวิต ส่วนคุณป้าก็ไม่ค่อยสบาย ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเปิดร้านกันมาไม่กี่วัน นี่ผมต้องกลับไปให้ทันร้านเปิดครับ”
หญิงสาวหันไปยิ้มหน้าเจื่อนๆ และพูดตามมารยาทว่า “เสียใจด้วยนะคะ ร้านเปิดกี่โมงอะคะ”
“10 โมงครับ”
“คงทันน่ะค่ะ นี่เพิ่งเก้าโมงกว่าๆ เดี๋ยวรถไฟก็ออกแล้ว” พูดจบหญิงสาวก็หันไปมองโทรศัพท์ตรงหน้าต่อ
“แล้วคุณจะไปไหนเหรอครับ” ชายหนุ่มชวนคุยต่อ
หญิงสาวชะงัก รู้สึกว่าหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ช่างคุยจัง “ทำธุระนิดหน่อยค่ะ แล้วจะแวะไปหาเพื่อน”
คีรีเดา ‘คงจะเป็นเพื่อนสมัยมัธยมที่เคยเรียนที่นี่ด้วยกัน’ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่แฟนเธอ เขาจึงถามต่อ “เพื่อนทำงานอะไรครับ”
หญิงสาวแอบกลืนน้ำลาย เริ่มรู้สึกอึดอัด ‘ไอ้หนุ่มเนี่ย มันเหงามาจากไหนนะ ชวนคุยอยู่ได้’
“ไม่ได้ทำงาน แต่กำลังหางานทำค่ะ” เธอตอบสั้นๆ คราวนี้ไม่ได้ละสายตาจากโทรศัพท์
“อ้อ…เหรอครับ” ชายหนุ่มยิ้มเพราะรู้สึกได้ว่าคงไม่ใช่แฟนเธอ
รถไฟกำลังแล่นออกจากสถานีแล้ว เสียงของเครื่องประกาศบนรถไฟดังมาเป็นระยะๆ บอกถึงสถานีต่อไปที่กำลังจะถึงในไม่ช้า
“พอร้านเปิดมานี่ ผมลำบากหลายอย่าง ทั้งเรื่องเอกสารร้านที่จะต้องจัดการ แล้วภาษาไม่ได้อีก วันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง”
“คุณอยากได้คนช่วยเหรอคะ” คราวนี้หญิงสาวทำท่าเหมือนสนใจขึ้นมา
“กำลังคิดอยู่ครับ คิดอยู่หลายเรื่อง อยากปรับปรุงร้านใหม่ด้วย นั่นน่ะครับ…แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี แล้วสุดท้ายจะลงเอยยังไง ถ้าคุณรู้จักใคร…แนะนำมาได้นะครับ”
“จริงเหรอคะ” คราวนี้หญิงสาวหันหน้ามาคุยกับเขา “ร้านกาแฟคุณ เป็นร้านใหญ่ไหมคะ”
“ร้านเล็กๆ ห้องเดียว แถมไม่ได้อยู่ทางด้านเหนือหรือด้านตะวันตกที่นักท่องเที่ยวชอบเดินกัน วันๆ ก็ขายกาแฟอยู่ไม่กี่แก้ว เค้กอยู่ไม่กี่ชิ้น ที่ขายดีก็จะเป็นพวกขนมแห้งที่ราคาไม่กี่สตางค์ กำไรอยู่ไม่เท่าไร…” คีรีบ่นต่อไปเรื่อย ไม่ทันสังเกตว่าหญิงสาวดูสนใจร้านกาแฟที่เขากำลังเล่าถึงอยู่
“น่าสนใจจังค่ะ” หญิงสาวพูดหลังจากฟังคีรีพูดถึงเรื่องร้านมานาน
“จริงเหรอครับ” คีรีหันไปมองหญิงสาว เขาเพิ่งสังเกตเห็นตากลมโตของเธอ แล้วเขาก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสตางค์ของเขา พร้อมกับหยิบนามบัตรของร้านออกมาและยื่นให้หญิงสาว
“ร้านยามะโมริเหรอคะ” หญิงสาวอ่านภาษาญี่ปุ่นบนนามบัตร
“ไว้แวะไปทานกาแฟนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยปากชวนหญิงสาวด้วยท่าทีเคอะเขิน ในขณะที่หญิงสาวไม่ได้รู้สึกอะไร ได้แต่จ้องมองนามบัตรที่อยู่ในมือ “คุณคงชอบทานกาแฟ เมื่อเช้าที่ร้านกาแฟนั่น”
