ชะตารัก…กิตะซะว่า บทที่ 4 : เพราะเธอหรือเปล่า

ชะตารัก…กิตะซะว่า บทที่ 4 : เพราะเธอหรือเปล่า

โดย : ปุณรสา

Loading

ชะตารัก…กิตะซะว่า โดย ปุณรสา เมื่อผู้เป็นลุงเสียชีวิตลงและทิ้งคาเฟ่ขนมหวานแสนอร่อยที่เป็นความทรงจำแสนงดงามของคุณลุงและคุณป้าไว้ เขาจะขายร้านและพาคุณป้ากลับเมืองไทยหรือปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น หรือบางทีคำตอบที่อยากได้อาจจะมาพร้อมกับหญิงสาวคนนั้น นิยายรักอบอุ่นหัวใจที่อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์

***************************

-4-

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

พอสักทุ่มกว่า ลูกค้าก็เริ่มหมด หญิงสาวที่ไม่ได้ทำงานแบบนี้มานาน แทบจะทรุดลงนั่งกับโต๊ะ คีรีรีบเดินเข้ามาหา

“สวัสดีครับ ผมคีรีครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้ “ดีใจจริงๆ ที่วันนี้คุณมาที่ร้านกาแฟผมได้”

ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดอะไร ณัฐที่มายืนเตร็ดเตร่อยู่ข้างหน้าก็รีบออกความเห็น “อ๋อ นัดมาเดต”

ปารีณาตาลุกวาวและรีบหันไปมองหน้าคีรี ชายหนุ่มตาโตและทำหน้าพะอืดพะอม

“คุณนัดฉันมาเดตเหรอ”

น้ำเสียงห้วนและหงุดหงิดของปารีณา ทำให้คีรีตัดสินใจได้ทันทีเลยว่าต้องปฏิเสธ “ปะ…เปล่า เปล่าครับ”

หญิงสาวถอนหายใจ “ค่อยยังชั่วหน่อย” แล้วนั่งปล่อยตัวไปกับเก้าอี้อย่างเหนื่อยเต็มทน

ถ้าเธอไม่ได้มาตามที่เขาชวนเพื่อเดตและทำความรู้จักกัน คีรีสงสัยเหลือเกินว่าเธอคนนี้มานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม แต่เขาก็ไม่กล้าถามด้วยดูเธอเหนื่อยล้าเหลือเกิน โชคดีที่ป้าวนาเดินเข้ามาพร้อมวางอาหารลงที่โต๊ะ

“คุณผู้จัดการร้าน ทานข้าวกันนะคะ”

“โอ๊ย…คุณป้า” ปารีณารีบยกมือขึ้นไหว้ “นี่แกงเขียวหวานไก่หรือคะ น่าทานจัง”

“วันนี้ยุ่ง ป้าเลยทำแกงได้อย่างเดียว และก็มีไข่ดาวเท่านั้น”

“โอ้โห แค่นี้ก็หรูแล้วค่ะ”

“คุณผู้จัดการชื่ออะไรคะ” ป้าวนาถาม

“อยู่ญี่ปุ่นนี่ เขาก็เรียกกันว่า ‘เรียว’ ค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” หญิงสาวผงกศีรษะให้กับป้าวนา

“งั้นเรียวจังทานเยอะๆ นะ” ป้าวนาเรียกปารีณาว่า ‘เรียวจัง’ เพราะคำว่าจังใช้เรียกบุคคลที่อายุอ่อนกว่า พูดจบป้าวนาทำท่าจะตักข้าวให้เยอะๆ เลยทำให้หญิงสาวต้องรีบลุกขึ้นมาช่วยป้าวนาตักข้าว

ขณะนั่งทานข้าวด้วยกัน คีรีจำเป็นต้องเคลียร์ความเข้าใจ ทำให้เขาต้องถามขึ้นว่า

“ป้าวนาเรียกคุณรีว่าผู้จัดการร้านเหรอครับ”

“เขาชื่อเรียว” ป้าวนาพูดแค่นี้ และกินข้าวข้างหน้าต่อสักระยะจึงพูดต่อว่า “ก็คีรีบอกว่าจะหาผู้จัดการร้านมาไม่ใช่เหรอ”

คีรีรู้สึกว่าบางทีป้าวนาก็ช่างจดช่างจำมากกว่าที่เขาคิด

“ตกลงคุณมาเป็นผู้จัดการร้านเหรอครับ”

ปารีณาที่กำลังทานอย่างต่อเนื่องเงยหน้าขึ้นมา “ยังไม่ทันคิดอะไรเลย อะไรกันนะคะ”

“ก็ป้าวนาเรียกคุณว่าผู้จัดการร้าน”

หญิงสาวเอียงหน้า เพราะเธอทราบว่าคุณป้ามีอาการอัลไซเมอร์ เลยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตานี่น่ะสิ ไม่รู้ว่าสติเต็มหรือเปล่า มาถืออะไรกับที่ป้าวนาเรียกเธอ

