มายากาเหว่า บทที่ 2 : จุดอ่อนของผู้ชาย
โดย : ณรัญชน์
มายากาเหว่า โดย ณรัญชน์ กับแผนการร้ายที่ลูกกาเหว่าอย่างดารินกานต์นำมาใช้ฟาดฟันกับพลอยแสง ผู้ที่เลี้ยงดูเธอมาด้วยความรัก อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าแม่นกที่อุ้มชูมาไม่ได้รักเธอด้วยใจจริง ความรักของพลอยแสงจะเอาชนะอคติที่บดบังดวงตาและดวงใจไปได้อย่างไร…นวนิยายออนไลน์แนว Family Drama สุดเข้มข้นที่อ่านเอาอยากชวนคุณมาลุ้นไปกับเรา
พลอยแสงนั่งทอดอาลัยอยู่นานนับชั่วโมงกว่าจะปรับสภาพจิตใจให้เข้มแข็งพอจะขึ้นรถประจำทางไปถึงร้านสะดวกซื้อที่ทำงานอยู่ รีบเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเครื่องแบบพนักงาน แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์คิดเงิน พอเห็นเธอชายที่ยืนรออยู่ก่อนก็หันมายิ้มให้
“น้องพลอยมาแล้วหรือ พี่กำลังคิดถึงอยู่เชียว”
ร้านสะดวกนี้แห่งนี้ซื้อแฟรนไชส์มาจากบริษัทแม่ มีผู้จัดการร้านเป็นคนดูแล แต่นายธนพลซึ่งเป็นลูกชายเจ้าของร้านก็มักจะเข้ามาตรวจตราอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะหลังจากที่พลอยแสงมาทำงานที่นี่ เขาก็ยิ่งมาบ่อยกว่าปกติและจะเลือกเวลาเข้าร้านให้ตรงกับเวลางานของเธอแทบทุกครั้ง
พอได้ยินเสียงหวานเจื้อยชวนเลี่ยน พลอยแสงก็ถอยหลังไปสองก้าวโดยอัตโนมัติ พยายามข่มใจสุดความสามารถที่จะไม่แสดงความรู้สึกแท้จริงออกมาทางสีหน้า
“พลอยก็มาตามเวลาปกติ พี่พลหลบไปเถอะค่ะพลอยจะได้เข้าไปประจำเคาน์เตอร์”
ขณะนั้นในร้านมีลูกค้าเพียงคนเดียว เป็นโอกาสดีที่ธนพลจะใกล้ชิดสาวสวยที่เขาหมายตาไว้ พนักงานคนอื่นๆรู้ใจเจ้านาย จึงเพียงแต่มองยิ้มๆโดยไม่เข้ามาเกะกะ
“พี่อยากชวนพลอยไปดูหนัง เราไปกันเลยนะ” มืออวบอ้วนเอื้อมมาคว้ามือเรียวของพลอยแสงอย่างถือวิสาสะ “เรายังไม่เคยไปเที่ยวด้วยกันเลย พี่เลี้ยงเองไม่ต้องห่วง”
พลอยแสงใจหายด้วยความตกใจ รีบกระตุกมือกลับมา แก้มเนียนใสแดงก่ำด้วยความฉุนโกรธ “พี่พล อย่าทำอย่างนี้นะคะ พลอยไม่ชอบ”
ธนพลนึกว่าสาวเจ้าเพียงแต่เล่นตัวด้วยมารยาหญิง ก็หัวเราะหน้าเป็นพลางเข้ามาจับมือเธอไว้อีก
“น้องพลอยไม่ต้องอายหรอก เดี๋ยวเราไปเที่ยวสยามกัน งานทางนี้ไม่ต้องห่วงให้คนอื่นเขาทำแทนไป เดี๋ยวพี่จ่ายค่าจ้างให้เต็มเวลาเอง”
คราวนี้พลอยแสงสะบัดมือออกเต็มแรง แม้แต่เสียงก็เริ่มเข้มขึ้น “พลอยพูดจริงๆ พลอยไม่ได้ชอบพี่ ไม่คิดจะไปไหนกับพี่ทั้งนั้น”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของเธอบอกความเป็นปฏิปักษ์โดยไม่อาจคิดเข้าข้างตัวเองได้เหมือนทุกครั้ง ฝ่ายชายขมวดคิ้ว ในใจเริ่มเดือดปุดๆขึ้นมาบ้าง เขาพยายามสร้างไมตรีด้วยข้าวของราคาแพงมาหลายหนแล้ว แต่พลอยแสงไม่เคยยอมรับสิ่งของหรือมีท่าทีว่าจะใจอ่อนลงเลย พอเห็นพนักงานทั้งร้านแอบหัวเราะกันคิกคัก ชายหนุ่มที่เสียหน้าก็เริ่มพาล
