ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 1 : แม่ลูกคู่ปรับ

ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 1 : แม่ลูกคู่ปรับ

โดย : นวาภัส

Loading

ลูกไม้เกี่ยวรัก โดย นวาภัส นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ (เล็กๆ) เรื่องราวของหญิงสาวสุดแกร่งที่ชีวิตนี้ขอมีลูก โดยไม่ต้องมีสามี แล้วใครเล่าจะเข้าใจเธอ พบกับความอลหม่านของสองแม่ลูกคู่ป่วนใน “ลูกไม้เกี่ยวรัก” ได้ในเพจอ่านเอา และ เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ปัณฑารีย์ก้าวลงจากรถญี่ปุ่นสีดำรุ่นยอดนิยม ถอดแว่นกันแดดเสียบลงที่คอเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ซึ่งแมตช์กับกางเกงคูลอตสีงาช้างและรองเท้าผ้าใบขาว หญิงสาวเปิดประตูหลังคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมมาคล้องไหล่ เปิดประตูรั้วเดินเข้าบ้าน แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ล็อครถ จึงหยิบรีโมตมากดล็อก เธอหยุดมองทางเข้าบ้านที่ทอดยาว สองข้างทางประดับประดาด้วยดอกบัวดินสีชมพูหวานที่ปลูกเรียงรายเป็นระเบียบ ด้านข้างผสมผสานด้วยพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด เช่น พุทรา มะม่วง ละมุด ชมพู่ และต้นไม้อื่นๆ ที่ตัวเองก็ไม่ค่อยรู้จัก

หญิงสาวมองบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงสีเขียวซีดที่อยู่สุดทาง หลายปีก่อนเธอต่อเติมด้านล่างเป็นห้องนอนเล็กๆ เวลากลับมาเยี่ยมบ้านจะได้มีห้องนอนส่วนตัว และสะดวกไม่ต้องขึ้นลงบันได แต่พอทำเสร็จกลายเป็นว่าเธอแทบไม่ได้กลับมาเลย ทั้งที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ แค่สองชั่วโมงเท่านั้น จะแก้ตัวง่ายๆ ว่างานยุ่งจนไม่มีเวลากลับบ้านก็คงได้ แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่เรื่องของงานหรือเวลา

ปัณฑารีย์สูดลมเข้าปอดเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนที่จะเดินเอื่อยเฉื่อยเข้าบ้าน ความร่มรื่นเย็นสบายของบ้านสวนไม่ได้ทำให้ใจที่ว้าวุ่นสงบลงได้ หญิงสาววางกระเป๋าเสื้อผ้าบนโต๊ะรับแขกที่ทำจากหวายทั้งชุด กวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านที่เงียบเชียบ ซึ้งนึ่งขนมขนาดใหญ่ หม้อหลายใบวางคว่ำตากแดดบนแคร่ไม้ไผ่ โต๊ะไม้สักตัวเก่าที่ตั้งอยู่ในบ้านเต็มไปด้วยวัสดุอุปกรณ์ทำขนม ใบตองที่เหลือใช้ถูกพับเก็บใส่ตะกร้าไว้อย่างเรียบร้อย

“แม่!”

หญิงสาวตะโกนเรียกมารดา และเดินตามหาแม่รอบบ้านแต่ก็ไร้วี่แวว เธอจึงเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องนอน แล้วออกมารับลมข้างนอก ปัณฑารีย์ยืนมองตู้กับข้าวไม้สักโบราณที่วางชิดผนังข้างห้องของเธอ บานประตูตู้ขึงด้วยมุ้งลวด ขาตู้มีถ้วยเคลือบสีน้ำตาลใส่น้ำรองเอาไว้ทั้งสี่ขา เพื่อกันมดแมลงไม่ให้ไต่ขึ้นไปกินกับข้าว หญิงสาวคิดในใจว่าตู้แบบนี้เขาเลิกใช้กันหมดแล้ว มีแต่แม่ของเธอนี่แหละที่ยังอนุรักษ์เอาไว้ เธอเปิดตู้ออก ข้างในมีน้ำพริกกะปิ ปลาเค็มทอด และต้มกะทิสายบัวปลาทูที่เหลือติดถ้วยนิดหน่อย

“เหลือแค่นี้ยังจะเก็บเอาไว้อีก ทำไมไม่ทิ้งไปซะ” หญิงสาวเผลอตัวบ่นออกมา

“ของมันยังกินได้ จะทิ้งทำไม เสียดาย” ปัณฑารีย์สะดุ้งรีบปิดตู้กับข้าว แล้วหันไปหาเจ้าของเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง

“แม่ ไปไหนมา ปันเรียกตั้งนาน”

