ละเล่นลานรัก บทที่ 12 : ต้องตาต้องใจ

ละเล่นลานรัก บทที่ 12 : ต้องตาต้องใจ

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ปรียานุชเดินกลับมาถึงบ้านตัวเองก็เห็นพี่สาวนั่งอยู่กับบิดามารดาที่เพิ่งกลับจากการทำงานจึงไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยกัน หากหลานสาวส่งเสียงเจื้อยแจ้วบอกเล่าการละเล่นไทยที่ได้ประสบมาให้ตากับยายได้รับรู้ พร้อมกับแสดงท่าทางประกอบไปตามคำพูด เรียกรอยยิ้มของทุกคนได้ดี แม้แต่ตัวเธอเองที่เพิ่งเข้ามาในบ้านก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้

“น้าปรี ชวนน้องดรีมมาเล่นกับเพื่อนๆ อีกนะคะ” ดาราพรเข้ามาออดอ้อนเธอ

“ได้สิจ๊ะ น้าจะชวนมาเล่นด้วยกันอีก” เธอรับปากหลานสาว แล้วหันไปถามเปรมยุดา “ปรีนึกว่าพี่รามมารับพี่เปรมกับน้องดรีมกลับไปแล้ว”

“กำลังจะถึง พี่โทรไปถามเมื่อกี้นี่เอง” พี่สาวตอบและยังชวนคุยต่อ “ทำไมต้องไปจัดกิจกรรมที่บ้านของน้าศิ หน้าบ้านเราก็น่าจะได้ ไปรบกวนน้าศิทำไม”

เปรมยุดาเพิ่งรู้ว่าเปลี่ยนสถานที่จัดกิจกรรมก็ตอนที่เดินทางมาถึงบ้านหลังนี้ จึงยังไม่มีโอกาสได้ถามเหตุผลจากเธอ

“ไม่มีอะไรมากหรอกพี่เปรม บ้านน้าศิมีพื้นที่โล่งกว่าบ้านเรา เด็กๆ จะได้วิ่งกันอย่างสนุก ไม่ต้องสะดุดอะไร” ปรียานุชยังใช้ข้ออ้างเหมือนที่เคยบอกบิดามารดา

“พี่เป็นพี่ของปรี จะไม่รู้จักน้องสาวตัวเองก็เกินไป ถ้าเป็นเพราะเรื่องแค่นั้น ปรีไม่ไปรบกวนบ้านอื่นหรอก มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น” เปรมยุดาจ้องมองเธอ

ปรียานุชหลบเลี่ยงพี่สาวไม่ได้ก็บอกไปตามความจริง “น้าศิไม่อยากให้ศิลป์อยู่ในห้องนอนทั้งวันทั้งคืน ปรีจึงไปจัดกิจกรรมที่นั่น เพื่อให้ศิลป์มาเล่นด้วยกันได้”

“เห็นไหมล่ะแม่ เปรมบอกแล้ว ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับศิลป์” เปรมยุดาหันหน้าไปพูดกับมารดา ซึ่งก่อนที่เธอจะเข้ามาในบ้านได้นั่งพูดคุยกันถึงลูกชายของเพื่อนบ้าน

“น้าศิมาขอให้ปรีช่วย ปรีก็ต้องช่วย” เธอบอกพี่สาว

“แล้วคนหนุ่มๆ ที่มาถึงทีหลังเป็นใคร เห็นเข้าออกบ้านนั้นเหมือนกับบ้านของตัวเอง พี่ยังเห็นอีกนะว่าดูจะสนิทกับปรีเป็นพิเศษ” เปรมยุดาถามถึงชายหนุ่มอีกคน

“นินน่ะเหรอ เพื่อนของศิลป์ ไม่มีอะไรหรอกพี่เปรม” เธอมั่นใจว่าพี่สาวถามถึงฐานิน หากจะบอกว่าเป็นแฟนของลูกชายบ้านหลังนั้นก็ไม่สมควร เพราะยังไม่รู้จากปากเขา

“พี่นึกว่าจะมีน้องเขยเร็วๆ นี้ซะแล้ว”