“นี่พี่พูดด้วยดีๆแล้วนะจะเล่นตัวอีกทำไม เดี๋ยวนี้พลอยก็ไม่ได้ร่ำรวยเป็นคุณหนูอย่างเมื่อก่อนแล้ว มีคนระดับพี่มาจีบก็น่าจะรีบคว้าไว้ จะทำหัวสูงไปถึงไหน”
พลอยแสงหายใจถี่เร็วเมื่อความโทมนัสและโทสะแล่นพล่านไปทั้งร่าง อีกครั้งแล้วหรือที่เธอต้องทนให้คนหยามหมิ่นเพียงเพราะไม่ได้ยิ่งยงด้วยทรัพย์สินและบารมีเหมือนแต่ก่อน คุณค่าของคนเราวัดกันที่เงินเพียงอย่างเดียวละหรือ…
“พลอยจะเป็นยังไงหรืออยู่ในฐานะไหนมันก็เรื่องของพลอย พลอยมาที่นี่เพื่อทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้คิดอย่างอื่น ขอร้องละค่ะต่อไปอย่ามายุ่งกับพลอยอีก ถ้าพี่เป็นนายจ้างที่ดีก็ไม่ควรมาระรานลูกจ้าง”
ธนพลไม่สะดุ้งสะเทือนกับคำต่อว่าของลูกเจี๊ยบตัวน้อยๆ เขาระบายยิ้มยียวนด้วยมาดพญาอินทรีเมื่อรู้สึกว่าเป็นต่อ
“รู้ด้วยหรือว่าเป็นลูกจ้าง ถ้าอย่างนั้นก็หัดเจียมตัวแล้วก็อย่าซ่ากับนายจ้างให้มากนัก”
สายตาเอาแต่ใจชำเลืองปราดไปยังพนักงานที่เหลือ ผู้น้อยทั้งหมดก้มหน้าหลบตากันเป็นทิวแถว แต่หูก็ยังได้ยินเสียงผู้ยิ่งใหญ่ดังก้องอย่างประกาศศักดาเต็มที่
“เชอะ! ไอ้เราก็หวังดีนึกว่าจะช่วยฉุดขึ้นมาจากสลัม ดัดจริตอย่างนี้ก็ทำงานงกๆต่อไปเถอะ”
พลอยแสงทั้งโกรธทั้งแค้นเสียจนหูอื้อ หัวใจบีบตัวแน่นเกร็งไปทั้งอก แต่เธอก็ไม่มีทางอื่นที่ดีไปกว่าฝืนทำงานต่อไปจนจบภาระหน้าที่ แล้วจึงนั่งรถประจำทางกลับไปยังหอพักที่เช่าอยู่ เพียงหญิงสาวก้าวพ้นประตูกระจกเข้าไปพนักงานต้อนรับก็ปราดเข้ามาหา
“พลอย โอ๊ย! กลับมาเสียทีพี่รอแทบแย่”
หญิงสาวคนนั้นชื่อว่าเจรียง พลอยแสงไม่ได้สนิทด้วยนักแต่ก็มักจะทักทายกันเวลาเดินผ่านเคาน์เตอร์ที่เจ้าหล่อนนั่งทำงาน เจรียงไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากก็รีบบอกเร็วจี๋
“พลอยทำใจดีๆนะ คุณย่าของพลอยถูกรถชนที่หน้ามหาวิทยาลัยที่พลอยเรียนนั่นละ รถมันลากไปตั้งหลายเมตรกว่าจะจอด ตอนนี้ถูกพาส่งโรงพยาบาลแล้ว พี่ไม่รู้จะติดต่อพลอยได้ยังไง เราไม่มีอะไรเลยทั้งเพจเจอร์หรือมือถือ”
ในสมัยที่บิดายังมีชีวิตอยู่พลอยแสงมีอุปกรณ์สื่อสารทันสมัยเหล่านี้ครบถ้วน แต่เมื่อฐานะเปลี่ยนไปหญิงสาวก็ขายเพจเจอร์กับมือถือเพื่อนำเงินมาเป็นค่ามัดจำหอพักและค่าใช้จ่ายจิปาถะ สมองอันมึนชาของเธอต้องใช้เวลาอึดใจหนึ่งกว่าจะเข้าใจคำพูดของเจรียง พอตั้งสติได้พลอยแสงก็ระล่ำระลักถาม
“คุณย่าพลอยอยู่โรงพยาบาลไหนพี่เจรียง พลอยจะไปหาท่าน”
