กลิ่นมาลี บทที่ 5 : ห่างเหิน
โดย : SUDA
กลิ่นมาลี นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย SUDA เมื่อหญิงสาวสวยแห่งกรุงศรีอยุธยาปรารถนาเพียงชีวิตที่เรียบง่าย แต่ชาติกำเนิดที่คลุมเครือ ทำให้เธอการถูกขายให้กับโรงชำเราบุรุษ ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร เธอยังคงเหมาะกับชายที่เธอรักหรือไม่ นวนิยายคุณภาพอีกเรื่องที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
พ่อเพิ่มพาเธอพายเรือเลียบลำคลองมานานโข จนกระทั่งถึงที่หมายจึงเห็นเป็นท่าน้ำหน้าเรือนไม้สักหลังใหญ่ อาณาเขตเรือนนั้นกว้างขวางสมฐานะ ข้างเรือนฝั่งทิศตะวันออกปลูกดอกแก้วเรียงรายเกือบยี่สิบต้น แซมด้วยต้นมะลิเป็นพุ่มใหญ่กำลังส่งกลิ่นหอม ถัดไปทางหลังเรือนยังมีดอกไม้หอมอีกหลายชนิด ทั้งกระดังงา จำปา และยี่สุ่น
มาลีเดินตามพ่อเพิ่มขึ้นมาเงียบๆ ด้านบนมีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งรออยู่ชานเรือน มีบ่าวคอยพัดวีให้ ส่วนออกหลวงชาญภูเบศร์นั้นนั่งเขียนหนังสืออยู่ชานเรือนอีกฝั่ง หญิงสาวจึงวางห่อผ้าไว้ข้างกายแล้วเข้าไปกราบคุณหญิงเจ้าของเรือนด้วยกิริยาอ่อนน้อม คุณหญิงเองเมื่อได้พบบ่าวรับใช้คนใหม่ก็ดูจะถูกชะตาอยู่มากทีเดียว
คุณหญิงบัวแก้วเรียกมาลีเข้ามานั่งใกล้ ก่อนจะเอื้อมมือลูบหัวไหล่มนของหญิงสาวเบาๆ “หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราเสียจริง ผิวพรรณก็นวลเนียนไม่มีที่ติ…งามถูกใจข้านัก”
คุณหญิงเอ่ยเพียงเท่านั้นก็หันกลับไปจ้องมองลูกชายตนด้วยความสงสัย หน้าตาสะสวยมากถึงเพียงนี้พ่อลูกชายตัวดีคงมิได้เอามาเป็นแค่บ่าวกระมัง แต่หากจะเป็นเมียคุณหญิงก็มิได้คิดขัดขวาง เธออยากอุ้มหลานเต็มทน ไม่ว่าจะเป็นหลานจากเมียบ่าวหรือเมียแต่งของพ่อทัพก็ได้ทั้งนั้น
“นางชื่อมาลีขอรับ ลูกเห็นว่ากำลังตกระกำลำบากอยู่จึงได้พามาอยู่ที่นี่ คุณแม่จักได้มีบ่าวคอยรับใช้” ออกหลวงชาญภูเบศร์เอ่ยอธิบายทั้งที่ไม่ละสายตาจากกองหนังสือตรงหน้า ราวกับมิได้สนใจมาลีเลยแม้แต่น้อย “คุณแม่ให้นางไปอยู่หลังเรือนก็ได้หนาขอรับ”
“หลังเรือนกระไรกัน” คุณหญิงเอ็ดลูกชายท่าทีไม่จริงจังนัก “แม่มองเพียงครู่เดียวก็รู้แล้วว่านางมิเคยได้ทำงานหนัก ทำไร่ไถนาก็คงไม่เป็น ใช่หรือไม่”