“ฉันก็ออกไปคุยกับข้างบ้านข้างช่องบ้างสิ อยู่แต่ในบ้านเดี๋ยวก็เป็นโรคซึมเศร้ากันพอดี” อารีย์นั่งลงหยิบพัดไม้ไผ่สานที่วางไว้บนโต๊ะมาโบกเบาๆ คลายความร้อน

“อย่างแม่ไม่เป็นหรอกโรคซึมเศร้า เข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ มีกิจกรรมทั้งวัน” ลูกสาวแอบแขวะคนเป็นแม่ อย่างแม่เธอห่างไกลจากภาวะซึมเศร้าหลายขุม แต่ถ้าเป็นพาหะทำให้คนอื่นเป็นโรคซึมเศร้า ข้อนี้ไม่เถียง

ตั้งแต่เล่นเฟซบุ๊กและไลน์เป็น แม่ของเธอรู้จักโรคภัยใหม่ๆ ทันสมัยขึ้นเยอะ แต่ก็มักเป็นความทันสมัยที่ไร้ข้อมูลจริง แม่พูดและเชื่อตามสิ่งที่เห็นในโลกโซเชียลทั้งที่บางทีก็ไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ อย่างเมื่อปีก่อนที่เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ แม่ของเธออ่านข่าวที่ส่งต่อกันมาในไลน์ว่าคนที่ฉีดวัคซีนจะมีอายุอยู่ได้แค่สองปี เพราะวัคซีนจะทำให้อวัยวะภายในของมนุษย์เสื่อมลง แม่ตื่นตกใจโทร.มาโวยวายกับเธอว่าห้ามไปฉีดวัคซีนเด็ดขาดถ้าไม่อยากตาย เธอถึงกับนั่งกุมขมับ กว่าจะเกลี้ยกล่อมให้เลิกเชื่อข่าวปลอมแล้วไปฉีดวัคซีน ต้องใช้เวลาเกือบปี และที่แม่ยอมไปไม่ใช่เพราะว่าเชื่อคำพูดลูก แต่เพราะมีเพื่อนบ้านที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน เสียชีวิตจากการติดเชื้อ ทำให้แม่ตะลีตะลานไปต่อคิวฉีดวัคซีนด้วยตัวเอง

“แล้วนี่มาทำไม ไหนว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกแล้วไง” น้ำเสียงเย็นชาของแม่ดังขัดจังหวะขึ้น

ปัณฑารีย์เหมือนโดนเตะตัดขา อารมณ์ที่กำลังรื่นรมย์ถูกกระชากกลับมาให้ขุ่นมัว

หญิงสาวนึกถึงครั้งล่าสุดที่กลับมาบ้านช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว ครั้งนั้นเธอทะเลาะกับแม่รุนแรง เรื่องที่แม่เจ้ากี้เจ้าการนัดแนะให้เธอพบกับลูกชายของนายก อบต. หวังให้สานสัมพันธ์แนบแน่น แต่ปัณฑารีย์เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัว ยิ่งเรื่องคู่ครองเธอขอเป็นคนเลือกเอง ถ้าคิดจะจับคลุมถุงชน เธอจะต่อต้านและปิดกั้นทุกทาง ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะเลิศเลอเพอร์เฟกต์แค่ไหน ก็จะไม่มีวันเปิดโอกาสให้ ครั้งนั้นหญิงสาวใช้ความร้ายกาจจัดการกับลูกนายก อบต. เสียหน้าหงาย อับอายจนไม่กล้าเข้ามาวุ่นวายกับเธออีก แม่ของเธอต้องหอบกระเช้ารังนกยี่ห้อดังที่โฆษณาในทีวีไปขอขมาทั้งพ่อและลูก แต่ดูเหมือนว่าท่านนายกเจ็บแค้นจนไม่ยอมให้อภัย แม่ก็เลยพาลโกรธเธอจนเผลอออกปากไล่ออกจากบ้าน ตอนนั้นปัณฑารีย์น้อยใจจึงพูดประชดไปว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีก

“ปัน…เอ่อ…จะมาอยู่กับแม่สักสองสามวัน” หญิงสาวไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

“ทำไม ปกติแกอยู่ได้แค่วันเดียวก็ต้องรีบเผ่นแล้ว จนฉันคิดว่าที่นี่มันคงอยู่บนกระทะทองแดง แกถึงได้ร้อนรนจนอยู่ไม่ได้” คนเป็นแม่ประชดประชัน