เจรียงบอกชื่อโรงพยาบาลรัฐแห่งนั้น ก่อนจะเสริมด้วยว่า “พอดีย่าพลอยเกิดเรื่องแถวนั้นคนที่ชนเลยพาไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เขาเปิดกระเป๋าย่าพลอยดูเจอนามบัตรหอพัก เลยโทรมาบอกพี่”
เจรียงยังพึมพำอะไรต่อไปอีกตามประสาของหล่อน แต่พลอยแสงไม่ได้ฟังเสียแล้ว เธอวิ่งถลันออกมาหน้าหอพัก โบกมือเรียกตุ๊กตุ๊กที่ผ่านมาสั่งให้พาไปโรงพยาบาลทันที
……………………………………………………………………………………………
โค้งฟ้าเบื้องบนมืดครึ้มด้วยกลุ่มเมฆฝนหนาหนัก ทำหน้าที่ประหนึ่งม่านธรรมชาติกางกั้นแสงแดดไว้กว่าครึ่ง บรรยากาศในศาลาวัดจึงสลัวมัวหม่นและอึมครึมไม่ต่างจากความรู้สึกของหลานสาวผู้สูญเสียญาติคนสุดท้ายไปอย่างกระทันหัน
พลอยแสงไม่ได้แจ้งมรณกรรมของคุณนพวรรณให้เพื่อนฝูงในวงสังคมของนายไกรศักดิ์รู้แม้แต่คนเดียว หลังจากประจักษ์ว่าเงินทองกับมิตรภาพเป็นสิ่งที่เกี่ยวกระหวัดกันไม่ต่างจากดวงจันทราและเวลาน้ำขึ้นน้ำลง ไม่ต้องดูอื่นไกล งานศพพ่อของเธอเป็นตัวอย่างที่แจ่มชัดที่สุด งานฌาปนกิจของนายไกรศักดิ์มีคนมาร่วมงานบางตา อีกทั้งแขกที่มาต่างก็ซุบซิบถึงแต่ความตกต่ำของผู้ตาย หาคนที่รำลึกถึงอย่างสุจริตได้น้อยเสียจนหญิงสาวสะท้อนใจ
ก่อนเสียชีวิตนายไกรศักดิ์เคยบ่นกับลูกสาวด้วยเสียงท้อถอย
“ตอนพ่อร่ำรวยไปทางไหนก็เจอแต่มิตร ใครๆก็อยากเข้ามาทำความรู้จัก แต่ตอนนี้เราล้ม ใครเห็นก็รีบหลบหน้าเพราะกลัวเราจะไปยืมเงินทองเขา โทรไปหาก็ไม่มีใครยอมรับสาย นี่ละนะชีวิตละ”
ด้วยเหตุนี้งานศพของคุณนพวรรณจึงเงียบเหงาปราศจากผู้มาร่วมไว้อาลัย หากไม่นับร่างระหงในชุดดำสนิทที่นั่งนิ่งราวกับหุ่นปั้นอยู่บนขั้นบันไดเมรุ หญิงชราก็คงไม่ต่างจากศพไร้ญาติ กลุ่มควันสีเทาทึบลอยโขมงขึ้นจากปล่องสูงของเมรุเผาศพ พร้อมกับที่หยดน้ำเม็ดเล็กๆพร่างพรมลงมาจากผืนฟ้า จากละอองฝอยในตอนแรกหยาดพิรุณค่อยๆทวีความหนาหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่กี่อึดใจร่างบอบบางนั้นก็เปียกโชก พร้อมกับที่น้ำตาร้อนผ่าวร่วงพรูคละเคล้ากับน้ำฝนเป็นอณูเดียวกัน
พลอยแสงสะอื้นจนตัวโยนเมื่อคิดถึงคุณนพวรรณ ตั้งแต่เกิดจนเข้าสู่วัยชราคุณย่าของเธอสะดวกสบายอยู่ในการดูแลของบริวาร จะไปไหนก็มีรถยนต์คอยรับส่ง มีคนติดตามไปรับใช้ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่มีสักครั้งที่จะต้องตรากตรำเดินทางด้วยรถประจำทางเช่นคนหาเช้ากินค่ำ ถูกละ อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีใครตั้งใจ ทว่าพลอยแสงอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องร้ายจะไม่เกิดขึ้นเลย หากครอบครัวเธอยังเฟื่องฟูอยู่ในสถานะเดิม