เหมือนหญิงสาวเพิ่งหันมาฟังชายหนุ่ม “ค่ะ ฉันจะชอบแวะนั่งทานกาแฟที่ร้านนั้นประจำ”
แล้วปารีณาก็หันมาถามชายหนุ่มบ้าง “เออ ว่าแต่คุณทำไมไปที่คิชิโจจิแต่เช้าคะ”
ชายหนุ่มไม่ทันคิดว่าจะโดนถามกลับ เขาได้แต่พยายามคิดคำตอบอยู่ครู่ใหญ่ “เออ…ไป…ไปเดินเล่นในสวนน่ะครับ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ในเมื่อเขาไม่ได้เดินออกมาจากถนนที่ไปทางสวน แต่เธอก็ไม่อยากจะจับผิดเขา
“ค่ะ สวนนี้ช่วงซากุระบาน ก็สวยแบบนึง นี่กำลังจะเข้าหน้าร้อน ดอกไม้สีต่างๆ ก็เริ่มบานสวย คิดแล้วอยากไปชมดอกอะจิไซที่คามะคุระจัง” หญิงสาวเริ่มทำตัวสบายๆ ต่อหน้าคีรี เมื่อรู้สึกว่าเขาไม่ได้มีพิษมีภัยใดๆ
“เอ๊ะ…ดอกอะจิไซ”
“อ๋อ…ดอกไฮเดรนเยียน่ะค่ะ ตอนนี้เป็นช่วงที่ดอกไฮเดนเยียกำลังบานพอดี จริงๆ ที่โตเกียวก็มีจุดชมดอกไฮเดรนเยียหลายจุด แต่ยังรู้สึกว่าไปชมที่วัดฮาเสะเดะระที่คามาคุระ ดูจะคลาสลิกกว่าค่ะ”
ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับ “ถ้าป้าวนาได้มีโอกาสไปดูน่าจะดีนะครับ”
“คุณพาไปสิคะ จากชิโมกิตะซะว่า ไปไม่ไกลเลยค่ะ”
ชายหนุ่มคิดว่าแค่จะไปซูเปอร์มาร์เก็ต ยังวุ่นวายกันเลย แล้วจะเอาป้าวนาไปถึงคามะคุระได้อย่างไร ชายหนุ่มส่ายหน้า “คุณป้ามีอาการอัลไซเมอร์อ่อนๆ ครับ และที่ร้านก็ยังไม่ลงตัวเลย”
คราวนี้หญิงสาวมีสีหน้าเห็นใจ
“คุณป้ามีอาการนี้มานานหรือยังคะ”
“สัก 2 ปีครับ แต่คุณลุงที่เสียไปเขาสังเกตเห็นตั้งแต่ระยะแรก ทุกวันนี้ก็เลยทานยาประทังอาการเสื่อมของสมองอยู่ และด้วยกิจกรรมที่คุณป้าต้องลุกมาทำเค้กและเปิดร้านทุกวัน ทำให้คุณป้ายังพอช่วยตัวเองได้อยู่ครับ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ เสียงประกาศสถานีหน้าว่าเป็นชิโมกิตะซะว่า หญิงสาวเลยหันไปพยักหน้ากับชายหนุ่ม ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้น แต่ก็ยังหันหน้ามาหาหญิงสาวพร้อมกับยิ้มให้
“แล้วแวะไปที่ร้านนะครับ” แล้วคีรีก็เดินไปทางประตูทางออกของรถไฟ
หญิงสาวได้แต่ยิ้ม เธอยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
ก่อนจะเดินขึ้นตึกอพาร์ตเมนต์ตรงหน้า หญิงสาวพยายามดูว่าโดยรอบมีอะไรน่าสงสัยหรือเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมา ปารีณาจึงค่อยกดเลขที่ห้องที่ตัวเองต้องการมาพบ พอรู้สึกว่ามีเสียงรับสาย เธอก็ตอบไปว่า
“ฉันเอง”
แล้วเธอก็ได้ยินเสียงประตูด้านหน้าปลดล็อก หญิงสาวรีบผลักประตูพร้อมถุงขนมอาหารเดินตรงเข้าไปด้านใน ทันทีที่นามิมาเปิดห้องให้เธอเข้าไป หญิงสาวก็วางถุงหอบใหญ่ไว้บนเคาน์เตอร์ครัวที่อยู่ถัดมาจากตู้เสื้อผ้าเล็กๆ และที่วางรองเท้า ห้องนี้มีพื้นที่แค่ 12 ตารางเมตร แต่ก็พยายามจัดให้มีทุกสิ่งอย่างครบ ส่วนค่าเช่าต่อเดือนของมันก็แพงกว่าห้องในโฮสเทลของเธอที่คิชิโจจิเกือบเท่าตัว
