Irrawaddy เกลียวกระซิบ บทที่ 1 : เกลียวคลื่นแห่งกาลเวลา

Irrawaddy เกลียวกระซิบ บทที่ 1 : เกลียวคลื่นแห่งกาลเวลา

โดย : พงศกร

Loading

Irrawaddy เกลียวกระซิบ โดย พงศกร เรื่องราวของมินมิน เด็กสาวผู้มีสายเลือดโยเดียกับเหตุการณ์อันสุดแสนมหัศจรรย์ที่กาลเวลาพาเธอย้อนกลับไปยังอดีต ที่นั่นเธอได้พบกับเจ้าหญิงดารา…เจ้าหญิงชาวโยเดีย ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างความขัดแย้งของเชลยศึกชาวโยเดีย และเจ้าชายสายเลือดอังวะ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์

————————————————

 

แสงสุดท้ายของยามพลบส่องสะท้อนเจดีย์องค์ใหญ่ เกิดเป็นสีทองอมชมพูแปลกตาทาบทาอยู่บนสีขาวบริสุทธิ์

คดโค้งของกำแพงคลื่นน้ำที่รายอยู่โดยรอบเจดีย์ ราวจะกระเพื่อมไหวไปพร้อมๆ กับระลอกคลื่นเล็กๆ ในแม่น้ำอิระวดี

สายลมเย็นที่พัดแผ่วมารวยรินจากแม่น้ำใหญ่ หอบเอากรุ่นหอมของดอกไม้บางอย่างมาด้วย เป็นกรุ่นหอมหวานเย็นที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน

เหมือนมะลิ เหมือนพิกุล เหมือนราตรี เหมือนแก้ว…ยากจะแยกแยะได้ว่าคือแท้จริงแล้วคือกรุ่นหอมของดอกไม้ชนิดใด

เกลียวคลื่นบนผิวน้ำ ระลอกแล้วระลอกเล่า ยังคงสาดซัดเข้าสู่ริมฝั่ง เฉกเช่นที่เคยเป็นมาชั่วนาตาปี พรายแสงแดดสะท้อนเกิดเป็นเงาระยับ

ดวงตาคู่กระจ่างใสราวลูกแก้วของหญิงสาวเงยหน้ามองยอดสีทองที่บัดนี้คร่ำคราไปด้วยกาลเวลา แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของเธอที่มีต่อพระเจดีย์ลดลง

Hsinbyume…ทัชมาฮาลแห่งลุ่มอิระวดี

เจดีย์แห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานที่พระเจ้าบาจีดอว์ สร้างขึ้นให้กับพระนางซินพยูเม ที่สิ้นพระชนม์หลังจากให้กำเนิดโอรสองค์แรก

มินมินไม่รู้หรอกว่า ในพระทัยของพระเจ้าบาจีดอว์จะทรงโศกเศร้ามากแค่ไหน ที่ต้องเสียมเหสีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน พอครอบครัวกำลังจะสมบูรณ์ เธอก็มาด่วนจากไปเสียก่อน

ผ่านกาลเวลามากว่าร้อยปี ทั้งสองพระองค์ต่างล่วงลับดับสูญไปนานแล้ว หากความรักของทั้งสองพระองค์ยังคงปรากฏให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตา และมินมินก็เลือกจะมากราบพระที่นี่ทุกครั้ง เมื่อเกิดความไม่สบายใจขึ้น

หลายวันมานี้เธอนอนไม่หลับ ในหัวเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องสอบ ทั้งเรื่องการบ้านที่จะต้องส่งให้ตรงเวลา

เข้าเรียนที่นี่ไม่ง่ายเลย แต่จะเรียนให้จบนั้นยากยิ่งกว่า

พ่อกับแม่เคยบอกเธอว่าหากไม่ไหวก็ให้ลาออกมาเสีย ไม่มีความจำเป็นจะต้องอดทนอะไรถึงขนาดนั้น เลือกเรียนอย่างอื่นที่ง่ายกว่า เครียดน้อยกว่า ก็น่าจะเป็นผลดีกับเธอมากกว่า