“แล้วคุณจะจ้างผู้จัดการร้านเหรอ”

“คิดว่าจะ…ครับ” ชายหนุ่มตอบ “แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะมาเป็นผู้จัดการร้าน”

“ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ กะมาดูเฉยๆ” หญิงสาวตอบก่อนตักข้าวเข้าปาก

ตอนนี้ณัฐเพิ่งตักข้าวและเดินมานั่งสมทบ

“แปลว่าตอนนี้เริ่มคิดแล้วสิครับ” คีรีถามต่อ

“ยิ่งได้เข้ามาช่วย ยิ่งไม่คิดใหญ่เลยค่ะ” หญิงสาวตอบหน้าตาเฉย

ณัฐหัวเราะคิก

“เรียวจัง อยู่ช่วยคีรีเถอะ สงสารคีรี” ป้าวนาขอร้อง

“คุณป้าคะ ฉันมีงานอื่นต้องทำอยู่ค่ะ”

“ไม่ต้องมาทำทุกวันก็ได้ครับ เอาที่สบายใจ” คีรีพูด

ปารีณามองหน้าคีรี ‘ก็น่าคิด’ เธอกำลังต้องการเงินอยู่ ถ้าเงินที่ได้จากที่นี่พอจ่ายค่าเช่าของนามิ ก็ดีมากทีเดียว

“ก็ได้ค่ะ มาทำสัก 4-5 วันต่ออาทิตย์ น่าจะได้อยู่ค่ะ”

“ดีจริง” ป้าวนายิ้ม “คีรีจะได้ไม่เหนื่อย”

“เป็นมื้อเย็นที่อร่อยมากเลยค่ะ ขอบคุณคุณป้านะคะ เดี๋ยวหนูต้องกลับก่อนค่ะ พรุ่งนี้จะได้มาแต่เช้า”

“ไม่ต้องมาแต่ 10 โมงก็ได้ครับ มาสัก 11 โมง เพราะลูกค้าก็เข้าใกล้เที่ยง” คีรีตอบ เพราะรู้สึกเห็นใจเธอที่มาทำวิจัย แต่กลับต้องมาช่วยเขาทำงานที่ร้านด้วย

“ค่ะ ร้านกาแฟอื่นๆ ที่ชิโมนี่ส่วนใหญ่ก็เปิดสิบเอ็ดโมงกัน” หลายคนเรียกชิโมกิตะซะว่าว่า ‘ชิโม’ เฉยๆ “จริงๆ เราเปิดสิบเอ็ดโมงและเพิ่มอาหารและน้ำผลไม้เข้าไปในเมนูอีก หรือให้น้ำผลไม้และอาหารเป็นเมนูที่ปรับเปลี่ยนในแต่ละวัน โดยใช้เป็นเมนูพิเศษที่ตั้งบนโต๊ะแทน ลูกค้าจะได้สังเกตได้ง่ายด้วย จะดีกว่านะคะ”

คีรีมองหน้าณัฐเหมือนขอความคิดเห็น แต่ณัฐก็เลือกจะไม่สบตาและก้มหน้าก้มตาทานข้าวเพราะกลัวจะต้องรับภาระเพิ่ม นั่นทำให้ไม่มีใครตอบปารีณาเลย

“อย่างงั้นก็ขอเผด็จการนะคะ แปลว่าตกลงตามนี้ และเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะจ่ายงานให้แต่ละคนค่ะ” หญิงสาวลอยหน้าลอยตาพูด

คราวนี้ณัฐเงยหน้าขึ้นมองปารีณาตาโตเหมือนอยากบอกว่า ‘ขอไม่เกี่ยวนะ’

แต่ดูปารีณาเหมือนจะไม่สนใจ หญิงสาวลุกขึ้นยืน “ขอตัวกลับก่อนดีกว่าค่ะ เหมือนฝนทำท่าจะตก”

คีรีที่เพิ่งทานข้าวเสร็จ รีบลุกขึ้นตาม “เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่สถานีรถไฟครับ”

“ไหนบอกว่าไม่ใช่เดต” ณัฐพูดขึ้นลอยๆ พร้อมทานอาหารไปด้วย

ปารีณารีบส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินไปเองได้”

“คีรีไปส่งคุณผู้จัดการเถอะ รีบไปเถอะ” ป้าวนารีบลุกขึ้นและวิ่งไปหยิบร่มให้คีรี “เผื่อฝนตก ร้านเราอยู่ไกลสถานีรถไฟด้วย”

พอออกจากร้านได้สักหน่อย ฝนก็ตกปรอยๆ ทำให้คีรีต้องกางร่มที่ติดมาให้หญิงสาว

“คุณทำงานที่ร้านได้คล่องแคล่วมากเลยครับ ถ้าวันนี้ไม่ได้คุณ ที่ร้านคงเละเทะ ขอบคุณมากๆ นะครับ”

“สมัยเรียนอยู่ที่อเมริกา ฉันทำทั้งร้านอาหาร ร้านโดนัตมาก่อนค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมอมยิ้มเมื่อคิดถึงวันเก่าๆ