“นามิจัง กินอาหารเช้าหรือยัง”
“ทานแล้ว นี่เรียวจังเลยต้องมายุ่งยากกับฉันเลย ฉันไม่ควรโทรไปขอความช่วยเหลือจากเรียวจังเลย” หน้าของนามิยังดูเศร้าไม่หาย
“ไม่เป็นไร อีกไม่กี่อาทิตย์ ณุซังก็มาแล้ว”
“นั่นก็อีกเรื่อง ฉันไม่ได้ติดต่อกับณุซังมาหลายปีแล้ว นี่พวกคุณต้องมาเดือดร้อนกับฉันกันทำไม”
นามิหญิงสาวญี่ปุ่นหน้าตาสะอาดสะอ้านที่ยังมีรอยบวมช้ำบนใบหน้าน้ำตาเริ่มไหลซึม ใช่สินะ…ปารีณาคิด ทำไมเธอถึงไปดึงภาณุเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย…อาจจะเป็นเพราะความกลัวและไม่รู้ว่าจะแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร
“เรื่องมันล่วงเลยมาป่านนี้แล้ว ไม่ต้องคิดมากหรอก”
ปารีณาไม่ได้เจอกับนามินานหลายปี ตั้งแต่เคนอิจิเสียชีวิตไป จนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอหลบครอบครัวเธอออกมาเดินย่านชินจูกุ ในวันอาทิตย์เธอรู้ว่าแถวนี้จะพลุกพล่านด้วยผู้คน เธออาจจะเป็นผู้หญิงที่แปลกกว่าคนอื่น เมื่อยามเธออยากอยู่คนเดียว เธอจะกลับเดินเข้าไปในฝูงชนที่มากมาย ให้เธอรู้สึกว่าเธอนั้นเป็นเพียงจุดเล็กๆ จุดเดียวเท่านั้น เธออยากจะรู้สึกถูกกลืนหายในฝูงชนจนไม่รู้สึกมีตัวตนอีกต่อไป เรื่องราวที่เจ็บปวดใดๆ ของเธอในเวลานั้นจะไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น เธอมีหน้าที่แค่เดินตามคนข้างหน้าไปเหมือนฝูงปลาในทะเลใหญ่ ไม่ต้องคิดไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น นั่นอาจเป็นเหตุให้เธอชอบโตเกียวเป็นอย่างยิ่ง
เธอมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อแสงนีออนอันเจิดจ้าของชินจูกุจรัสในทุกตรอกซอกซอยที่เธอเดินไป ตอนนั้นเธอก็หลงไปในย่านคาบุคิโชะในชินจูกุเสียแล้ว ขณะที่เธอมองหาทางออกเพื่อไปสถานีรถไฟใต้ดิน เธอก็เห็นสาวญี่ปุ่นคนหนึ่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินที่ถนนฝั่งตรงข้ามกับที่เธอกำลังเดินอยู่ เธอคุ้นกับใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นเสียจริงๆ แล้วเธอก็จำได้ว่าหญิงสาวคนนั้นคือ ‘นามิ’ น้องสาวของเคนอิจิ แม้เคนอิจิจะเสียชีวิตไปแล้ว เธอยังติดต่อกับแม่ของเขาอยู่ เธอมีโอกาสได้คุยกับแม่เคนอิจิครั้งสุดท้ายเมื่อช่วงปีใหม่ แม่เคนอิจิบอกว่านามิหายออกไปจากบ้าน 1-2 ปีแล้ว และแทบไม่ติดต่อที่บ้านเลย นานๆ ทีจะส่งคำทักทายสั้นๆ มาเท่านั้น พอฝ่ายมารดาโทร.กลับไป นามิมักจะกดสายทิ้งทันที นั่นทำให้เมื่อปารีณาเห็นนามิ เธอจึงรีบตะโกนเรียกนามิ
‘นามิ’
ทันทีที่เธอส่งเสียงเรียกนามิ ก็เหมือนส่งเสียงเรียกชายที่กำลังตามนามิด้วย ทำให้เขารู้ว่านามิกำลังมุ่งหน้าไปทางไหน แล้วชายคนนั้นก็รีบวิ่งออกมาจากตรอกเข้าประกบตัวนามิ ในขณะเดียวกันปารีณาก็วิ่งเข้าไปหานามิเช่นเดียวกัน ยังไม่ทันไรชายคนนั้นก็เข้ามาบีบแขนนามิและพยายามลากตัวนามิไป ในขณะที่นามิพยายามขัดขืน
