กลิ่นมาลี บทที่ 2 : กรุ่นกลิ่นผกา…ในยามราตรี
โดย : SUDA
กลิ่นมาลี นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย SUDA เมื่อหญิงสาวสวยแห่งกรุงศรีอยุธยาปรารถนาเพียงชีวิตที่เรียบง่าย แต่ชาติกำเนิดที่คลุมเครือ ทำให้เธอการถูกขายให้กับโรงชำเราบุรุษ ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร เธอยังคงเหมาะกับชายที่เธอรักหรือไม่ นวนิยายคุณภาพอีกเรื่องที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
ออกหลวงชาญภูเบศร์กลับมาถึงเรือนได้สักพักแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นไปบนเรือนใหญ่เพราะเกรงว่ามารดาจะรู้เรื่องที่ตนถูกลอบสังหาร สุดท้ายจึงลงมานั่งหารืออยู่กับบ่าวชายคนสนิทที่ศาลาข้างสวนดอกไม้
บ่าวคนนี้ชื่อพ่อเพิ่ม เป็นบ่าวคนสนิทที่เติบโตด้วยกันมากับเขา ทั้งคอยรับใช้และคอยเป็นเพื่อนเล่น เมื่อทั้งสองเข้าสู่วัยหนุ่มจึงกลายเป็นคู่ซ้อมเพลงดาบแลเพลงมวย เขาและพ่อเพิ่มจึงมีฝีมือการต่อสู้ไม่ต่างกันนัก
“แล้วคุณหลวงรู้หรือไม่ขอรับ ว่าพวกที่มาลอบสังหารนี้เป็นฝีมือใคร” พ่อเพิ่มถามเสียงเครียดเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด
“รู้” ออกหลวงชาญภูเบศร์พยักหน้าตอบ “เมื่อเดือนก่อนข้าแลสหายขุนนางอีกสามคนช่วยกันเปิดโปงความชั่วของขุนนางใหญ่จนถูกริบราชบาทว์ไป ต้องเป็นคนของพวกมันตามมาล้างแค้นเป็นแน่”
“แต่หากบอกว่ามันถูกริบเรือนริบบ่าวไพร่ออกไปหมดสิ้นแล้ว แล้วคุณหลวงจักตามตัวพวกมันได้ที่ใดเล่าขอรับ”
“ข้าก็ยังไม่รู้ ข้าถูกพวกมันดักตีหัวอยู่แถววังหลังแต่ถูกจับใส่เรือพายข้ามแม่น้ำมาไกลโข หมายจะฆ่าแล้วทิ้งศพอยู่ท้ายวัดนอกกำแพงพระนคร ไม่แน่ว่าพวกมันอาจอยู่แถวนั้นก็เป็นได้” ออกหลวงชาญภูเบศร์เอ่ยอธิบาย พลันแววตานั้นก็เจือความแข็งกร้าวขึ้นมาด้วยความแค้น “แต่ข้าไม่ปล่อยพวกมันไว้ดอก หากพวกมันยังไม่ยอมเลิกราก็คงต้องมีใครตายกันไปข้างหนึ่ง”
พ่อเพิ่มได้ฟังถ้อยคำก็ยังนิ่งเงียบ แววตาคมยังคงครุ่นคิด “หากบอกว่าพวกมันอาจอยู่แถววังหลัง ข้าก็มีพรรคพวกแถวนั้นอยู่บ้างขอรับ…หากให้พวกมันช่วยสืบให้อีกแรง ไม่นานก็คงหาตัวเจอแน่”
————–
เวลายามราตรีผันผ่านไปจนดึกสงัด สายลมพัดพาเอาไอหนาวให้ปกคลุมไปทั่วเรือนอีกครั้ง ดอกแก้วรอบเรือนส่งกลิ่นหอมเย็นมาถึงหอนอนของออกหลวงชาญภูเบศร์ เมื่อหารือกับพ่อเพิ่มและจัดการให้ไปสืบหาตัวคนร้ายเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงกลับขึ้นเรือนมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มตัวนอนลงบนเตียงกว้างด้วยความอ่อนเพลีย แม้ล่วงเลยจนเข้ายาม๔แล้ว แต่ทำอย่างไรก็มิอาจข่มตาหลับลงได้ สุดท้ายจึงต้องยอมรับว่าตนเองกำลังวุ่นวายใจจนนอนไม่หลับ