เนื่องจากชายหนุ่มที่ถือร่มเดินค่อนข้างช้า ทำให้หญิงสาวเดินช้าตามไปด้วยท่ามกลางฝนที่ตกเบาๆ ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เขาจำไม่ได้ว่าเคยนั่งกินข้าวเป็นครอบครัวครั้งสุดท้ายนั้นเมื่อไหร่ อาหารเย็นวันนี้เขารู้สึกถึงบรรยากาศครอบครัวที่ขาดหายไปจากชีวิตเขา

“อยู่รัฐไหนเหรอครับ”

“แคลิฟอร์เนียค่ะ ตอนนั้นคุณพ่อที่เป็นอาจารย์มหา’ลัย ได้ทุนไปเรียนต่อที่นั่นค่ะ เราเลยไปอยู่กันทั้งครอบครัว”

ชายหนุ่มพยักหน้า ไม่นึกแปลกใจที่พ่อของเธอเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย “นี่ผมกำลังส่งเรื่องไปขอทุนปริญญาเอกอยู่ ผมติดต่อไปที่มหา’ลัยอะเบอร์ดีนในสกอตแลนด์ครับ ทางมหา’ลัยที่ผมสอนอยู่อยากให้ผมได้เรียนต่อเอก”

“หมายความว่ายังไงคะ คุณไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยคุณป้าคุณหรือคะ” หญิงสาวทำท่างง

“ผมเป็นอาจารย์มหา’ลัยครับ พอคุณลุงเสียก็รีบเดินทางมา เพราะคุณป้าก็คงจัดการอะไรเองไม่ได้ ผมมีเวลาอยู่ที่นี่สองเดือนเท่านั้น”

“ฮ้า” ปารีณาอุทานอย่างตกใจ “คุณเป็นอาจารย์มหา’ลัยด้วยเหรอคะ”

“ใช่ครับ ผมมาเพื่อดูแลคุณป้า เพราะคุณลุงเพิ่งเสียครับ”

“แล้วหลังจากสองเดือนที่คุณอยู่ที่นี่ล่ะคะ แล้วคุณป้าจะทำยังไง”

“ถ้าขายร้าน ผมก็จะเอาคุณป้ากลับเมืองไทย”

“ขายร้าน!” หญิงสาวพูดเสียงดัง “แต่วันนี้คุณป้าคุณดูมีชีวิตชีวานะคะ ผิดกับคนอัลไซเมอร์ที่เคยได้ยินหรือเห็นมาเลย”

“ใช่ครับ ไม่ทราบที่ผ่านๆ มาอาจเพราะเสียใจเรื่องคุณลุงหรือเปล่าไม่รู้ คุณป้าดูเนือยๆ เฉยๆ แต่วันนี้ดูผิดไปอย่างที่คุณว่า”

ในตรอกถนนคนเดินตอนนี้ ยังมีผู้คนเดินไปมาอยู่ แสงนีออนจากร้านราเมงและร้านค้าอื่นๆ ส่องแสงทำให้ตรอกเล็กๆ ดูสว่างจ้า

“การที่มีกิจกรรมให้คุณป้าทำแบบนี้ ทำให้คุณป้ารู้สึกตัวเองมีความหมาย ถ้ากลับเมืองไทย คุณป้าต้องไปอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป และท่าทางคุณป้ารักร้านนี้มาก ถ้าคุณป้าเสียร้านนี้ไป คุณป้าจะเป็นยังไง”

คีรีตาโต “ผมไม่เคยคิดหรือเห็นประเด็นนี้เลยครับ”

ปารีณามองหน้าคีรีอย่างไม่ชอบใจ ทั้งสองเดินมาจนสุดตรอกถนนคนเดินอีกฝั่งหนึ่ง

“นี่ใกล้ถึงสถานีรถไฟแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” เหมือนหญิงสาวพูดตัดบท

เธอโค้งคีรีเพื่อขอบคุณ และเธอก็วิ่งออกไป คีรีรู้สึกตกใจที่เธอวิ่งไปในสายฝนแบบนั้น ชายหนุ่มได้แต่ตะโกนเรียกชื่อเธอ

“คุณรี…คุณรี”

เมื่อหญิงสาวได้ยิน เธอได้แต่หยุดและหันกลับมามองชายหนุ่ม ตอนนี้เธออยู่ทางลอดใต้ถนนด้านบนซึ่งเป็นเหมือนอุโมงค์-เป็นเส้นทางเดินทะลุไปทางเหนือ เมื่อเขาทำท่าเหมือนจะวิ่งไปหาเธอ หญิงสาวก็หันกลับและรีบวิ่งหนีออกไปจากอุโมงค์นั่น ทิ้งชายหนุ่มให้ยืนกลางฝนตามลำพัง

 