ชายคนนั้นดูท่าทางจริงจัง แม้ปารีณาจะกลัวมากเท่าไร เธอก็บอกให้เขาปล่อยตัวนามิ แต่เหมือนว่าคำสั่งเธอจะไร้ผล ชายคนนั้นดูอายุมากกว่านามิหลายปี นามิเข้าไปยุ่งกับคนพวกนี้ได้อย่างไร ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเข้าไปผลักชายคนนั้นอย่างแรง เพื่อให้นามิดิ้นหลุดจากมือเขา เมื่อนามิหลุดมาได้ เธอก็วิ่งจ้ำอ้าวและปารีณาก็วิ่งหนีตามไป จนไปหลบหลังมุมตึกของร้านค้าทั้งหลายได้ แต่ยังไม่ทันจะได้หยุดหายใจ ชายคนนั้นก็ตามเข้ามา แล้วกระชากนามิไปต่อหน้าเธอ เธอตะโกนเรียกนามิจนสุดเสียง แต่เหมือนจะไร้ผล นามิที่ไม่มีเรี่ยวแรงแล้วถูกผลักให้เดินไปข้างหน้าอย่างง่ายดาย
ความรู้สึกผิดที่เธอเป็นคนเรียกนามิ จนชายคนนั้นตามเจอตัวนามิจนได้ ทำให้ในวันต่อมาปารีณาพยายามโทรศัพท์ไปหานามิ เธอไปขอเบอร์จากแม่นามิมา โชคดีที่นามิยังไม่เปลี่ยนเบอร์และยอมรับสายเธอ นามิเล่าสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ให้ปารีณาฟัง และบอกว่าอยากหนีจากจิโระชายที่เธอเข้าไปมีความสัมพันธ์ด้วยโดยไม่ตั้งใจ นามิพูดได้ไม่นานก็รีบวางสาย แล้วบอกว่าจะโทร.หาปารีณาใหม่
ค่ำวันต่อมานามิโทรมาหาปารีณา บอกว่าเธอหนีออกมาได้แล้วและมาพักที่บ้านเพื่อนแถวทางด้านเหนือของโตเกียวบริเวณคาวะโคะเอะ ในวันต่อมาปารีณาจึงรีบไปรับตัวเธอจากคาวะโคะเอะ และพาเธอมาพักในอพาร์ตเมนต์ที่สงบๆ แถวเซตะกะยะ เพราะเป็นย่านที่จิโระไม่น่าจะตามหาตัวเธอได้ นั่นเป็นเหตุให้ในคืนวันนั้นเธอจึงติดต่อหาภาณุ เพราะเธอไม่รู้ว่าจะรับภาระครั้งนี้คนเดียวอย่างไรไหว และขณะนี้ครอบครัวเธอก็มาอยู่กันเต็มห้องแคบๆ ของเธอ โชคดีที่ยูกิเจ้าของโฮสเทลที่เธออยู่ไม่ได้ว่าอะไร
“กินอะไรหน่อยไหม นามิ”
นามิส่ายหน้าช้าๆ “ไม่หิวเลย ฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไปดี”
“ใจเย็นๆ ก่อน หลบนิ่งๆ สักพักนึงก่อน จนมันท้อใจ มันก็จะเลิกตามนามิเอง”
“ฉันไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าที่นี่หรอกนะ เงินฉันก็ไม่ได้มีติดตัวมามาก ฉันจะเอาตัวรอดได้ยังไง”
ปารีณาพยักหน้าอย่างเห็นใจหญิงสาว
“เรื่องค่าเช่า เห็นภาณุบอกว่าจะช่วยจ่ายให้นะ ส่วนเรื่องอื่นๆ ฉันพอมีเงินอยู่ พอดูแลเธอได้อยู่ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ปารีณาพูดปลอบใจนามิ เพื่อนๆ มักจะรู้กันว่าภาณุมาจากครอบครัวที่มีฐานะ แต่ด้วยเธอไม่ชอบพึ่งใครโดยไม่จำเป็น ทำให้เธอยังไม่ได้คุยกับภาณุเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ เธอเอาเงินของเธอวางมัดจำที่พักที่นี่ไป เธอไม่รู้ว่านามิจะต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนเหมือนกัน
หญิงสาวเดินนำมาด้านใน นามิเก็บเครื่องนอนเรียบร้อยแล้ว จึงพอมีที่นั่งในห้องเล็กๆ บ้าง
“เออ วันนี้ฉันเจอกับคนไทยบนรถไฟ เขามีร้านกาแฟอยู่ที่ชิโมกิตะซะว่า เขาพูดเหมือนอยากได้คนช่วยทำงานในร้าน…”
“ให้ฉันไปทำไหมคะ” นามิรีบพูดแทรก
“โอ๊ย…แล้วถ้าไอ้จิโระมาเจอ ไม่แย่หรือไง หลบตัวสัก 2-3 อาทิตย์ เอาไว้ณุซังมาก่อนดีไหม ค่อยคิดกันต่อว่าจะทำยังไง” ปารีณาเอียงศีรษะ “อีกอย่างนะ ฉันก็ยังไม่รู้จักเขาดีเท่าไร ไม่รู้ว่าไว้ใจได้หรือเปล่า ชิโมกิตะซะว่าอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ ฉันว่าขากลับจากนี่ไป จะลองแวะไปดูร้านเขาหน่อย”
นามิพยักหน้าอย่างว่าง่าย ปารีณาจำได้ว่านามิมักเป็นอย่างนี้เสมอ มิน่าเธอจึงหลงกลเจ้าจิโระตัวแสบได้
คำว่า ‘ชิโม’ นั้นแปลว่าส่วนล่าง ย่านชิโมกิตะซะว่านั้นอยู่ส่วนล่างของเขตกิตะซะว่า และเขตกิตะซะว่าก็อยู่ในเมืองเซะตะกะยะที่นามิอยู่เช่นเดียวกัน ถ้านั่งรถไฟสายโอดะคิวจากชินจูกุ ก็จะถึงสถานีชิโมกิตะซะว่าก่อนและสถานีต่อไปก็จะเป็นสถานีเซะตะกะยะ-ไดตะที่ตั้งอพาร์ตเมนต์ของนามิ ทำให้ปารีณาตัดสินใจไม่ยากที่จะแวะไปที่ร้านกาแฟยามะโมริ เธอเคยชอบมาชิโมกิตะซะว่าเมื่อสมัยตอนเธออยู่มัธยม ตอนนั้นที่นี่ยังเป็นเหมือนย่านที่อยู่อาศัยและมีร้านเก๋ไก๋อยู่เพียงไม่กี่ร้าน แต่ก็มีสปิริตของความเป็นศิลปินแฝงอยู่
คีรีอธิบายทางเดินไปร้านให้เธอฟังคร่าวๆ ในระหว่างที่เขาพูดถึงร้าน ซึ่งหญิงสาวฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่จากนามบัตรเธอก็พอดูออกว่าจะต้องเดินไปทางร้านกาแฟชื่อดังทางฝั่งใต้ เธอจำร้านนี้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาชิโมกิตะซะว่า ในขณะที่ทางเหนือดูวินเทจและเก๋ไก๋ ทางใต้นี้ดูบ้านๆ แต่พอหลุดจากตรอกถนนคนเดินมา และเลี้ยวซ้ายมา กลับเจอกับร้านกาแฟเก๋ไก๋ที่เป็นเหมือนกระท่อมไม้เล็กๆ แถมด้านล่างมีไม้เลื้อยดูร่มรื่น และฝั่งตรงกันข้ามก็มีเพิงขายต้นไม้ แต่เมื่อเธอกำลังเดินผ่านร้านกาแฟเก๋ไก๋ เธอก็สังเกตเห็นว่าวันนี้ร้านกาแฟร้านนั้นปิด เมื่อผ่านไปใกล้ หน้าร้านเขียนว่าขออภัยที่เปิดทำการไม่ได้ในวันนี้และพรุ่งนี้ เนื่องจากต้องซ่อมแซมครัวด้านใน หญิงสาวรู้ว่าร้านกาแฟของชายหนุ่มคนนั้นอยู่เลยขึ้นไปอีกเพียงนิดเดียว
ในที่สุดเธอก็มาถึงหน้าร้านยามะโมริ!
โต๊ะทุกโต๊ะในร้านเต็มหมด แม้กระทั่งบริเวณเคาน์เตอร์ก็มีคนนั่งรอกาแฟอยู่ 3-4 คน แถมเจ้าเด็กน้อยทั้งหลายนี้มาจากไหน กำลังต่อคิวซื้อขนมกันใหญ่ เจ้าหนุ่มคนนั้นดูเหมือนกำลังงงเป็นไก่ตาแตก เหมือนยังไม่รู้ราคาของ แต่เขาก็พยายามดูแลเด็กน้อยเหล่านั้นอย่างขะมักเขม้น ส่วนคุณป้าดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับร้านที่ลูกค้ากำลังทะลัก เธอยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พูดคุยและช่วยดูแลเด็กๆ อย่างใจเย็น