ความจนอัปลักษณ์และเหี้ยมโหดถึงเพียงนี้เชียวหรือ เพียงอุ้งมือหยาบกระด้างของมันจู่โจมเข้ามา คนที่เธอรักทั้งหมดก็ถูกพรากไป เช่นเดียวกับเกียรติยศศักดิ์ศรี การยกย่องนับถือในสังคม ไม่มีสิ่งใดเหลือไว้ให้พลอยแสงได้เกาะเกี่ยวด้วยความภาคภูมิใจอีกเลย
ร่างผอมบางของหญิงสาวคู้งอ สั่นเทาด้วยแรงสะอื้นหนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ทัน พลอยแสงสอดสองแขนกอดตัวเองไว้แน่นเพื่อต่อสู้กับความว้าเหว่สิ้นหวังที่กำลังประเดประดังขึ้นในอก ยอมรับเป็นครั้งแรกว่าเธอโหยหาชีวิตแบบเดิมจับใจ…ชีวิตพร้อมพรั่งที่มีเพียงเงินตราเท่านั้นจะเนรมิตให้ได้
“น้องพลอย” ผู้ชายคนหนึ่งตะโกนเรียกมาจากศาลาวัด เขากางร่มคันใหญ่วิ่งเร็วๆตรงมาหา ม่านพิรุณขาวพร่างบดบังใบหน้าของชายหนุ่มไว้ในนาทีแรก จนกระทั่งร่มคันนั้นเคลื่อนมากางอยู่เหนือศีรษะ สกัดกั้นความพร่าเลือนของเม็ดฝนให้ถอยห่างออกไป หลงเหลือเพียงความแจ่มชัด พลอยแสงจึงได้เห็นใบหน้าและสายตาอาทรของอารัญ
“เข้าไปนั่งในศาลาเถอะ อย่าตากฝนอยู่เลยเดี๋ยวจะไม่สบาย” เสียงทุ้มร้องบอกแข่งกับเสียงพิรุณที่กระหน่ำหนักอยู่รายรอบ อารัญจับมือเล็กเย็นเฉียบนั้นไว้หมายจะฉุดให้ลุกขึ้น แต่ร่างที่นิ่งงันไม่มีท่าทีว่าจะขยับเขยื้อน ดวงตาดำขลับเงยขึ้นมองเขา เหม่อลอยเคว้งคว้างคล้ายตกอยู่ในภวังค์ล้ำลึก
หัวใจพลอยแสงกระซิบแผ่ว… ผู้ชายคนนี้..ว่าที่เจ้าบ่าวของปณาลี..
ชายผู้มีทุกสิ่งบริบูรณ์ ไม่ต่างจากขุมทรัพย์ที่รอให้ปณาลีมาหยิบฉวยไปครอบครอง เขาผู้ที่พลอยแสงไม่เคยใยดีเพราะความต่างทางฐานะ และไม่ต้องการได้ชื่อว่าแย่งของรักของใคร
แต่บัดนี้ความหยิ่งทะนงไม่เหลือร่องรอยในหัวใจของหญิงสาว เช่นเดียวกับศีลธรรมและความถูกต้อง แม้ว่าพวกมันจะเคยเป็นสิ่งที่เธอยึดมั่นมาอย่างเหนียวแน่นตลอดระยะเวลาแห่งความยากไร้ เธอพยายามบากบั่นหาเลี้ยงตัวอย่างสุจริต อดมื้อกินมื้อ รักษาความดีงามไว้ตามคำสอนของคุณนพวรรณ แล้วพลอยแสงได้สิ่งใดกลับคืนมาเล่า นอกจากการเยาะเย้ยถากถางและความสูญเสีย
นอกจากนั้น เธอยังรู้จากวงเนตรว่าหลังจากเธอเซซังหนีจากวงล้อมไปแล้ว ปณาลีกับพรรคพวกก็นำรูปของเธอไปติดไว้บนบอร์ดกลางของคณะ ช่วยกันเล่าที่มาของภาพอย่างสนุกสนาน ไม่ได้สังเกตว่าหญิงชราร่างเล็กในเสื้อแขนยาวและกระโปรงคลุมเข่ามายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไร อันที่จริงตั้งแต่ฐานะเปลี่ยนแปลงไปคุณนพวรรณก็ไม่ได้ออกจากห้องพักบ่อยนัก แต่วันนี้เธอเห็นเมฆฝนตั้งเค้าดำทะมึน นึกเป็นห่วงหลานสาวที่ต้องไปทำงานต่อหลังจากเลิกเรียน จึงถือร่มขึ้นรถเมล์มาให้พลอยแสงที่มหาวิทยาลัย