ปารีณาลงจากรถไฟที่สถานีคิชิโจจิเป็นเวลาสามทุ่มกว่า ฝนยังตกพรำๆ อยู่ หญิงสาวคิดว่าฝนตกแบบนี้มักไม่หยุดง่ายๆ อย่างไรเธอคงต้องเปียกฝนกลับบ้าน แต่ก่อนจะออกจากสถานี เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น

“ณุเหรอ ดีใจจังที่โทรมา” หญิงสาวรีบกดรับสาย

จริงๆ แล้ว 2-3 ปีที่ผ่านมา เธอกับภาณุไม่ได้ติดต่อกันประจำ เพียงแค่ส่งข้อความทักทายกันบ้างเท่านั้น จนมาเกิดเรื่องนามิ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกจนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ จึงได้โทร.ไปปรึกษาภาณุ

“โทรมาดึกไปหรือเปล่า”

“เปล่าเลย นี่ยังอยู่สถานีรถไฟอยู่เลย กำลังจะกลับเข้าที่พัก”

“นามิเป็นยังไงบ้าง”

“สภาพหน้าตาเริ่มเป็นปกติแล้ว แต่ก็คงคิดมากน่าดู เพราะไม่รู้จะไปทางไหน จิโระมันยังคงตามอยู่ นี่จะกลับไปหาแม่ก็ไม่ได้ กลัวจิโระมันตามไป ตอนนี้ได้แต่หลบตัวอยู่ในห้องอพาร์ตเมนท์ที่เช่าให้”

“เรียวไปเยี่ยมนามิทุกวันเลยเหรอ”

ภาณุกับเธอสนิทกันตั้งแต่ครั้งเรียนมัธยมที่โตเกียว ทำให้ภาณุเรียกเธอตามเพื่อนญี่ปุ่นในห้อง

“อืม จะปล่อยให้นามิอยู่คนเดียวแบบนั้นคงไม่ได้หรอก แต่นามิก็ไม่ได้เล่าอะไรมากนะ นอกจากบอกว่าเธอจำต้องอยู่กับไอ้จิโระ ซึ่งบังคับให้เธอถ่ายหนังโป๊ จิโระบอกว่าถ้าเธอหนีออกไป มันจะเอาเรื่องที่เธอถ่ายหนังโป๊พวกนี้ไปแฉให้คนแถวบ้านแม่เธอรู้ให้หมด นามิกลัวแม่จะอาย จึงทนอยู่กับไอ้นั่น จนทนไม่ไหวเพราะมันตบตีพยายามให้นามิถ่ายหนังโป๊อีกเรื่อง ในที่สุดเลยตัดสินใจหนีออกมา”

“น่าเห็นใจเนอะ ถ้าเคนอิจิอยู่ คงไม่มีเรื่องแบบนี้”

ปารีณารู้สึกสลดเมื่อคิดถึงเคนอิจิ เธอ เคนอิจิ และภาณุเป็นเพื่อนสนิทกันเมื่อครั้งมัธยม ด้วยนามิเป็นน้องสาวของเคนอิจิ ทำให้เธอและภาณุรู้จักคุ้นเคยกับนามิไปด้วย

“ว่าแต่ณุเถอะ เรื่องเรียนจบเรียบร้อยดีแล้วนะ” ปารีณารีบเปลี่ยนเรื่อง

“อืม…จบสักที”

“ยินดีด้วยนะ เก่งจริงๆ ณุ ในเราสามคนณุเป็นคนที่ไม่ชอบเรียนที่สุด แต่ก็จบโทจนได้”

“นี่กำลังเก็บของลงกล่องอยู่ จะแพ็กกลับเมืองไทย”

“และแวะมาญี่ปุ่นก่อน ที่บ้านไม่ว่าเหรอ”

“ไม่เห็นว่าอะไร เขาคงเห็นว่ากลับไปก็คงไปทำงานยาว จะแวะเที่ยวญี่ปุ่นสักเดือนสองเดือน ก็น่าจะโอเค จะได้เจอเรียวด้วย เราเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่น้า”

“ที่เมืองไทยรึเปล่า” ปารีณาตอบ

เมื่อตอนเคนอิจิเสีย เขาได้พบกับเธอที่ญี่ปุ่น แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากจะพูดถึง ตอนนั้นเขาเพิ่งจบมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย เมื่อรู้ว่าเคนอิจิเสีย เขาก็รีบบินไปที่ญี่ปุ่น

“ใช่มั้ง ตอนตัดสินใจจะไปเรียนโท เลยให้เรียวช่วยเขียนจดหมายเพื่อส่งไปสมัครกับทางมหา’ลัยที่อเมริกา”

ปารีณาพยักหน้ารับรู้ “เราไม่ได้เจอกันสามปีแล้วเหรอ เร็วมากเลย คิดถึงตอนมัธยมที่เราจะต้องนั่งทำการบ้าน ทำกิจกรรมที่โรงเรียนตอนเย็นๆ ทุกวัน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากเลยเนอะ ดีใจจังเลยที่จะได้เจอณุอีก”

“ที่บ้านมา คงสนุกใหญ่สิ”