ปารีณาเดินเข้าร้านไปโดยไม่มีใครทันสังเกตเธอด้วยซ้ำ เดินลึกผ่านคุณป้าซึ่งดูใจดีไป เธอเห็นผ้ากันเปื้อนแขวนอยู่ เธอรีบคว้าผ้ากันเปื้อนและวางกระเป๋าลงใต้เคาน์เตอร์ เธอมองไปยังโต๊ะที่วางของที่ส่งออกมาจากครัว มีทั้งกาแฟและเค้กเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นของโต๊ะไหน แต่เธอรีบเบียดไปข้างตัวเขาเพื่อดูบิลว่าโต๊ะไหนสั่งอะไรบ้าง
หญิงสาวจัดการหยิบของเป็นชุดๆ ตามบิลที่เขียนใส่ถาด แต่เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่าโต๊ะ 1 ของที่นี่คือโต๊ะไหน ครั้นจะสะกิดถามชายหนุ่ม…ก็ดูเหมือนเขากำลังจะเอาตัวเองไม่รอด เธอจึงตัดสินใจนำกาแฟลาเต้เย็นที่น้ำแข็งกำลังจะละลายออกไปเสิร์ฟพร้อมกับฟรุตเค้กที่วิปครีมเริ่มจะไม่เป็นรูป เธอไม่ลืมหยิบกระดาษทิชชูและช้อนติดมาด้วย เมื่อเดินออกไปถึงโต๊ะด้านหน้าหญิงสาวก็รีบพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ ใครสั่งลาเต้เย็นกับฟรุตเค้กคะ”
จังหวะนั้นคีรีจึงได้สังเกตเห็นปารีณา ใบหน้าสวยใสที่นูนกับรอยยิ้มในเสื้อลินินสีขาวนั่นทำให้เธอเหมือนกับนางฟ้าของร้านในยามนี้
ชายหนุ่มที่เคาน์เตอร์ยกมือบอกว่าเป็นของเขา เธอรีบวางของให้อย่างสุภาพ พร้อมย้ำชื่อของในขณะวางตามมาตรฐานการเสิร์ฟที่เธอเคยทำในร้านอาหารไทยที่แคลิฟอร์เนีย จากนั้นเธอก็รีบวิ่งกลับไปที่โต๊ะที่ส่งของจากครัววางของในบิลถัดมาลงในถาด และรีบนำไปส่งให้กับโต๊ะถัดมา เธอทำอยู่อีก 3-4 เที่ยว กาแฟและขนมเค้กบนโต๊ะที่ส่งของจากครัวถึงจะหมด จากนั้นก็มีเสียงจากในครัวสั่งออกมา
“อย่าลืมรินน้ำให้ลูกค้าด้วยนะครับ”
หญิงสาวมองก้มลงไปตามช่องเพื่อดูว่าใครสั่ง และเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างท้วม น่าจะเป็นลูกจ้างในร้าน เธอก็ออกคำสั่งด่วน
“ฉันไม่รู้จะเอาแก้วที่ไหน เธอน่ะ…ออกมารินน้ำใส่แก้วให้ฉันสัก 12 แก้ว เดี๋ยวฉันจะไปเสิร์ฟให้”
น้ำเสียงเข้มงวดทำให้ณัฐรีบปฏิบัติตามโดยทันที คีรีรู้สึกสะใจที่มีใครสักคนสั่งณัฐได้ หญิงสาวรีบเข้ามาทยอยเอาน้ำที่ณัฐรินไปเสิร์ฟ
เริ่มมีลูกค้าเข้ามาเติม แต่โต๊ะก็เหมือนเต็มทุกโต๊ะ นั่นทำให้ปารีณารีบเข้าไปสอบถามลูกค้า เมื่อรู้ว่าเธออยากได้คาปูชิโนสักแก้วกลับบ้าน หญิงสาวก็รีบหยิบบิลมาเขียน และส่งบิลเข้าครัวพร้อมตะโกนสั่งเบาๆ
“คาปูชิโนกลับบ้านค่ะ”
แทบในทันทีทันใดก็มีเสียงตะโกนสวนกลับมา “ที่นี่ไม่มีแก้วใส่กลับบ้านครับ”
หญิงสาวก้มหน้ามองเข้าไปในช่องหน้าต่างอย่างฉงน “เอ๋ะ” หญิงสาวอุทานแบบญี่ปุ่นก่อนจะพูดต่อว่า “อะไรกัน ร้านนี้ไม่มีแก้วกระดาษเลยหรือไง”
“ไม่มีครับ” ณัฐตอบเสียงดังฟังชัด