“ปกติพลอยแสงทำเป็นหยิ่งจองหองแต่สุดท้ายก็แอบไปรับเงินจากลี ขนาดส่งคนขับรถมาแจกทุนการศึกษายังไหว้ปะหลกๆ” สาวๆปากร้ายซุบซิบกันอย่างเผ็ดร้อน
วงเนตรที่เดินมากระชากรูปออกจากบอร์ดทันเห็นเงาหลังของคุณนพวรรณเคลื่อนห่างออกไปลิบๆ ศีรษะซึ่งปกคลุมด้วยกลุ่มผมสีเงินก้มต่ำ ไหล่ลู่ค้อมบอกให้รู้ว่าท่านได้ยินคำพูดทั้งหมดโดยไม่ตกหล่น และคงสะเทือนใจอย่างยิ่งยวดไม่แพ้หลานสาวเลย
‘คนที่เห็นเหตุการณ์บอกว่าคุณย่าของพลอยท่าทางใจลอยดูเศร้าๆไม่รู้คิดอะไรอยู่ เลยเดินเหม่อตัดหน้ารถที่แล่นมา ฉันว่าเพราะเรื่องรูปที่ติดที่บอร์ดนั่นละ ท่านคงเสียใจมาก’
คุณย่าของเธอถูกเชือดเฉือนจิตใจอย่างเหี้ยมโหด ไม่ว่าอุบัติเหตุของคุณนพวรรณจะมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้หรือไม่ พลอยแสงไม่คิดว่าปณาลีควรจะลอยนวลไปโดยไม่ได้รับการตอบแทน…
อารัญไม่รู้ถึงความคิดยอกย้อนที่วนเวียนอยู่ในร่างเล็กๆตรงหน้า เขาก้มลงพยุงพลอยแสงให้ลุกขึ้น พาเดินลงจากบันไดเมรุซึ่งไร้ที่กำบังมานั่งในศาลาใกล้ๆ
“น้องพลอยเปียกไปหมดแล้ว รออยู่ตรงนี้นะครับ พี่จะไปขอผ้าเช็ดตัวมาให้” เขาทำท่าจะผละไปดังว่าแต่มือขาวเรียวยื่นมายุดแขนไว้ ดวงตาดำขลับดังมณีนิลมีแวววิงวอน
“พี่อารัญอย่าไปเลยค่ะ พลอยไม่อยากอยู่คนเดียว พลอยกลัว”
น้ำเสียงออดอ้อนจากหญิงสาวที่เคยวางตัวเหินห่างมาตลอดเป็นสิ่งแปลกหูสำหรับอารัญ ขณะเดียวกันก็พาให้หัวใจอ่อนยวบ อารัญจับมือนั้นไว้ ปลอบประโลมเสียงนุ่ม
“ไม่ต้องกลัวนะครับพี่ไปไม่นานหรอก น้องพลอยตัวเปียกอย่างนี้ถ้าปอดบวมขึ้นมาจะแย่”
ท่ามกลางความไม่คาดฝันของชายหนุ่มและโดยไม่ใยดีต่อสถานที่ พลอยแสงเอนร่างลงซบแผ่นอกกว้างนั้นราวกับหมดเรี่ยวแรง ปล่อยน้ำตาร้อนผ่าวให้ไหลรินรดผิวแก้มขาวเผือด
“พลอยไม่สนใจหรอกค่ะว่าจะไม่สบาย ที่จริงถ้าตายไปเสียได้ก็คงจะดี พลอยไม่เหลือใครอีกแล้วในโลก พลอยกลัวเหลือเกิน พลอยไม่รู้ว่าจะผ่านมันไปได้หรือเปล่า”
ทั้งๆที่เนื้อตัวเย็นเฉียบจากไอฝนกระนั้นอารัญยังรับรู้ถึงความอ่อนนุ่มละมุนละไม เต็มไปด้วยเลือดเนื้อแห่งวัยสาวที่กำลังแนบชิดอยู่กับทรวงอกของเขา สัมผัสลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดผิวเหนือกระดุมเสื้อ หูได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาเศร้าสร้อยทว่าอ่อนหวานไม่ต่างจากความงามของผู้เอ่ยปาก
“พี่อารัญคงไม่รู้ว่าการอยู่ตัวคนเดียวมันอ้างว้างขนาดไหน ที่มหาวิทยาลัยก็มีแต่คนดูถูก คอยกลั่นแกล้งซ้ำเติม ปณาลีก็หาเรื่องรังแกพลอยไม่เว้นแต่ละวัน ไหนยังจะคนเลวที่จ้องจะลวนลาม พลอยไม่รู้เลยว่าอนาคตข้างหน้าจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง”