หญิงสาวถอนหายใจ “ห้องในโฮสเทลยิ่งแคบๆ อยู่ นี่ว่าพรุ่งนี้จะย้ายไปอยู่กับนามิแล้ว เพราะนามิออกไปข้างนอกยังไม่ได้ เลยจะให้ช่วยงานเราเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่นามิจะทำได้”

ปารีณาคิดแล้วว่าถ้าเธอไปทำงานที่ร้านกาแฟนั่น งานเธออาจจำเป็นต้องให้นามิช่วยบ้าง

“เรียวเลยต้องมาลำบากดูแลนามิ เดี๋ยวเราจะลองดูนะว่า จะพอช่วยอะไรได้บ้าง”

“ตอนนี้ก็เข้าไปทักและคุยกับนามิบ้างนะ ส่วนหนทางข้างหน้า ค่อยคิดหาทางออกกัน”

“ได้จ้ะ” ภาณุรับคำ “แล้วเจอกันนะ เรียว”

“จ้ะ”

“นอนหลับฝันดีนะ” ภาณุแหย่ เพราะรู้ว่าหญิงสาวไม่ชอบให้ใครมาพูดหวานๆ ด้วย

“เก็บไว้คุยกับแฟนเธอเหอะ” ปารีณาตอบกลับทันที

ภาณุหัวเราะทันที “ไม่ชอบให้ผู้ชายมาพูดหวานๆ ใส่ แล้วอย่างงี้เมื่อไหร่จะมีแฟนเหมือนคนอื่นๆ เขาล่ะ”

“เรื่องของฉัน” เสียงหญิงสาวตอบอย่างไม่พอใจ “งั้นแค่นี้ละ”

แล้วหญิงสาวก็กดสายทิ้ง มองสายฝนที่ตกมาเบาๆ…คงถึงเวลาที่เธอต้องออกไปเผชิญกับสายฝนแล้ว

 คีรีขึ้นนอนด้วยความอ่อนล้า เขาไม่คิดเลยว่าในวันยุ่งๆ ที่เขาต้องยืนทั้งวันแบบนี้ มันจะเหนื่อยได้แทบขาดใจ ชายหนุ่มคิดถึงภาพหญิงสาวที่เธอหันกลับมาเมื่อเรียกชื่อเธอ ด้วยความมืดและไกลทำให้เขาไม่อาจเห็นสีหน้าเธอได้

คีรีกดดูข้อความบนโทรศัพท์ วันนี้เขาเพิ่งจะว่างดูโทรศัพท์ ข้อความจากนิคมขึ้นมาหลายอัน ทำให้เขาต้องกดข้อความตอบไปว่า วันนี้ที่ร้านยุ่ง ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ตอบ

ทันทีที่เขากดส่ง ทางฝ่ายนิคมก็กดอ่าน และรีบโทร.หาคีรีทันที “เป็นไงบ้าง”

“เหนื่อยว่ะ ลูกค้าเข้าทั้งวัน”

“บอกแกแล้วว่าแกทำไม่ไหวหรอก ยังไงก็ต้องจ้างผู้จัดการร้าน”

คีรีคิดถึงผู้จัดการร้านของเขา ถ้านิคมรู้ว่า ‘คุณรี’ กลายมาเป็นผู้จัดการร้านเขา นิคมจะว่าอย่างไรนี่ แต่เขาก็ต้องเก็บเรื่องคุณรีเป็นความลับก่อน ถ้าเขาบอกว่าไปแอบเหล่หญิงสาวตามที่อยู่ที่นิคมให้ จนได้เจอคุณรีและเธอได้มาหาเขาที่ร้านกาแฟของเขา ดูเขาจะเสียเหลี่ยมไปหน่อย และไม่รู้ว่าพรุ่งนี้คุณรีเธอจะมาทำงานไหม เพราะท่าทางเธอที่วิ่งจากไป ดูจะไม่พอใจเขา

“เออ วันนี้มีคนมาช่วยคนนึงแล้ว”

“ดีแล้ว ผู้หญิงผู้ชายล่ะ”

“ผู้หญิงงงงง” คีรีลากเสียงยาวแบบรำคาญ เพราะรู้ว่าจะตามด้วยคำถามว่า ‘สวยไหม’

“สวยไหม”

“หน้าตาโอเค”

“ญี่ปุ่นเหรอวะ”

“เปล่า คนไทยนี่แหละ”

“ถ้าแกดูว่านิสัยใช้ได้ พื้นฐานครอบครัวดี แกก็จีบเลยนะ”

คีรีว่าแล้วว่านิคมจะต้องย้อนมาเรื่องนี้จนได้

“เอาเถอะ ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมาทำงานหรือเปล่าเลย”

“แกไปด่าเขาละสิ”

“ทำไมแกต้องคิดว่าฉันไปทำอะไรเขาด้วย”

“แปลว่าแกไปทำอะไรเขาเข้าจริงๆ”

“ฉันเปล่า” คีรีขึ้นเสียงสูง “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเขาเลย”