“หยุดคิดได้เลยพี่เปรม” ปรียานุชโพล่งออกมา

หากการสนทนาของสองสาวพี่น้องก็ยุติลง เมื่อพิรามขับรถยนต์มาจอดตรงประตูหน้าบ้านแล้วกดแตรให้คนในบ้านรับรู้

เธอออกไปส่งพี่สาวกับหลานสาว หลังจากเปรมยุดากล่าวลาบิดามารดาเป็นที่เรียบร้อย

พอเดินมาถึงรถ ปรียานุชเห็นพี่เขยยืนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน หากเปรมยุดาและดาราพรเข้าไปทักทายอย่างคนคุ้นเคยกันดี

พิรามแนะนำให้เธอรู้จักกับฉัตรพงษ์

ปรียานุชทำได้แค่ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เสียมารยาท แต่ฉัตรพงษ์ยิ้มให้เธอจากใจจริงโดยไม่มีคำพูดใด

ทั้งสี่คนขึ้นไปนั่งบนรถยนต์ จนพิรามขับรถแล่นออกไปให้ห่างจากตัวเธอ

ปรียานุชไม่รู้เลยว่าชายคนนั้นต้องเก็บอาการหวั่นไหวไว้ในอก เพราะตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน พร้อมทั้งครุ่นคิดหาทางสานสัมพันธ์กับเธอ

 

วันหยุดสุดสัปดาห์เป็นช่วงเวลาที่มอบให้แก่ครอบครัวเสมอ แต่เสาร์นี้พิรามต้องเข้าบริษัทเพราะมีงานด่วน แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก หากวันนี้ก็อดเล่นกับบุตรสาวในกิจกรรมที่ภรรยาเล่าให้ฟังซึ่งน่าจะสนุกสนานพอสมควรจึงยังคิดเสียดาย

พิรามทำได้แค่ไปส่งคนทั้งสองที่บ้านของพ่อตาแม่ยาย ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่บริษัท

หลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะออกมาจากบริษัทในช่วงใกล้ค่ำ ตรงลานจอดรถซึ่งมีรถยนต์จอดอยู่ไม่กี่คัน พิรามเห็นเพื่อนร่วมงานวุ่นอยู่กับรถยนต์ส่วนตัว อีกฝ่ายก้มๆ เงยๆ ตรงด้านหน้าที่เปิดฝาประโปรงรถค้างไว้ จึงเข้าไปทักและให้ความช่วยเหลือ

เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งยังไม่สามารถแก้ไขให้รถยนต์คันนั้นใช้งานได้ตามปกติ

พิรามจึงชักชวนฉัตรพงษ์ให้ติดรถไปด้วยกัน ค่อยแวะส่งที่บ้านของเพื่อนซึ่งเป็นทางผ่านไปบ้านครอบครัวตัวเอง แต่ต้องไปรับภรรยากับลูกก่อนซึ่งอยู่อีกเส้นทางหนึ่ง

ฉัตรพงษ์ไม่ขัดข้องและยินดีที่จะนั่งรถไปกับพิราม

ชายหนุ่มสองคนเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันมานาน เพราะทำงานในบริษัทเดียวกันมาหลายปีและบ้านที่ใช้พักอาศัยก็อยู่ไม่ไกลกัน

ฉัตรพงษ์ไม่คิดเลยว่าการไปเยือนบ้านพ่อตาแม่ยายของพิรามซึ่งเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง จะกลายเป็นเรื่องดีที่ทำให้ถูกตาต้องใจหญิงสาวในครั้งแรกที่ได้พบหน้า

คนที่คิดมาตลอดว่าชีวิตนี้คงจะไม่ประสบผลสำเร็จในด้านความรักก็เริ่มมีหวัง และอาจจะไม่โชคร้ายเสมอไป เมื่อได้พบหญิงสาวในช่วงเวลาที่เหมาะสม

พิรามพาครอบครัวและเพื่อนชายเข้ามาในร้านอาหารเพื่อนั่งรับประทานอาหารมื้อเย็นร่วมกัน