เขาไม่ได้วุ่นวายใจเรื่องถูกลอบสังหารเพียงเท่านั้น…แต่วุ่นวายใจเพราะแม่หญิงที่ได้พบในคืนนี้ด้วย
เพียงได้สบตาคราแรกเหตุใดหนอจึงมิอาจลบภาพเธอออกไปได้เลย ดวงหน้าเล็กงดงามผุดผ่อง แววตาอ่อนโยนไร้เดียงสา อีกทั้งเรือนกายอ้อนแอ้นอรชร ผิวกายเนียนละเอียดน่าลูบไล้ ความงามของแม่หญิงนั้นติดตรึงใจเขามากนัก…งามมากเสียจนเขาอยากให้ได้มาชิดใกล้
แต่ชายหนุ่มก็พลันถอนใจเบาๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาปล่อยเธอจากไปเสียแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใครหรือมีเรือนอยู่ที่ใด หากจะออกตามหาก็คงยากเย็นนัก
แต่ถึงอย่างไรเขาก็จะดิ้นรนออกตามหาทุกวิถีทาง จนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง
————————-
แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่องในยามรุ่งเช้าวันใหม่ บนเรือนไม้สักหลังใหญ่ของออกหลวงชาญภูเบศร์วันนี้บรรยากาศแจ่มใสดังเช่นเคย สายลมบางเบาพัดผ่านยอดไม้ให้ไหวเอนไปมา เสียงนกน้อยร้องเจื้อยแจ้วปลุกชายหนุ่มให้ตื่นทันพอดีฟ้าสาง
เช้านี้เขามิได้มีธุระต้องเข้าวังจึงออกมานั่งเขียนเอกสารอยู่ชานเรือน โดยมีคุณหญิงบัวแก้วและบ่าวไพร่กำลังเตรียมสำรับเช้าให้ วันนี้มีปลาแห้งป่นโรยฟักเขียวต้ม หลนกุ้งสับกินกับผักสดเป็นเครื่องเคียง ส่วนของหวานเป็นฟักทองแกงบวด
ออกหลวงชาญภูเบศร์เป็นบุตรชายคนเดียวของออกญาอภัยมนตรี แต่เกิดจากมารดาผู้เป็นเมียลับๆมาจากเมืองพิจิตร ชื่อแม่บัวแก้ว ส่วนภรรยาเอกของออกญาอภัยมนตรีนั้นคลอดลูกตายเมื่อหลายสิบปีก่อน แม่บัวแก้วจึงได้แต่งงานออกหน้าออกตา จากเมียที่ไม่มีใครรู้เห็นจึงได้มากลายเป็นคุณหญิงบัวแก้ว ขึ้นเป็นเมียเอกมานับแต่บัดนั้น
แต่เมื่อออกญาอภัยมนตรีถึงแก่กรรมเมื่อหลายปีก่อน คุณหญิงบัวแก้วจึงอยู่กับลูกตามลำพัง แม้สามีตายจาก แต่ยังมีบ่าวไพร่และลูกที่ต้องคอยดูแลจึงทำให้คุณหญิงมิได้เหงานัก
“พ่อทัพ มากินข้าวกินปลาเสียก่อนเถิด”
คุณหญิงบัวแก้วเอ่ยเรียกลูกชายก่อนจะตักข้าวรอที่ชานเรือน เพียงครู่เดียวออกหลวงชาญภูเบศร์ก็ลงมานั่งเคียงข้างพร้อมส่งยิ้มละมุนให้ “กลิ่นสำรับอาหารคุณแม่ หอมน่ากินจริงขอรับ”
“ปากหวานเป็นเด็กๆไปได้” คุณหญิงบัวแก้วบ่นลูกชายไม่จริงจังนัก “เจ้าแก่จนสามสิบปีแล้วหนาพ่อทัพ เมื่อใดจักอยากมีเมียเหมือนคนอื่นเขาบ้าง แม่จักได้มีคนช่วยดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารและช่วยดูแลเรือนเสียที”
“บ่าวไพร่ออกเต็มเรือนหนาขอรับ ให้บ่าวช่วยดูแลก็ได้” ชายหนุ่มหยอกล้อมารดา คุณหญิงบัวแก้วจึงส่ายหน้าเบาๆอีกครั้งด้วยความระอาใจ “โธ่พ่อทัพ! บ่าวไพร่กับลูกสะใภ้มันเหมือนกันรึ แม่อยากได้สะใภ้ อยากอุ้มหลานเต็มทน”