“แล้วทำไมพรุ่งนี้เขาจะไม่มาทำงาน”

คีรีถอนหายใจ “แกไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหม”

“แปลว่าเรื่องสำคัญ”

เขาเบื่อที่สุดก็เวลานิคมซักเขาและทำตัวเหมือนนักจิตวิทยา

“ฉันบอกไปว่าฉันอาจต้องขายร้าน เธอก็ดูเคืองๆ…” เขายังอธิบายไม่จบ

“ก็ใช่สิวะ มาทำงานวันแรกเจ้าของร้านบอกจะขายร้าน”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนน…” คีรีไม่รู้ว่าทำไมจะต้องมานั่งอธิบายเรื่องโน่นนี่ให้นิคมฟัง ทั้งๆ ที่เขาเหนื่อยมาทั้งวัน “เขาเคืองว่าถ้าฉันขายร้าน ป้าวนาก็จะเคว้ง เพราะป้ารักร้านนี้มาก และคงเสียใจมาก”

“อ๋อ แกก็ไม่รู้จักเล่าให้จบๆ ทีเดียว”

คีรีส่ายหัว…รู้สึกล้าเกินกว่าจะเถียง

“ลูกจ้างแบบไหนวะ มาวันแรก…ก็รู้สึกถึงความรู้สึกนึกคิดของป้าวนาได้” นิคมพูดเหน็บคีรีต่อ “ทั้งๆ ไอ้คนเป็นหลาน อยู่มาเป็นอาทิตย์ ยังไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร”

“เฮ้ยๆ ไม่ต้องมาหลอกด่ากันเลย”

คีรีคิดถึงเธอคนนั้น ใช่…เธอเป็นใครกันนะ ที่เข้ามาถึงก็หยิบจับทำอะไรได้คล่องแคล่ว แถมเห็นและเข้าใจอะไรได้อย่างรวดเร็ว

‘คุณรี’ ของนิคมดูจะเป็นคนเก่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว

“และพรุ่งนี้ผู้จัดการแกมาหรือไม่มา บอกด้วยล่ะ” นิคมสั่ง

“ไม่ต้องมาคอยช่วยลุ้นกับฉันได้ไหม”

“ไม่ได้หรอก แล้วไว้คุยนะ”

“โอเค”

ชายหนุ่มล้มตัวลงนอน ก่อนจะนอนทุกคืนเขาจะภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชี้ทางเรื่องป้าวนาให้เขาด้วย

 

คีรีเหลือบมองนาฬิกา เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงแล้ว หญิงสาวก็ยังมาไม่ถึง เขาควรจะตามเธอดีหรือเปล่า เขามีเบอร์ที่นิคมให้มาอยู่ แต่หากโทร.ตามเธอแบบนั้น เธอจะรู้ได้ว่าเขารู้จักเธอจากนิคมมาก่อน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย วันนี้มีลูกค้าเข้าแต่เช้า เข้ามานั่งทานกาแฟแก้วเดียวเป็นส่วนใหญ่

เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาจะต้องกระวนกระวายใจอย่างนี้ในทุกๆ นาทีที่ผ่านไป และคอยมีคำถามขึ้นมาในใจเสมอๆ ว่า ‘ถ้าเธอไม่มาล่ะ’

ทำไมเขาถึงเอาความรู้สึกและอารมณ์ไปเกาะเกี่ยวเธอมากเสียแบบนั้น แล้วก็…สิบเอ็ดโมงสิบห้า เขาเริ่มนั่งตรงที่นั่งบริเวณเครื่องแคชเชียร์ไม่ติด คิดในใจว่าขออย่าให้วันนี้ลูกค้าเข้าร้านเยอะอย่างเมื่อวานเลย

แล้วทันใดนั้นปารีณาก็เข้ามาในร้าน เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลอ่อนและกางเกงผ้าสีเข้มทรงหลวม เมื่อเข้าร้านมาหญิงสาวก็โค้งขอโทษที่มาสาย

“ขอโทษนะคะ ที่มาสาย”

ชายหนุ่มถอนหายใจ เขารู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“คิดว่าจะไม่มาเสียอีก” ชายหนุ่มพูดตัดพ้อ

“ยังไงวันนี้ที่ร้านคงจะยุ่งอีกค่ะ แต่เผอิญติดธุระนิดหน่อย เลยมาสาย”

“รู้ได้ยังไงว่าร้านจะยุ่ง”

ปารีณาถอนหายใจ “เพราะร้านกาแฟใกล้ๆ – วิลโลว์คอทเทจมั้งคะ ปิดอีกหนึ่งวันค่ะ เขาปิดตั้งแต่เมื่อวาน เราเลยขายดีไงคะ”

ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินเข้ามาหลังเคาน์เตอร์เพื่อเก็บกระเป๋า พร้อมกับยื่นถุงส้มเข้าไปในครัว