ประโยคหลังนั้นคุณหญิงหันกลับมาถามมาลี หญิงสาวจึงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าตอบไม่เต็มเสียงนัก “ข้ามิเคยทำไร่ไถนาเจ้าค่ะ ทำได้เพียงงานบ้านงานเรือนทั่วไป แต่หากให้ทำเครื่องหอมขายก็พอได้บ้างเจ้าค่ะ”
“ดีจริง ถ้าเช่นนั้นเจ้ามาคอยรับใช้อยู่บนเรือนใหญ่นี้เถิด” คุณหญิงเอ่ยพลางลูบเรือนผมมาลีเบาๆ ด้วยความเมตตา “มาอยู่ที่นี่แล้ว ก็จงคิดเสียว่าที่นี่คือเรือนหลังใหม่ของเจ้าเถิดหนา ข้าเองมิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ มิเคยใช้งานบ่าวไพร่ดังวัวควายเหมือนเรือนอื่นเขา ไม่ต้องกลัวดอก”
แววตาที่คุณหญิงมองมานั้นแฝงไปด้วยความเมตตาจนมาลีสัมผัสได้ หญิงสาวจึงพนมมือกราบคุณหญิงด้วยความซาบซึ้ง “ตั้งแต่เด็กจนโตข้าก็เคยพบเจอแต่ความทุกข์ยาก โชคดีเหลือเกินเจ้าค่ะที่ได้มาพึ่งใบบุญของคุณหญิงในวันนี้”
“มิได้โชคดีเพราะได้เจอข้าดอก แต่โชคดีเพราะได้เจอพ่อทัพต่างหาก เพิ่งมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกินข้าวกินปลาเสียก่อนเถิดแม่มาลี ตกบ่ายเมื่อใดค่อยขึ้นมาหาข้า จักได้ช่วยกันเตรียมสำรับเย็น”
“เจ้าค่ะ”
มาลียิ้มรับก่อนจะเดินตามพ่อเพิ่มไปยังเรือนบ่าวด้านหลัง เมื่อลงจากเรือนใหญ่ไปไม่ไกลก็เห็นกระท่อมไม้ไผ่หลังคามุงจากปลูกติดๆ กันราวยี่สิบหลัง พ่อเพิ่มบอกว่าเป็นเรือนนอนของบ่าวทั้งหมด มีทั้งชายหญิงคู่ผัวเมียและอยู่เป็นครอบครัวด้วย หญิงสาวใช้สายตานับดูผู้คนในเรือนบ่าวแต่ละหลังก็นับได้ราวสามสิบคนทีเดียว
“เรือนนอนของเอ็งอยู่ติดกับเรือนพี่ เผื่อมีกระไรให้ช่วยเอ็งจักได้เรียกหา” พ่อเพิ่มเอ่ยพลางชี้ไปบนเรือนไม้ไผ่หลังเล็กที่ปลูกอยู่ติดกัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนใหญ่ของออกหลวงชาญภูเบศร์นัก สามารถเดินไปกลับได้โดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งบาท “คุณหญิงให้เอ็งไปรับใช้บนเรือนใหญ่ ทุกเช้าเย็นเอ็งก็ค่อยเดินไปพร้อมพี่ก็แล้วกัน”
มาลีได้ยินดังนั้นจึงนิ่วหน้าเล็กน้อยด้วยความสงสัย “แล้ว…บ่าวคนอื่นล่ะจ๊ะ”
หญิงสาวหันมองเรือนไม้ไผ่หลังอื่นๆ ที่เห็นลูกเล็กเด็กแดงวิ่งไปมา บ่าวชายหญิงก็นั่งพูดคุยราวกับมิได้มีสิ่งต้องทำเลยแม้แต่น้อย “บ่าวที่ต้องขึ้นไปรับใช้บนเรือนใหญ่มีไม่มากหรือจ๊ะ”