ได้เห็นท่าทีเบื่อหน่ายของมารดาชายหนุ่มก็เผลอยิ้มกว้าง เมื่อคุณหญิงบัวแก้วเอ่ยถึงเรื่องออกเรือน ในภาพทรงจำชายหนุ่มก็นึกถึงแม่หญิงมาลีขึ้นมาอีกครั้ง
คุณหญิงคอยรบเร้าให้เขามีเมียมีลูกอย่างชายหนุ่มคนอื่นเสมอมา แต่ที่ผ่านมาเขาก็บ่ายเบี่ยงทุกครั้ง จนกระทั่งได้มาพบแม่หญิงที่ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อคืนนี้…
“ไม่ต้องห่วงดอกขอรับคุณแม่…”
แม้ถ้อยคำนั้นจักเป็นการเอ่ยตอบมารดา แต่ในใจเขากลับนึกถึงดวงหน้างดงามของหญิงสาวที่ได้พบ พลันใบหน้าคมคายก็เจือรอยยิ้มขึ้นมาด้วยความสุข
“หากครานี้โชคชะตาเป็นใจ…ลูกคงได้ออกเรือนกับเขาบ้าง”
หลังจากวันนั้นมาออกหลวงชาญภูเบศร์ก็ยังคงใช้เวลาว่างออกตามหามาลีอยู่เป็นระยะ และเป็นดังที่คิดไว้ว่าการตามหาครั้งนี้ยากเย็นนัก เพราะถามเอากับชาวบ้านคนใดก็ไม่มีใครรู้จักเธอเลยสักคน แต่หากเอ่ยถึงแม่หญิงที่งามสะดุดตาและมักถือกระบุงออกมาเก็บดอกไม้ก็คงพอมีคนมองเห็นอยู่บ้าง แต่ไม่เคยมีใครเข้าไปทักทายถามไถ่
แต่ถือว่าโชคยังเข้าข้าง เพราะไม่กี่วันถัดมาเขาก็ได้พบมาลีอีกครั้ง
ออกหลวงชาญภูเบศร์เห็นเธอเลือกซื้อของแถวตลาดป่าชมภู เป็นย่านตลาดผ้าอีกแห่งหนึ่งในกรุงศรี พ่อค้าแม่ค้าต่างตั้งแผงขายวางเรียงราย มีทั้งสร้างเป็นเพิงไม้มุงหลังคา ด้านในมีผ้าหลากสีจัดวางเป็นระเบียบให้เลือกสรร และมีทั้งที่สร้างเป็นแผงขายชั่วคราวเป็นไม้ไผ่ยกสูงแบบง่ายๆ มีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมาก
เขาเห็นมาลีเดินเลือกซื้อผ้าอยู่คนเดียว ในตะกร้าใบใหญ่ที่คล้องแขนอยู่นั้นมีผ้าสีสดหลายผืน ชายหนุ่มจึงรีบเข้าไปหาเธอทันที
“แม่มาลี”
“คุณหลวง มาทำกระไรที่นี่เจ้าคะ” มาลีชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นเขา แต่ออกหลวงชาญภูเบศร์กลับส่งยิ้มละมุนมาแทนคำตอบ “ว่าแต่แม่หญิงเถิด มาเลือกซื้อผ้ารึ”
“เจ้าค่ะ”
มาลีพยักหน้าเบาๆ “ข้ามาเลือกซื้อผ้านุ่งและสไบห่มผืนใหม่ วันนี้คงได้เลือกไปหลายสิบผืนทีเดียว”
หญิงสาวเอ่ยเพียงเท่านั้นก็เข้าไปหยิบเอาผ้าออกมาอีกหลายผืน ออกหลวงชาญภูเบศร์จึงได้แต่ยืนมองเธอเลือกข้าวของอยู่อย่างนั้น หญิงสาวหยิบเอาผ้าสีเขียวอ่อน สีมุก สีเหลืองและชมพูอ่อน รวมไปถึงผ้าพิมพ์ลายมีราคาอีกหลายผืนด้วย เมื่อได้ตามต้องการแล้วจึงหยิบอัฐในถุงยื่นให้พ่อค้าแล้วเดินออกมาหาเขาอีกครั้ง
มาลีเผลอยิ้มละมุนเมื่อเห็นสายตางุนงงของชายหนุ่มตรงหน้า “คุณหลวงกำลังคิดว่าข้าจักเอาผ้าไปทำกระไรตั้งมากมาย ใช่ไหมเจ้าคะ”
“เปล่าดอก ข้าเพียงแต่…”
“ผ้าทั้งหมดนี้มิใช่ของข้าดอกเจ้าค่ะ แต่เป็นของพวกพี่ๆ”
“พี่?”