“อย่างน้อยวันนี้เราก็มีน้ำส้ม ฝากคั้นให้ด้วยนะคะ” เธอตะโกนสั่งณัฐที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ “แล้วนี่แก้วกระดาษพร้อมฝาสำหรับกาแฟเทกเอาต์ ฝากเก็บให้ด้วยค่ะ”

ณัฐเดินมารับถุงส้มและแก้วกาแฟ พอณัฐเดินคล้อยไป หญิงสาวก็รีบตะโกนถาม

“แล้วทิ้งเค้กช็อกโกแลตแล้วหรือยัง”

“กำลังจะทิ้งครับ” ณัฐตะโกนตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา

ปารีณาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดพึมพำ “นี่ถ้าไม่สั่ง ก็ไม่คิดจะทิ้งหรือไง”

พูดจบเธอก็หันมาทางคีรี “เราพอมีป้ายพลาสติกตั้งโต๊ะบ้างไหมคะ”

และเมื่อเธอเห็นหน้าตาเหลอหลาของคีรี เธอก็รู้ทันทีว่าเขาคงไม่รู้อะไร พอดีกับที่ป้าวนาเดินออกมา

“ได้ยินว่ามีส้มด้วย” ป้าวนายิ้ม “และน้ำแตงโมด้วย นี่ป้าเตรียมป้ายไว้ให้แล้วจ้า”

ป้าวนาเดินมาที่เคาน์เตอร์และเปิดตู้ด้านล่าง

“คุณป้ามีป้ายพลาสติกด้วย ดีจังค่ะ แถมมีกระดาษสีครบเลย เดี๋ยวขอเวลาแป๊บค่ะ จะทำป้ายน้ำผลไม้สวยๆ ให้ครบทุกโต๊ะเลย” พูดจบเธอก็นั่งลงหยิบอุปกรณ์ แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นแท่งปากกา “โอ๊ย มีปากกาเขียนกระจกด้วย ชักน่าสนุกแล้ว”

หญิงสาวหยิบอุปกรณ์ทั้งหมดไปวางที่โต๊ะที่ว่างอยู่ โชคดีที่ลูกค้าเริ่มลุกขึ้นไปหมดแล้ว จากนั้นก็เริ่มตัดกระดาษสีให้เป็นรูปดอกไม้ ให้พอดีที่จะใส่เข้าไปในป้ายพลาสติกตั้งโต๊ะ คีรีเดินเข้ามาใกล้เพื่อดูสิ่งที่หญิงสาวกำลังทำ

“คุณคีรีจะตั้งราคาน้ำผลไม้เท่าไรคะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถาม

คีรีหน้าตาเหลอหลาเหมือนเดิม “เท่าไรดีล่ะครับ”

ปารีณาส่ายหน้าและบ่นพึมพำ “พึ่งอะไรไม่ได้เลย”

“เอ๋ะ” ชายหนุ่มอุทานแบบคนญี่ปุ่นและเอียงหน้าถาม “บ่นผมหรือครับ”

“ไม่บ่นคุณ แล้วจะบ่นใครล่ะ ที่นี่ไม่เป็นระบบระเบียบกันเลย พรุ่งนี้ร้านข้างหน้าเปิดแล้ว เราคงขายไม่ดีเท่าไร ฉันคงต้องขอประชุมพนักงานนะคะ”

“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ร้านหยุดครับ” ชายหนุ่มทำหน้าดีใจ

“ฮ้า เราปิดวันอาทิตย์เหรอคะ”

“ก็โรงเรียนปิดน่ะครับ คุณลุงกับคุณป้าแก่แล้ว ตอนสุดท้ายก็มาเน้นขายขนม ผมเข้าใจว่าก่อนหน้าก็คงขายกาแฟ ขนมเค้กและอาหารแหละครับ แต่พอร้านกาแฟข้างหน้ามาเปิด คนมาทานกาแฟที่ร้านกันน้อยลง คุณป้าก็ไม่มีแรงจะทำเค้กและอาหาร เลยหันมาขายขนมขบเคี้ยวเพื่อขายเด็กๆ ประถมที่ต้องเดินผ่านร้านเรา โดยคุณลุงจะเลือกขนมที่ตามร้านมินิมาร์ตใหญ่ๆ ไม่มีน่ะครับ”

หญิงสาวแอบใช้ความคิด – ใช่สินะ! ถ้าเจ้าเด็กน้อยพวกนั้นมาแล้ว ร้านปิด วันต่อไปคงลังเลที่จะมา แต่บริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัย วันอาทิตย์เป็นวันที่ผู้คนอยู่บ้าน แถมมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวบริเวณนี้จำนวนมาก ร้านกาแฟขายดีส่วนใหญ่จะเปิดร้านทุกวัน แล้วถ้าให้ร้านนี้เปิดร้านทุกวัน…จะไหวไหมเนี่ย แต่ละคนที่อยู่ในร้าน ไม่มีใครจะพอพึ่งได้เลย