“มีไม่ถึงสิบคนที่คุณหญิงอนุญาตให้ขึ้นไปรับใช้ บ่าวส่วนใหญ่จึงมีหน้าที่คอยดูแลสวนดอกไม้และสวนผักเท่านั้น บางคนก็เลี้ยงไก่หาปลามาเก็บไว้ในครัว ยามเช้ารดน้ำพรวนดินเสร็จแล้วหากผักยังไม่โตหรือผลไม้ยังไม่พอเก็บ ช่วงสายมาก็จักว่างงาน ยกเว้นวันใดจักต้องปลูกผักเพิ่ม”
“แต่เอ็งมิต้องทำงานพวกนี้เพราะคุณหญิงให้ไปรับใช้บนเรือนใหญ่ เอ็งก็ขึ้นไปรับใช้ก่อนฟ้าสางแล้วกลับลงมาเมื่อคุณหญิงเข้านอนแล้วก็พอ” พ่อเพิ่มเอ่ยอธิบายพลางนั่งมองหญิงสาวจัดข้าวของในเรือนไปด้วย “ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเข้าไปใกล้พวกบ่าวหลังเรือนแล้วกัน เรือนเล็กด้านหลังมีพวกปากตำแยปากกระโถนอยู่หลายคน พวกนี้จงรักภักดีกับคุณหญิงและคุณหลวงมาก แต่ก็มากเสียจนคิดว่าตนเองเหนือกว่าบ่าวคนอื่นๆ จึงพาลหาเรื่องพวกบ่าวคนใหม่ที่เข้ามา โดยเฉพาะนางบ่าวชื่อย้อยกับลูกสาว…หากเอ็งเข้าไปใกล้ พี่กลัวจักถูกพวกมันจิกหัวใช้เอาเปล่าๆ”
“เข้าใจแล้วจ้ะ”
มาลีหันมาส่งรอยยิ้มสดใสให้ เมื่อจัดข้าวของในห้องนอนเรียบร้อยแล้วจึงออกมานั่งกับพ่อเพิ่มที่ชานเรือน โชคดีนักที่มีเรือนเปล่าให้เธอได้อยู่คนเดียว อีกทั้งยังอยู่ใกล้คนที่คอยให้ความช่วยเหลือเช่นเขา มาลีจึงคลายความกังวลลงไปได้มาก
“เราขึ้นไปเรือนใหญ่เลยดีไหมจ๊ะ” มาลีเอ่ยท่าทางกระตือรือร้น แต่พ่อเพิ่มกลับส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าเจือรอยยิ้มด้วยความเอ็นดู เขาค้นเอาข้าวห่อใบบัวในย่ามยื่นให้เธอห่อหนึ่ง “แม่มาลี…เอ็งยังมิได้กินข้าวกินปลาตั้งแต่เช้า กินให้เสร็จเสียก่อนเถิด”
“จริงด้วย” มาลียิ้มกว้างแล้วรับเอาห่อข้าวจากเขา เมื่อแกะออกมาจึงเห็นเป็นข้าวกับปลาแห้งย่างตัวใหญ่ แม้จักหุงข้าวย่างปลาแล้วห่อใบบัวไว้ตั้งแต่เช้า แต่เมื่อแกะออกมาก็ยังมีกลิ่นหอมน่ากินอยู่มาก
“ขอบน้ำใจพี่เพิ่มมากหนา หากวันนี้ไม่มีพี่คอยช่วยข้าคงทำกระไรไม่ถูก”
“ไม่เป็นไรดอก” ชายหนุ่มหยิบเอาห่อข้าวของตนเองออกมานั่งกินด้วยกัน “เป็นบ่าวเรือนท่านแล้วก็ต้องเป็นไปชั่วชีวิต เมื่อเอ็งเข้ามาเป็นบ่าวด้วยแล้วก็เท่ากับเราเป็นคนเรือนเดียวกัน มีกระไรช่วยได้พี่ก็จักช่วย”
พ่อเพิ่มเอ่ยเพียงเท่านั้นก็นิ่งเงียบไปเมื่อเห็นรอยยิ้มของแม่หญิงตรงหน้า สายตาจ้องมองเธอราวกับต้องมนตร์สะกดไปครู่หนึ่ง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามาลีมาจากที่ใด แต่รอยยิ้มและแววตาไร้เดียงสาของเธอก็ทำให้เขาหวั่นไหวไม่น้อย