อารีย์เลี้ยงลูกตามลำพัง ตั้งแต่ปัณฑารีย์อายุได้ 15 ปี เพราะปรีชาสามีเสียชีวิตจากโรคร้าย เมื่อขาดเสาหลัก ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านมาทั้งชีวิตไม่เคยทำงานหนัก ก็ต้องเผชิญความลำบากเมื่อต้องเลี้ยงลูกคนเดียว โชคดีที่มีฝีมือในการทำขนมอยู่บ้าง จึงทำขนมขายเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และมีสวนผลไม้อีกนิดหน่อยพอได้เก็บขายเก็บกิน โชคดีที่ปัณฑารีย์เรียนเก่งสามารถสอบชิงทุนได้ตั้งแต่มัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย ทำให้แบ่งเบาภาระเรื่องค่าเล่าเรียนไปได้ส่วนหนึ่ง

แต่การเลี้ยงลูกที่อยู่ในวัยเรียนมีค่าใช้จ่ายจิปาถะ รายได้จากการขายขนมแค่พอกินไปวันๆ ทำให้ต้องบากหน้าไปหยิบยืมญาติพี่น้องบ่อยครั้ง เมื่อมีผู้ชายหลายคนเข้ามาชอบพอ เธอก็หวังว่าจะมีสักคนที่ช่วยดูแลเธอกับลูกให้มีชีวิตสุขสบาย ไม่ต้องลำบากตรากตรำ แต่ลูกสาวที่อยู่ในวัยรุ่นไม่คิดเหมือนเธอ เด็กสาวไม่อยากได้พ่อใหม่ เธอแผลงฤทธิ์จนผู้ชายพวกนั้นอยู่ไม่ได้ ต่างพากันหนีหายไปทีละคน อารีย์จึงต้องกัดฟันเลี้ยงลูกคนเดียวจนจบปริญญาตรี พอปัณฑารีย์สอบเข้าเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยได้ ก็ช่วยจ่ายหนี้ให้แม่จนหมด ชีวิตของสองแม่ลูกจึงดีขึ้น แต่ความสัมพันธ์กลับแย่ลง

“ปันจะไปเรียนต่อเอกที่เมกา กว่าจะได้กลับมาก็คงอีกสามปี” ปัณฑารีย์ตัดสินใจพูดสิ่งที่ตั้งใจจะมาบอก ทั้งที่คิดไว้ว่าจะบอกในวันกลับ เพราะกลัวแม่จะไม่เข้าใจโวยวายใส่เธอเหมือนตอนที่บอกว่าจะเรียนต่อปริญญาโท

“อีกไม่กี่ปีแกก็จะสามสิบแล้ว จะเรียนอะไรนักหนา เสียเวลาทำมาหากิน รีบแต่งงานมีลูกมีหลาน จะได้มีความสุขเหมือนคนอื่นเขา” แล้วก็เป็นอย่างที่หญิงสาวคิดไว้ไม่ผิด

ผู้หญิงรุ่นเก่าที่เติบโตมาในสิ่งแวดล้อมชนบทอย่างอารีย์ ไม่เคยทะเยอทะยานต้องการเกียรติยศ ไม่ต้องการการศึกษาสูงส่ง แค่มีเงินใช้ไม่เป็นหนี้ มีสามีและลูกที่ดีก็เพียงพอ

“มีความสุขเหมือนแม่น่ะเหรอ พอพ่อตายก็ต้องควานหาผู้ชายคนใหม่มาเลี้ยง เนี่ยนะความสุข” ปัณฑารีย์เย้ยหยันความคิดของแม่ อาจารย์มหาวิทยาลัยเงินเดือนหลายหมื่นอย่างเธอ หาความสุขใส่ตัวเองได้โดยไม่ต้องอาศัยผู้ชาย เธอเห็นเพื่อนๆ หลายคนเมื่อแต่งงานมีสามีก็มักจะมีเรื่องทุกข์ร้อนใจให้วุ่นวาย ไร้อิสระ ชีวิตยุ่งเหยิงจนน่ารำคาญ แต่ไม่ใช่ว่าปัณฑารีย์จะต่อต้านความรัก เพราะครั้งหนึ่งเธอเองก็เคยรักใครบางคนจนหมดหัวใจ

“แกพูดแบบนี้ หมายความว่าฉันมันปัญญาอ่อน ถ้าไม่มีผัวจะเอาตัวไม่รอดอย่างงั้นสิ แล้วที่ฉันลำบากลำบนเลี้ยงแกมาคนเดียวจนปีกกล้าขาแข็ง มาดูถูกดูแคลนฉันได้แบบนี้ แกคิดว่าฉันมีความสุขนักหรือไง” คนเป็นแม่โกรธจนตัวสั่น ขว้างพัดในมือทิ้ง แล้วยืนจ้องลูกสาวด้วยแววตาขุ่นเคือง