คิ้วดำเรียวของอารัญขมวดเข้าหากัน เขารู้สึกว่าพลอยแสงน่าจะมีเรื่องทุกข์ร้อนมากกว่าการสูญเสียญาติผู้ใหญ่เสียแล้ว จึงนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกข้างตัวหญิงสาว มือยังโอบประคองรอบแผ่นหลังบอบบางไว้
“ใครกันคนเลวที่ว่า แล้วมันทำอะไรน้องพลอย บอกพี่มาเถอะ พี่จะช่วยเอง”
พลอยแสงเหยียดตัวนั่งหลังตรง ยกมือปาดน้ำตาด้วยกิริยาแบบเด็กๆ “เขาเป็นลูกชายเจ้าของร้านที่พลอยทำงานอยู่ เวลาพลอยไปทำงานเขาก็เข้ามาจับมือถือแขน หาโอกาสลวนลาม พลอยพยายามขอร้องแล้วแต่เขาไม่ยอมหยุด” เธอสะอื้น “คนในร้านกลัวเขากันหมดไม่มีใครกล้าช่วย ถ้าสักวันเขาคิดจะข่มเหงพลอยขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้พลอยจะเอาตัวรอดได้หรือเปล่า”
พลอยแสงไม่เคยลิ้มลองรสชาติความหึงหวง กระนั้นเธอก็มั่นใจในพิษสงของมัน จริงดังคาด กรามที่บดแน่นบอกให้รู้ว่าอารัญกำลังข่มความโกรธเต็มที่ สำหรับเขาแล้วพลอยแสงเปรียบเสมือนพระจันทร์ทรงกลดงามเด่นอยู่กลางเวหา กระต่ายอย่างเขายังทำได้เพียงแหงนหน้าขึ้นมองอยู่ห่างๆ แต่บัดนี้กลับมีคนหยาบช้ามาแตะต้องจันทร์งามดวงนี้ให้มีมลทิน เพียงแค่คิดเขาก็อยากขยี้ผู้ชายคนนั้นให้แหลกคามือ
ด้วยเหตุนี้เสียงของชายหนุ่มจึงเข้มจัดทีเดียว “ถ้าอย่างนั้นน้องพลอยลาออกเถอะ อย่าไปทำงานที่นั่นอีกเลย”
พลอยแสงส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าไม่ทำงานแล้วพลอยจะหาเงินมาจากไหน ผู้ชายคนนั้นรู้จุดอ่อนข้อนี้ถึงได้กล้ารังแกพลอย พลอยอยากจะย้ายหอพักหนีเขาแต่ก็ไม่มีเงิน และถึงจะหนีไป ถ้าเขามาตามหาที่มหาวิทยาลัยพวกปณาลีก็ต้องบอกที่อยู่ให้เขารู้อยู่ดี” เธอบีบมือตัวเองอย่างอับจน “ปณาลีเขาเกลียดพลอย เขาอยากเห็นพลอยพินาศย่อยยับ”
ความคิดของอารัญล่องลอยไปถึงว่าที่เจ้าสาวที่เขาไม่เคยรัก ยิ่งได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าปณาลีกับพรรคพวกช่วยกันรังแกพลอยแสงอย่างไรบ้าง ความไม่พอใจในตัวหล่อนก็ยิ่งเพิ่มพูน จนทุกวันนี้เขาแทบไม่อยากมองหน้าปณาลีเสียด้วยซ้ำ
“ทำไมลีต้องคอยหาเรื่องพลอยด้วย พี่ไม่เข้าใจเลย”
นี่ละประโยคที่พลอยแสงกำลังรอคอย เธอมองเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม ถามเสียงอ่อนระโหย
“พี่อารัญไม่รู้จริงๆหรือคะว่าเพราะอะไรปณาลีถึงได้เกลียดพลอย พลอยนึกว่าพี่รู้อยู่แก่ใจแล้วเสียอีก”
ความฉงนฉงายผุดขึ้นบนใบหน้าของคนฟังในนาทีแรก ก่อนที่ความเข้าใจจะแล่นปราดตามมา อารัญหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อโอกาสมาถึงแล้วเขาก็ไม่พลาดที่จะสารภาพความรู้สึกออกมาตามตรง