“เจ้าค่ะ” มาลีพยักหน้าเบาๆ “บรรดาพี่สาวของข้าทุกคนจำเป็นต้องใช้ผ้าแพรผืนงามไว้สวมใส่ และเครื่องประดับอีกหลายชิ้นให้เรือนกายงดงาม”
หญิงสาวเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็เลือกเดินซื้อข้าวของต่ออีกเล็กน้อย ออกหลวงชาญภูเบศร์เดินตามหลังเธอมาด้วยความงุนงง เพราะดูจากการแต่งกายของแม่มาลีแล้วเธอมิได้เน้นความสวยงามมากนัก หญิงสาวรวบผมเป็นมวยปักปิ่นไม้เล่มเล็ก ห่มสไบเฉียงสีเขียวอ่อนและผ้านุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลเข้มเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่เหตุใดบรรดาพี่สาวของเธอจึงต้องนุ่งห่มผ้าสีสดแตกต่างกันมากเช่นนั้นเล่า
“ข้าขอตัวกลับก่อนหนาเจ้าคะ ต้องไปซื้อของอีกหลายที่ ประเดี๋ยวชักช้าจักมืดเสียก่อน” มาลีเดินเคียงข้างเขามาจนสุดเขตตลาด เมื่อถึงท่าน้ำจึงหันกลับมาสบตา
“ให้ข้าพาไปได้หรือไม่”
“ข้า…ข้ามีคนมารับแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสาวหันสายตาให้เขามองตามไป เห็นชายฉกรรจ์ชาวจีนคนหนึ่งนั่งรออยู่ในเรือริมท่าน้ำ ดูแล้วอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่งกายด้วยเสื้อคอจีนแขนกระบอกกับกางเกงขายาวเข้าชุด ไว้ผมยาวถักเปียไปด้านหลัง
เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของออกหลวงชาญภูเบศร์ มาลีจึงก้มหน้าเอ่ยไม่เต็มเสียงนัก “ข้าเป็นคนของเศรษฐีในตลาดบ้านจีนเจ้าค่ะ”
“ตลาดบ้านจีน…อย่างนั้นรึ”
“ข้าขอตัวก่อนหนาเจ้าคะ”
ออกหลวงชาญภูเบศร์ได้ยินดังนั้นก็ยังยืนนิ่งราวกับในใจกำลังสับสน หญิงสาวจึงพนมมือเอ่ยลาแล้วเดินลงเรือไป
เรือพายของเธอออกไปไกลจนลับสายตาแล้ว แต่ออกหลวงชาญภูเบศร์ยังคงยืนจ้องมองผืนน้ำอยู่อย่างนั้น ถ้อยคำที่เธอบอกว่าเป็นคนของเศรษฐีตลาดบ้านจีนยังก้องอยู่ในหัว เธอมิใช่หญิงชาวบ้านทั่วไปที่เขาจะเข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว แต่เป็นทาสจึงถือว่าเป็นสมบัติของคนเรือนอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเขาจักทำอย่างไร
อีกอย่าง…เรือนเศรษฐีที่ตลาดบ้านจีนนั้นมีหลายเรือนทีเดียว แต่เขากลัวเหลือเกินว่าจะเป็นเศรษฐีเจ้าของโรงรับชำเราท้ายตลาด