ปารีณาหันมามองคีรีที่ยังยุ่งเก็บเงินเด็กน้อยอยู่อย่างเอาเรื่อง ชายหนุ่มทำเป็นยุ่งและส่ายหน้า นั่นทำให้หญิงสาวส่ายศีรษะอย่างไม่พอใจและเดินไปหาลูกค้าที่หน้าร้าน ขอโทษขอโพยลูกค้าเป็นการใหญ่ โชคดีที่ลูกค้าบอกไม่เป็นไรและเธอยืนคอยได้ ทำให้ลูกค้า 2-3 คนที่นั่งอยู่บริเวณเคาน์เตอร์ยาวรีบขยับตัวเบียดเข้ามา และบอกปารีณาให้นำลูกค้าหญิงสาวเข้ามานั่ง ปารีณาเลยเชิญเธอเข้ามานั่ง และเอาบิลกลับเข้าไปในครัวใหม่ เธอเพิ่งสังเกตว่าเครื่องชงกาแฟที่นี่เป็นแบบไซฟ่อน
ลูกค้าบางคนเริ่มเรียกเช็กบิล แต่เมื่อเห็นว่าคีรียังยุ่งวนอยู่กับเด็กน้อย หญิงสาวก็หยิบเมนูมาเขียนราคาบนบิลให้ก่อน ก่อนจะส่งให้คีรีกดคิดเงินในเครื่อง เมื่อลูกค้าเริ่มทยอยออก ก็มีลูกค้าใหม่มาเติมไม่หยุด ปารีณาจึงต้องรีบเก็บโต๊ะและทำความสะอาด เมื่อเห็นหญิงสาวถือถาดถ้วยจานใช้แล้วมา ป้าวนาก็ยิ้มให้และรีบพามาวางในซิงค์ล้างที่อยู่ด้านใน หญิงสาวยิ้มกลับให้ป้าวนา เมื่อวางเสร็จป้าวนาก็เริ่มล้างจานและถ้วย โบกมือให้หญิงสาวกลับไปด้านหน้า ปารีณาได้แต่โค้งขอบคุณและเดินกลับมาช่วยงานที่หน้าร้าน
ลูกค้าใหม่คอยเติมเข้ามาเรื่อยๆ แล้วก็มีลูกค้าคุณแม่กับเด็กสาววัยมัธยมมานั่ง คุณแม่อยากได้กาแฟอเมริกาโนกับเค้กชาเขียว ส่วนลูกสาวไม่ทานกาแฟ เธอเลยอยากได้น้ำผลไม้
“น้ำผลไม้เหรอคะ” ปารีณาเอียงศีรษะเล็กน้อย เธอไม่เห็นน้ำผลไม้ใดๆ ในเมนูเลย เธอคิดว่าคงจะเอาอะไรจากร้านนี้ยาก “ไม่มีค่ะ รับช็อกโกแลตร้อนแทนได้ไหมคะ”
เด็กสาวส่ายหน้า และทำเหมือนจะไม่อยากทานอะไร ทำให้คุณแม่หันมาหาปารีณา
“ฝากถามด้านในหน่อยเถอะคะ ว่าพอมีน้ำผลไม้บ้างไหมคะ”
ปารีณาเลยต้องยอมเขียนบิลและนำไปวางที่ช่องส่งอาหาร
“มีน้ำผลไม้อะไรไหมคะ ลูกสาวที่มาด้วยไม่ทานกาแฟและช็อกโกแลตค่ะ” เธอตะโกนถามเบาๆ เข้าไปข้างใน
“ไม่มีครับ” ณัฐตะโกนกลับแทบในทันที อย่างที่หญิงสาวคิดไว้
“ไม่มีผลไม้อะไรพอมาทำน้ำผลไม้ได้บ้างเลยหรือคะ”
“ไม่มีครับ” ณัฐตะโกนกลับมาอีก
ตอนนี้ลูกค้าเด็กน้อยเริ่มซาไปบ้างแล้ว ปารีณามองไปทางคีรีอย่างจะบอกว่าเธอต้องการความช่วยเหลือ แล้วณัฐก็เดินออกมานอกครัว ปารีณาได้เห็นหน้าณัฐชัดๆ หญิงสาวมองกลับไปมาระหว่างชายหนุ่มทั้งสองอย่างช้าๆ แต่ก็ดูเหมือนไม่มีใครจะช่วยเธอได้
จนป้าวนาเดินเข้ามาประชิดตัวเธอ
“เดี๋ยวป้าจะทำน้ำแตงโมให้ เมื่อวานนี้เราซื้อแตงโมมาไม่ใช่เหรอ คีรี”
ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจที่ป้าวนาจำได้ว่าได้ซื้อแตงโมมาเมื่อวานนี้
“แล้วคุณป้าจะทำน้ำแตงโมยังไงครับ” ณัฐถาม
“ก็เอาแต่เนื้อหั่นใส่เครื่องปั่นนะ ใส่น้ำแข็งเข้าไปนิดเดียว ปั่นแป๊บเดียวก็ได้น้ำแตงโมอร่อยๆ แล้ว จะเหยาะเกลือเพิ่มก็ได้ เดี๋ยวป้าไปทำมาให้” พูดเสร็จป้าวนาก็รีบวิ่งเข้าไปในส่วนหลังบ้านที่เธอเก็บเครื่องปั่นน้ำผลไม้ไว้
ปารีณาอยากจะเท้าสะเอวมองหน้าชายหนุ่มทั้งสอง และอยากจะพูดออกมาเสียเกินว่า