“พี่เพิ่ม…มีกระไรหรือจ๊ะ”
“เปล่าดอก” พ่อเพิ่มเอ่ยตอบทันที ก่อนจะนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
“พี่ลืมบอกไป เรื่องของเอ็งต้องเก็บเป็นความลับหนาแม่มาลี…อย่าให้ใครรู้ว่าเอ็งเป็นใครมาจากไหนเป็นอันขาด”
—————–
บนเรือนใหญ่ของออกหลวงชาญภูเบศร์ยังคงมีสองแม่ลูกนั่งรับลมอยู่ชานเรือนเช่นเคย มาลีเดินตามพ่อเพิ่มไปเรือนบ่าวสักพักแล้ว แต่คุณหญิงบัวแก้วก็ยังจ้องมองพ่อลูกชายตัวดีอยู่ไม่วางตา เมื่อออกหลวงชาญภูเบศร์ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ยิ่งทำให้คุณหญิงมั่นใจว่าเป็นอย่างที่คิด
“พ่อทัพบอกแม่ตามตรงเถิด นางเป็นใครมาจากไหน”
“ใครกันขอรับ”
“ไม่ต้องทำเฉไฉ บอกแม่มาตามตรงประเดี๋ยวนี้” คุณหญิงเอนกายพิงหมอนพลางโบกพัดในมือเบาๆ สายตายังจ้องมองชายหนุ่มอยู่อย่างนั้น “พ่อทัพไปเอานางมาจากที่ใด”
“ก็เอามาจากในพระนครนี่ละขอรับ ลูกไปเห็นนางตกระกำลำบากอยู่แล้วนึกเวทนาจึงช่วยนางเพียงเท่านั้น” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ยอมหันมาสบตา “คุณแม่เก็บนางไว้ใช้งานเถิดขอรับ ลูกมิใคร่จะยุ่งเกี่ยวด้วยสักเท่าใด”
คุณหญิงบัวแก้วได้ยินดังนั้นพลันก็นิ่วหน้าด้วยความสงสัย “ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างนั้นรึ คราแรกแม่ก็นึกว่าเจ้าจักเอามาเป็นเมียบ่าวเสียอีก แต่หากจักเอาเป็นเมียจริงแม่ก็มิได้ห้ามหนาพ่อทัพ จักได้มีหลานมาให้แม่อุ้มเสียที”
ออกหลวงชาญภูเบศร์ได้ยินถ้อยคำมารดาพลันก็ยกยิ้มมุมปากเบาๆ
“ไม่ดอกขอรับ ลูกมิได้คิดกระไรกับนางเกินเลย…ที่ซื้อตัวนางมาก็เพื่อให้มาเป็นบ่าวรับใช้เท่านั้น”
เพียงครู่เดียวหลังจากนั้นมาลีก็เดินขึ้นเรือนใหญ่มาพร้อมกับพ่อเพิ่ม หญิงสาวเข้าไปในครัวบนชานเรือนใหญ่กับบ่าวอีกสองคน เพื่อคอยเป็นลูกมือช่วยคุณหญิงเตรียมอาหาร ส่วนพ่อเพิ่มนั้นปลีกตัวไปรับใช้ออกหลวงชาญภูเบศร์ดังเช่นเคย
วันนี้คุณหญิงเตรียมของว่างเป็นปลาแห้งแตงโม และยังคอยสอนมาลีตั้งแต่วิธีเลือกปลามาป่นให้และเอียดจนถึงวิธีการผัดกับน้ำตาล เกลือ และหอมเจียวจนแห้ง และสอนวิธีการแกะสลักแตงโมให้เป็นชิ้นสวยงามด้วย