นึกได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงถอนหายใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พยายามสลัดความคิดในหัวออกไป
บางทีเขาอาจคิดไปเอง…แม่มาลีอาจมิใช่หญิงพวกนั้นก็ได้
——————
ออกหลวงชาญภูเบศร์กลับมานั่งคิดทบทวนอยู่แทบทั้งคืน แม้พยายามตัดใจออกห่างจากเธอสักเพียงใด แต่ภาพดวงหน้าอ่อนหวานของมาลีก็มักวนเวียนกลับมาเสมอ ทั้งที่เธอเป็นเพียงหญิงธรรมดาและยังเป็นบ่าวรับใช้เรือนอื่นเสียด้วยซ้ำ แต่เหตุใดหนอเรื่องราวของเธอจึงมีผลต่อใจเขานัก
ชายหนุ่มพยายามข่มใจตนเองแล้วดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ เข้าไปรับราชการในวังหลวงตั้งแต่เช้า เมื่อกลับมาก็มักใช้เวลาซ้อมเพลงดาบกับเพื่อนขุนนางและพ่อเพิ่มอยู่เสมอ และยังต้องตามหาคนร้ายที่ลอบสังหารเขาในคืนนั้นอีกด้วย
เขาลืมแม่มาลีไปได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อสหายขุนนางชวนไปร่ำสุราในแถบตลาดบ้านจีนในใจจึงนึกถึงเธอขึ้นมาอีกครั้ง…
วันนี้ชายหนุ่มเดินทางมาตลาดบ้านจีนตามคำชวนของออกหลวงชิดภูบาลผู้เป็นสหาย โดยมีพ่อเพิ่มบ่าวคนสนิทคอยติดตามมาด้วย บรรยากาศรอบตลาดนั้นเป็นอาคารถาวรสร้างแบบอย่างชาวจีน หน้าร้านมีข้าวของวางเรียงราย ทั้งกระเบื้องถ้วยโถโอชาม ผ้าแพรผ้าไหมลวดลายอย่างจีนและของจากสำเภาอื่นๆ รวมถึงมีร้านให้ร่ำสุรา และมีโรงรับจ้างชำเราอยู่ท้ายตลาดติดกับปากคลองขุนละคอนไชยด้วย
ออกหลวงชาญภูเบศร์นั่งดื่มสุราอยู่ถึงบ่ายแก่ๆ จนกระทั่งตะวันเริ่มลับแสงจึงเรียกให้บ่าวชื่อเพิ่มเตรียมเรือกลับ แต่เมื่อเดินถึงท่าน้ำก่อนจะลงเรือ สายตาก็หันไปเห็นแม่มาลีถือกระบุงเดินลับหายไปแถวชายป่า ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งด้วยความสงสัย…ก่อนจะตัดสินใจเดินตามไปทันที
“เอ็งรอข้าที่นี่ก่อน”
เขาหันมาเอ่ยกับพ่อเพิ่มเพียงครู่เดียวก็รีบเดินตามมาลีไป เธอกำลังเดินถือกระบุงไม้ไผ่ออกมาเก็บดอกไม้เช่นเคย แต่คราวนี้หญิงสาวเดินเลียบแม่น้ำไปทางทิศตะวันออก รอบกายมีไม้พุ่มและไม้ยืนต้นเกิดตามแนวริมแม่น้ำหลายชนิด แต่เธอกลับเลือกเดินลัดหายเข้าไปด้านในป่าเสียอย่างนั้น
“แม่มาลี แม่มาลี !”