“ลีเกลียดพลอยเพราะเขารู้ว่าพี่ชอบพลอยใช่ไหม” อารัญจับมือบางขึ้นมากุมไว้ ใจเต้นรัวแรงเมื่อหญิงสาวไม่มีท่าทีว่าจะขัดขืน พลอยแสงเพียงแต่มองเขาด้วยสายตาอ่อนหวาน ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงต่ำอย่างเอียงอาย
“พี่กับปณาลีกำลังจะแต่งงานกัน เขาถึงเกลียดพลอย” เธอบอกเสียงเบา
“พี่ไม่ได้รักลี ไม่ใช่แค่ไม่รัก แม้แต่ชอบสักนิดก็ยังไม่มี” อารัญรีบแก้ความเข้าใจผิดโดยเร็ว “ผู้ใหญ่คิดกันไปเองว่าจะให้เราแต่งงานกันทั้งๆที่พี่ไม่ได้รับปาก ที่พี่ยอมไปมาหาสู่กับลีเป็นบางครั้งก็เพราะขัดคุณแม่ไม่ได้ แต่หลังจากวันนี้รับรองได้เลยว่าพี่จะไม่แต่งงานกับลีเด็ดขาด คนที่พี่จะร่วมชีวิตด้วยต้องเป็นคนที่พี่รักเท่านั้น”
เปลวเพลิงในอกเขาลุกโพลงโชติช่วงด้วยอารมณ์ของคนวัยหนุ่ม ความรักที่เก็บซ่อนมาเนิ่นนานเมื่อถึงคราวเปิดเผย มันก็ระเบิดออกมาราวกับลาวาปะทุบนยอดภูเขาไฟ ร้อนระอุบ้าคลั่งเสียจนบดบังความเฉียบแหลมที่เคยมี อารัญรวบร่างแน่งน้อยเข้ามากอดไว้ พร่ำรำพันความในใจ
“พลอยไม่รู้หรอกว่าพี่แอบรักพลอยมานานแค่ไหน สามปีเชียวนะที่พี่เฝ้ามองพลอย คอยติดตามข่าวว่าพลอยทำอะไร จะมีใครมาจีบหรือเปล่า เมื่อก่อนพี่คิดว่าความฝันของพี่คงไม่มีวันเป็นจริงเพราะฐานะพลอยเหนือกว่าพี่มาก ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่พี่มีโอกาสได้บอกรักพลอยอย่างนี้”
พลอยแสงขบริมฝีปาก นึกโล่งใจที่อารัญไม่มีโอกาสได้เห็นประกายขมขื่นในแววตาดำมันที่อิงแอบอยู่กับทรวงอกของเขา ใช่สิ… เธอเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ วันที่เธอทอดกายลงในอ้อมกอดของชายที่ตนไม่เคยแยแส
แต่มีประโยชน์อะไรที่จะจมอยู่กับความเรืองรองในอดีต หญิงสาวตัดใจข่มความอดสูแล้วมุ่งหน้าต่อไปบนเส้นทางสายใหม่
“แต่พลอยกลัว พี่อารัญไม่รู้หรอกว่าชีวิตพลอยตอนนี้มืดมนแค่ไหน นอกจากจะต้องคอยระวังผู้ชายคนนั้นแล้ว พลอยยังเป็นหนี้ปณาลี เขาจะต้องตามประจานพลอยไปทั้งมหาวิทยาลัยแน่ๆ มันเหมือนโลกทั้งใบกำลังรังแกพลอย พลอยเหนื่อยเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจะสู้ต่อไปได้นานแค่ไหน”
ปัญหาของพลอยแสงหนักหน่วงนักหนาสำหรับผู้หญิงที่สิ้นไร้ไม้ตอก แต่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับอารัญ วูบหนึ่งเขากลับนึกยินดีเสียด้วยซ้ำที่โชคชะตาเหมือนจะเป็นใจ ดลบันดาลให้นางในฝันร่วงจากหอคอยงาช้างที่หล่อนเคยครอบครองอย่างเฉิดฉายมาสู่อุ้งมือของเขา
“มีพี่อยู่ทั้งคนพลอยจะต้องกลัวอะไร พี่มีเพื่อนที่มีอพาร์ทเม้นท์ดีๆให้เช่าเยอะแยะ ไม่เกินสองวันพี่จะพาพลอยย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ร้านทุเรศนั่นก็ไม่ต้องไปทำงานแล้ว ต่อไปนี้พี่จะดูแลพลอยเอง พลอยไม่จำเป็นต้องทำงานให้เหนื่อยเลย”