แต่แล้วคุณหญิงก็ต้องงุนงงอีกครั้งเพราะแม่มาลีนั้นนอกจากจะฉลาดหัวไวแล้ว ยังแกะสลักแตงโมเป็นกลีบดอกไม้ได้สวยงามราวกับเคยร่ำเรียนงานฝีมือมาก่อน เพราะไพร่ชาวบ้านทั่วไปไม่มีทางจับมีดแกะสลักได้ถนัดมือภายในวันเดียวเช่นนี้ พ่อลูกชายตัวดีต้องมีอะไรปิดบังอยู่เป็นแน่…แต่ในเมื่อผู้เป็นลูกไม่ยอมปริปากบอกกระไร คุณหญิงจึงได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้เงียบๆ
——————–
หลายวันผันผ่านไปมาลีก็คอยรับใช้คุณหญิงอย่างใกล้ชิดเรื่อยมา กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวานและความฉลาดหัวไวของเธอนั้นทำให้คุณหญิงพึงพอใจมากนัก สุดท้ายเธอจึงกลายเป็นบ่าวคนสนิทที่ติดสอยห้อยตามคุณหญิงไปได้ทุกที่
วันนี้คุณหญิงอยากไปถวายเพลที่วัดจึงออกมาเก็บดอกไม้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเพื่อนำมาร้อยมาลัย โดยมีมาลีคอยเก็บดอกไม้เดินตามไม่ห่าง คุณหญิงเลือกเก็บเอามะลิไปเกือบเต็มถาด และยังมีดอกรักและดอกจำปาไปบางส่วนด้วย “วันนี้ข้าจักเตรียมสำรับถวายพระ มีอาหารคาวหวานหลายอย่าง หากทำคนเดียวก็เกรงว่าจักไม่ทันเพล เจ้าร้อยมาลัยแทนข้าได้หรือไม่”
“พอได้อยู่บ้างเจ้าค่ะ” มาลีได้พยักหน้าตอบรับ “แต่มิได้ถนัดงานร้อยมาลัยสักเท่าใดนัก ไม่รู้ว่าจักงามถูกใจคุณหญิงหรือไม่เจ้าค่ะ”
“หากมิถนัดงานร้อยมาลัยง่ายๆ เช่นนี้ แล้วเจ้าถนัดงานใดเล่า” คุณหญิงบัวแก้วสีหน้างุนงงขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าถนัดงานทำเครื่องหอม จำพวกน้ำอบ แป้งร่ำ และเครื่องหอมอื่นๆ ที่ใช้ในเรือนเจ้าค่ะ”
“เครื่องหอมอย่างนั้นรึ” คุณหญิงอุทานด้วยความประหลาดใจ “เจ้าทำข้าแปลกใจอีกแล้วหนาแม่มาลี งานเครื่องหอมพวกนี้มิใช่หญิงชาวบ้านทั่วไปจักได้มีโอกาสได้ร่ำเรียน แล้วเจ้าไปเอาความรู้พวกนี้มาจากที่ใดกัน”
มาลีได้ยินคำถามก็พลันนิ่งชะงักพูดอะไรไม่ออก เพราะพ่อเพิ่มกำชับไว้ว่าอย่าให้ใครรู้ที่มาของเธอเป็นอันขาด แม้แต่คุณหญิงบัวแก้วก็รู้ไม่ได้ สุดท้ายมาลีจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่ตอบคำถามอยู่อย่างนั้น
“เอาเถิด…ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร”
คุณหญิงถอนหายใจเสียงเบา “ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งเจ้าลองทำน้ำอบมาให้ข้าลองใช้ก็แล้วกัน เผื่อถูกใจข้าจักได้นำไปถวายเสด็จพระองค์หญิงในวังด้วย”
“เสด็จพระองค์หญิง?”