หญิงสาวหันขวับไปตามต้นเสียงทันที เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือออกหลวงชาญภูเบศร์จึงค่อยคลายความกังวลลง แต่ก็ยังงุนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวตรงหน้า
“คุณหลวงมาทำกระไรที่นี่หรือเจ้าคะ”
สิ้นเสียงหญิงสาวออกหลวงชาญภูเบศร์ได้แต่ส่งยิ้มให้ มิกล้าเอ่ยตามตรงเพราะเกรงจะเสียเชิงชาย “ว่าแต่แม่หญิงเถิด มาทำกระไรอยู่ชายป่านี้เล่า”
“ข้ามาเก็บดอกไม้ ขอตัวก่อนหนาเจ้าคะ” มาลีมิได้รอเอาคำตอบจากเขาแต่รีบปลีกตัวเดินออกมาทันที แต่ก็ต้องงุนงงกว่าเก่าเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินตามมาด้วย เมื่อเอ่ยปากให้กลับไปแล้วเขายังดึงดันตามมาเช่นนี้เธอคงทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
หญิงสาวเดินลัดเข้ามาในป่าไม่ไกลมากนัก จนกระทั่งมาถึงที่หมายพร้อมกับท้องฟ้ามืดสนิทพอดีจึงเหลือเพียงแสงจันทร์สาดส่องลงมาให้พอเห็นทางเท่านั้น เบื้องหน้าสองคนเป็นต้นพิกุลเกิดเรียงกันสองต้น ลำต้นสูงเลยศีรษะขึ้นไปเล็กน้อย ดอกเล็กส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
“คุณหลวงตามข้ามาด้วยเหตุใดเจ้าคะ” มาลีหันกลับมาเอ่ยถามตามตรง
“ข้าเป็นห่วง เจ้าเป็นแม่หญิงออกจากเรือนค่ำมืดเช่นนี้มันอันตราย รู้หรือไม่”
หญิงสาวได้ยินถ้อยคำจึงส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่เป็นไรดอกเจ้าค่ะคุณหลวง ข้าทำอย่างนี้ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยเห็นเป็นกระไร”
“ตั้งแต่เด็กอาจไม่เป็นกระไร แต่ตอนนี้เจ้าโตเป็นสาวแล้ว…” ออกหลวงชาญภูเบศร์รีบกลืนถ้อยคำท้ายประโยคลงไปเสีย พลันใบหน้าชายหนุ่มก็ร้อนผ่าวเพราะเผลอเอ่ยคำมิสมควรออกไป โชคดีที่มาลีฟังไม่ถนัดหูนัก เธอเดินเก็บดอกไม้ไปเรื่อยๆจนเกือบเต็มกระบุงโดยมีชายหนุ่มคอยดูแลความปลอดภัยให้ไม่ห่าง
มาลีแอบลอบมองชายหนุ่มข้างกายอยู่หลายครั้ง พยายามซ่อนสีหน้าเขินอายมิให้เขาได้เห็น ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าเขาตามมาด้วยเหตุใด เธออยู่ในโรงรับชำเราบุรุษตั้งแต่เด็ก…เหตุใดจะไม่รู้เล่าว่าสายตาบุรุษที่แฝงด้วยเสน่หานั้นเป็นอย่างไร
เขานี่ก็แปลกนัก…เป็นถึงขุนนางใหญ่มียศถาบรรดาศักดิ์ รูปกายก็งดงามน่ามอง หากอยากได้หญิงใดเป็นเมียก็คงได้มาโดยง่าย เหตุใดต้องมาเสียเวลาเดินตามเธอเช่นนี้ด้วยเล่า
“แม่มาลี เจ้าต้องมาเก็บดอกไม้เช่นนี้ทุกคืนเลยรึ”
“ไม่ทุกคืนดอกเจ้าค่ะ ข้าทำน้ำอบรอบหนึ่งมีมากพอให้ใช้ราวหนึ่งเดือน หากน้ำอบใกล้หมดแล้วจึงออกมาเก็บดอกไม้ไปทำเพิ่ม”