“ปันก็ไม่ได้ว่าแม่แบบนั้น” หญิงสาวรู้สึกผิดที่ต่อว่าแม่รุนแรงเกินไป เธอเองก็รู้ว่าแม่ต้องลำบากมากที่เลี้ยงลูกตัวคนเดียว แต่ทุกครั้งที่เห็นผู้ชายยื่นมือมาเสนอความช่วยเหลือและแม่ก็ทำท่าตอบรับไมตรี เพียงเพราะอยากแบ่งความเหนื่อยยากของตัวเองให้กับผู้ชายพวกนั้น โดยไม่เคยถามเธอสักครั้งว่าคิดอย่างไร เธอเองก็เจ็บปวดใจเหมือนกัน

“ใจแกมันคิดตลอดว่าฉันเป็นแม่ที่ไม่เอาไหน ไม่มีปัญญาหากินได้เหมือนแก ฉันมันเรียนมาน้อย ก็เลยโง่กว่าแกไง” อารีย์ปากคอสั่น ทั้งโกรธทั้งน้อยใจเพราะคิดว่าลูกดูถูกตัวเอง

“ไปกันใหญ่แล้วนะแม่ พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย ปันยังไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย” หญิงสาวเหนื่อยใจ แม่ของเธอมักใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ถ้าเข้าใจอะไรไปแล้วจะไม่ยอมฟังคนอื่น โดยเฉพาะกับเธอ

“แกอยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกก็ได้ ไม่ต้องคิดว่าฉันเป็นแม่ ยังไงฉันก็ตายคนเดียวอยู่แล้ว”

“ทำไมแม่ไม่เคยฟังปันเลย ปันแค่ไปเรียนนะแม่ กลับมาปันจะได้มีอนาคตที่ดีกว่าเดิม แทนที่แม่จะอวยพรให้ลูกเหมือนพ่อแม่คนอื่น กลับด่าว่าพูดจาประชดประชัน แม่ที่ดีต้องคอยส่งเสริมลูกไม่ใช่เหรอ” น้ำตาแห่งความน้อยใจที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ ตอนนี้เอ่อขึ้นมาล้นดวงตาคู่สวย

“แกก็มองฉันว่าเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ฉันพูดอะไรก็ผิดหมดนั่นแหละ ฉันไม่อยากพูดแล้ว จะไปไหนก็ไปเลย” อารีย์หันหลังเดินขึ้นบันไดบ้าน ไม่หันมามองปัณฑารีย์แม้เพียงหางตา

หญิงสาวมองตามจนร่างแม่หายเข้าไปในบ้าน เธอได้ยินแค่เสียงกุกกักดังลงมาจากข้างบน ไม่รู้ว่าแม่กำลังทำอะไร เธอน้อยใจที่แม่ไม่เคยพูดดีๆ ไม่เคยกอด ไม่แสดงความรักความห่วงใยอย่างที่แม่พึงกระทำต่อลูก เจอกันแต่ละครั้งก็มีแต่ความขัดแย้ง และทุกครั้งมักจบด้วยการที่แม่ออกปากไล่เธอราวกับว่าเป็นแค่ผู้อาศัยไม่ใช่ลูก

หญิงสาวเข้าไปคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าจากในห้องนอน และก้าวขาเดินออกจากบ้าน เธอเองก็ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจะได้กลับมาบ้านหลังนี้อีกครั้ง บ้านที่เธอเกิดและเติบโต บ้านที่มีทั้งความสุขและความทุกข์ ปัณฑารีย์หันหลังกลับมามอง สายตาอ้อยอิ่งอยู่ที่ชานบ้าน หวังลึกๆ ในใจว่าแม่จะเดินออกมาพร้อมคำอวยพรให้เธอโชคดี แต่ก็เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ แม่ไม่ได้ออกมา ชานบ้านว่างเปล่า หญิงสาวตัดใจเดินไปขึ้นรถ และขับออกไปด้วยหัวใจที่ปวดร้าว

อารีย์ก้าวออกมายืนนิ่งที่ชานบ้าน สายตาจับจ้องรถคันดำที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไกลออกไป น้ำตาไหลริน น้อยใจที่ลูกสาวไม่เข้าใจหัวอกเธอ แม่ที่พูดเพราะๆ เหมือนคนอื่นไม่เป็น แม่ที่เอาแต่ประชดประชัน แม่ที่ไม่เคยเอ่ยปากบอกรักลูก ทั้งที่ในใจตะโกนก้องว่ารักลูกมาก แต่ปากหนักไม่เคยพูดออกมา

“โชคดีนะปัน แม่ขอให้พระคุ้มครองปันของแม่ ขอให้ลูกประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ” น้ำตาของความรักและห่วงใยไหลพรากลงมาอาบใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยความหยาบกร้านของการต่อสู้ชีวิตมาอย่างยาวนาน

 



Don`t copy text!