“ใช่”
คุณหญิงบัวแก้วพยักหน้า “เมื่อก่อนสมัยที่เจ้าคุณพ่อของพ่อทัพยังอยู่ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต้องเข้าเฝ้าขุนหลวงทุกวัน และบรรดาเมียเอกของขุนนางชั้นผู้ใหญ่นั้นก็ต้องเข้าวังไปอยู่ราชสำนักฝ่ายในอย่างน้อยครึ่งสัปดาห์ด้วย โดยกระจายกันไปตามตำหนักพระมเหสีและเจ้านายพระองค์อื่นๆ ข้าจึงได้มีโอกาสได้เข้าไปถวายงานเป็นบางครั้ง”
เอ่ยได้เพียงเท่านั้นคุณหญิงบัวแก้วก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่หลังจากสามีข้าสิ้นบุญไปแล้วข้าก็มิได้ถูกบังคับว่าต้องไปอีก ได้แต่ไปเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราว”
“เจ้าก็ลองทำน้ำอบมาให้ข้าลองใช้ดูเถิด” คุณหญิงบัวแก้วหันกลับมาส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้มาลีอีกครั้ง “หากกลิ่นหอมมากพอจักประชันกับชาววังได้ ข้าจักลองถือเข้าวังไปด้วย”
——————
บนเรือนออกหลวงชาญภูเบศร์ยังคงสุขสงบเช่นเคย สายลมยามราตรีพัดพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้รอบเรือนให้หอมอบอวลขึ้นมาอีกครั้ง แสงจันทร์วันเพ็ญส่องสว่างไปทั่วแผ่นฟ้าทำให้มองเห็นสวนดอกไม้รอบเรือนได้โดยไม่ต้องใช้ตะเกียงนำทาง มาลีเสร็จธุระบนเรือนใหญ่หมดแล้วจึงถือเอาถาดทองเหลืองลงมาเก็บดอกไม้คนเดียวเงียบๆ
หญิงสาวเก็บเอาดอกมะลิที่พร้อมบานในวันรุ่งขึ้นมาสองกำมือ ดอกกระดังงาสีเหลืองนวลอีกสองดอก ก่อนจะเดินวนกลับมาเก็บดอกแก้วที่กำลังส่งกลิ่นหอม
เมื่อเห็นสีขาวนวลของดอกแก้วตรงหน้า ในใจหญิงสาวก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต…ความทรงจำเมื่อครั้งที่ออกหลวงชาญภูเบศร์ตามเธอไปเก็บดอกไม้ยังผุดอยู่ในหัว ครานั้นเขาเคยเอ่ยปากชวนเธอมาเก็บดอกแก้วในเรือนนี้ แต่ใครจะรู้เล่า…ว่าวันหนึ่งเธอจะได้มีโอกาสมาเก็บจริงๆ
มาลีถอนหายใจเสียงเบา ในใจเริ่มร้อนผ่าวเพราะความเจ็บปวดในใจนั้นยังไม่จางหาย แม้จะได้มาอยู่ร่วมชายคากันเช่นนี้แต่เหตุใดหนอเธอจึงรู้สึกว่าห่างไกลกันมากกว่าเก่า ทั้งที่พยายามพร่ำบอกตนเองว่าควรเจียมตน แต่ลึกๆ ในใจก็ยังโหยหาแววตาอบอุ่นของเขาที่เคยมองมา
แต่เธอคงไม่มีโอกาสได้สบสายตานั้นอีกแล้ว…เพราะนับตั้งแต่ที่เธอเข้ามาอาศัยอยู่ในเรือนนี้ แม้แต่ใบหน้าเธอเขาก็ไม่เคยเหลียวมองด้วยซ้ำไป
เมื่อเก็บดอกไม้ได้เท่าที่ต้องการแล้ว หญิงสาวจึงกลับมาเรือนนอนของตนแล้วจุดตะเกียงเทียนไขวางไว้ข้างกาย ก่อนจะตักน้ำฝนใส่โถกระเบื้องเคลือบ รอให้น้ำนิ่งสนิทจึงนำดอกไม้ลอยบนผิวน้ำอย่างระมัดระวัง เธอต้องทำน้ำลอยดอกไม้ซ้ำๆ อย่างนี้ราวเจ็ดวันก่อนจะนำไปต้มกับชะลูด ไม้จันทน์เทศและใบเนียม แล้วจึงนำไปร่ำกำยานและเทียนอบอีกราวครึ่งเดือน