แต่มินมินอยากสู้…

เธออยากเอาชนะ…

เอาชนะอะไร…หลายครั้ง หญิงสาวลองถามตัวเอง

เอาชนะความยากของการเรียน

เอาชนะกรอบและข้อจำกัดของตัวเอง

หรือว่าเอาชนะผู้ชายคนนั้นกันแน่…

ทุกวันนี้มินมินกลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายจนเพื่อนทุกคนบ่น เธอสะสมความเคร่งเครียดจริงจังกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา จนเก็บเอาไปฝันแล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ

วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่เธอเพิ่งจะมีเวลาว่าง

ที่จริงเธอคิดว่าจะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในวันพรุ่งนี้ หากรู้สึกว่าตัวเองเครียดจนไม่ไหวแล้ว อยากจะได้กำลังใจสักนิด จึงชวนทันวิน เพื่อนสนิทตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยมาไหว้พระด้วยกัน

เขาไม่ถามว่ามินมินมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ ในเมื่อเพื่อนอยากมาไหว้พระเขาก็มาด้วย มินมินนัดเจอเพื่อนที่หน้าตลาด แล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ทันวินมาถึงวัดเอาเมื่อบ่ายคล้อย

เป็นอีกหนึ่งวันที่เงียบสงบ ไม่มีนักท่องเที่ยวมากมายเหมือนอย่างสุดสัปดาห์

Hsinbyume เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีนักท่องเที่ยว ความสงบงามก็เริ่มลดน้อยลง หลายครั้งมินมินมาแล้วได้ยินเสียงนักท่องเที่ยวเอะอะโวยวาย ชี้ชวนกันดูนั่นนี่ด้วยความตื่นตาตื่นใจ หลายคนพยายามปีนขึ้นไปบนกำแพงเพื่อถ่ายภาพเซลฟี่ ทั้งที่มีป้ายห้ามเอาไว้ชัดเจน

โลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปมาก

และความเปลี่ยนแปลงนั้นก็กำลังรุกคืบเข้ามาในสังคมเล็กๆ แห่งนี้

เท้าสองข้างของเธอจำต้องหยุดนิ่งลงชั่วขณะ ด้วยอาการวิงเวียนที่เกิดขึ้นโดยกะทันหัน หูได้ยินเสียงหึ่งๆ ราวฝูงผึ้งกำลังกระพือปีก

มือเรียวยาวที่ถือหนังสือเล่มเก่าคร่ำคร่า กระชับแน่นแนบอก แว่วได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียกชื่ออยู่ทางด้านล่าง

“มินมิน…”

ชะโงกหน้าผ่านกำแพงคลื่นที่ทอดสลับสับหว่าง ตะโกนบอกผู้ชายคนนั้นว่า

“อยู่นี่…ตรงนี้”

หากดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยิน ด้วยยังคงเดินตามหา กับตะโกนเรียกชื่อเป็นระยะ

“มินมิน…อยู่ตรงไหน ทำไมฉันถึงมองไม่เห็นเธอ นี่มันหมอกอะไรกันนะ…”

ละไอขาวขุ่นรอบกายเริ่มหนาหนักขึ้นทุกที

ทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้หนาวเย็น ฝนไม่ได้ตก ทั้งยังเป็นเวลาบ่ายที่แสงแดดยังส่องสว่าง จู่ๆ หมอกพวกนี้ก็ปรากฏขึ้นมา

…มาจากไหนไม่รู้

“อยู่ตรงนี้…เอ๊ะ…” หล่อนกำลังตะโกนตอบไป หากชายผ้าพริ้วไหวที่เห็นจากหางตา ทำให้ถึงกับชะงักไป

…นั่นใคร…

หล่อนอ้าปากจะร้องถาม หากเหมือนร่างกายทุกส่วนจะหนักอึ้ง เสียงใครบางคนกำลังเรียกหา

…ดารา น้องอยู่ที่ใด…

เสียงใครกันนะ หญิงสาวเหลียวมองไปรอบๆ หากทั่วทั้งบริเวณมีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีเจ้าของชายผ้าสีสดผู้นั้น เกลียวกำแพงคลื่นเหมือนจะขยับเคลื่อนไหว เลื่อนไปมาได้ราวกับฟันเฟืองของจักรกล