เมื่อได้ดอกพิกุลเท่าที่ต้องการแล้วเธอจึงถือกระบุงเดินนำหน้าชายหนุ่มออกมาจากชายป่า “ค่ำมากแล้ว คุณหลวงกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าต้องไปเก็บดอกแก้วเพิ่มอีกไกลโข”
“แม่หญิงไปที่เรือนข้าเถิด”
มาลีพลันนิ่งชะงักไปทันทีเมื่อเขากล่าวเช่นนั้น แววตาไร้เดียงสานั้นพลันเจือความตื่นตระหนกไม่ต่างจากออกหลวงชาญภูเบศร์สักเท่าใดนักที่กำลังอยากตบปากตัวเองสักสิบรอบ “ข้า…ข้าหมายถึง เรือนข้าปลูกดอกแก้วไว้เต็มเรือน หากแม่หญิงอยากได้ก็เข้าไปเก็บเอาเถิด”
“ไม่รบกวนคุณหลวงถึงเพียงนั้นดอกเจ้าค่ะ” มาลีก้มหน้าตอบก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินกลับด้วยความเขินอาย แต่ชายหนุ่มคนเดิมก็ยังเดินตามมาไม่ห่าง
“แม่มาลี…เจ้าไปไหนมาไหนยามวิกาลเช่นนี้ ไม่กลัวอันตรายเลยรึ”
“กลัวก็เท่านั้นเจ้าค่ะ ข้ามีงานต้องทำ หากมัวไม่กล้าออกไปที่ใดก็คงไม่ได้”
“แล้วหากวันหนึ่งเกิดอันตรายขึ้นมาเล่า จักทำเช่นไร” ออกหลวงชาญภูเบศร์หยุดยืนตรงหน้าหญิงสาวแล้วถามตามตรง แววตาคมนั้นเจือความเป็นห่วงและความจริงใจมากเสียจนเธอสัมผัสได้
มาลีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงชะตาอาภัพของตนพลันแววตาก็เริ่มเจือความเศร้า “ข้าปกป้องตัวเองไม่ได้ถึงเพียงนั้นดอกเจ้าค่ะ ชีวิตข้านั้นพบเจอเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตมาแล้ว หากมีสิ่งเลวร้ายจักเกิดขึ้นกับตัวข้าอีกก็คงไม่เป็นไร ข้าคงเลี่ยงไม่ได้”
“เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนั้นเล่า…”
ออกหลวงชาญภูเบศร์ขยับเข้ามาใกล้หญิงสาวเล็กน้อย แววตาที่มองมานั้นจริงจังและจริงใจนัก “แม่หญิงไปอยู่เรือนข้าดีหรือไม่ บอกมาเถิดว่าเจ้าเป็นบ่าวเรือนใด ข้าจักไปขอไถ่ถอนมาเอง”
“คุณหลวง…”
“ไปอยู่เรือนข้าเถิด เจ้าจักได้ไม่ต้องออกมาเสี่ยงอันตรายยามค่ำคืนเช่นนี้”
“มีคนยอมขายตัวเป็นบ่าวอยู่ตั้งมากมาย เหตุใดคุณหลวงจึงอยากได้ข้าไปเป็นบ่าวเล่าเจ้าคะ”
“เพราะข้าเป็นห่วงแม่หญิงอย่างไรเล่า…”
หญิงสาวพลันส่งยิ้มเศร้าเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น เธอรู้ว่าเขาหมายความเช่นนั้นจริงเพราะเพียงมองตาก็รู้ว่าเขามิได้โกหก แต่เธอก็รู้ตัวดีเช่นกันว่าตนนั้นต้อยต่ำเกินกว่าจะกล้ารับความหวังดีจากเขา
“บอกมาเถิดว่าเจ้าเป็นบ่าวเรือนใด ให้ข้าไปไถ่ตัวออกมาเถิดหนา”
มาลีนิ่งเงียบไปนานโข ก่อนจะก้มหน้าเอ่ยเสียงเศร้า “ข้าต้องขอประทานโทษคุณหลวงด้วยเจ้าค่ะ อย่าเสียเวลากับข้าอีกเลย”
“ข้าเป็นบ่าวของเศรษฐีจีนท้ายตลาด… หากคุณหลวงรู้ว่าเศรษฐีจีนที่ข้าเอ่ยนั้นเป็นใคร คุณหลวงคงไม่อยากพูดคุยกับข้าไปชั่วชีวิต”