“แม่มาลี ยังไม่นอนรึ”
พ่อเพิ่มเห็นหญิงสาวยังนั่งอยู่บนระเบียงกระท่อมจึงเอ่ยเรียกอยู่ด้านล่าง ชายหนุ่มยืนถือตะเกียงพลางจ้องมองขึ้นมาหาด้วยความสงสัย
“พี่ขึ้นไปได้หรือไม่”
มาลีพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ พ่อเพิ่มจึงเดินขึ้นบันไดกระท่อมน้อยแล้วมานั่งเคียงข้าง สายตาจ้องมองโถน้ำลอยดอกไม้อยู่ไม่วางตา “นี่มันน้ำกระไรกัน”
“ข้าจักทำน้ำอบให้คุณหญิงจ้ะ ต้องใช้น้ำลอยดอกไม้เจ็ดวัน ร่ำกำยานอีกเจ็ดวัน แลร่ำเทียนอบอีกเจ็ดวันจ้ะ”
“แล้วเอ็งทำเป็นรึ”
มาลีได้ยินคำถามก็พลันยกยิ้มกว้าง “ข้าทำจนเชี่ยวชาญแล้วหนาพี่เพิ่ม เมื่อตอนอยู่โรงรับชำเราข้าก็เป็นคนทำเครื่องหอมให้ทั้งหมด”
หญิงสาวไม่ว่าเปล่า แต่เดินเข้าไปหยิบเอาขวดน้ำอบที่ติดตัวมาให้พ่อเพิ่มดูขวดหนึ่ง เมื่อเปิดฝาขวดออกมาจึงได้กลิ่นหอมเย็นของดอกไม้ผสมกลิ่นกำยานและเทียนอบร่ำ กลิ่นหอมแรงถูกใจเขาไม่น้อย และยังหอมไม่เหมือนน้ำอบใดที่เขาเคยเห็นมา
“หอมจริง”
พ่อเพิ่มหยิบมาดมดูใกล้ๆ สีหน้าดูแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นความสามารถของหญิงสาวตรงหน้า นอกจากจะรูปกายงดงามกิริยาอ่อนหวานแล้ว งานฝีมือยังไม่เป็นสองรองใคร…มิน่าเล่าออกหลวงชาญภูเบศร์จึงหลงเสน่ห์จนพากลับมาที่นี่
“แม่มาลี…”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถาม สีหน้าดูกระอักกระอ่วนใจอยู่เล็กน้อย “เรื่องของเอ็งกับคุณหลวงเป็นมาอย่างไรรึ เล่าให้พี่ฟังได้หรือไม่”
“มิได้เป็นมาอย่างไรดอกจ้ะ คุณหลวงคงเห็นข้าลำบากจึงช่วยออกมาจากโรงรับชำเราบุรุษก็เท่านั้น มาอยู่เป็นบ่าวที่นี่ข้าก็สุขสบายดีเพราะไม่ต้องทำงานหนักทั้งวันเหมือนที่เก่า”
“แล้วคุณหลวงเล่า”
“คุณหลวง…คุณหลวงทำไมหรือจ๊ะ”
มาลีหันมองบุรุษข้างกายด้วยความงุนงง แต่พ่อเพิ่มก็กลับนิ่งเงียบปิดปากตนเองไปเสีย ในหัวกำลังครุ่นคิดด้วยความสับสน เขากับออกหลวงชาญภูเบศร์นั้นเติบโตด้วยกันมาแท้ๆ จึงรู้ดีว่าคุณหลวงนั้นมีใจให้มาลีอย่างไรบ้าง คราแรกเขานึกว่าเธอมาที่นี่เพื่อเป็นเมียบ่าวเสียอีก แต่เธอมาอยู่ได้หลายวันแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้เข้าหอนอนคุณหลวงเสียที จึงสร้างความแปลกใจให้เขามากยิ่งขึ้น
“ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เอ็งเคยได้พูดคุยกับคุณหลวงอีกหรือไม่” พ่อเพิ่มเอ่ยถามตามตรง
มาลีได้ยินคำถามของชายหนุ่มก็นิ่งเงียบไป แววตาที่เคยสดใสก็พลันเปลี่ยนเป็นความเศร้าหมอง “พูดคุยกระไรกันจ๊ะพี่เพิ่ม ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ข้าไม่เคยได้เข้าใกล้คุณหลวงสักครั้ง อย่าว่าแต่พูดคุยเลย…แม้แต่หน้าข้าคุณหลวงยังไม่เคยเหลียวมองด้วยซ้ำ”