“มินมิน ฉันหาเธอไม่เจอ เธออยู่ไหน….มินมิน…”

เสียงของชายหนุ่มคนที่มากับเธอเหมือนจะห่างไปทุกที และเสียงลึกลับนั้น ก็เริ่มดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

…ดารา…

…น้องอยู่ไหน ดารา…

ขยับปากจะบอกเขาว่าเธออยู่ตรงนี้ ตรงระเบียงที่ก่อเป็นรูปคลื่นน้ำซ้อนกันเจ็ดชั้น หากไม่อาจจะทำได้ดังใจปรารถนา ด้วยมินมินรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนของพื้น

…แผ่นดินไหว…

หล่อนพึมพำ รู้สึกเหมือนพื้นดินกำลังขยับ ศีรษะหมุนติ้ว วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม

เธอซวนกายไปเกาะกำแพงคลื่นน้ำเอาไว้ หากมินมินต้องตระหนก เมื่อกำแพงปูนคดโค้งนั้นกลับกลายเป็นความว่างเปล่า

คลื่นน้ำกำลังขยับเคลื่อนไหว

ร่างสูงโปร่งไหววูบ และล้มลงไปสู่ความว่างเปล่าในวินาทีนั้น!

สั่งซื้อ “เกลียวกระซิบ” ได้ที่นี่

Mandalay Culinary School

 

สายตาของเธอมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินไขว้มือไว้ข้างหลังอยู่นานแล้ว

เขายังเดินกลับไปกลับมาอยู่ที่แถวหน้าต่างบานยาวจนจรดพื้น เป็นรอบที่นับไม่ถ้วน

มองจากหน้าต่างออกไป ฝั่งตรงข้ามคือกำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์ที่เป็นแนวยาวไม่ต่ำกว่า ๒ กิโลเมตร

เห็นรถบัสคันใหญ่และกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินถ่ายรูปอยู่ตามแนวกำแพงทาสีแดงเลือดหมู กำแพงที่ยืนยงผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปี เป็นประจักษ์พยานของความรุ่งเรืองและล่มสลายของชาติ หากสามารถพูดได้ กำแพงพระราชวังแห่งนี้คงมีเรื่องราวจะบอกกล่าวมากมาย

กรุ่นกาแฟลอยอวลอยู่ในห้องสี่เหลียมเล็กๆ ที่ปรมินทร์ใช้เป็นทั้งออฟฟิศและห้องรับแขก มารดาของเขามองตามแผ่นหลังแข็งแรงของบุตรชาย แล้วเลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาในที่สุด

“พอได้แล้วปอ หยุดเดินกลับไปกลับมาเสียที…แม่เวียนหัวไปหมดแล้ว จะเอายังไงก็ตัดสินใจไปเลย”

ปรมินทร์ถอนใจยาว เขาหยิบกาแฟขึ้นจิบก่อนจะวางแก้วลงเบาๆ และยกมือขึ้นกอดอก

“ผมยังไม่อยากไล่เด็กคนนั้นออก”

“แต่เด็กนั่นทำผิดระเบียบ” สตรีวัยกลางคนเน้นคำสุดท้าย “หากปอไม่ทำอะไร ต่อไปนี้จะปกครองเด็กในโรงเรียนได้อีกหรือ”