‘เป็นหนุ่มๆ แข็งแรงทั้งคู่ แต่พึ่งพาไม่ได้เลย ต้องให้หญิงชราที่มีอาการอัลไซเมอร์มาช่วย’
แต่เนื่องจากเธอยังไม่รู้จักสองคนนี้ เธอจึงได้แต่ส่ายหัวมองชายทั้งสองและรีบออกไปช่วยงานหน้าร้าน คีรีเมื่อได้ยินป้าวนาพูดคำว่า ‘เกลือ’ เลยหันไปทางณัฐ
“รีบเข้าไปดูคุณป้าเลย อย่าให้คุณป้าใส่เกลือลงในน้ำผลไม้ล่ะ”
ณัฐจึงได้แต่เดินอาดๆ ไปทางด้านหลังซึ่งเป็นส่วนของครัวใหญ่ที่ป้าวนาจะใช้ทำขนมเค้กและมีอ่างล้างจานขนาดใหญ่
มีลูกค้าเรียกเช็กบิลอีกสองโต๊ะ เมื่อเห็นคีรีไม่ต้องคิดเงินเด็กน้อย หญิงสาวจึงส่งบิลให้คีรีคิดเงินเลย ไม่ได้เขียนราคาให้ และตัวเองก็เขียนบิลจะส่งให้ณัฐ แต่เมื่อไม่เห็นณัฐจึงหันมาถามคีรี
“น้องผู้ชายหายไปไหนแล้วล่ะคะ” ปารีณาถาม
“ไปช่วยคุณป้าทำน้ำแตงโมข้างในครับ” คีรีตอบโดยไม่ได้หันกลับมามอง
ปารีณาเห็นว่าลูกค้าสั่งเค้กเพิ่มชิ้นเดียว ถ้าเธอไปหยิบเค้กจากตู้เย็นและนำไปเสิร์ฟ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หญิงสาวจึงเข้าไปในส่วนเตรียมกาแฟของณัฐ และจัดการหยิบเค้กช็อกโกแลตที่ตัดเป็นชิ้นๆ อยู่แล้วมาวางใส่จาน มีใบสะระแหน่วางอยู่ตรงโต๊ะเตรียมของสแตนเลสที่อยู่ตรงกลาง เธอจึงหยิบวางและนำเพื่อไปเสิร์ฟ
ณัฐซึ่งถือน้ำแตงโมออกมาพอดี เห็นหญิงสาวออกจากที่เตรียมกาแฟพร้อมถือเค้กช็อกโกแลตไปด้วย ด้วยไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร ทำให้เขาได้แต่ตะโกน
“ออออย่า”
หญิงสาวไม่รู้ว่าเสียงนั้นกำลังพูดกับเธอ หญิงสาวจึงยังคงเดินหน้าเพื่อไปเสิร์ฟเค้กนั้น พอณัฐเดินไปถึงคีรี เขาก็รีบกวักมือเรียกคีรีและชี้ไปที่เค้กช็อกโกแลตนั่น คีรีทำตาโต…รู้ความหมายของณัฐทันที แต่เขาจะเรียกชื่อเธอ ‘คุณรี’ จะดีหรือ เพราะยังไม่ได้มีโอกาสแนะนำตัวกันเลย
เขาจึงรีบลุกขึ้น หวังจะรีบวิ่งไปยับยั้งเธอทัน เขาเอื้อมมือสุดแขนหวังจะหยุดเธอ แต่เธอก็วางเค้กนั่นลงบนโต๊ะให้กับชายใส่แว่นเสียแล้ว ชายคนนั้นรีบหยิบช้อนและตักเค้กชิ้นนั้นเข้าปากทันที หน้าตาเขาเหมือนรู้สึกดีเมื่อครีมช็อกโกแลตสัมผัสลิ้น แต่เมื่อถึงตัวเค้ก เขาก็ตาโตและพ่นเค้กชิ้นนั้นออกในทันที ปารีณาทำสีหน้าตกใจ คีรีรีบเข้าไปพูดขอโทษเป็นภาษาญี่ปุ่น
“โกะเมนนะไซ”
แล้วชายหนุ่มก็รีบบอกปารีณา “เค้กมันมีเกลือ”
หญิงสาวอ้าปากค้าง อดหันไปต่อว่าไม่ได้ “นี่คุณทำร้านกาแฟหรือคุณขายของเล่นๆ เค้กร้านคุณมีเกลือได้ยังไง”
ชายหนุ่มรีบพูด “ก็คุณป้าพลั้งมือนิดหน่อย…”
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“…รีบบอกเขาไปว่าเดี๋ยวเราจะเอาเค้กชิ้นใหม่มาให้ ไม่คิดเงิน”
หญิงสาวรีบเข้าไปพูดขอโทษและบอกลูกค้าตามที่คีรีบอก โชคดีอีกครั้งที่ลูกค้าไม่ว่าอะไร ได้แต่พยักหน้ารับและสั่งเค้กไวท์ช็อกโกแลตแทน แถมบอกให้ชาร์จเงินตามปกติ