“รถของผมเสีย ยังจอดทิ้งไว้ที่บริษัทอยู่เลยครับ ต้องรอวันจันทร์ค่อยนำรถไปเข้าอู่ได้” ฉัตรพงษ์เอ่ยตอบเปรมยุดา หลังจากที่หญิงสาวถามขึ้นว่ามากับพิรามได้ยังไง

“พรุ่งนี้คุณฉัตรก็มาหากันที่บ้านไม่ได้สิคะ” เปรมยุดาพูดขึ้น

ฉัตรพงษ์มักจะขับรถแวะไปหาพิรามที่บ้านเกือบทุกอาทิตย์เพื่อนั่งคุยหรือสังสรรค์กันตามประสาผู้ชายและยังเป็นเพื่อนเล่นกับดาราพรอีกด้วย

“ลุงฉัตร วันนี้น้องดรีมเล่นสนุกมากเลยค่ะ” ดาราพรชวนคุยบ้าง ทั้งที่พูดกันในรถมาแล้วหลายรอบ

“ต้องสอนลุงเล่นบ้างนะคะ ลุงจะไปให้สอนถึงที่บ้านน้องดรีมเลยด้วย” ฉัตรพงษ์ย้ำคำกล่าวซึ่งเคยบอกไว้ตอนที่นั่งอยู่ในรถด้วยกัน หากพูดกับเด็กผู้หญิงก็มักจะลงท้ายด้วยถ้อยคำที่ผู้หญิงใช้พูดกัน

ดาราพรตบมือด้วยความดีใจที่จะได้มีเพื่อนเล่นเพิ่มอีกคน นอกจากบิดามารดา

“แม่คะ พ่อคะ น้องดรีมขอไปเล่นตรงนั้นได้ไหมคะ” เด็กหญิงชี้ไปในมุมหนึ่งของร้านซึ่งมีชิงช้าและม้าโยกสำหรับเด็กๆ

“ระวังตัวด้วยนะลูก” เปรมยุดาเอ่ยกับบุตรสาว หลังจากอนุญาตให้ทำตามคำขอนั้นได้

บิดามารดาปล่อยให้ลูกสาวเดินไปยังที่หมายเพียงลำพัง เพราะบริเวณนั้นอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะและทางที่เดินไปก็อยู่ในสายตาตลอด

ระหว่างรออาหารที่สั่งไป ฉัตรพงษ์เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาโดยเอ่ยถามเปรมยุดาให้แน่ใจ “คุณปรีเป็นน้องสาวของคุณเปรมใช่ไหมครับ”

แม้จะเป็นคนกันเองหรือรู้จักกันมาตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานกับพิราม ฉัตรพงษ์ก็ยังเรียกอีกฝ่ายว่าคุณเสมอ จึงทำให้เปรมยุดาเรียกชื่อของเขาด้วยคำว่าคุณนำหน้าเช่นกัน

“แกจะถามถึงน้องปรีทำไม ตอนขับรถมาที่นี่ ฉันก็บอกไปแล้วไง หรือไม่ได้ฟังที่ฉันพูด” พิรามตอบแทนภรรยา

“ฉันสนใจคุณปรี อยากจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้จะได้ไหม” ฉัตรพงษ์เผยความรู้สึกของตัวเองให้เพื่อนได้รับรู้

“แกอยากจะจีบน้องปรีก็พูดมาเถอะ” พิรามหัวเราะในลำคอยามรู้ทันเพื่อน จากนั้นก็หันมองภรรยา ก่อนจะพูดต่อ “ถามคนเป็นพี่สาวสิ อยากมีน้องเขยอย่างแกหรือเปล่า”

ฉัตรพงษ์มองไปทางเปรมยุดาเหมือนจะขอคำตอบสำหรับคำถามนั้น

“ตามสบายเลยนะคะ ช่วงนี้ปรียังโสด แม้แต่คนคุยหรือดูๆ กันอยู่ก็ยังไม่มี วันๆ ทำแต่งาน อยู่กับเด็กๆ ไม่ค่อยได้เจอใคร เท่าที่เปรมรู้ ปรียังรอให้ใครสักคนพาเข้าประตูวิวาห์ค่ะ” เปรมยุดาเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพราะนานๆ ทีจะมีผู้ชายให้ความสนใจในตัวน้องสาว