ทั้งๆที่ความปิติกำลังแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ เปลือกนอกพลอยแสงกลับประหม่าสับสน เธอช้อนสายตามองอารัญอย่างลังเล “จะดีหรือคะ พลอยไม่อยากรบกวน พี่อารัญจะดูถูกพลอยหรือเปล่า”
ชายหนุ่มบีบมือบางในอุ้งมือตนเองแน่นเข้า ไม่รู้ตัวเลยว่านอกเหนือไปจากความรักใคร่เสน่หาที่มีเป็นทุนเดิม บัดนี้เขายังถูกกับดักแห่งความสงสารที่หญิงสาววางไว้คล้องแน่นจนดิ้นไม่หลุด เมื่อพิศดูดวงหน้าขาวเผือด ร่างกายผ่ายผอมแทบจะปลิวไปตามลมของคนตรงหน้า อารัญก็ใจหาย ที่ผ่านมาพลอยแสงคงต้องลำบากมามาก เขานึกไม่ออกเลยว่าคุณหนูบอบบางที่เติบโตมาในวิมานทองคำเช่นเธอ อดทนผ่านความตรากตรำขนาดนั้นมาได้อย่างไร
“ไม่มีวันที่พี่จะคิดอย่างนั้น พี่มีแต่จะรักและให้เกียรติพลอย พลอยทนทุกข์ทรมานมามากแล้ว นับจากนี้พี่จะอยู่เคียงข้างพลอยเอง ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วนะคนดี”
พลอยแสงยิ้มหวานแช่มชื่น ปล่อยตัวโอนอ่อนเมื่ออารัญรั้งเข้าไปกอดไว้อีกครั้ง ดวงตาดำขลับทอดมองออกไปนอกศาลา ม่านฝนเย็นเยียบเริ่มราเม็ดหลีกทางให้ดวงตะวันฉายแสงอบอุ่นเข้ามาแทนที่ เช่นเดียวกับชีวิตของเธอ ความมืดมนแพ้พ่ายที่เคยครอบงำกำลังจะจบลงแล้ว..
ครั้งหนึ่งนายไกรศักดิ์เคยเล่าขันๆถึงเพื่อนนักธุรกิจที่ไปหลงใหลหญิงสาวยากไร้ผู้ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงเขาได้เลย พลอยแสงได้แต่นึกฉงนเมื่อได้ฟัง แต่ก็ได้รับคำตอบว่า
‘ความสงสารกับความหลงตัวเองนี่ละลูกที่เป็นจุดอ่อนของผู้ชาย เพื่อนพ่อถึงจะทำงานเก่ง ประสบความสำเร็จ แต่เนื้อแท้แล้วมันก็ยังอยากมีคนมาหมอบราบคาบแก้ว เทิดทูนบูชามัน ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาอย่างคนอ่อนแอน่าสงสาร ทำให้มันรู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อพระ มันถึงได้หลงเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น’
‘แล้วผู้หญิงที่มีทุกอย่างเหนือกว่าละคะ ถ้าไปอยู่กับผู้ชายที่ด้อยกว่าจะเป็นยังไง’
นายไกรศักดิ์ลูบผมดำมันของลูกสาว ‘ผู้หญิงที่มีทุกอย่างเหมือนพลอยน่ะหรือลูก ผู้ชายระดับเดียวกันอาจจะมองลูกว่าเหมาะสมกับเขา แต่จะไม่เทิดทูนบูชาลูกเท่ากับพวกผู้ชายที่ด้อยกว่าหรอกนะ ผู้ชายที่ด้อยกว่าจะเห็นลูกของพ่อเป็นดอกฟ้า สูงค่าสง่างาม ถ้าได้ลูกมาครอบครองเขาจะภูมิใจเหมือนได้เป็นเจ้าของสมบัติวิเศษ เพราะลูกช่วยกระพือความหลงตัวเองของเขาให้ลุกไหม้ยิ่งกว่าไฟได้เชื้อ เห็นไหมพลอย ยังไงผู้ชายก็หนีไม่พ้นจุดอ่อนสองข้อนี้อยู่ดี’