“งั้นขอประชุมร้านวันจันทร์ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบและก้มลงเขียนป้ายราคาน้ำผลไม้เป็นภาษาญี่ปุ่น และใส่กราฟิกประกอบให้ดูน่ารัก เพียงไม่กี่นาทีเธอก็ทำป้ายเก๋ๆ เสร็จและพร้อมตั้งบนโต๊ะ 4 โต๊ะ และ 1 เคาน์เตอร์ยาว

พอเธอทำป้ายเสร็จ ลูกค้าก็ทยอยเข้าร้าน วันนี้ไม่ค่อยมีคนหรือเด็กน้อยมาซื้อขนมและของเล่นเท่าไร ทำให้คีรีมาช่วยปารีณาเสิร์ฟได้ เมื่อเสิร์ฟลูกค้าเสร็จ ปารีณาก็มาดูลูกค้าที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์

“เรื่องเมื่อคืน ฉันขอโทษด้วยนะคะ ที่ออกความเห็นเรื่องคุณจะขายร้านไปอย่างนั้น”

คีรีหันมามองเธอที่ยืนอยู่ข้างหลัง “แต่ก็จริงของคุณ ถ้าผมขายร้านนี้ไปจริงๆ ป้าวนาไม่รู้จะรู้สึกยังไง”

“แล้วคุณไม่ลองคุยกับคุณป้าล่ะคะ จริงๆ อาการอัลไซเมอร์ของคุณป้าก็ยังไม่มากนัก คุณป้ายังรับรู้และรู้เรื่องดีเลยค่ะ คุณควรปรึกษาหารือกับคุณป้านะคะ”

คีรีพยักหน้า นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขายังไม่ได้ทำ เพราะคิดว่าอาการไม่ปกติของป้าวนา ทำให้คุณป้านั้นไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ได้ แต่จริงอย่างที่หญิงสาวว่า เขาควรจะปรึกษาเรื่องนี้กับป้าวนาก่อน

“พรุ่งนี้พวกคุณหยุด ก็พาคุณป้าไปชมดอกอะจิไซสิคะ ทั้งคุณและคุณป้าจะได้รู้สึกผ่อนคลายและจะได้พูดคุยกัน”

“ดอกอะจิไซ?”

“ดอกไฮเดรนเยียที่เราพูดถึงเมื่อวาน แล้วคุณบอกว่าอยากพาคุณป้าไปดูไงคะ”

“พรุ่งนี้ผมคงต้องพาป้าไปซื้อของเข้าร้าน”

“บ่ายนี้ หากไม่ค่อยมีคน คุณกับคุณป้าไปซื้อของกันก็ได้ แล้วพรุ่งนี้ก็ไปคามะคุระกัน”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ดีเลยครับ แต่ผมไปกับป้า กลัวดูท่านไม่ทัน ไม่รู้ว่าณัฐจะยอมไปด้วยหรือเปล่า”

“โอ๊ย ถ้ารอณัฐ ก็คงไม่ทันมั้งคะ สายๆ คนยิ่งเยอะ”

“นินทาอะไรผมครับ” ณัฐเดินออกมาจากครัว

“พรุ่งนี้จะให้คุณคีรีพาคุณป้าไปคามะคุระ ณัฐจะไปไหม ต้องออกเช้าหน่อยนะ เพราะสายคนจะเยอะ จะดูแลคุณป้าลำบาก”

“ไปกันเถอะครับ ตามสบายเลย ผมเฝ้าบ้านให้”

“ว่าแล้ว พึ่งอะไรไม่ได้เลย” ปารีณาพึมพำ

“นินทาเขาต้องพูดลับหลังนะครับ พูดต่อหน้าแล้วสะเทือนใจ ทีหลังรอให้ผมเดินออกไปก่อนก็ได้นะครับ” แล้วณัฐก็เดินอาดๆ หลบไป เหมือนไม่อยากให้ใครมาทำลายความสุขในวันหยุดของตัวเอง

“สะเทือนใจเป็นด้วย” ปารีณาพึมพำอีก

“ยังไม่ลับหลังนะครับ” ณัฐตะโกนกลับมาเบาๆ

ปารีณาได้แต่ถอนหายใจ แต่เธอก็รู้ว่าแม้ณัฐจะดูขี้เกียจ อย่างไรก็เป็นคนไม่มีพิษภัยและพอใช้งานได้

“งั้นฉันไปเป็นเพื่อนคุณก็ได้” หญิงสาวหันมาพูดกับคีรีในที่สุด

ชายหนุ่มอมยิ้ม รู้สึกกระหยิ่มดีใจอย่างบอกไม่ถูก เขามาญี่ปุ่นครั้งนี้ยังไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนเลย และยิ่งที่คามะคุระ เขายังไม่มีโอกาสได้ไปเลย และจู่ๆ ก็มีเธอคนนี้จะไปกับเขาด้วย

…แถมทุกอย่างในร้านเริ่มดูลงตัว คีรีรู้สึกถึงความสุขน้อยๆ ที่ผุดขึ้นในใจเขาขณะนี้

 



Don`t copy text!