“ผมขออนุญาตจีบน้องปรีนะครับ หวังว่าคุณเปรมคงจะไม่รังเกียจกัน” ฉัตรพงษ์ทำราวกับเปรมยุดาเป็นบุพการีของหญิงสาวที่คิดจะเข้าไปสานสัมพันธ์

“แกอย่ามาทำเป็นจีบเมียของฉันเลย คนที่แกจะต้องไปขออนุญาตคือน้องปรี ไม่ใช่เมียของฉัน” พิรามเอ่ยแทรก

“สำหรับเปรมยังไงก็ได้ค่ะ ปรีเลือกใคร เปรมคงยินดีไปกับน้องด้วย คุณฉัตรก็เป็นคนดี มีความรับผิดชอบ บุหรี่ไม่สูบ เหล้าไม่กิน ผู้หญิงคนไหนเลือกไปเป็นสามีคงโชคดีนะคะ”

“เปรมอย่าไปชี้โพรงให้กระรอกแบบนี้สิ กลัวมันจะหลงตัวเอง แล้วพยายามไม่มากพอ” พิรามพูดกับภรรยาราวกับไม่มีฉัตรพงษ์นั่งอยู่ร่วมโต๊ะ

“รามอย่าไปว่าคุณฉัตรอย่างนั้นสิ ยังไม่เริ่มจีบเลย จะรู้ได้ยังไงว่าไม่พยายามล่ะ” เปรมยุดาปรามสามี แล้วหันหน้าไปให้กำลังใจฉัตรพงษ์ “เปรมสนับสนุนคุณฉัตรนะคะ ครอบครัวของเปรมยินดีต้อนรับคุณฉัตรเสมอ ถ้าคิดว่าปรีคือคนที่ใช่ก็ต้องพยายามให้เต็มที่ค่ะ”

ฉัตรพงษ์ยิ้มแก้มแทบปริ เมื่อมีคนเข้าข้างตัวเอง

“บ้านของผมก็เปิดต้อนรับมันทุกครั้งนะ ไม่มีครั้งใดที่จะไม่ให้เข้ามาในบ้านเลย” พิรามหัวเราะออกมา

เปรมยุดาอดตีไหล่สามีไม่ได้ “เปรมหมายถึงครอบครัวพ่อแม่ของเปรม ไม่ใช่ครอบครัวของเรา”

พิรามขบขันขึ้นมาได้อีก เมื่อภรรยารับมุกของตนได้ทัน

ดาราพรวิ่งกลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้าเบิกบานแสนจะสุขสำราญใจ

“เล่นมาหลายชั่วโมง ไม่คิดจะพักบ้างเหรอ ที่โน่นก็เล่น มาที่นี่ยังเล่นได้อีก” ฉัตรพงษ์หยอกเย้าเด็กหญิงที่กำลังยกแก้วขึ้นดื่มน้ำเย็น

“ปรีคงจะจัดกิจกรรมการละเล่นไทยอีก คุณฉัตรไปเข้าร่วมสิค่ะ จะได้มีโอกาสทำความรู้จักกันให้มากขึ้น” เปรมยุดาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ เมื่อมีคนพูดถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นในวันนี้

“ผมจะไปได้ยังไงครับ คุณปรียังไม่ได้ชวนผมเลย และที่สำคัญผมก็ยังไม่มีลูกมีเมียที่จะพาไปร่วมเล่นได้” ฉัตรพงษ์กำลังหาทางเข้าถึงตัวปรียานุชซึ่งยังคิดไม่ออก

“แกลืมแล้วหรือไงว่ายังมีเด็กคนหนึ่งที่แกรู้จัก” พิรามพยายามช่วยเพื่อนพลางจ้องมองลูกสาว “แกพาน้องดรีมไปสิ เดี๋ยวพวกฉันจะทำเป็นไม่ว่างแล้วให้แกพาไปแทน น้องปรีคงไม่มีปัญหาหรอก”