“ระเบียบบางข้อ ก็ยกเว้นได้ หากมีเหตุผลที่จำเป็น” เขาพึมพำ

“แต่ไม่ใช่การแต่งเรื่องโกหก” ผู้เป็นมารดายังคงยืนยัน “ปอกำลังสร้างโรงเรียนที่แตกต่างจากโรงเรียนสอนทำอาหารแห่งอื่นๆ โรงเรียนเราจะต้องมีมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เด็กของเราเมื่อจบไปจะต้องมีแต่คนมาแย่งตัวไปทำงาน เสนอให้เงินเดือนสูงๆ เพราะอย่างนี้ปอถึงต้องเข้มงวดไม่ใช่หรือลูก…เรื่องโกหกเป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญ ถ้านักเรียนที่จบไปจากโรงเรียนของเราโกหกปลิ้นปล้อนจนเป็นเรื่องปกติ จะมีโรงแรมไหน บริษัทไหน ยอมรับ”

ปรมินทร์ฟังมารดาแล้วได้แต่อึ้ง…

สิ่งที่หม่อมหลวงพรรณเพลินกล่าวนั้นเป็นความจริงทั้งหมด

เขาตัดสินใจร่วมหุ้นกับเพื่อนสนิทชาวพม่า เปิดโรงเรียนสอนทำอาหารระดับสูงที่มัณฑะเลย์ก็เพราะเหตุผลที่มารดาเอ่ยอ้าง

มีโรงเรียนสอนทำอาหารมากมายในประเทศและภูมิภาคแถบนี้ หากประสบการณ์ของเขา ปรมินทร์ต้องการสร้างความแตกต่าง

โรงเรียนของเขาจะต้องได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับในระดับโลก ปรมินทร์มีกุ๊กระดับมิชลินสตาร์ ช่วยออกแบบหลักสูตรให้ เขาตั้งกฎในการคัดเลือกนักเรียนด้วยความละเอียด มีกฎเหล็กและหลักเกณฑ์มากมาย กว่าที่เด็กคนหนึ่งจะผ่านเข้ามาเป็นนักเรียนได้

เข้าเรียนว่ายากแล้ว…เรียนให้จบนั้นยากยิ่งกว่า เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือในบรรดานักเรียนและผู้ปกครอง แต่ก็มีเด็กมากมาใฝ่ฝันอยากเข้ามาเป็นหนึ่งในโรงเรียนแห่งนี้

๔ ปีในโรงเรียน เมื่อจบหลักสูตร นักเรียนทุกคนจะได้รับประกาศนียบัตร เทียบเท่ากับปริญญาตรี

ในแต่ละปี โรงเรียนของเขาจึงมีคนจบการศึกษาไม่ถึงสิบคน และแน่นอนว่าชื่อเสียงกับความสามารถของทุกคนเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

นักเรียนของเขาทุกคน ได้งานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

พวกเขาไม่เพียงแต่ทำอาหารได้ หากยังมีความสามารถในการสร้างสรรค์อาหารสูตรใหม่ๆ สามารถบริหารจัดการร้านอาหาร บริหารต้นทุน คิดกำไร ขาดทุน คำนวณคุณค่าทางโภชนาการ ออกแบบเมนู เรียกได้ว่าทำได้ทุกอย่างที่ร้านอาหารหรือภัตตาคารแห่งหนึ่งต้องมี

เขาเลือกมัณฑะเลย์เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียน เพราะที่นี่เป็นเมืองหลวงเก่า ปรมินทร์มองว่าเมืองแห่งนี้มีความลงตัว อดีตและปัจจุบันผสมผสานกันอย่างลงตัว มีความคลาสสิคและความทันสมัยอยู่ในมัณฑะเลย์ ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะทำความฝันให้เป็นจริง เพราะซอมินตุน เพื่อนสนิทของเขาเป็นลูกชายรัฐมนตรี มีอำนาจและอิทธิพลพอตัว

ปรมินทร์เองก็เคยคุ้นกับมัณฑะเลย์และวัฒนธรรมพม่าไม่ใช่น้อย เพราะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ บิดาของเขาเคยทำงานสถานทูต ครอบครัวเคยมาอยู่ที่ย่างกุ้งนานเกือบสี่ปี

แม้การเรียนการสอนจะหนักหน่วง แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครลาออกหรือถูกไล่ออก

เด็กสาวคนนี้กำลังจะเป็นคนแรก…

ปรมินทร์ถอนหายใจยาว เขาเริ่มเดินกลับไปกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และนั่นทำให้หม่อมหลวงพรรณเพลินเริ่มจะหมดความอดทน

“พอได้แล้วปอ…กับเรื่องง่ายๆ แค่นี้ ไม่เห็นต้องคิดมาก ไล่แม่นั่นออกเสีย รับนักเรียนใหม่เข้ามา เท่านี้ก็จบ”

“แต่เด็กนั่นมีเหตุผล” ปรมินทร์หยุดเดิน เขาหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับมารดา พึมพำออกมาเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน

“เหตุผลว่าหายตัวไป ไม่ได้มาสอบ เพราะเดินทางย้อนเวลากลับไปในอดีตอย่างนั้นนะหรือ” หม่อมหลวงพรรณเพลินแค่นเสียงหัวเราะ

“เพื่อนของเขาเล่าว่า มินมินหายตัวไปเฉยๆ…หาอย่างไรก็หาไม่เจอ” ปรมินทร์นึกไปถึงคำบอกเล่าของเด็กหนุ่มคนนั้น สีหน้าท่าทางของเขาดูซื่อและจริงใจ

“อีกสามวันต่อมา จึงมีคนพบเธอนอนหมดสติอยู่ที่ระเบียงเจดีย์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาแทบจะพลิกแผ่นดินตามหา…แล้วอย่างนี้จะอธิบายว่าอย่างไรกันครับ”

“โกหก” มารดาของเขาฟันธง “รวมหัวกันโกหกนะสิ”

“แต่…” บุตรชายของเธอพยายามจะแย้ง ดวงหน้าเข้มคมของปรมินทร์เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

“ปอเชื่อเรื่องนี้หรือ…การเดินทางข้ามเวลา…เหลวไหลทั้งเพ” หม่อมหลวงพรรณเพลินจ้องบุตรชายแน่วนิ่ง

“ผมไม่เชื่อ…” ปรมัตถ์ส่ายหน้า “แต่เด็กสองคนนั้นยืนยัน ที่แท้แล้วการเดินทางข้ามกาลเวลา เกิดขึ้นได้จริงๆ หรือครับ”

“ใครก็รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก”  หม่อมหลวงพรรณเพลินส่ายหน้า มีรอยยิ้มเยาะหยันปรากฏอยู่ที่มุมปากบางเฉียบซึ่งเคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีกุหลาบ

“ขาดเรียน ขาดสอบ เด็กนั่นก็เลยแต่งเรื่องขึ้นมา”

“แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะครับคุณแม่” เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังมาจากเก้าอี้บุกำมะหยี่ที่มุมห้อง ดวงหน้าของเขาคลับคล้ายกับปรมินทร์ หากดูเด็กกว่า แว่นตากรอบทองที่ปรมัตถ์สวมทำให้เขาดูเป็นผู้คงแก่เรียน

“เหลวไหล” หม่อมหลวงผู้มารดาหันขวับไปทางลูกชายคนเล็กที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด

“ป้อนเรียนวิทยาศาสตร์ เชื่อกับเรื่องแบบนี้ด้วยหรือไง”

“ก็เพราะผมเรียนวิทยาศาสตร์นะสิครับ” ปรมัตถ์มองมารดาด้วยสายตาเคร่งขรึม จริงจัง “ผมถึงเชื่อว่าเรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้”

“งั้นก็พิสูจน์ให้แม่เห็นสิ ว่ามันเกิดขึ้นได้” หม่อมหลวงพรรณเพลินว่า “นั่นละแม่ถึงจะเชื่อ”

“ถ้าไม่เชื่อ ถ้ามันไม่เกิดขึ้นจริง…คุณแม่จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไรครับ” ปรมัตถ์ย้อนถาม พร้อมกับยื่นบางสิ่งออกไปข้างหน้า

…พระพุทธรูปองค์เล็ก ปางสมาธิ ประทับนั่งอยู่ใต้ต้นมะเดื่อที่ทำด้วยทองคำ…



Don`t copy text!