“จริงด้วยสิคะ คุณฉัตรพาน้องดรีมไปเล่นก็ได้ค่ะ เปรมกับรามจะตามไปทีหลังเพื่อไม่ให้ปรีสงสัยที่พวกเราเหมือนจะประเคนผู้ชายให้ถึงบ้าน” เปรมยุดาเห็นด้วยกับความคิดของสามี

“ถือว่าพาหลานไปสวนสนุกก็แล้วกัน” ฉัตรพงษ์บอกตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับสองสามีภรรยาซึ่งคอยสนับสนุนกันเต็มที่ แล้วหันไปพูดกับดาราพร “คราวหน้าน้องดรีมไปเล่นกับลุงนะคะ”

“น้องดรีมต้องเป็นกามเทพให้ลุงฉัตรสมหวังนะลูก” เปรมยุดาลูบศีรษะลูกสาวที่นั่งบนเก้าอี้อยู่เคียงข้างกัน

“ได้ค่ะ” เด็กหญิงส่งยิ้มให้ แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจบางคำของมารดา แต่ก็พยักหน้าเออออตามไปด้วย เมื่อคิดว่าจะมีฉัตรพงษ์มาเล่นด้วยกันอีกสักคน “น้องดรีมจะบอกน้าปรีให้นะคะ”

“บอกว่าอะไรหรือลูก” เปรมยุดาเอ่ยถาม

“น้องดรีมจะบอกน้าปรีว่าลุงฉัตรขอเล่นด้วยคน” ดาราพรยิ้มให้กับทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะเหมือนเข้าใจที่ผู้ใหญ่คุยกันเสียเต็มประดา

“แม่ก็นึกว่าจะไปบอกว่าแม่ให้ช่วยเป็นกามเทพ” เปรมยุดาพึมพำถึงลูกสาว

“ยังไม่ทันไร ก็เริ่มทำหน้าที่คิวปิดแล้วนะลูก อย่างนี้คงมีหวัง” พิรามลูบศีรษะลูกสาวอย่างพอใจ จากนั้นก็หันหน้าไปบอกเพื่อนชาย “ถ้าแกได้เป็นเจ้าบ่าว อย่าลืมร้านของเมียฉันแล้วกัน”

“ได้ทีก็หาลูกค้าง่ายๆ เลยนะราม” เปรมยุดาพูดกับสามีที่ยังนั่งยิ้มกรุ่มกริ่ม ก่อนจะเอ่ยกับฉัตรพงษ์ “ร้านยินดีให้บริการค่ะ คนกันเองนะคะ ลดให้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์”

“น้องเขยกับน้องสาวนะคุณ ผมนึกว่าจะยกชุดให้ฟรีๆ” พิรามทิ้งท้ายด้วยเสียงขบขันกับความเป็นแม่ค้าแม่ขายในตัวของภรรยา

เปรมยุดาหันไปสนใจอาหารที่เพิ่งจะถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะพอดี จึงไม่ได้ต่อความกับสามี

ฉัตรพงษ์ยังอยู่ในความนึกคิดตัวเอง ซึ่งวาดหวังไว้ว่าตนนั้นจะได้สวมชุดเจ้าบ่าวเคียงคู่กับปรียานุชที่สวมชุดเจ้าสาว แล้วก็มีกามเทพตัวน้อยจับมือบ่าวสาวให้เกาะกุมกันไว้ ซึ่งเป็นเด็กหญิงที่ชี้นู่นชี้นี่ในจานอาหารเพื่อให้มารดาตักสิ่งที่อยากกินใส่จานเพราะแขนยังเอื้อมไม่ถึง

‘ช่วยลุงหน่อยนะคะน้องดรีม แล้วลุงจะรีบมีลูกให้มาเป็นเพื่อนวิ่งเล่นด้วยกัน’

เด็กหญิงหันหน้ามายิ้มให้กันราวกับได้ยินเสียงในใจของฉัตรพงษ์ แต่ความจริงนั้นคือดาราพรได้กินของอร่อยจึงหันมาทางคนที่มองกันพอดี

ฉัตรพงษ์คิดฝันไปไกล ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าหญิงสาวผู้นั้นจะรู้สึกอย่างไรกับตนเอง



Don`t copy text!